The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 5 ตอนที่ 5

The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 5 ตอนที่ 5
หมวดหมู่ The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 5
ราคา 0.00 บาท
สถานะสินค้า Pre-Order
อัพเดทล่าสุด 26 ก.พ. 2567
ขออภัย สินค้าหมด
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay


ดามัสกัส

มุมมองสายตา ชเว จูยอน

ตุลาคม ค.ศ. 2022

กรุงดามัสกัสเมืองกลางทะเลทราย เมืองหลวงที่ติดอันดับ น่าอยู่อาศัยน้อยที่สุดในโลก คลาคล่ำไปด้วยผู้คนโพกหัว เครายาว ตึกรามบ้านช่องของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นตึกสูงหรือห้องแถว ก็เป็นสีฝุ่นทรายเกือบทั้งหมด พวกเขาผ่านสงครามกลางเมืองมาไม่นาน ร่องรอยกระสุนยังปรากฏให้เห็นตามกำแพงข้างถนน สีสเปรย์พ่นด่าอเมริกาติดตามกำแพงข้างทาง ฝูงแพะเขางอเดินแระเล็มหญ้าที่หายากเต็มทนบนท้องถนน 

ฉันเดินทางท่องเที่ยวดูชีวิตในเมืองหลวงนี้มานานนับเดือน ท้องถนนยังยิงกันประปรายทุกวัน คนเดินสวนไปมาฉันแยกไม่ออกว่ากลุ่มไหนเป็นใคร? เพราะหน้าตาพวกเขาเหมือนกัน

วันนี้ต้องลงมือปฏิบัติภารกิจ ฉันลงมายืนรอบั้ดดี้หน้าโรงแรมฮิลตันดามัสกัส รถแวนสีดำจอดเทียบด้านหน้า สาวสวยผมสีทอง คิ้วดำใบหน้าเด่น ยิ้มหวานก้าวลงเดินเข้ามา            

“ชาโลม อาดีน่าค่ะ! เธอยิ้มทักทายเป็นธรรมชาติเหมือนเพื่อนสนิทกัน ฉันเหลือบดูข้อมูลในโทรศัพท์ ตรงกันกับที่ยอร์นให้ข้อมูลมา 

“คนเดียวหรือคะ?”ฉันเลิกคิ้วถามเมื่อขึ้นนั่งบนรถ        

“ค่ะ!” เธอตอบเสียงชัด

“นายคะ! จะเริ่มที่ไหนก่อน?”

อาดีน่า...สาวน้อยตาคมหุ่นทรมานใจชาย จากหน่วยจารกรรมของอิสราเอลฝังตัวอยู่ในซีเรียเพื่อทำภารกิจลับ

ฉันหันไปมองพิจารณาคิ้วโค้งตาคม ก่อนจะตอบคำถาม

“เป้าหมายอยู่ที่ทหาร เริ่มจากค่ายทหารของพวกมันก่อน พาฉันไปที่เมืองซาลาดีนด้วยค่ะ” ฉันมองไปด้านนอกรถยนต์ กำลังเข้าเขตเมืองเก่า

รถยนต์แล่นผ่านมัสยิดอูเมยัดที่ตั้งตระหง่านกลางกรุง ยิ่งใหญ่มโหฬารสำหรับผู้ศรัทธา ซุ้มประตูที่สร้างตั้งแต่สมัยออตโตมานยังแข็งแกร่ง อารยธรรมเก่าแก่ดูมีมนต์ขลัง ร่องรอยดินแดนแห่งนักรบกลางทะเลทรายไม่มีวันตาย             

“ค่ะ! เตรียมตัวได้เลยค่ะ ฉันขับรถเดี๋ยวเดียวก็ถึงค่ายทหารซาลาดีน”

“บรื้น!...นน” เธอกดคันเร่งพรวด

อาดีน่า สดใสทะมัดทะแมงคล่องตัว เอวเล็กเหมือนมดตะนอย ก้นกลม รูปร่างดีพอ ๆ กับนางแบบบนแคทวอร์ค ใบหน้าคมสวยดุ จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาสองชั้นกลมโตสีฟ้าใสลึกลงใต้คิ้วดำเข้ม

เธอหันมายิ้มให้...

“นายคะ! ฉันได้ยินข่าวว่า นายเป็นคนเข้าไปจัดการกับฮิชบอลเลาะห์ นายรู้ตัวมั้ยคะว่า พวกเราแชร์รูปของนายไปทั่วประเทศในฐานะ ผู้กล้าของคนรุ่นใหม่!

“หัวใจของฉันยังสู้ของพวกคุณไม่ได้หรอกพวกคุณต่างหากที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันกล้า”

“แต่สิ่งที่นายลงมือทำ พวกเราทำไม่ได้”

ฉันได้แต่ยิ้มให้ไม่ได้ตอบเป็นคำพูด เห็นเธอสวยอย่างนี้แล้วก็คิดถึงซอนกับเจ็ทโด้ ถ้าพวกเขาจับได้คงได้ประหารชีวิตกันเพลินไปเลย การประหารชีวิตเชลยในแบบของทหารอาชีพ เริ่มจากดินแดนทะเลทรายในแถบนี้ จนระบาดไปทั่วในหมู่ทหารทั่วไป ฉันเองก็ต้องระวัง ถ้าถูกจับได้ โดนแขกลงแน่ ได้ผัวทีละกองร้อย...ไม่ไหว

“คุณก็รู้ใช่มั้ย นัสซอร์ต้องเสียชีวิตเพราะมาทำงานกับฉัน”

“พวกเรารู้สึกมีเกียรติแทนนัสซอร์ การตายในหน้าที่ครอบครัวจะได้รับเกียรตินั้นไปด้วย ก่อนที่เราจะชื่นชมนาย เราได้ทำพิธีชื่นชมให้นัสซอร์ก่อนแล้ว”

“ฉันขอถามหน่อยนะคะ คุณทำงานนี้มานานหรือยัง?”ฉันหาข้อมูลกับเพื่อนร่วมทาง ดูเธอไม่เคร่งครัด                        

“ฉันเริ่มเป็นทหารตอนอายุ18ปี แล้วก็ชอบ! เลยสมัครเข้าสู่กองกำลังนักรบแก้มแดง ต่อมาสอบเข้ามาเป็นสายลับอยู่หน่วยมอสสาด รวมกันทั้งหมดก็ 7 ปีค่ะ” เธอยิ้มตอบตาใส พวกนี้เก่งมากเห็นใบหน้าสวย ๆ อย่างนี้ฆ่าคนไม่กะพริบตาเลย หน่วยมอสสาดของอิสราเอล ถือว่าเป็นหน่วยสอดแนมระดับต้นของโลก

“บรื้น!...นน! รถยนต์แล่นออกนอกเมือง

ถนนสายเล็กเดียวดายกลางทะเลทรายหงอยเหงาเวิ้งว้าง ตัดผ่านขึ้นเนินทรายลูกแล้วลูกเล่า ไอแดดแผดเผาราวกับใต้พื้นดินกำลังโหมกองไฟ เปลวความร้อนระอุพลิ้วระยิบหลอกสายตาดังสายน้ำไหล

ชายโพกหัวสีขาวถือไม้ไล่ต้อนฝูงแพะพุงป่องเดินอยู่ข้างทาง ฉันยังมองไม่เห็นสีเขียวของใบหญ้าเลย อูฐหนอกเดียวยืนเหงาเคี้ยวเอื้องเหมือนสิ้นหวังใต้ต้นมะพร้าวเรียว            

“คุณแต่งงานหรือยังคะ?” ฉันยิ้มยื่นไมตรี

อากาศด้านนอกแล้ง ฝุ่นละอองทรายปลิวเต็มถนน รถแล่นไปทางทิศตะวันตก แดดยามบ่ายส่องเข้าหน้าเต็ม ๆ ซ้ายขวามีแต่ริ้วเนินสันทรายสลับซับซ้อน ต้นมะพร้าวยืนเดี่ยวโด่เด่         

“มีลูกชาย 1 คนแล้วค่ะ” เธอยิ้มหวาน ฉันเลิกคิ้วหันไปมอง คิดในใจ...ไม่อยากเชื่อ เห็นหุ่นแล้วอิจฉา                        

“แล้วทำงานอย่างนี้ จะได้เจอลูกเหรอ?”

“เขาเป็นลูกชายของพระเจ้า เขาอยู่ได้ ฉันภูมิใจในตัวเขา” เธอตอบทันทีไม่ลังเล จิตใจเด็ดจริง ๆ
           “เราต้องทำอย่างไร? เอ่อ..หมายถึงฉันต้องทำอย่างไร? เปลี่ยนชุดก่อนไหม?” ฉันรู้สึกว่าชุดคามิเดรส คอวี ผ่าสูงสีแดงที่ฉันสวมมันจะเป็นที่สงสัยในสังคมคลุมหัวนี้หรือเปล่า?                      

“นายคะ! นายเป็นผู้หญิงที่สวยสง่า ออร่าแรง ราคาแพงมาก ไปชุดแบบนี้แหละค่ะ พวกผู้ชายอาหรับมันชอบ ยิ่งเราไม่คลุมผ้าพวกมันยิ่งสนใจ ใช้ร่างกายล่อพวกมันมา ผิวขาวตัดกับชุดสีแดงสวยมากค่ะ ยิ่งผ่าสูงอย่างนี้ ฮึ!...เดี๋ยวนายคอยดูหนุ่ม ๆ นะ ตาหลุด!” แรงเหมือนกันนะเนี่ยอาดีน่า

รถวิ่งผ่านลมร้อนแล้งกลางทะเลทรายเวิ้งว้าง ผ่านบ้านเรือนที่อยู่กันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ทิ้งระยะห่าง

“ที่นี่! ฉีดวัคซีนกันหมดแล้วใช่ไหม? ถ้าพลาด! ไม่ได้กลับกันเลยนะ” ฉันถามให้แน่ใจอีกครั้งเพราะพอรู้มาบ้างจากยอร์น                   

“ไม่พลาดแน่ ฉันรับผิดชอบเอง นายไม่ต้องกังวล” เธอเด็ดขาดจริง ๆ น่าชื่นชมในความกล้าหาญ                 

รถยนต์แล่นมาไกล ฉันมองเห็นแต่ภาพเดิมคือ ทะเลทรายรูปร่างเหมือน ๆ กัน แยกไม่ออกแล้วว่าตรงไหนทิศเหนือใต้ ต้องคอยมองดวงอาทิตย์อย่างเดียว ถนนด้านหน้ามีแต่ฝุ่นและเนินทราย รถยนต์วิ่งขึ้นลงบนภูเขาสลับพื้นทรายจนเห็นเมืองในหุบด้านหน้า
                         .....................................................................................................................


ประมาณ 2 ชั่วโมง รถยนต์วิ่งเข้าสู่เมืองซาลาดีน เมืองทหารกลางทะเลทราย ป้อมปืนกระจายรอบกำแพงยาวของค่ายซาลาดีน ปลายกระบอกหันไปทางทิศเดียวกัน...อิสราเอล

อาดีน่าขับรถยนต์เลาะตึกแถวสีฝุ่น 2 ชั้นเตี้ย ๆ ฝั่งซ้าย ยาวคู่ขนานไปกับถนนลาดยางหน้าค่าย มองเห็นโดมสีน้ำเงินไม่ไกล ชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่สะพายปืนเดินกันเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน หน้าตาเกรียมแดดน่ากลัว

"นายคะ! เราลงไปเดินเล่น รอเวลากันดีกว่า” เธอกล่าวเมื่อรถจอดสุดกำแพงค่าย

ถัดไปเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาขนาดใหญ่ บ้านเรือนสองข้างทางคึกคักไปด้วยผู้คน หมุนมองสำรวจคร่าว ๆ ก่อนกระโดดลงรถยนต์ไปเดินเคียงข้างกัน                  

“อากาศร้อนแล้งมาก แดดก็จ้ามาก” ฉันเหงื่อตกเต็มหน้า ถ้าไม่สวมแว่นกันแดดคงจะลืมตาไม่ขึ้น ขยับแว่นเอามือปิดจมูกเมื่อสาบลมพัดทรายกระเด็นเข้ามา อากาศทั้งร้อนทั้งแล้งสายลมไม่ได้ช่วยคลายความร้อนเลย มีแต่พัดพาความร้อนเหนียวหนืดมาเผาผิวอ่อนบาง เรียกว่า ร้อนซ้อนร้อนจนหนาวใน ขนลุกตั้งเลย          

ชาวบ้านส่วนใหญ่สวมชุดคลุมสีขาว โพกหัว เด็กชายฟันหลอจูงแพะท้องแก่เดินผ่านไป อูฐหนอกเดียวเคี้ยวเอื้องยืนหลบแดดข้างซอกตึก สาวสวยร้านขายพรม ขึงเหล็กยาวออกมาขวางทางโชว์พรมเต็มผืน สีสันสวยลายอาหรับงามตา

ที่ประหลาดใจมากก็คือ ผู้ชายนำอาวุธสงครามมาปูเสื่อวางขายกับพื้นทราย เรียงกันยาวเหมือนแผงลอยขายปลาแห้งที่เกาหลีเหนือเลย ฉันสังเกตปืนส่วนใหญ่เป็นของรัสเซีย ทั้งปืนสั้นมาคารอฟ ปืนยาวตระกูลAK ปืนยิงจรวดRPG ระเบิดมือF1 Grenade ขายอาวุธทุกชนิดมีแม้กระทั่งรถยิงขีปนาวุธระยะใกล้ เรียกง่าย ๆ ว่า ยกเว้นระเบิดปรมาณูก็ว่าได้

“ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด!

“ว้าย!”  ฉันตกใจกระโดดหลบเป็นลิงไปเลย เสียงปืนกลยาว AKM ดังสนั่น

โอ้..สุดยอดมาก พวกเขาลองปืนกันข้างถนนอย่างนี้เลยเหรอ?  ชายหนุ่มเครายาวยิ้มฟันขาวใช้มือข้างเดียว จับปืนกลยาวยิงขึ้นฟ้า...

“ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! เท่จริง ๆ

เมื่อเห็นพฤติกรรมของผู้ชายที่นี่ ฉันพอจะเดาการเป็นอยู่ของคนที่นี่ได้ไม่ยาก โลกมุมนี้ถูกปลูกฝังจากความร้อนแรงของผืนทราย ให้ใช้กำลังเข้าแย่งชิงทรัพยากรรวมถึงสตรี โลกตรงนี้เป็นของผู้ชาย โลกของการต่อสู้แย่งชิงโดยอาวุธ

อาดีน่าเดินยิ้ม ส่งแก้วชาร้อนมาให้...

“นายคะ! ลองดื่มชาอาหรับสักหน่อย ชามินต์แก้คอแห้งค่ะ”

“โอ้! กำลังต้องการน้ำพอดี แต่...ไม่มีชาเย็นเหรอคะ?” ที่เกาหลีเหนือ...พวกเราดื่มชาร้อน เพื่อคลายหนาว ที่นี่ดื่มชาร้อน เพื่อคลายร้อน

“ไม่มีน้ำแข็งหรอกค่ะนาย มีน้ำกินก็บุญหัวแล้ว”

“ต้องอดทนขนาดไหนกันถึงใช้ชีวิตอย่างนี้ได้ ผู้นำก็ไม่ได้บังคับให้อยู่สักหน่อย ทำไมไม่ไปอยู่ในที่สบายกว่านี้”

“พวกเราเรารักถิ่นฐาน การหายใจเอาทรายเข้าปอด เป็นสิ่งที่พวกเราคุ้นเคยและเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายแข็งแรง” อาดีน่าคงหมายรวมถึงชนชาติของตัวเองด้วย

เราเดินผ่านร้านขายเนื้อ พ่อค้ากำลังใช้มีดโค้งยาวแล่เลาะกระดูกสัตว์สี่ขา สาวสวยคลุมผ้ามายืนรออีก 4- 5 คนฉันเดินแฉลบเข้าไปดู...

“เขาทำอะไรกันคะ?”

“อ๋อ! ร้านขายเนื้อแพะค่ะ นั่นไง!พวกเขาเอาแพะมาผูกไว้ข้างเขียงรอให้ลูกค้ามาชี้” เธอใช้ไปที่ใต้ต้นมะพร้าวข้างร้าน

“ห่ะ! ชี้แล้วเชือดเลยเหรอคะ?”

“ค่ะ! ตรงนั้นเลย นายอยากชิมมั้ยคะ?”

“ขอบคุณ ฉันอิ่มแล้ว!” ฉันรีบเดินไปร้านขายผลไม้แห้ง ค่อยสบายตาหน่อย       

“อีกชั่วโมงเดียวเราจะลงมือแล้ว นายอดทนอีกหน่อยนะคะ” เธอยิ้มชวนคุย เราชี้ชวนดูนั่นนี่เหมือนนักท่องเที่ยว

“ไม่เป็นไร ฉันสบายมากเดินเล่นไปเรื่อย ๆ กันก่อน เพราะภาพนี้จะเป็นภาพสุดท้ายของที่นี่”

“วี๊ดวิ่ว.. วี่วี๊ด” เสียงเป่าปากด้วยความคะนอง และเสียงหัวเราะสนุกสนานแว่วมา ฉันหันกลับไปมองกลุ่มชายหนุ่มกำลังสูบบ้องพ่นควันโขมง

อาดีน่าหันไปยิ้มโบกมือให้พวกเขา                 

“พวกมันเริ่มแล้ว ฉันจะอ่อยมันไปเรื่อย ๆ ให้คนเห็นเรามาก ๆ นะคะ!เธอแกล้งชี้นั่นนี่กระซิบไม่ให้เป็นที่สงสัย ทำตัวให้เหมือนนักท่องเที่ยวที่หลงมาเที่ยวไกลไปหน่อย

“ไปขี่อูฐกันมั้ยครับ? อูฐของผมใหญ่นะ” จู่จู่...ชายโพกหัวร่างผอมสูง ขอบตาลึกคล้ำ ดวงตาสีฟ้า สวมเสื้อแขนยาวสีขาวนุ่งโสร่งลายหมากรุก ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามา

“อุ้ยตาย! ฉันสำลักน้ำ...ฟันหน้าหายไปไหนหมด

อาดีน่าคอยแปลภาษาถิ่นให้ฟัง...

“นั่งกินน้ำชาด้วยกันที่นี่ก่อนสิ คนสวย” เสียงแทะโลมตลอดทั้งทางที่เราเดินผ่าน พวกเขาตาโตเลียริมฝีปากทุกครั้งที่ฉันก้าวขา เดรสสีแดงสดผ่าสูงโชว์ปลีน่องขาวผ่อง อาดีน่าหันไปโพสต์ท่ายิ้มเซ็กซี่เย้ายวน อ่อยเหยื่อ

ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด!!! พอผ่านร้านขายปืน พ่อค้ายิ่งคึกคะนองเดินออกมากลางถนนยิงปืนแข่งกันขึ้นฟ้า

ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด!!! เหล่าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ยิงปืนขึ้นฟ้ากันสนั่นเมือง แล้วร้องเรียกฉันพร้อมโชว์ปืนในมือให้พวกเรา

ฉันขมวดคิ้วหันไปหาอาดีน่า...             

“ทำอย่างนั้น เขาหมายความว่ายังไงคะ?” ฉันสงสัยในท่าทางของพวกเขา

“พวกนี้วัดกันด้วยปืน มันแทนความมั่นคง ใช้ขอเมียได้ เหมือนกับบางประเทศใช้วัว หรือเงินในประเทศที่เจริญแล้ว...” เธอชี้มืออธิบายวิถีของคนทะเลทรายให้ฟัง

ฉันชอบความแปลกใหม่ที่ตรงกันข้ามสุดขั้ว ที่บ้านของฉันมีแต่ทุ่งหิมะขาวโพลน ทนอยู่กันด้วยความเหน็บหนาว ส่วนที่นี่เรียกได้ว่าอยู่กันคนละโลกเลยก็ว่าได้ ทุกย่างก้าวมีแต่ร้อนแล้ง แต่ทั้งคู่ก็ลำบากกันคนละอย่าง ฉันเดินดูชีวิตของชาวบ้านจนเพลิน         

“อีก 20 นาที เริ่มปฏิบัติงานค่ะ! อาดีน่ากระซิบ 

ก่อนจะถึง 6 โมงเย็น เราเดินมาที่หน้าศาสนสถาน เหล่าศาสนิกชนชายเดินเข้าสู่ภายในอาคารสี่เหลี่ยมกว้างขวาง ฉันมองตามกลุ่มผู้หญิงจะไปอีกอาคารแยกจากกัน

ทันใดนั้น ผู้คนก็แตกตื่นเมื่อกลุ่มผู้ชายหนวดเครายาวเฟื้อยประมาณ 10 คนเดินหน้าตาเคร่งเครียด เคร่งขรึมเข้าสู่ภายใน ผู้คนต่างคลานหลบทาง ดูเหมือนพวกนี้จะเป็นผู้นำ         

“นายคะ! เดี๋ยวฉันไปเจรจาก่อนนะ” เธอเดินยิ้มหวานเข้าไปหาเขา พูดภาษาถิ่นบางอย่างกับเขาแล้วชี้กลับมาที่ฉัน ก่อนจะยิ้มหวานส่งสายตาเชื่อมไปที่ชายหนุ่มใหญ่ ร่างกายอ้วนผิวดำตัวสูง

เขามองมา ฉันรีบยิ้มหวานส่งไปทันที สายตาที่เคร่งขรึมเคร่งเครียดเปลี่ยนเป็นสุกใส ส่งประกายวาววับ                        

“พวกคุณนี่เอง! ผมเห็นมาเดินเล่นกันพักใหญ่แล้ว มาจากไหนกันเหรอ?” เขาพูดภาษาอังกฤษได้ ค่อยสื่อสารกันรู้เรื่องหน่อย ฉันรีบแทรกตัวเข้าไปโค้งศีรษะ...

“ฉันชื่อลิเดีย! มาจากเกาหลีเหนือ อยากจะเข้ามาศึกษาวิถีชีวิตคนทะเลทรายค่ะ” ยิ้มของฉันจะสยบพวกนี้ได้ไหมนะ ฉันชิงตอบคำถามเอง เพราะเรื่องของเกาหลีเหนือไกลตัวพวกเขา ตอบอะไรไปเขาคงไม่รู้ แต่ถ้าพวกเขารู้จักประเทศของฉันจริง ๆ เขาต้องรู้ว่า พวกเราไม่ถูกกับอเมริกาเหมือนกัน อย่างน้อยศัตรูของศัตรูก็คือมิตร                    

“โอ้ว!DPRK ยินดี ๆ”เขายิ้มพยักหน้า ผายมือเชิญพวกเราเข้าด้านใน

พอก้าวเข้ามาภายในอาคารสี่เหลี่ยมกลับร่มเย็น ถึงแม้นจะแน่นขนัดไปด้วยศาสนิกชนชายเต็มพื้นที่ ทุกคนต่างนั่งคุกเข่าสำรวม รอเวลาผู้นำสวดมนต์

“คุณสนใจจะขึ้นไปดูผมในห้องสวดมนต์ข้างบนไหมครับ?” เขาหันมาถามสุภาพ แววตาเชื่อมประกาย

ฉันเห็นโอกาสรีบเสนอตัว...         

“เข้าไปได้เหรอคะ? ฉันอยากเห็น” ฉันรีบเดินเข้าไปหาเบียดกระแซะเขานิดหน่อย เขาหันไปหยิบผ้ามาคลุมผมพันรอบหัวให้ฉัน...          

“เข้าได้คนเดียวนะ” เขาบอกเสียงเข้ม ฉันก้มหัวขอบคุณเหลือบตาไปมองอาดีน่า เธอยังแสดงบทบาท ยิ้มเล่นกับคนอื่น                    

“อาดีน่า! รอฉันที่รถยนต์นะ” ฉันขยิบตา เธอยิ้มแล้วหันหลังเดินออกไป

“เดินระวังเหยียบนะครับ” เขาพาเดินผ่าผู้คนไปที่บันไดฝั่งตรงข้าม เพื่อขึ้นไปบนหอคอยด้านบน

“เชิญครับ! คุณอยู่ซีกนี้นะ” เขาชี้ไปอีกด้านของผ้าที่กั้นห้องแบ่งครึ่งห้อง              

“ค่ะ!” ฉันแอบมองสำรวจไปทั่ว ห้องกระจกเล็กนี้ไม่มีอะไรนอกจากเก้าอี้โต๊ะวางไมโครโฟน ด้านหน้าเป็นกระจกใส

มองจากมุมนี้ เห็นภายในค่ายทหารซาลาดีนกว้างใหญ่ พวกเขาคงเตรียมตัวทำพิธีเหมือนกัน ช่วงเวลานี้ไม่เห็นมีใครเดินสักคน

มองไกลออกไป...ดวงอาทิตย์แดงฉาน หายไปครึ่งดวงกำลังจะลับพื้นทราย ไอความร้อนระอุเต้นระยิบระยับเป็นริ้วเหมือนท้องน้ำ ครอบครัวอูฐได้เวลาเดินเรียงแถวกลับบ้าน ลูกเล็กเดินห้อยท้ายเป็นขบวน

“คุณพักที่ไหนครับ?” เขาหันมาถามขยับท่าทางเตรียมพร้อมเริ่มพิธี

“ฮิลตันดามัสกัสค่ะ!”ฉันยิ้มบอก เขาพยักหน้า         

“คืนนี้ไปพักที่บ้านผมสักคืนไหมครับ? ศึกษาวัฒนธรรมทะเลทรายกับพวกเรา” เขาชวนอย่างสุภาพ ฉันส่ายหน้าอันนี้ไม่ได้อยู่ในแผน เสี่ยงเกินไป            

“ขอบคุณมากนะคะ! ฉันอยากไปด้วยนะคะ แต่เอาไว้คราวหน้าดีกว่า วันนี้ฉันไม่พร้อม” ฉันก้มศีรษะให้อย่างสุภาพเขาพยักหน้า            

เขาขยับเสื้อผ้าพร้อมจัดท่าทางดูสุขุมน่านับถือ พูดผ่านไมโครโฟน ฉันเดาว่าคงจะ/ไสั่งเตรียมเริ่มพิธี                        

W฿!#@%$$!##!^W^&*เขาเริ่มสวดในภาษาที่ฉันไม่เข้าใจ เอื้อนเสียงโหยหวนจับใจ          

นั่งฟังเพลิน รอคอยเวลา มองพระอาทิตย์ลับฟ้าอย่างใจเย็น ความมืดคืบคลานมาอย่างช้า ๆ ดวงดาวขึ้นพรึบเต็มท้องฟ้าทันทีที่ดวงอาทิตย์ลับหายไปน่าอัศจรรย์ใจมาก กลางทะเลทรายเป็นจุดดูดาวที่ไร้สิ่งกีดกั้น

ใกล้ถึงเวลาลงมือใจก็วิตก อาดีน่าไม่อยู่ข้าง ๆ ก็ยิ่งหวาดหวั่น ไฟฟ้าจากมุมค่ายทหารติดพรึบ สว่างไสวไปทั่วค่ายกว้างใหญ่ แสงสว่างจากไฟฟ้าเข้าแทนที่แสงอาทิตย์ที่พึ่งลาลับไป

“เรียบร้อยแล้วครับ”

“ขอยืมหน่อยนะคะ!” ฉันคว้านกหวีดจากคอขึ้นมาคาบ หลับตารวบรวมสมาธิ...

 “วี๊ด!...ดด!เสียงเพราะพริ้งดังขลุ่ยผิวเข้าไปในไมโครโฟน คลื่นเสียงสม่ำเสมอกระจายเสียงไปตามสายทั่วทั้งเมือง ไม่ว่าจะอยู่ไกล้หรือไกลจะได้ยินคลื่นเสียงเท่ากัน ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นจากคนข้างกาย

Messiah! ฉันพูดเสียงดังใส่ไมโครโฟนทักทาย...         

Messiah! Messiah! Messiah! Messiah!พื้นสะเทือน ใจสะท้าน  เสียงอึกทึกกึกก้องจากด้านล่าง ทหารในค่ายวิ่งออกจากอาคารลงสู่พื้นสนามหน้าอาคารมาเริ่มรวมตัวกันที่ลำโพงหน้าเสาธงแหล่งกำเนิดเสียง

ชายผู้นำหันมายิ้ม แล้วโผเข้ามากอด ฉันยืนนิ่ง          

Messiah! เขาพร่ำร้อง กอดนัวเนีย

“ด้วยความยินดีค่ะ!” ฉันค่อย ๆ แกะมือเขาออก...          

“ลงไปด้านล่างกัน”

Messiah! เขายิ้มวิ่งลงไปสวนกับอาดีน่าที่วิ่งขึ้นมา          

“นายคะ! สั่งให้มันทำลายค่ายฯ ด้วยนะคะ ค่าย ฯ นี้มันชอบยิงขีปนาวุธวิสัยไกลเข้าไปที่ไทเปเรียส เมืองท่องเที่ยวของเราบ่อย ๆ ชาวบ้านที่นั่นนอนผวาทุกคืน ” อาดีน่ามองไปที่ค่ายพูดไปยิ้มไป เธอกระเหี้ยนมาก

ไอออนโดมของอิสราเอล ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำทั้งวันทั้งคืน  ปกป้องอาณาจักรผืนน้อยจากการรุมยำของศัตรูรอบตัว ฉันเข้าใจความเจ็บปวดของยอร์นและลูกหลานชาวฮีบรู พวกเขาต้องอยู่อย่างหวาดระแวงกับประเทศเพื่อนบ้านตลอดมา พวกเขาลืมตาเกิดมาพร้อมกับมีศัตรูรอคอย ถ้าไม่อภัยกันก็ไม่มีวันยุติ นี่เป็นอีก 1 เหตุการณ์ที่ฉันเคยบอกไว้ว่า การเจรจาไม่เคยสัมฤทธิ์ผล พวกเขาเลือกที่จะไม่ยอมกัน เพื่อศักดิ์ศรีที่ไม่มีใครรู้ว่ามัน...คืออะไรกันแน่ แต่ก็ยอมตายเพื่อมัน

“วี๊ด!...ดดด!!

Messiah!ฉันเรียก Tamer 30 ของฉันอีกครั้ง

Messiah! Messiah! Messiah! Messiah!”  พวกเขาตะโกนร้องรับ หลายคนยังหมุนหาที่มาของเสียง วิ่งไปตามลำโพงที่ติดปลายเสา ตะโกนร้องไม่ขาดปาก         

“ทุกคนไปรวมในค่ายทหารเดี๋ยวนี้!เสียงลำโพงดังไปทั่วเมือง

 “คลึก!คลึก!คลึก! สิ้นคำสั่งดั่งพื้นพสุธาถล่ม ผืนทรายสะเทือน ฝุ่นฟุ้งโขมงเหมือนพายุทะเลทรายคลั่ง

Messiah! Messiah! Messiah! Messiah!พวกเขาวิ่งกรูจากทั่วสารทิศเข้าสู่ภายใน ค่ายซาลาดีน

“ไปกันเถอะคะ!

“............” ชั้นล่างของอาคารปราศจากผู้คน พวกเขาวิ่งกรูออกไปกันหมดแล้วฝุ่นตลบอบอวลอยู่ไกล ๆ

“บรื้น!...นน!! อาดีน่าขับรถยนต์มาจอดเทียบ...

“นายคะ! เข้าค่ายทหารกันค่ะ!” เธอเรียกท่าทางกระตือรือร้น ยิ้มอย่างมีความสุข...

“ไปสิ!”            

“นายคะ! ขอบคุณมากขอบคุณจริง ๆ ฉันอิ่มสุขอย่างบอกไม่ถูก พี่น้องลูกหลานของพวกเราจะไม่ถูกรังแกอีกแล้ว ขอบคุณมากนะคะที่ลบรอยแผลในใจให้กับพวกเรา” เธอยิ้มสุขใจจับมือเขย่าแรง แววตาประกายสุขสม ฉันเข้าใจการได้ปลดปล่อยความทุกข์ในใจ ฉันเองก็รอวันของฉันเหมือนกัน บาดแผลในใจของฉันก็ต้องการเยียวยา Eye for an eye

เธอยิ้มกริ่มโยกตัวฮัมเพลงสบายใจ ขับรถยนต์ผ่านเข้าประตูค่ายฯ ฉันเหลือบเห็นฐานเสาธงใหญ่สูงพอที่จะขึ้นไปยืนให้ทุกคนได้เห็น จึงชี้ไปที่นั่น เธอม้วนรถยนต์ไปตามสั่ง              

ฉันขึ้นไปยืนเด่นให้พวกเขาเห็นหน้า เป่านกหวีดเรียกอีกครั้ง...

“วี้ด....ดดด!

Messiah!  กระโปรงแดงของฉันปลิวไสวแข่งกับธงชาติลายดอกมะลิบนยอดเสา             

Messiah!  Messiah!  Messiah! Messiah!” เสียงกองทหารฮึกเหิม

Tamer 30 ของฉันยืนออกันหัวดำพรืด มือก็ไขว่คว้าโหยหา เหมือนพวกแฟนคลับแย่งกันเข้าหาศิลปินคนโปรด ใบหน้าเปี่ยมความสุข พวกเขายังเป็นคนปรกติทุกอย่าง แต่ไม่สามารถขัดคำสั่งได้ ไอ้พวกนี้...เคยเล่นงานฉันเกือบตายที่จีนมารอบหนึ่งแล้ว

อาดีน่าระริกระรี้ยิ้มอายเข้ามายืนเคียงข้าง...

“นายคะ! ฉันขอออกคำสั่งได้ไหมคะ?”เธอเข้ามาเกาะชายเสื้อ
          “ได้สิ
! แต่ต้องยืนข้าง ๆ ฉันนะ พวกเขาถึงจะฟัง ถ้าไม่เห็นฉันเขาไม่รับคำสั่งค่ะ!” ฉันยิ้มสบตากับสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเจิดจ้า

เธอชูกำปั้น...

“เผาเมืองทิ้งอย่าให้เหลือซากคืนนี้เราจะนอนกลางทราย ทหารทุกนายเข้าทำลายคลังสรรพาวุธเผาฐานยิงจรวดทั้งหมด” สิ้นคำสั่งฝุ่นก็ตลบอบอวลขึ้นมาอีกครั้ง

Messiah!  Messiah!  Messiah! Messiah!Tamer 30 วิ่งกระจายกันไปตามตึกอาคาร ไม่นานไฟก็เริ่มลามลุกไหม้เมือง

เครื่องบินรบหัวแหลม MIG27 นับร้อยลำไฟท่วมลุกโชน ถัดไปเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ ที่น่าสงสารกำลังโดนย่างสด             

“อาดีน่า! ขับรถตามพวกเขาไปดูด้านหลังกัน” เราสองคนรีบโดดขึ้นรถ อาดีน่ายิ้มคึกคักตลอดเวลา             

เธอขับไปผ่านอาคารปฏิบัติการที่เปลวไฟกำลังโหมกระหน่ำ  Tamer30 กระจายตัวทำงานอย่างรวดเร็ว

“บรื้น...นน!! อาคารตึกต่าง ๆ สองข้างทางไฟลุกท่วม แสงเพลิงแดงจับท้องฟ้ายามค่ำคืน

รถยนต์จอดกลางสนามฟุตบอล เราขึ้นไปยืนบนหลังคามองความพินาศของค่ายทหาร กลุ่ม Tamer 30 นับแสนคนทำงานเสร็จเดินกลับมาล้อมรถยนต์ของเรา

Messiah!  Messiah!  Messiah! Messiah!

“นายคะ! เราจะออกได้มั้ยคะ? เราต้องออกไปก่อนที่คลังสรรพาวุธของมันจะระเบิดนะคะ” เธอหน้าเสียเมื่อฝูง Tamer 30 เบียดเสียดเข้ามาหาพร้อมกัน ขวางแน่นถนนรถยนต์ขยับไม่ได้

Tamer 30! ออกไปนอกค่ายให้หมด Messiah!

Messiah! Messiah! Messiah! Messiah!พวกเขาวิ่งกรูกันออกไปเปิดทางให้รถยนต์ขยับได้

“กลับกันเถอะ เสร็จงานแล้ว” ฉันโบกมือลาค่ายซาลาดีน กลุ่มผู้ติดเชื้อวิ่งตามมา

รถยนต์แล่นช้า ๆ ออกจากเมือง ก่อนจะแล่นทะยานออกสู่ทะเลทรายกลับเมืองหลวง งานง่าย ๆ ใช้เวลาไม่นานก็สามารถยึดทุกอย่าง ฉันนั่งกระหยิ่มมาในรถยนต์ หยิบนกหวีดประจำตัวมาพิจารณาอีกครั้ง มันใช้ง่ายมากอานุภาพของมันยิ่งกว่านิวเคลียร์

 “บรึ้ม!...มม!! เสียงกัมปนาทคลังสรรพาวุธแตก ลูกไฟลุกท่วมค่ายทหาร เศษลูกไฟกระจายเหมือนดาวตก ลาก่อน...ซาลาดีน

แอบคิดถึงนาตาลี...ฉันคงไม่มีหน้ากลับไปพบกับเธออีกแล้ว ขอโทษนะคะ ฉันก็มีเป้าหมาย คุณจะเกลียดก็ไม่เป็นไร แต่ฉันไม่มีวันเกลียดคุณแน่นอน แม่สาวน้อยมหัศจรรย์ของฉัน...นาตาลี พัค   

                      ...........................................................................................................................         

  

ถนนระหว่างเมืองมืดมิด รถยนต์ของเราแล่นโดดเดี่ยวผ่านทะเลทรายที่เวิ้งว้างท่ามกกลางแสงดวงดาว ไม่มีเพื่อนร่วมทาง รถสวนมาก็ไม่มี อาดีน่ายังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขับรถอารมณ์ดี

Rrrr!

Messiah! จูยอนค่ะ”

Messiah!  เป็นอย่างไรบ้าง” ยอร์นโทรมาได้จังหวะพอดี

“ซาลาดีน เรียบร้อยค่ะ!

“คุณปลอดภัย ผมก็สบายใจ ตอนนี้ผมอยู่กับอาเธอร์ที่เยอรมัน เจนินไปหาบาลองก้าที่อินโดนีเซีย งานคราวหน้าก็ระวังตัวด้วย ผมเป็นห่วงคุณนะ” ยอร์นเหมือนพี่ชายใจดี ยังคงห่วงใยเสมอมา

“ยอร์นค่ะ! ฉันขอตัวอาดีน่ามาช่วยงานนะคะ เธอทำงานเข้าขากับฉันดีค่ะ ขอมาแทนนัสซอร์นะคะ”

“อึ๋ย!..” อาดีน่าพยักหน้ายิ้ม ดูเธอก็ชอบฉันเหมือนกัน

“เอาอย่างนั้นเหรอ? ก็ได้ผมจะสั่งการให้ ต่อไป! คุณจะเข้าคาบสมุทรอาหรับใช่ไหม? จะเริ่มที่ไหนก่อน”

เขาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น                

“อียิปต์ค่ะ! ฉันกำลังคิดว่า จะส่งอาดีน่าเข้าไปเที่ยวพีรามิดสักหน่อย ถ้าเราเก็บพวกหัว ๆ ได้ ฉันเชื่อว่าพวกระดับล่าง ทำสงครามกลางเมืองแน่ พวกมันต้องแย่งกันขึ้นมาปกครอง มันจะมีช่องว่างให้เราถล่มมันทั้งเมือง”       

“โอ้ว! จูยอน ใจเย็น ๆ”

“ฉันคิดว่า เราเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เหมาะแล้วค่ะ โลกกว้างมาก เราไม่สามารถเก็บได้ในวันเดียว เราปล่อยให้ Soulless นี่แหละเป็นกองหน้าทำลายความชอบธรรมพวกมันเอง ดูสิ! มันจะกล้ายิงประชาชนกลางถนนไหม? ยิ่งยิงก็ยิ่งเสื่อม จะไม่มีใครสนับสนุนมัน เพราะในมุมกลับกันพวกชาวบ้านจะคิดว่า เมื่อพวกเขาโดนบ้าง รัฐก็จะยิงเขาทิ้งเหมือนกัน”

“จูยอน!!! คุณทำให้ผมกลัวนะ!

“ฉันจะรายงานทีหลังนะคะ อนุมัติให้อาดีน่ามาทำงานด้วยก่อน”

“ก็ได้ ผมขอตัวนะ พอดีกำลังวางแผนจะลงไปบราซิลกัน”

ภารกิจของฉันที่รับมอบหมายจากมูลนิธิมาคือ ลบตะวันออกกลางออกจากแผนที่โลก เริ่มจากประเทศใหญ่ก่อน สาธารณรัฐอาหรับอีมีเรสต์จะเป็นประเทศสุดท้าย ฉันจินตนาการไว้ว่า จะปิดผลงานที่ตึก Burj Khalifa ตึกที่สูงที่สุดในโลก ฉันจะขึ้นไปยืนบนยอดตึกนี้แล้วบินลงมา

ยิ่งวันผันผ่าน กาลเวลายิ่งหล่อหลอมความมั่นใจ อีกไม่นานเราจะได้เจอกันแล้วนะ..ท่านผู้นำสูงสุดของฉัน

                                             .........................................................................................

จำนวนผู้มาเยือน

หน้าที่เข้าชม12,861 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด10,977 ครั้ง
ร้านค้าอัพเดท7 ก.ย. 2568

สมาชิก

พูดคุย-สอบถาม