
เป่ยซี เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง มณฑลหนานหนิง
มุมมองสายตาไป่ไป๋
พฤศจิกายน ค.ศ.2020
ฉันได้สติลืมตาขึ้นอีกครั้ง ร่างกายปวดเมื่อยไปทั้งตัว หลังจากที่สายตาจับภาพได้แล้ว ก็เห็นแทนนั่งหลับซบหน้าอยู่ข้างเตียง กุมมือฉันไว้ พอขยับตัวเล็กน้อย เขาก็รู้สึกตัวขึ้นมา…
“ไป่ไป๋! โอเคมั้ย?” เขากุมมือดวงตาโรยแดงก่ำ สภาพเนื้อตัวสกปรกมอมแมม
“ปวดตัวจังเลย!” ฉันยิ้มรับแล้วขยับตัวลุกขึ้นนั่งเจ็บระบมไปทั้งตัว เอื้อมมือเสยผมของเขาให้เข้ารูปเข้ารอย หนวดเครายาวรก หน้าตาบวมปูดเขียวช้ำเป็นจ้ำ รู้สึกอุ่นใจที่ยังเห็นเขาอยู่ข้าง ๆ เราเหลือรอดกันแค่ 2 คน
ฉันชะเง้อมองไปที่ประตูหน้าห้องกระจกทางปลายเท้า…
“พวกเขาฟื้นกันหรือยังคะ?” ความเป็นห่วงยังไม่คลาย เขาก้มหน้าลงมาใกล้แล้วส่ายหน้าแทนคำอบ
หม่าม้าเดินออกจากห้องกระจกมาอีกครั้ง ท่านเดินยิ้มกว้างเข้ามา ฉันแปลกใจว่า ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แถมยังใส่ชุดของโรงพยาบาลด้วย
“ดีขึ้นแล้วเหรอ ยายเด็กดื้อ?” ท่านขยับมานั่งข้าง แทนขอตัวลุกเดินออกไปด้านนอก
“หม่าม้า!...มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”
“ฉันมาทำงานให้หน่วยแพทย์อาสา ที่ฉันหายจากบ้านก็มาทำงานที่นี่แหละ”
ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้จากปากท่านเลย วันนี้เป็นครั้งแรกที่ท่านเปิดปากเล่าเรื่องของตัวเอง แทนเดินกลับมายืนคอตกหัวพิงห้องกระจก สีหน้าหมองเศร้าอมทุกข์ ถอนหายใจแรงบ่อย ๆ จนน่าเป็นห่วงไปอีกคน
“พวกแกไปทำอะไรกันมา ไหนบอกว่าจะไปแข่งจักรยาน แข่งยังไงของแกเนี่ย? ทั้งโดนยิง ทั้งโดนแทง” ท่านจ้องหน้า แล้วหันไปมองแทน
ฉันกวักมือเรียก...
“แทนคะ! มารู้จักหม่าม้าก่อนสิคะ”
เขาเดินก้มหน้าเข้ามาหา
“หม่าม้า! ผมชื่อแทนครับ รบกวนด้วยครับ!” แทนทักทายเป็นภาษาอังกฤษโค้งศีรษะคำนับแนะนำตัวแบบสากล
ท่านสะดุ้ง จ้องหน้าเขาแล้วหันมามองฉัน...
“เอ่อ! เขาเรียกฉันว่าแม่ทำไม คนต่างชาติเหรอ?” ท่านอึกอักขมวดคิ้วมอง แทนหน้าเสียหลุกหลิกหันมองรอบตัวหาความผิดของตนเอง
ฉันลืมเรื่องสำคัญนี้ไปสนิทเลย…
“แทนคะ! ธรรมเนียมคนจีน จะไม่เรียกพ่อแม่ของเพื่อนว่าพ่อแม่ เพราะเขาถือว่าไม่ใช่ลูกของตน และไม่ยอมให้คนอื่นเรียกแบบนั้น”
แทนรีบโค้งศีรษะ
“ขอโทษครับ ขอโทษครับ คุณป้า!”
“ม้าคะ!แต่ธรรมเนียมของเขาจะสนิทสนมกว่าของเราค่ะ อบอุ่นกว่า ผู้ใหญ่ของเขาจะรับลูกของเพื่อนเป็นลูกของตัวเองด้วย”
ท่านพยักหน้าอมยิ้มสายตาพราวด้วยความพอใจ
“ถ้าอย่างนั้นเรียกฉันว่า หม่าม้านะ ฉันอยากมีลูกชาย ฝากน้องด้วยนะ ยายนี่เหมือนพริกสวน เผ็ดมากแต่หอมเหลือเกิน" ท่านยิ้มแล้วลูบไหล่ของแทน
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เล่ามาสิ!” ท่านดึงแขนแทนนั่งลงข้าง ๆ
ฉันกับแทนค่อย ๆ เล่าเรื่องราวที่ผ่านมาให้ฟัง ท่านมีอาการ สับสนลังเลจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี? แต่ท่านก็ต้องยอมรับแต่โดยดีเพราะหลักฐานคือคนเจ็บปางตาย 3 คนอยู่ในห้องที่ท่านรักษากันอยู่
“เดี๋ยวไปพักด้วยกัน คอยตรงนี้ก่อนนะ” หม่าม้าเดินเข้าห้องกระจกหายไปพักใหญ่
“หม่าม้า!ใจดีมากเลยนะ สวยมากด้วย สวยกว่าคุณอีก” แทนเอ่ยขึ้นหลังจากเราเงียบกันไปพักใหญ่
“อื้อ!” ฉันตอบได้แค่นั้น ในหัวใจเป็นกังวล ยังห่วงทุกคนที่ยังไม่พื้น
หม่าม้าจูงมือชายสูงอายุผมสีดอกเลา สวมแว่นสายตาในชุดสีขาวร่างกายสูงใหญ่ยังแข็งแรงเหมือนคนหนุ่ม หน้าตาใจดีหล่อสมวัย เดินกระฉับกระเฉงยิ้มมาด้วยกัน
“ไป่ไป๋จ๊ะ! รู้จักคุณหมอเดวิดสิคะ”
“สวัสดีทุกคน ผม...กง เดวิด ฝากตัวด้วยครับ!” เขาทักทายยิ้มแย้มน่าเลื่อมใส เป็นคนสูงอายุที่เท่มาก
แทนลุกขึ้นยืนอย่างเร็ว ฉันลุกขึ้นยืนตาม
“คุณหมอกง เดวิด! ผมแทนครับ รบกวนด้วยครับ!” แทนโค้งศีรษะหลังโค้งดั่งคันศร ฉันเอ่ยทักท่านให้เหมือนที่แทนทำ
“เรียกผมเดวิดก็ได้ครับ ชื่อแทนเหรอ ....?” คุณหมอยิ้มกว้างใจดี ตบไหล่ทักทายแทน
“เดี๋ยวรอผมสักครู่นะ ไปคุยกันต่อที่บ้าน ผมให้แม่บ้านทำอาหารไว้ให้แล้ว ขอไปดูคนเจ็บก่อน เด็กผู้หญิงคุณหมอกำลังช่วยกันผ่าตัดอยู่ ไม่ต้องกังวลนะ”
“รบกวนคุณหมอด้วยครับ!” แทนโค้งสุภาพอีกครั้ง
คุณหมอหัวเราะชอบใจแล้วกลับเข้าห้องไป เรารออีกประมาณชั่วโมงคุณหมอก็ชวนกลับบ้าน
“บรื้น...นน!” แทนขับรถตามหลังคุณหมอมาห่าง ๆ ตัวเมืองเป่ยซีเล็ก ๆ อาคารดินชั้นเดียวมรดกโลก ยังเป็นรูปแบบเก่าแก่แฝงตัวเงียบสงบในชนบท
ดึกแล้วทุกบ้านเริ่มปิดไฟนอนกันบ้างแล้ว ทุกคนยังใช้ชีวิตกันปรกติโดยไม่มีใครล่วงรู้ได้เลยว่า ทุกคนตกอยู่ในอันตรายกันหมดแล้ว รถยนต์ของเราแล่นมาไม่นาน ก็มาถึงรั้วบ้านสีขาวริมถนน บริเวณสวนหน้าบ้านกว้างร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่และสวนหินไม้ดอกที่จัดอย่างลงตัว ตัวบ้านกว้างชั้นเดียวไฟสว่างมีคนเดินกันภายในหลายคน รถยนต์หยุดสนิทที่โรงจอดรถด้านข้าง
"เชิญครับ!! ตามสบายเลย คิดว่าเป็นบ้านของตัวเองนะพ่อหนุ่ม” คุณหมอยิ้มหน้าบานบอกกับแทน แทนก้มหัวให้อย่างนอบน้อม หม่าม้าเดินมาหาแล้วดึงแขนฉันเดินตามเข้าบ้าน ภายในห้องอาหาร โต๊ะกลมจัดอารอย่างหรูหรา กลิ่นอาหารชั้นเลิศกระทบจมูกน้ำลายสอปากทันที ฉันไม่ได้กินอะไรอร่อยอย่างนี้มานานมาก
“กินกันเลยครับ!” คุณหมอยิ้มชี้ชวนให้พวกเราตักอาหาร แล้วคีบผัดผักใส่จานให้หม่าม้า สายตาเป็นประกายด้วยกันทั้งคู่
///ฉันคิดในใจ...สองคนนี้ต้องยังไงกันแน่ ๆ เหมือนคู่รัก//
หม่าม้าหันมายิ้มหวาน...
“หนูเอ้ย!ชวนคุณหมอคุยบ้างสิคะ”ท่านชงให้คุย วันนี้พูดซะเพราะเชียว ฉันไม่ได้รังเกียจผู้ชายคนนี้ ดูแล้วเขาเหมาะสมกับหม่าม้ามาก
“คุณหมอคะ! เพื่อนหนูจะเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“เรียกลุงก็ได้นะ จะได้สนิทกันมากขึ้น” คุณหมอยิ้มใจดีแล้วพูดต่อ
“เด็กผู้หญิงโดนแทงสาหัส ร่างกายบอบช้ำหนักมากกว่าทุกคน เสียเลือดมาก หมอเย็บแผลให้แล้ว เราไม่มีเลือดสำรองมากพอต้องรอให้ร่างกายสร้างขึ้นมาเอง อยู่ที่ตัวเธอว่าจะสู้แค่ไหน โอกาสรอด 50/50” คุณหมอพูดเรียบ ๆ ไม่ได้แสดงอาการวิตก
“ส่วนคนผมยาวนั่นแค่สลบ เพราะความเจ็บ หึหึหึ ” คุณหมอหัวเราะเบาๆ
“เหรอคะ เขาจะเป็นอะไรไหมคะ?” ใจชื้นขึ้นเยอะ
“เขาโดนบีบอัณฑะ ผู้ชายทุกคนถ้าโดนบีบตรงนี้ สลบทุกคน ไม่ถึงตายหรอก” ท่านยิ้มขำตอบ
ฉันแทบสำลักข้าว เจ็ทโด้โดนบีบไข่
“ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก พรุ่งนี้คงตื่น!” ท่านยิ้มแววตาใจดี คุณหมอหยุดเล่าแค่นั้น แล้วตักอาหารกินต่อ
ฉันไม่กล้าถามว่าซอนเป็นอย่างไร? ฉันกลัวจริง ๆ ที่จะได้ยินคำตอบว่า สายเกินไป...ออกจากปากคุณหมอ
แทนได้แต่มองหน้าคนนั้นที คนนี้ที เขาคงไม่เข้าใจภาษาที่เราพูด
คุณหมอหันมา...
“ส่วนอีกคนก็โชคดีมากนะ!” ท่านเปรย
ฉันวางตะเกียบแล้วหันไปมองหน้าคุณหมอ ท่านยิ้มตาวาว…
“วิถีกระสุนมันแฉลบลงล่าง ทะลุกระพุ้งแก้ม ฟันบิ่นนิดหน่อย ฟื้นแล้วตอนที่ ผมกลับออกมา
“เฮ้!......” ฉันกระโดดตัวลอย ข้าวกระเด็นเต็มโต๊ะ โผหันไปกอดแทน ดีใจที่สุด...ซอนรอดตายแล้ว
“อะไรเหรอ ดีใจอะไร?” แทนสีหน้างงสุดขีด
“แทน! ทุกคนรอดตายแล้ว” เราสองคนกอดกันแน่น ปลื้มใจมาก
“ก็อก!ๆๆ” เสียงเคาะโต๊ะอาหารเรียกสติฉันกลับมา หม่าม้ายิ้มมุมปากสายตาดุ
“ขอโทษค่ะม้า ขอโทษด้วยนะคะคุณหมอ” ฉันดีใจมากจนเก็บความรู้สึกไม่อยู่ ลุกเดินไปหาคุณหมอที่กำลังเคี้ยวข้าวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“หนูขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ” ฉันเอื้อมมือไปกุมมือคุณหมอ ท่านรีบวางตะเกียบหันมายิ้มพยักหน้าอย่างใจดี
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
“หนูอิ่มแล้ว ดีใจจังเลย” เดินเข้าไปกอดคอด้านหลังหม่าม้าแล้วหอมแก้มไปหลายฟอด
“ผ่านเรื่องร้าย ๆ แล้ว คุยเรื่องดีกันหน่อยมั้ยลูก?” หม่าม้าลุกยืนแล้วผลักให้ฉันไปนั่งที่เดิม
แทนนั่งยิ้มมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที ไม่เข้าใจภาษา
“เดี๋ยว! หนูถามก่อน หม่าม้าไปเรียนแพทย์ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ฉันสงสัยเรื่องนี้มากที่สุด คุณหมอยิ้มยกมือ...
“เธอมาเป็นผู้ช่วยผม เรียนรู้ระหว่างทำงานตอนนี้เก่งมากเลย เคยได้ยินมั้ย?..อยู่ข้างคนเก่ง เดี๋ยวก็เก่งตาม” คุณหมอชิงตอบก่อนด้วยรอยยิ้ม
ฉันพยักหน้าเข้าใจ ท่านหายจากบ้านไปบ่อย ๆ คงมาช่วยคุณหมอรักษาคนไข้นี่เอง// หม่าม้าเก่งจัง ฉันภูมิใจในตัวท่านจังเลย//
“แล้วมีเรื่องอะไรจะบอกเหรอคะ?” ฉันหันไปถามหม่าม้า
“ฉันจะแต่งงานนะ!”
โอ๊ะ!ใจแวบ
“แต่งกับใครคะ?” ฉันแกล้งโง่ทำเป็นคิดไม่ทัน เด็กน้อยยังมองออกเลย หม่าม้าแสดงชัดซะขนาดนั้น
คุณหมอยื่นหน้าเข้ามา...
“แต่งกับลุงนี่แหละ ลุงขอหม่าม้ากับหนูได้หรือเปล่า? ลุงรักหม่าม้าของหนูนะครับ” คุณหมอนั่งยืดตัวตรงยิ้มอ่อน
“หนูยกให้ไปเลยค่ะ! ” ฉันไม่มีข้อแม้เลย ถ้ากับคุณหมอที่ช่วยชีวิตเพื่อนทั้งสามได้ อีกอย่างฉันพอจะเข้าใจความต้องการของหม่าม้า ท่านใช้เวลามาเลี้ยงดูฉันอย่างดีทั้งชีวิต ท่านจะได้มีเพื่อน
หม่าม้าคิ้วขมวดเกาหัว....
“ทำไมง่ายจัง? ฉันไม่กล้าบอกเรื่องนี้เพราะกลัวแกจะรับไม่ได้... ปิดไว้ตั้งนาน” ท่านหัวเราะเบา ๆ คุณหมอพลอยหัวเราะตามไปด้วย
ท่านทั้งสองคงกลัวฉันอาละวาดมาตลอดเลยสินะ น่าสงสารจังปิดกันเงียบกริบเลย
“เรียกคุณลุงก็ได้นะลูก” หม่าม้ายิ้มสุขใจหันมาบอกฉัน
“โน๊โน!” ทุกคนชะงักกันไปหมด
แทนเห็นฉันเสียงดัง เอื้อมมือมาลูบแขน //รู้หรือไงเขาคุยอะไรกัน//
คุณหมอยังยิ้มใจเย็น...
“รังเกียจที่จะเรียกลุงก็ไม่เป็นไร” ท่านเก็บความรู้สึกเก่งมาก
“เปล่านะ! อย่าเข้าใจผิด หนูไม่ได้รังเกียจ ไม่!..แม้แต่นิดเดียว” ฉันยืนยันหนักแน่น
“แล้วลูกเป็นอะไร? ถ้าแกไม่ชอบ ฉันก็ไม่แต่ง ชีวิตของฉันอยู่เพื่อแก” ท่านพูดเรียบ เหลือบมองหน้าฉันแบบกล้า ๆ กลัว ๆ
ทั้งสองท่านหน้าเสียมองหน้ากันนิ่ง คุณหมอสีหน้าหนักใจยิ้มเจื่อน ฉันไม่เนรคุณขนาดนั้นหรอก ท่านเลี้ยงฉันมาจนโตขนาดนี้แล้ว จะได้มีความสุขของตัวเองบ้าง ลูกที่ดีสมควรจะดีใจสิ
ฉันลุกขึ้นยืนแล้วหันไปหาคุณหมอ
“หนูจะเรียก ป่ะป๋า!” ฉันเดินอ้อมด้านหลังของแทน ไปหาหม่าม้า
“ดี! ” คุณหมอลุกขึ้นยืน ยกแก้วน้ำยื่นออกมาแล้วพูดเสียงดัง
“แสดงความยินดีกันหน่อย แทน!” พวกเรายิ้มกว้าง ยื่นแก้วไปชน แทนเงอะงะทำตาม
“ฉันได้ลูกสาวแล้ว!” ท่านหัวเราะเสียงดัง หม่าม้าน้ำตาไหลอาบทั้งสองแก้ม
ก้มกอดคอด้านหลังแล้วก้มไปหอมแก้ม
“ขอบคุณนะคะ ที่ทำให้หนูมีพ่อ ขอบคุณนะคะที่ยอมรับในตัวหม่าม้า รักกันมาก ๆ นะคะ....ป่ะป๊า!” ฉันถือว่านี่ เป็นเรื่องดีอีกเรื่องที่เข้ามา หลังสายฝนแห่งความโชคร้ายกระหน่ำเสียจนเปียกปอนสะบักสะบอม
ฉันหันไปอธิบายให้แทนฟัง เขายิ้มกว้าง
“ยินดีด้วยนะครับ! ทั้งสองท่าน”
“หนูมีข้อตกลง!”
“ว่ามาเลยลูก!” คุณหมอยิ้มรับ
“เราใช้ภาษาอังกฤษคุยกันดีกว่า แทนจะได้ฟังออก”
“ได้สิ! ผมไม่มีปัญหา คุณว่าไง?” ท่านตอบรับแล้วหันไปถามหม่าม้า
“ดีเหมือนกัน ฉันไม่ได้พูดมานานแล้วกลัวลืมเหมือนกัน” หม่าม้าเห็นด้วยเป็นอันว่า ฉันไม่ต้องคอยนั่งแปล
คุณหมอหันมาถาม...
“นักวิทยาศาสตร์ที่ถูกจับตัวไปชื่ออะไรล่ะลูก?” แสดงว่าหม่าม้าเล่าเรื่องให้ฟังหมดแล้ว
“นาตาลี พัคค่ะ!”
“หือ! นาตาลี พัค!เหรอ?”
“ค่ะ!”
“...อ๋อ!...คนเกาหลีใต้นี่ ผมเคยเห็นในโทรทัศน์ตอนเธอเป็นเด็ก เธอมีชื่อเสียงในวงการวิยาศาสตร์มากเลยนะครับ เธอมาทำงานในจีนหรอกเหรอ?” ท่านพูดแล้วทำท่านึก
“ป่ะป๊า! รู้จักเหรอคะ?” ฉันเสนอหน้าทันที
“ไม่ได้รู้จักกันส่วนตัวหรอก แต่เธอมีชื่อเสียงโด่งดังมากในอเมริกา เธอเคยทำวิจัยกับองค์การนาซ่า สมัยที่ผมยังเป็นหมอศัลยฯที่ Massachusetts เด็กคนนี้ถอดรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ได้ ตอนนี้หันมาทำวัคซีนสำเร็จอีกแล้วเหรอ? เก่งจริง ๆ” คุณหมอเล่าเรื่องของนาตาลี พัคจากความทรงจำ
ฉันยิ้มหน้าบาน โคตรปลื้มเลยที่ได้ยินเรื่องราวดี ๆ ของเธอจากปากคุณหมอ ฉันโชคดีจังเลยที่ได้รู้จักกับคนอย่างนาตาลี พัค
“แล้วฉีดวัคซีนป้องกันโควิดกันไปหรือยังคะ?” ฉันถามทั้งสองท่าน
“ฉีดไปเข็มเดียว ทำไมเหรอ?” ทั้งคู่มองหน้ากัน
“ห่ะ!” ฉันจับอกตกใจ หันมองหน้าแทน
“ทั้งสองท่านได้รับเชื้อTame26 แล้วนะคะ หนูจะอธิบายให้ฟังวันหลังนะคะ” ฉันใจหายคิดถึงนาตาลี อยากให้เธอฉีดวัคซีนให้ทั้งสองท่าน
“เชื่อหนูนะคะ! อย่าฉีดเข็มที่ 2-3 นะคะ เป็นตายยังก็ห้ามฉีดนะคะ วัคซีนที่เอามาฉีด มันเป็นแผนการร้ายค่ะ”
สองท่านพยักหน้าเบา ๆ
คุณหมอลุกขึ้นหลังอิ่มท้อง…
“พวกหนู พักที่นี่กันก่อน รอจนกว่าเพื่อน ๆ จะแข็งแรงแล้วค่อยคิดกันอีกทีนะ” ท่านหันไปหาหม่าม้า
“คุณ! ดูห้องพักให้เด็ก ๆ ด้วยนะ” ท่านเดินออกไปทำธุระส่วนตัว
หม่าม้าหน้าตาตื่นเข้ามาจูงแขนฉัน
“แกมานี่ซิ!” ท่านฉุดแขนออกจากห้องอาหาร ปล่อยแทนนั่งอยู่คนเดียว
แม่บ้านเดินเข้าไปเก็บโต๊ะอาหาร ดูแล้วหม่าม้ามีชีวิตที่สะดวกสบาย คุณหมอดูแลอย่างดี//แอบน้อยใจทิ้งหนูอยู่คนเดียว//
“แฟนแกเหรอ? บอกมาซะดี ๆ คบกันไปถึงไหนแล้ว คิดจะแต่งกันหรือเปล่า?” หม่าม้าลากออกมานั่งโซฟา ในห้องรับแขกหน้าบ้าน ยิงคำถามเป็นชุด
“ม้าอ่า..ไม่ใช่!” ฉันขัดใจ
ท่านยังไม่ยอมหยุดพูด...
“นี่แกต้องนอนห้องเดียวกันหรือเปล่า? ฉันจะได้จัดห้องนอนให้ถูก จากกันไม่นานได้ผัวซะแล้วลูกฉัน อย่าท้องนะ ฉันไม่เลี้ยงจริง ๆ ด้วย” ยาวเลย
ฉันได้แต่ส่ายหน้า ขัดใจมาก...
“หยาบคาย!..ไม่ใช่ผัวค่ะ เพื่อนกัน! เพื่อนจริง ๆ” ฉันก็กระดากปาก แต่ก็ตอบไปเรียบ ๆ ไม่ได้โกหก ไม่ได้คิดอะไรกับเขา ก่อนหน้านี้ยังจะกัดหัวกันอยู่เลย
“แล้วไว้ใจได้ขนาดไหนละนี่? พาเข้ามาบ้านแล้วด้วย” ท่านคงเป็นห่วงฉันมาก แต่ทำไม? ฉันรู้สึกโกรธที่หม่าม้าพูดแบบนี้ เข้าใจผิดเรื่องผัวยังพอทน แต่อย่าไปดูถูกน้ำใจของเพื่อนกลุ่มนี้ ฉันไม่ยอม หันไปค้อน…
“ไว้ใจได้ก็แล้วกันน่า พวกนี้เป็นเพื่อน เป็นผู้มีพระคุณทุกคน พวกเขาเจ็บตัวก็เพราะมาช่วยหนู” ฉันพูดห้วน ๆ เริ่มขุ่นใจแล้ว
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะส่งแกกลับบ้านอู่ฮั่น แกดื้อมากไปแล้ว เงินที่ให้ไป ถ้าใช้หมดแล้วก็หมดเลยนะ ฉันไม่มีให้แกอีกแล้วนะ”
ท่านบ่นไปเรื่อย ฉันเคืองมากที่ท่านผิดสัญญา...
“หม่าม้าบอกว่าจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องของหนูแล้ว ทำไมหม่าม้ากลับคำพูดแบบนี้? หนูไม่ได้ทำอะไรเสียหายเลย เงินก็ยังไม่ได้ใช้เลย” หน้างอเริ่มไม่พอใจแล้ว ทวงสัญญาที่ท่านเคยบอกไว้ซะเลย
“ฉันเป็นห่วงแกมากนะ” ท่านจับแขน สายตาอ้อนวอน
“ตอนนี้หนูก็อยู่กับหม่าม้าแล้วนี่ไง จะมาห่วงอะไรหนูอีก หนูก็เป็นห่วงเพื่อนด้วยเหมือนกันนะ หนูจะตอบแทนน้ำใจของเพื่อนบ้างไม่ได้หรือไง?” ฉันรับเอาพวกนี้มาเป็นเพื่อนโดยสนิทใจ ทั้งที่จริง ๆ แล้วฉันตามนาตาลีมา ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาเลย ตกกระไดพลอยโจนแท้ ๆ
ตัวต้นเหตุก็ถูกจับตัวกลับไปแล้ว เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้? เป็นห่วงด้วย คิดถึงจัง...
“แกไม่เจ็บตัวเหรอ?”
“เจ็บสิ ยอกไปหมด”
“พรุ่งนี้หาหมอซะ แต่ว่า...” ท่านหันมองแทน
“ไม่ใช่แฟนแกแน่นะ!” เอ๋า! กลับมาเรื่องนี้อีก ถามไม่เลิก ฉันแค่ส่ายหน้า ฉันไม่ได้ชอบเขา ฉันชอบนาตาลี พัค
“แล้วแก ไปกอดเค้าทำไม? ฉันเห็นแกสองคนกอดกันตลอด บ่อยด้วย เพื่อนที่ไหนเขาตัวติดกันแบบนี้”
“เอ่อ!” ฉันช็อก ตอบไม่ถูก
ฉันก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน คงเป็นความเคยชิน แต่มาถามอย่างนี้ มันเขินนะ//หน้าร้อนเลย//
“หนู!..หนูชอบผู้หญิงค่ะ” ฉันก้มหน้าตอบใจเต้นตุ้บตั้บ
“ก็ได้ ไม่ถามแล้ว อยู่ด้วยกันที่นี่แหละ เดี๋ยวฉันเตรียมห้องนอนให้ ตกลงนอนคนละห้องนะ”
หม่าม้าเดินออกไปไม่วายเหลียวหลังกลับมามองแทนที่เดินสวนเข้ามานั่ง เปิดทีวีดูข่าวต่างประเทศ
ฉันได้แต่คิดถึงอาการของจูยอน อยากให้เธอปลอดภัย ถ้าเธอเป็นอะไรไปฉันคงเสียใจหนักมาก เธอน่าสงสารกว่าทุกคน
สายตาของฉันจับจ้องไปที่ทีวี สงครามยุโรปก็กำลังจะระอุ เกาหลีเหนือประกาศส่งทหารช่วยรัสเซีย พวกเขาจะรบกันไปทำไม? จะฆ่ากันทำไม? ฉันไม่เคยเข้าใจเรื่องพวกนี้สักครั้ง
แทนขยับหยิบโทรศัพท์มาเลื่อนดู....
“เฮ้ย!...” แทนร้องเสียงหลงตาจ้องไปที่มือถือของตัวเอง
เขานั่งมองโทรศัพท์นิ่ง ใบหน้าตึง ดวงตาแดงก่ำ สักพักน้ำตาก็ไหลพรากออกมา
“แทน! เป็นอะไรคะ?” ฉันตกใจทำอะไรไม่ถูกที่เห็นเขาน้ำตาไหลพราก มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาอีก?
โชคดีไม่ได้มาหลายครั้ง แต่โชคร้ายไม่เคยมาครั้งเดียว ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ถ้าถึงขั้นน้ำตาไหล คงไม่ใช่เรื่องเล็ก
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร!” ฉันโอบคอปลอบใจโดยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขา ไม่กล้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เขากำโทรศัพท์แน่นจนมือสั่น น้ำตาคลอหันกลับมา
“น้าเอื้องเสียแล้ว!” แทนสะอื้นก้มหน้าน้ำตาหยดลงพื้น เขาพยายามเช็ดเขาพยายามจะเข้มแข็ง กรามที่ขบกันแน่นหมายถึงความเจ็บปวดในใจที่พยายามกดเก็บไว้
ฉันจำได้ ตอนที่เขาไม่สบายจากพิษของมังกรไร้หู เขาละเมอชื่อนี้ออกมา น้าเอื้องกับแม่ของเขา มาหาพวกเราในป่าโบราณด้วย พวกท่านคงเป็นห่วงเขา
“น้าเอื้อง เป็นเหมือนแม่ของผม เป็นคนที่ผมรักมากที่สุด” แทนดวงตาแดงช้ำ กัดกรามพยายามอดกลั้น น้ำตาคลอ
“ร้องเลยคะ อย่าเก็บไว้อีกเลย ความอัดอั้นของพวกเรามันเยอะเกินไปแล้ว ร้องไห้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย มันต้องใช้ความกล้าด้วยนะคะ” ฉันเศร้าน้ำตาคลอโผเข้ากอดเขา
“ฮือฮือ!”แทนร้องไห้โฮออกมากอดฉันตัวสันระริก
ฉันชอบเวลาที่ผู้ชายร้องไห้ มันดูจริงใจและแสดงถึงความความอ่อนโยนของจิตใจที่ซ่อนลึกอยู่ข้างใน
ฉันเข้าใจเขาทันที แทนขาดความรักจากแม่
“ขอโทษนะคะ ท่าน...เป็นอะไรคะ” ฉันอ้อมแอ้มถาม มือยังลูบหลังเบา ๆ
“แพ้วัคซีนครับ” แทนกัดฟันแน่น
“.............” ฉันอึ้งไปเหมือนกัน
“ขอตัวไปนอนก่อนนะครับ อยากอยู่คนเดียว” เขาบอกแล้วลุกเดินคอตกออกไป ผ่านหม่าม้าที่แกล้งยืนดูรูปแอบมองฉันกอดแทนอยู่นาน ฉันไม่กล้ามองหน้าท่านเดินตัวลีบเข้าห้องตัวเอง พรุ่งนี้คงเป็นวันนรกแตกอีกวันแน่ๆเลย ฉันเริ่มกังวลใจ
………..............................................………………………………………..