The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 6 ตอนที่ 9

The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 6 ตอนที่ 9
หมวดหมู่ The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 6
ราคา 0.00 บาท
สถานะสินค้า Pre-Order
อัพเดทล่าสุด 26 เม.ย. 2567
ขออภัย สินค้าหมด
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay


มณฑลหนานหนิง 

มุมมองสายตา นาตาลี

มีนาคม ค.ศ.2025

เป่ยซี

ที่นอนร้อนดั่งไฟ คนข้างกายเหมือนคนแปลกหน้า ความรู้สึกห่างเหิน มันเกิดขึ้นมาช้า ๆ จนตัวเราเองก็ไม่ค่อยกล้าเข้าไปกอดสักเท่าไหร่ โดนปฏิเสธหลายครั้งก็เกรงใจ ไม่กล้าวอแว              

ฉันพยายามข่มตานอนให้ผ่านวันนี้ไป เพื่อจะได้รู้คำตอบของเธอ ได้แต่ถามตัวเองทุกวัน ถ้าถึงวันที่เธอไป ฉันจะทำอย่างไร? จะต้องคิดแบบไหนให้ผ่านความทุกข์ทรมาน ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย

เธอขยับนอนตะแคงหันหน้ามา...             

“อนนี่! ถ้าหนูแต่งงานยังจะรักหนูเหมือนเดิมหรือเปล่า?” ไป่ไป๋แชตโทรศัพท์ไปด้วย              

“จนวันสุดท้ายของชีวิต ฉันจะคิดถึงเธอ ฉันสัญญา”ฉันมีแต่ ความปรารถนาดี ถึงจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ต้องทน

ฉันเคยดีใจที่รอดตาย แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกตรงกันข้าม ชีวิตที่ไม่มีความหมาย ไม่รู้จะอยู่เพื่อใคร มันเริ่มเข้ามากวนใจ            

“ถ้าหนูมีน้องจะพามาหาบ่อย ๆ นะคะ” เธอวาดฝันยิ้มมองเพดานดวงตาเป็นประกาย             

“ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะคะ” ฉันพูดอะไรไม่ออกแล้ว มันทรมานจังเลย อยากจะขอร้องว่าอย่าทิ้งฉันไป ฉันอยู่ไม่ได้ ฉันมืดบอดไปหมดแล้ว ฉันทิ้งทุกอย่างก็ได้เพื่อแลกกับเธอ...ขอแค่อย่าไป

“อนนี่! ไปอยู่กับหนูดีกว่า” เธอหันมากอด ฉันสูดหายใจลึกสะอื้นในอกยิ้มให้             

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ! ฉันอยู่กับหมวดจางได้ คิดถึงก็มาหาได้ตลอดนะคะ เธอจำไว้นะ ฉันจะรอเธอทุกวัน”

เธอยิ้มดีใจหน้าระรื่น...             

“อนนี่! หนูขอได้ไหมเรื่องนินจา อย่าให้เขาเข้ามาวุ่นวายกับพวกเราได้หรือเปล่า?”

“ไป่ไป๋ขา! ไม่มีอะไรต้องกังวลกับพวกเราอีกแล้วนะคะ เธอแต่งงานออกไปจากครอบครัวของเรา จะมาสนใจเรื่องนี้ทำไม? เจ็ทโด้ต้องมีลูกน้องไว้ใช้งาน เขาทำงานเสี่ยงตายจะไล่คนของเขาไม่ได้ อีกอย่าง! ฉันก็ยังไม่เห็นว่านินจาไม่ดียังไงเลย อย่าโกรธฉันนะที่ตอบอย่างนี้” ฉันพยายามอธิบายให้เธอเข้าใจ แยกแยะเรื่องให้ถูกต้องอย่างอ่อนโยน                       

“แต่หนูไม่ชอบเขานี่ อนนี่เข้าข้างคนอื่นอีกแล้วนะ” เธอย่นจมูก ท่าทางแบบนี้แสดงว่าไม่ยอมรับ                   

“ชอบหรือไม่ชอบไม่ใช่เหตุผล ทุกวันนี้เราก็อยู่กับคนที่ไม่ได้ชอบทุกคนอยู่แล้ว ทนอีกไม่นานก็จะไม่ได้เจอหน้าเขาแล้ว” และคงไม่ได้เห็นหน้าฉันด้วย ฉันจับจ้องไปที่ดวงหน้าของเธอ          

“ถามจริง ๆ นะ อนนี่โกรธหนูหรือเปล่าที่จะแต่งงาน?” เธอมาชวนฉันคุยเรื่องนี้ทำไม? ฉันไม่อยากคุยด้วยเลย จะซ้ำเติมกันอีกทำไม แต่ฉันก็ทำได้เพียงสนับสนุนในสิ่งที่เธอตัดสินใจ              

“อย่างที่เจ็ทโด้บอก...ชีวิตเป็นของเธอ การที่ต้องตัดสินใจเรื่องใหญ่ อย่าสนใจความรู้สึกของคนอื่น กว่าคนเราจะรักกันได้ต้องใช้เวลาร่วมกัน  ฉันไม่มีเหตุผลที่จะโกรธ เรื่องน่ายินดีอย่างนี้จะโกรธได้ยังไง?  ยินดีสิฉันยินดี” ฉันคิดในใจ...ถ้าบอกว่าโกรธ เธอจะล้มเลิกการแต่งงานหรือเปล่าล่ะ? ท่าทางเธออยากแต่งงานมากขนาดนี้ ฉันไม่กล้าตอบหรอก น้ำตาเจ้ากรรมดันไหลออกมา ฉันรีบเอื้อมมือไปปิดไฟ                        

“จะนอนแล้วเหรอคะ?”           

“เดี๋ยวขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ นอนไปก่อนเลย” ฉันลงจากเตียงออกมานั่งที่ห้องรับแขก

น้ำตาไหลพรากเมื่อเห็นพื้นห้องที่นอนที่เราเคยนอนเบียดกันหน้าทีวีในห้องนี้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่เธอและแทนหัวเราะสดใจ แทนจากไปนานแล้ว...ไป่ไป๋กำลังจากฉันไปอีกคน ชีวิตของฉันก็ไม่ต่างจากเจ็ทโด้นักคนที่รักเดินจากไปในเส้นทางที่ตามไปไม่ได้                

คราวที่แทนจากไปก็เสียใจมากแต่ไม่สับสน พอเข้าใจได้ว่ามันสุดวิสัยจริง ๆ เขาไม่ได้หักหลัง เขาจากไปเพราะความใจดีเข้าไปช่วยเหลือเด็ก น่าภูมิใจมากกว่าเสียใจ

แต่การที่ต้องจากไป่ไป๋ มันปวดร้าวอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูก มันเจ็บกว่ามากเหมือนถูกหักหลัง มันสับสนว้าวุ่น เธอเคยบอกฉันตลอดเรื่องการแต่งงานเป็นความต้องการของผู้ใหญ่ ฉันจะทำยังไงดี?             

“เพี๊ยะ! ยุงเจ้ากรรมกัดขาฉันซัดเต็มที่จนมันบี้แบน ฉุกคิดขึ้นได้มีอีกคนที่ต้องนอนข้างนอก เดินไปคว้ายาจุดกันยุงแล้วเดินออกไปนอกบ้าน

ฉันเดินไร้วิญญาณออกจากประตูบ้านมาบนถนนชนบทที่เงียบเหงา ศาลาน้อยริมทางดูเหงาหงอยเหมือนหัวใจของฉัน

“โฮ่ง! โฮ่ง! หมาเห่าไล่มาตลอดทาง ศาลาปูนทรงจีนหลังคาโค้ง ห่างจากตัวบ้านประมาณ 4 เสาไฟฟ้า มองเห็นรถยนต์จอดกระพริบไฟเหลืองวับวาบ                

ความรักต้องใช้เวลากว่าจะหลอมรวมจิตใจของคนทั้งสองเข้าด้วยกัน ยิ่งนานหัวใจทั้งสองยิ่งกอดรัดกันแน่นขึ้น จนทำให้เรารับรู้ได้ว่าทุกการตัดสินใจของเรามาจากคนสองคน ถ้าหัวใจอีกดวงคลายตัวเพื่อจากไป ความหนาวความว้าเหว่ก็เข้ามาแทนที่ เริ่มรู้สึกถึงความไม่มั่นคงในจิตใจ ความกลัวต่างก็ถาโถมเข้ามา สับสนเสียดายเวลา เสียดายความรัก ฉันไร้ค่าขนาดนี้แล้วหรือ?

“ยังไม่นอนอีกเหรอคะ?” ฉันเดินย่องเงียบ หลังจากปรับอารมณ์ให้เป็นปรกติ              

ยามนี้สิ่งที่จะพยุงใจให้ดีขึ้น คงไม่พ้นต้องหาคนที่ลำบากกว่าเป็นที่พึ่ง การได้ช่วยคนอื่นทำให้จิตใจที่แหลกลาญรับรู้ว่า ยังมีคนที่เขาต้องอดทนและลำบากกว่าเราอีกหลายเท่า รู้สึกว่าตัวเองยังมีคุณค่ากับบางคน             

“อ้าว!  มาทำไมครับ? คุณต้องนอนแล้วนะครับ” เขาเด้งลุกจากกองไฟข้างถนน             

“เอายากันยุงมาให้ค่ะ นอนอย่างนี้ยุงกัดจะนอนหลับได้ยังไง?” ฉันยื่นยาจุดกันยุงให้ เขารับไปจุดแล้วหาที่วาง

“ขอบคุณครับ! ไป!...เดี๋ยวผมเดินไปส่ง ไม่น่าทำอย่างนี้เลย คุณต้องนอนนะ”เขาบอกแล้วเดินนำ ฉันปล่อยให้เขาเดินไปส่วนฉันขึ้นไปยืนบนศาลา  

เขาเดินไป 6-7 ก้าวแล้วหันหลังกลับมา...                    

“อ้าว!

“.........” ฉันยิ้มกับท่าเด๋อด๋านั้น

เขาเดินโย่งกลับมา ท่าทางเหมือนแทนจริง ๆ ฉันคิดในใจ..แทนของฉันคงเกิดใหม่แล้วมั้ง?               

“ขอฉันนั่งด้วยได้ไหมคะ?”

เขารีบกุลีกุจอเข้ามาปัดพื้น เอาแขนเสื้อเช็ดพื้นให้ฉันนั่ง... 

“ดอกเตอร์นอนไม่หลับเหรอครับ? นั่งตรงนี้ก่อนเดี๋ยวผมปัดยุงให้”

“อือ!”ฉันพยักหน้ารู้สึกดีกับการเอาใจใส่

เขาถูมือเดินวนไปมาท่าทางประหม่า คอยปัดไล่แมลง...           

“หิวไหมครับ?”

“หึ!” ฉันส่ายหน้า กินข้าวไม่ลงมาหลายวันแล้ว

เขาถอยไปนั่งอีกมุมของศาลา ต่างคนต่างนิ่งเงียบ เปลวไฟสะบัดเมื่อลมพัดมา เสียงแมลงกลางคืนร้องแข่งกันเซ็งแซ่ 

“คุณมีครอบครัวไหมคะ?” ฉันเอ่ยชวนคุยเมื่อหัวสมองของฉันเริ่มคิดวนเวียนกลับมาเรื่องไป่ไป๋แต่งงานอีก ฉันไม่อยากสับสน                

“เอ่อ!..ไม่มีครับ ผมตัวคนเดียว ไม่มีญาติพี่น้อง”เขาตอบเบา ๆ
        “ฉันเคยมีเพื่อน ท่าทางและน้ำเสียงเหมือนคุณเลย แต่รูปร่างต่างกันนิดเดียว” ฉันหวนคิดถึงแทน ความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับเขาที่นับวันก็เลือนราง จางหายลงไปทุกที

“เหรอครับ? เพื่อนคนนี้คงมีความหมายกับคุณมากนะครับ คุณพูดถึงบ่อยมาก แต่ก็มีคนทักผมแบบนี้บ่อย ๆ บางคนเป็นฝรั่งด้วยนะ บอกว่า ผมเหมือนเพื่อนที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับเขา”เขาบอกแล้วหัวเราะเบา ๆ ถ้าอย่างนั้นคงไม่ใช่หรอก

“เขาคือคนที่ทำลายกำแพงป้องกันตัวของฉันลงได้เขาใช้หัวใจในการสร้างความสัมพันธ์ คุณเคยรู้มั้ยคะว่า ในโลกนี้จะมีคนที่หน้าตาเหมือนกันกับเราทุกประการอีก 7 คน เขาเรียกปรากฏการณ์แบบนี้ว่า ดอพเพลแกงเกอร์

“จริงเหรอครับ?”        

“อื้อ!...จริงค่ะ! คุณไม่เคยได้ยินเรื่องคนหน้าเหมือนผู้นำของโลกเหรอคะ ฮิตเลอร์เองก็มีคนหน้าเหมือนตั้ง 15 คน โอบามาก็มี ทรัมป์ก็มี”

“เข้าใจแล้วครับ ก็อปปี้โชว์”

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! แล้วคุณเหงาไหมคะ? ที่ต้องใช้ชีวิตคนเดียว ฉันเองก็เป็นลูกกำพร้า โคตรเหงาเลย”

“ครับเหงา! เหงามาก เหงาจับใจเลยครับ แต่มันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ หาอะไรมาทำเดี๋ยวก็หายไป” เขาตอบสั้น ๆ ก้มหน้าลง

ฉันมองเขาแบบเข้าใจความรู้สึก ตัวคนเดียวจะหันไปคุยกับใครได้ ยิ่งหน้าตาของเขาน่ากลัวขนาดนี้ ใครจะกล้ามาคุยด้วย                   

“ฉันรบกวนคุณหรือเปล่าคะ? ฉันกลับก็ได้นะ” ฉันสังเกตได้ว่า เขาก้มหน้าตลอดเหมือนไม่อยากคุยด้วย 

“ไม่ใช่ครับ! ไม่เลย! ผมไม่ค่อยมีคนคุยด้วย กลัวจะโดนรังเกียจผมเลยทำตัวไม่ค่อยถูก คุยกันก่อนก็ได้ครับ” เขาปรับท่าทางนั่งใหม่แล้วล้วงมือเข้าในกระเป๋ากางเกง...

“กินนี่ก่อนสิครับ! ผมเคยดูในหนังเขาบอกว่าถ้าอารมณ์ไม่ดีให้กินของหวาน ๆ ของดีจากเกาหลีเหนือครับ” เขาส่งห่อช็อกโกพาย ฉันรับมาแกะกินโดยไม่ลังเล          

“ดีขึ้นไหมครับ?” เขาถามเสียงอบอุ่น ฉันคุ้น ๆ กับท่าทางและน้ำเสียงแบบนี้ แปลกนะเริ่มรู้สึกสบายใจขึ้น          

“ความหวานจะไปกระตุ้นโดพามีนให้ทำงาน ความเครียดความโกรธจะหายไป คุณเก่งจังรู้เรื่องพวกนี้ด้วย”

“ผมไม่รู้ขนาดนั้นหรอก ผมจำมา”

“คุณเคยมีความรักไหมคะ?”

“เอ่อ!” เขาอึกอักก่อนจะบอก

“เคยครับ?” เขาตอบแค่นั้น ฉันอุตส่าห์ตั้งใจฟัง          

“คุณอย่าตอบสั้น ๆ สิฉันไม่เข้าใจ คุยกันเถอะนะ ฉันอยากคุยด้วย ไม่ต้องเกร็งหรอก คิดว่าเราเป็นเพื่อนกันก็ได้”

เขาท่าทางก็ยังประหม่าเหมือนเดิม สองมือคอยปัดแมลงบนหัวของฉัน...

“เอ่อ!..ดอกเตอร์ไม่รังเกียจผมเหรอครับ?” ท่าทางที่เจียมตัวทำให้ยิ่งสงสารมากขึ้น               

“นินจาคะ! คนเราแตกต่างกันทุกเรื่องแหละคะ เราต้องหาคนที่คิดเหมือนเราเพื่อเป็นเพื่อนกัน ฉันต้องการเพื่อนที่คิดเหมือนกัน” ฉันบอกเขาให้สบายใจการคุยกันไม่ได้ทำร้ายกัน ไม่ต้องลงทุน ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลย

ท่าทางของเขาผ่อนคลายลง...

“วันนี้เกิดเรื่องไม่ดีเหรอครับ เห็นสีหน้าทุกคนไม่ค่อยดีเลย?”

“นิดหน่อยคะ! ไม่มีอะไรมากหรอก เก่งจังนะคะสังเกตเห็นด้วย” ฉันตอบแบบไม่ให้ความสำคัญ เรื่องของฉันไม่สมควรบอกกับใคร

“เมื่อกี๊! ฉันถามว่าคุณเคยมีความรักหรือเปล่าใช่ไหมคะ?” ฉันถามซ้ำ เขาพยักหน้า               

“คุณเคยเสียใจกับความรักของคุณไหมคะ?”ฉันตั้งคำถามใหม่ อยากจะคุยกันยาว ๆ                       

“ไม่เคยครับ! ความรักไม่เคยทำผิด สิ่งที่ผิดคือความโลเลของหัวใจคน” เขาตอบเรียบ ๆ แต่มันแทงใจ                        

“ก็ความรักทำให้เจ็บ ไม่ใช่เหรอคะ?” ฉันถามต่อ

“ความรักไม่เคยทำร้ายใคร สิ่งที่ทำให้เจ็บใจไม่ใช่ความรักครับ เขาเรียกว่าอกหัก ความผิดหวังต่างหากที่ทำให้ร้าวใจ เจ็บปวดใจ”

“คุณเคยเสียคนรักไปหรือเปล่าคะ?”              

“ผมไม่เคยเสียคนรักไป แต่ผมเสียคนที่รักผมไป” คนที่ตอบคำถามแล้วงง ๆ แบบนี้ ฉันเคยเจอที่ไหนนะ คุ้น ๆ แต่นึกไม่ออก

“หมายความว่ายังไงคะ?”

“ความรักของผมมันยังคงอยู่กับคนที่ผมรักและมันจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครรักผมแล้วก็ตาม”                      

“ไม่เสียใจเหรอ?” ฉันแปลกใจกับคำตอบที่สุดแสนจะงงงวย

“เสียใจสิครับ! แต่ถ้าเราเป็นคนปล่อยมือ เราจะเสียใจน้อยลง”เป็นคำตอบที่น่าสนใจ การทำจิตใจให้สูงกว่าสิ่งที่เสียไปทำให้ไม่ตกหลุมอารมณ์ เขาตอบแล้วลุกไปที่รถยนต์               

“คุณเสียสละ! ว่างั้น?” ฉันหยอกเมื่อเขาเดินกลับมาพร้อมน้ำสองขวดส่งมาให้ฉัน                 

“ประมาณนั้นครับ!” เขาเปิดขวดน้ำส่งมาให้               

“สมมุติถ้าแฟนของคุณ ขอไปแต่งงานคุณจะทำยังไง?” ฉันถามความเห็นจากเขา                 

“ดึงไว้ก็ปวดใจ ปล่อยไปใจก็จะขาด ผมไม่อนุญาตครับ” เสียงตอบหนักแน่นมาก 

“ทำไมล่ะคะ? ทำไมไม่เลือกปล่อยมือ คุณเองยังปล่อยมือเลย”

“เรื่องของคุณกับเรื่องของผมมันต่างกัน มันคนละบริบทกัน คุณใช้ชีวิตร่วมกันมานานแล้ว คุณวางใจและวาดฝันถึงวันสุดท้ายของชีวิตร่วมกันแล้ว ส่วนของผมเพียงแค่เริ่มต้นมันต่างกันมากครับ”

เขายกน้ำดื่ม...

“คำสัญญารัก ถึงแม้มันไม่ได้ตราไว้เป็นกฎหมายแต่มันเขียนลงบนหัวใจนะครับ เวลาทุกวินาทีที่ร่วมกันมาต่างก็ยิ่งตอกย้ำคำสัญญาให้มั่นคง แค่เราได้ฟังเพลงเพราะ ๆ ยังอยากเอาไปให้เขาฟัง กินอะไรอร่อยเราก็หอบกลับมาฝาก มาสลัดมือทิ้งกันกลางทางแบบนี้ อีกคนจะอยู่ยังไง?”

ฉันรู้สึกจุกในอก เขาพูดเหมือนเข้ามานั่งอยู่ในใจ เขาเข้าใจส่วนลึกในความคิดของฉัน...

“เราปล่อยไปไม่ดีกว่าหรือคะ? เหมือนกับที่คุณเคยทำ จะได้ไม่เจ็บมากไปกว่านี้” ฉันบอกกับเขาเบา ๆ 

“ผมไม่รู้ว่าคุณมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันหรือเปล่า? รั้งอีกนิดสิครับ แต่ถ้าเธออยากจะไปจริง ๆ คุณต้องปล่อยมือ” เขาตอบเสียงเข้มขึ้น ท่าทางหงุดหงิด เดินเข้ามาปัดยุงปัดแมลงที่บินรอบตัวอย่างใส่อารมณ์        

“ฉันอาจจะมีความผิดก็ได้ ฉันคงไม่ดีพอ” ฉันรำพึงเบา ๆ  ใจเริ่มเสียขึ้นมาอีกครั้ง เหม่อมองออกไปบนถนนว่างเปล่า

“ผิดอะไรก็บอกมาสิจะได้ปรับปรุงตัว ไม่ใช่เอามาเป็นข้ออ้าง ถ้าเอาความผิดของคนรักมาเป็นประเด็น มันก็ไม่ได้รักกันแล้วครับ ถ้ารักกันต้องช่วยกันปรับปรุงสนับสนุนกันสิ” เขากำหมัดแน่น ดูท่าทางเหมือนจะโกรธแทนฉัน

“ถ้าคนเราตายไปคุณเคยคิดไหมว่า จะไปไหนต่อหรือดับสูญ ฉันอยากจะนอนเงียบ ๆ แล้วลอยเป็นควันหายไปในอากาศ ไม่ต้องเจอและรับรู้เรื่องอะไรอีก” ฉันเคยกลัวตายมากที่สุดและไม่อยากคิดถึงมัน รอดมาได้หลายครั้งถือว่าโชคดีมากแล้ว //แต่ตอนนี้ฉันสองจิตสองใจ//

“คุณอย่าเอาความตายมาเกี่ยวข้องสิ อย่าคิดสั้น ๆ นะ อย่าคิดถึงมัน” เขาเปลี่ยนท่าที ดูลนลานลุกรี้ลุกลน...               

“คนที่เดินจากเราไปไม่มีคุณค่าพอที่จะได้ความรักแท้จากเรา คุณคิดแบบนี้ได้ไหม? อย่ายอมแพ้ให้กับความอ่อนแอนะครับ มันเป็นเพียงอารมณ์ ก่อนที่จะเจอกับเธอ ก่อนที่จะรู้จักกันคุณก็อยู่คนเดียวได้นี่ครับ ทิ้งมันไปดีกว่ามันเป็นยาพิษที่พร้อมจะทำลายตัวเรา ไม่ใช่ของที่เราจะเก็บไว้ข้างตัว”เขาทรุดตัวนั่งก้มหน้ากับพื้น แล้วหยิบรองเท้าแตะของฉันขึ้นมาถู            

“บางครั้งฉันก็คิดอยากตาย ฉันไม่รู้จะอยู่เพื่อใคร? ฉันไม่มีพ่อแม่ ฉันเคยรักผู้ชายคนหนึ่ง เขาก็ตายจากไปก่อน ฉันไม่มีใครแล้วจริง ๆ” ฉันพยายามข่มใจไม่ให้น้ำตาไหล ความขมขื่นบางครั้งมันก็ทำให้เราคิดแก้ ปัญหาด้วยวิธีนี้ ไม่อยากรับรู้อยากหายตัวไปเลย            

“ผมขอร้องนะครับ ไม่มีใครอยากตาย แม้แต่คนพิการอย่างผมก็ยังอยากมีชีวิต คนรักที่หักหลังคุณมันก็มีค่าเพียงเศษขี้โคลนที่เกาะรองเท้า พอมันแห้งมันก็กระเด็นหลุดไปทำให้รองเท้าสะอาดขึ้น” เขาขยับมือถูแรงขึ้น

“ดอกเตอร์ครับ! คนที่รักและชื่นชมคุณยังมีอีกมากมาย หลายชีวิตแล้วที่คอยปกป้องให้คุณอยู่มาถึงวันนี้ อย่ามาตายเพราะคนไร้ค่าเลย ไม่มีใครมีค่ามากกว่าคุณอีกแล้ว” เขาก้มหัวลงต่ำ มือก็ถูขอบรองเท้าแรงขึ้น

น้ำเสียงของเขาเหมือนจะเสียใจและเข้าใจปัญหา ฉันกัดกรามจนปวดน้ำมูกน้ำตาไหล เขาเป็นใครก็ไม่รู้ยังห่วงใยความรู้สึกของฉัน /ไป่ไป๋ล่ะ!...เข้าใจสักนิดได้ไหม? อย่าทิ้งฉันไปเลยนะ/

 ฉันได้แต่คิดวนไปมา จิตใจของคนพ่ายรัก มักอ่อนแอเสมอ...      

“หลับไปเลย ไม่ต้องรับรู้อะไรก็ดีเหมือนกันนะ” ฉันสะอื้นทนกลั้นความช้ำไม่ไหว                   

“ไม่ได้นะครับ! นั่นไม่ใช่ทางออก เธอไม่เคยสละชีวิตให้คุณ ทำไมคุณต้องสละชีวิตให้เธอด้วย คุณต่างหากที่ลดตัวลงไปคบกับเธอ คุณไม่ต้องทำขนาดนั้น ไม่คุ้มค่าเลย” เขาลนลานถูรองเท้าจนมือสั่น

“เพื่อพิสูจน์ว่าฉันรักจริงไงคะ?”

“คุณตายไปโลกก็ไม่หยุดหมุนหรอกครับ ยังไงเธอก็จากอยู่ดี ลมหายใจมีค่าและความหมายมากกว่าสิ่งที่คุณสูญเสียนะครับ เธอก็แค่เป็ดไก่หาที่ไหนก็ได้ อย่าไปให้ราคาคนอย่างนั้นเลยครับ” ถึงเขาจะเข้าข้าง แต่ฉันก็ไม่ถูกใจนักที่ไปพาดพิงไป่ไป๋แรงขนาดนั้น            

“อย่าว่าน้องอย่างนั้นนะคะ!

“เพื่อนของผมเคยบอกว่า ชีวิตนี้สั้นนักอยากทำอะไรให้รีบทำ อย่าเสียใจกับเรื่องเดียวมากเกินไป คุณแค่อดทนให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปก็พอ อยากให้ผมช่วยอะไรบอกมาคำเดียว ผมจะช่วยคุณเองทุกเรื่องไม่มีข้อแม้” เขาก้มหน้าถูรองเท้าด้วยมือที่เต็มไปด้วยแผลเป็น

“เอ่อ!เอาอย่างนี้มั้ยครับ? ถ้ามันกวนใจคุณมากให้ผมฆ่าทิ้งทั้งคู่เลยไหมครับ? ผมยินดี ไม่คิดเงินและไม่ซัดทอดด้วย”

“หือ!” ฉันตกใจรีบโบกมือปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรค่ะ! ขอบคุณมาก ฉันคงไม่รบกวนคุณ” แอบแปลกใจคำพูดพวกนั้น ฉันเป็นคนพูดไว้นี่นา /ขอบคุณนะที่ทำให้ฉันได้สติ รู้สึกเริ่มกลัวขึ้นมาในใจ กลับดีกว่า/

“ฉันต้องกลับแล้ว รู้สึกดีขึ้นแล้ว ขอบคุณมากนะนินจา” ฉันตบไหล่ของเขาเพื่อขอตัวลุก                   

“สัญญากับผมเรื่องหนึ่งได้ไหมครับ?” เขายังก้มหน้าจับรองเท้าไว้ ไม่ยอมปล่อย                   

“หื้อ!  สัญญาอะไร? ไม่เอา! ฉันกลัวเขาจะไปทำร้ายไป่ไป๋ ฉันเชื่อโดยไม่สงสัยว่าเขาทำมันได้สบายมาก

“นะครับ! คุณฟังผมก่อนแล้วค่อยปฏิเสธ” เขาละล่ำละลักเงยหน้า เสียดายจังไม่เห็นสายตา เขาสวมแว่นดำตลอดเวลา                  

“อย่าตายนะครับ คุณจะตกต่ำแค่ไหนหรือเป็นโรคร้ายอะไรก็ตาม ห้ามตายเด็ดขาด คนที่รักคุณยังมีอีกหลายคน เขาจะได้ตามหาคุณเจอ ถ้าคุณตายไปแล้ว เขาก็ไม่รู้จะไปตามที่ไหน?”

“หือ! ฉันเคยได้ยินคนพูดแบบนี้ เมื่อนานมาแล้ว

“ได้! ฉันสัญญา ปล่อยฉันได้แล้ว จะกลับบ้าน”

เขารีบปล่อยมือจากรองเท้า ลุกขึ้นถอยออกไป...                    

“ให้ผมเดินไปส่งนะครับ หมามันเยอะ”

ฉันนึกในใจ ลูกน้องเจ็ทโด้นี่ดีจังเลย ซอนก็ดีพานคิดเลยเถิดไปถึงแทนอีกคน ถ้าคุณยังอยู่มันจะเป็นยังไงนะ? คิดถึงจังเลย ฉันอยากให้คุณกลับมาอยู่ข้าง ๆ หรือฉันตายแล้วไปหาคุณดีนะ                      

“ผมขอโทษนะครับ ถ้าผมพูดแล้วทำให้คุณไม่สบายใจ” เขาเดินตามหลังเอ่ยชวนคุย             

“ใครว่า? คุณทำให้ฉันรู้สึกโล่ง อารมณ์ดีขึ้นตั้งเยอะ” ฉันเดินนำหน้า ตอบโดยไม่หันมอง                   

“ถ้าคุณไม่รังเกียจ อยากไปไหนอยากได้อะไร บอกนะครับผมจะหามาให้ อย่าลืมนะครับใช้บริการผมนะ ผมยินดีมาก” เสียงเขาคุ้นหู มือของเขายังคงไล่ปัดแมลงบิน

แม้กระทั่งเงาที่กระทบพื้น ดูยังไงก็เหมือนแทนเลย ในระหว่างที่นั่งคุยบนศาลา ฉันแอบมองสังเกตหลายครั้งจนบอกกับตัวเองว่า ชักจะบ้าไปใหญ่แล้ว ไม่ใช่หรอก แต่เขาก็เหมือนหลายอย่าง

“เดี๋ยวส่งฉันแค่นี้ก็พอค่ะ” ฉันบอกเมื่อเห็นไป่ไป๋เดินตัวปลิวออกมา ชุดนอนบางเบาโดนลมแนบเนื้อเน้นรูปร่างที่เย้ายวน เธอถือไม้เบสบอลจ้ำพรวด ๆ มา

เขาหันหลังเดินกลับ...          

“ผลัวะ! ร่างเขาทรุดลง ไป่ไป๋ถือไม้ง้างจะฟาดซ้ำ

“อย่า! ฉันผวาเข้าไปหมายจะจับไม้...          

“ผลัวะ! เธอฟาดลงไปกลางหลังของเขาเต็มแรง นินจานั่งนิ่ง

ไป่ไป๋ออกงิ้ว...             

“รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำบ้างนะ ดอกเตอร์ไม่ใช่เพื่อนของนาย อย่าลามปาม”

“พรึบ!! เธอดึงฮู้ดที่คลุมหัวออกจนเห็นใบหน้าชัดเจน

“ห่ะ!

“ว้าย! ไอ้ปีศาจ” 

“..........” ฉันนิ่งอึ้งกับความสยดสยองของใบหน้า เขาก้มหัวลงต่ำหันหน้าไปด้านนอกแล้วลุกเดิน         

“หน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้ ตายไปซะยังดีกว่า” ไป่ไป๋เอาไม้ชี้ตามหลัง ฉันสะท้อนในอก...

“แรงไปมั้ยคะ?” นี่ไป่ไป๋ที่ฉันรักมาตลอดหรือนี่ เธอใจร้ายมากขึ้นทุกวัน

“อนนี่! ออกมาทำไม ไว้ใจคนอย่างนี้ได้ยังไง ยิ่งดูยิ่งน่ากลัว” เธอใช้ไม้เบสบอลชี้อย่างไม่ให้เกียรติ แล้ววิ่งตามไปดักหน้าเขา

“ออกไป!”                     

“ผมกำลังจะไป หลีกทางด้วย” เขาดึงฮู้ดคลุมปิดหัว มือคลำไปที่ท้ายทอย                 

“รีบไปเลย ทางใครทางมัน อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”เธอเงื้อไม้หวด

“ควับ! เขาหันมาคว้าไม้และดึงไว้ เกิดการชักกะเย่อกัน        

“ปล่อยนะ อยากโดนดีหรือไง?” เธอดิ้นพยศทั้งดึงทั้งกระชากสุดแรง

“ผึง! เขาปล่อยมือจากไม้

“ว้าย!” เธอล้มกลิ้งไปกับพื้น

“คนอย่างคุณมันก็แค่ของก็อปปี้เซิ่นเจิ้น สวยแต่ไร้คุณค่าหมายังซื่อสัตย์กว่าคุณเลย” เขาเดินปรี่เข้าหา ฉันผวาดึงแขน

 “หยุดเดี๋ยวนี้นะ นินจา!

“ครับ!” เขาหยุดนิ่งหันมาโค้งศีรษะแล้วหมุนตัวเดินออก

เธอคว้าไม้วิ่งตาม...                 

“ออกไป! รีบไสหัวออกไปจากบ้านฉัน แกกล้าดียังไงมาหาว่าฉันเป็นของปลอม มาด่าว่าฉันเป็นหมา” เธอฟาดไปที่หลังเขาหลายที

“หยุดนะ! อย่าทำร้ายเขา คุณรีบไปก่อนเถอะค่ะ” ฉันไม่รู้จะห้ามใครก่อนดี ผลักหลังให้เขารีบเดินไปให้พ้น           

“หนูเกลียดมัน อนนี่ชอบใจดีกับคนไปเรื่อยเลยชักเบื่อแล้วนะ” เธอหันมาจวกฉันด้วย

“ขอโทษนะคะ ฉันจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้วนะ คราวหน้าฉันจะไม่พูดกับเขาอีก อย่าโกรธเลยนะ” ฉันพยายามปลอบให้เธอเย็นลง เข้าไปประคองกันเข้าบ้าน...           

“ไปนอนกันดีกว่า สัญญาแล้วนะ”เธอยิ้มหน้าบานเดินเข้าห้อง
           “เมื่อกี๊
! เจอรี่โทรมา หนูตื่นมาไม่เห็นอนนี่เลยออกไปดู นอนกันเถอะ”เธอยิ้มบอกตาเคลิ้มฝันก่อนทิ้งตัวนอนหันหลังให้

ฉันเอื้อมไปปิดไฟ อยากจะหลับให้ไวที่สุด        

“เขาเป็นห่วงเลยโทรมา น่ารักเนอะ อนนี่ว่ามั้ย?”เธอกอดอ้อน 

ฉันช้ำในอกจนอยากลุกออกไปจากห้องนี้จังเลย ฉันรักเธอมากนะ อย่าทำร้ายจิตใจกันเลย ตอนที่พวกเราเสียแทนไป ฉันยังไม่ช้ำใจขนาดนี้เลย

                                    ............................................................... 

จำนวนผู้มาเยือน

หน้าที่เข้าชม12,859 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด10,975 ครั้ง
ร้านค้าอัพเดท6 ก.ย. 2568

สมาชิก

พูดคุย-สอบถาม