หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 6 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 27 เม.ย. 2567 |
พยองยาง
มุมมองสายตา นาตาลี
พฤษภาคม ค.ศ.2025
ค่ายทหารโชซอนอินมินกุน...พวกเราก้าวขึ้นบันไดตามหลังจูยอนเข้ามาในอาคารปฏิบัติการ ภายในห้องทำงานสี่เหลี่ยมมีชายหนุ่มกับชายแก่นั่งรออยู่ก่อน พวกเขารีบลุกขึ้นเมื่อเห็นจูยอนเดินผ่านประตูเข้าไป ...
“อันยองฮาเซโย! สหายจูยอน ” ทั้งสองโค้งศีรษะ ฉันเคยรู้จักแล้วที่งานศพหลายวันก่อน
“อันยองฮาเซโยทงมู!” จูยอนหยุดยืนตรงโค้งศีรษะกลับไป
“วันนี้!ฉันจะแนะนำทีมของเราเพิ่มเติมอย่างเป็นทางการนะคะ” เธอพาฉันไปนั่งโต๊ะผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่ฉันสงสัยมากเธอคิดจะทำอะไรกันแน่ แล้วให้ฉันมานั่งโต๊ะนี้ทำไม?
“จากนี้ไป...ดอกเตอร์นาตาลีพัคจะเป็นสหายผู้บัญชาการนะคะ”
“เห่ย!” ฉันใจหายวาบเด้งลุกยืนขยับจะห้าม แต่...
“ดอกเตอร์นาตาลีพัคเป็นเด็กอัจฉริยะจากสองสาขาวิชา เป็นคนที่ฉันรักและไว้วางใจมากเธอมาจากฝั่งใต้จะช่วยพวกเราทำงาน ใช่มั้ยคะ ดอกเตอร์”
“เอ่อ!...” ยายนี่ร้ายกาจมาก ฉันแค่หลงทางมาอย่ามัดมือชกกันอย่างนี้สิ
“แปะ! แปะ! แปะ!” สหายชาวเกาหลียิ้มลุกขึ้นยืนปรบมือแล้วโค้งศีรษะ สหายคุณลุงยิ้มใจดีเดินเข้ามาจับมืออย่างนอบน้อม...
“อันยองฮาชิมนิก๊า! ซาจังนีมทงมูฝากตัวด้วยครับ คิมจุนซองอิบนิดะ” ท่านยิ้มจริงใจ
“เอ่อ!” ฉันเงอะงะอึกอัก ไม่ทันตั้งตัวขยับจะปฏิเสธ แต่...
“ขอบคุณมากนะคะที่เสียสละ” จูยอนดึงมือไว้
สองหนุ่มของฉันอมยิ้มทำไม? เจ็ทโด้ขำอะไร? พวกเขาฟังไม่ออกหรอกว่าฉันคุยอะไรกัน แต่พวกเขาอมยิ้มแล้วหันหน้าหนีเหมือนรู้กันมาก่อน พวกนี้น่ากลัวกว่าคนเกาลีเหนืออีก
สหายชายหนุ่มยืดอกตัวตรง...
“ด้วยความยินดีครับ ฝากตัวด้วยครับ ซาจังนีมทงมู โกมีทักอิบนิดะ” สหายหนุ่มหล่อหุ่นนักกีฬาโค้งศีรษะท่าทางคล่องแคล่ว ฉันรีบโค้งหัวรับ จูยอนเล่นบ้าอะไรอีกเนี่ย ฉันอายนะ
เธอขยับนั่งตัวตรงบนหัวโต๊ะรูปไข่...
“เรามาเข้าเรื่องกันเลยนะคะ ต่อจากคราวที่แล้วใครมีอะไรคืบหน้าว่ามาได้เลยค่ะ”เธอยิ้มหวานให้กับทั้งสองท่าน
"อ้าว!" ตกลงฉันต้องเป็นผู้บัญชาการจริงเหรอ?
สหายโกยกมือยืดอกเตรียมพูด ท่าทางของเขามีความรับผิดชอบ กระตือรือร้น หน้าตาหล่อตี๋แบบเกาหลีเหนือ.../ชอบชอบ./
“สหายจูยอนครับ ผมแยกเอาSoulless ครูฝึกนักบินและพวกครูฝึกพลขับรถถังมาขังไว้แล้วนะครับ ส่วนคนที่จะเป็นทหารทยอยเข้ามาสมัครทุกวัน ตอนนี้ได้มา 2,000 คนแล้วครับ ที่ค่ายนี้มี 400 คนครับ” ชายหนุ่มแก้มตอบตัวสูงรายงานเสียงดัง แล้วหันยืดอกให้เจ็ทโด้และนินจา
“เก่งจังเลยค่ะสหายโก” จูยอนยิ้มหวาน เขาหันไปหาสหายคุณลุงแล้วผายมือ...
“ทั้งหมดมาจากฝีมือของสหายคุณลุงครับ ท่านมีกลยุทธ์ในการจัดการ” เขายิ้มมองสหายคุณลุงคิมจุนซองด้วยสายตาศรัทธา
สหายคุณลุงขยับยิ้ม...
“ผมพาทีมมาแนะนำให้รู้จักด้วยครับ ผมทำคนเดียวไม่ได้หรอกครับ ขอตัวสักครู่” สหายคุณลุงถ่อมตัว แล้วเดินหายออกไป
ฉันนั่งมองจากโต๊ะผู้บัญชาการ ไปหัวโต๊ะจูยอนยิ้มหวานใบหน้าอวบอิ่ม เธอวาสนาดีมาก มีเพื่อนร่วมงานดี ๆ มาช่วย แต่ฉันสนใจสหายโกมีทักมากกว่า...
“สหายโก เรียนจบอะไรมาคะ?” ฉันส่งยิ้มหวาน ต้องตีสนิทกับเพื่อนใหม่ซะหน่อย หล่อซะด้วยเห็นหน้าพอได้ชื่นใจ เบื่อไอ้นินจาแล้ว
สหายโกมีทักสูงราว170 ซม.หน้าตาดีสะอาดสะอ้าน หุ่นใช้ได้ทีเดียว ท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน ยิ้มเก่งและในสายตาของเขาเวลามองจูยอน เหมือนกับมองเทพเจ้าที่ทั้งความรักและความศรัทธา
“เอ่อ!..ผมเกิดและเติบโตเรียนจบวิศวกรรมการบินจากเยอรมันครับ เคยคิดจะเป็นนักบินรบ แต่ผมเปลี่ยนใจก่อนและคิดจะกลับมาใช้ชีวิตตอบแทนบ้านเกิดใช้ชีวิตเงียบ ๆที่นี่ แต่...” เขายิ้มเขินเป็นอันเข้าใจว่าโดนไปทำเหมือง
“ถ้าอย่างนั้น ให้สหายโกไปเป็นทหาร ดูแลเรื่องอากาศยานสิคะ ตรงตามสาขาที่เรียนมาพอดี”ฉันหันมองปรึกษากับจูยอน
เธอยิ้มพยักหน้าแล้วหันไปหาสหายโก
“สหายโกมารื้อฟื้นความรู้ที่เรียนมาด้วยกันนะคะ ฉันจะปลุกSoulless นักบินขึ้นมาสอนเพิ่มเติมให้คุณเอง” เธอยิ้มกว้าง
“ขอบคุณครับสหายผู้บัญชาการ! สหายจูยอน!” เขาท่าทางดีใจมาก
ฉันหันไปหาสหายคุณลุงที่กำลังเดินกลับมาพร้อมชายอีก 2 คนหน้าตาและท่าทางคุ้น ๆ...
“สหาย! ผมพาเพื่อนใหม่มาแนะนำครับ” เขาผายมือไปที่ชายร่างอ้วนเตี้ย ฉันตกใจ
“สหายยุนจุนโดกับสหายอึนซอกครับ” ท่านผายมือไปที่ชายร่างผอมเกร็ง สหายกู้ชาติของฉันนี่เอง
จูยอนลุกขึ้นยืนโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม...
“อันยองฮาเซโย ชเวจูยอนอิบนิดะ ยินดีที่ได้รู้จักยินดีต้อนรับค่ะ” เธอสุภาพมาก
“ทั้งสองท่านคะ! รู้จักดอกเตอร์นาตาลีพัค สหายผู้บัญชาการของเราค่ะ” เธอแนะนำ ฉันรีบโค้งศีรษะอมยิ้ม
“อันยองฮาเซโย นาตาลี พัคอิบนิดะ” ฉันแนะนำตัวเองอย่างเขิน ๆ
“อ้าว!...”ทั้งสองตาค้าง.
“สหายคิมมีโซ แปรพักตร์มานานแล้วเหรอ?” สหายอึนซอกสีหน้าฉงน
จูยอนยกมือ หันไปยิ้ม...
“เธอไม่ได้แปรพักตร์หรอกค่ะ เธอเป็นเพื่อนของฉัน เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งมาก” จูยอนยิ้มหวานให้ทั้งสองคน
“อันยองฮาเซโยซาจังนีมทงมู”
“อันยองฮาเซโยทงมู” ฉันโค้งศีรษะยิ้มให้...
“มาร่วมกันสร้างชาตินะคะ เรามาเริ่มต้นกันใหม่ ขอโทษด้วยนะคะที่ต้องโกหกในวันแรกที่เราพบกัน”
“แควนจานาโย” เขาไม่ถือสาโค้งศีรษะ แล้วหันมองชายหนุ่มทั้งสองของฉันที่โค้งศีรษะให้
“เชิญนั่งก่อนค่ะ” ฉันผายมือเชิญ
จูยอนเริ่มเจรจา...
“ฉันมีแผนเพิ่มอีกแล้ว สหายคุณลุงคะพรุ่งนี้ไปต้อนพวก Soulless ที่เป็นพวกวิชาชีพเฉพาะทางมารวมกันนะคะ เราจะเอาแต่ความรู้จากพวกเขามา แต่ไม่เอาจิตวิญญาณของพวกเขา” เธอกระหยิ่มยิ้มย่อง มองหน้าสหายโกแล้วบอก
“สหายโก! หลังจากฝึกวินัยพื้นฐานแล้ว สหายครูฝึกเจ็ทโด้จะคัดคนมาฝึกขับเครื่องบินเป็นลูกน้องคุณ แต่คุณต้องผ่านการทดสอบวันนี้ก่อน ถ้าคุณทำไม่ได้เราจะหาคนอื่นมาแทน”
“ครับผม!” สหายโกยืดอกตั้งหลังแอ่น
สหายคุณลุงคิมจุนซอง ขยับ ...
“ส่วนงานของผมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อาหารยังมีอีกเยอะ ยิ่งตอนนี้ทุกคนอยู่เป็นที่เป็นทางแล้ว ดูแลง่ายมาก พัคมีแรเป็นผู้นำกลุ่มผู้หญิงอาสาสมัครมาช่วยทำอาหาร ผมจัดการกระจายส่งสหายไปในหลายที่ ยิ่งได้สองคนนี้มาช่วยงานยิ่งเดินได้ดี วันนี้ก็เอาแม่ครัวมาทำอาหารในค่ายด้วย” เขายิ้มกว้างกอดคอสหายจุนโดกับสหายทงมู
เจ็ทโด้ขยับตัวพูดกับจูยอน
“งั้น! ผมขอไปดูทหารก่อนนะครับ” เขาลุก นินจาขยับตามแล้วหันมามองหน้าฉัน...
“คุณจะไม่มาช่วยเหรอ?” นินจาน้ำเสียงเข้มกวนประสาท ฉันไม่อยากทำงานกับเขา ฉันอยากจะทำงานกับสหายโกมีทัก
ฉันเมิน...เชอะ! ไม่สนหรอกย่ะ ฉันเป็นผู้บัญชาการนะ
“ลุกเร็ว!” เขาดุต่อหน้าคนอื่น
ฉันปรี๊ดแตก...
“พูดดี ๆ! ฉันจะรู้ไหมว่าต้องทำอะไรบ้าง? เดี๋ยวข่วนหน้าเลย” หึ๋ย! ขัดใจจริง ๆ หันไปมองสหายโกอมยิ้ม ฉันไปทำงานกับคนนั้นดีกว่า สบายตากว่ากันเยอะ
“จูยอนคะ! ฉันขอไปช่วยสหายโกได้ไหมคะ? ฉันอยากขับเครื่องบิน” ฉันออเซาะเกาะแขนจูยอน
นินจายื่นหน้ามาใกล้
“ไม่ได้!” เสียงตวาดจิกใจมากเขายืนจ้องดุราวปีศาจอสุรกาย ฉันกัดฟันหันไปจ้องอยากจะข่วนหน้าสักที
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” จูยอนหัวเราะลั่น แปลกใจมากทำไมถึงปล่อยให้ฉันโดนเขาขู่ตลอดเลย คิดถึงซอนจังเลย ถ้าซอนอยู่ด้วยจะให้เตะสักที
“ฉันไม่อยากทำงานกับคุณ ฉันจะทำงานกับสหายโก” ฉันยืนยัน แล้วส่งยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม
“ได้! ถ้าอย่างนั้นมาฝึกวินัยพื้นฐานก่อน ไป! ”เขายังดุเสียงเฉียบขาด ท่าทางเขาเอาจริง
ฉันหันมองขอความช่วยเหลือจากจูยอน เธอพยักหน้าให้ท้ายเขาอีก ขัดใจมากกระทืบเท้าเดินตามนินจาไป เข้าข้างกันจังเลยนะจูยอน
ก่อนออกจากห้องเสียงจูยอน แว่ว ๆ ...
“ฉันต้องรบกวนพวกคุณด้วยนะคะ เราไปฝึกทหารรุ่นแรกกันดีกว่า” เสียงเธอชวนพวกเขา
“เชิญเลยครับ ผมขอไปดูพวกผู้หญิงหน่อย” เสียงคุณลุงขอตัว
.........................................................
กลางสนามฝึก....ฉันแหงนหน้ามองเจ็ทโด้ยืนคู่กับจูยอนบนเวทีต่อหน้ากองทหาร ทหารตั้งแถวตอนเรียงหนึ่งอยู่ในท่าเตรียมพร้อม เขา หันกระซิบบางอย่างกับจูยอน
เธอตะโกนเสียงเฉียบขาด...
“เราไม่มีเวลาในการคัดเลือกมากมาย ครั้งแรกของการคัดเลือกจะเลือกจากร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่สนความรู้ ชื่อเสียงและนามสกุล เราจะใช้วิธีวิ่งเพื่อต้องการ 100 คนแรกที่เข้าเส้นตามเวลา”
เธอหยุดหันมองทหารทั้ง 400 นายในสนาม เจ็ทโด้ยกแผนที่ค่ายขึ้นมา จูยอนชี้ไปที่แผ่น
“จากจุดที่เรายืนอยู่นี้ เราจะวิ่งเป็นสี่เหลี่ยมตามถนนขอบสนาม จากจุดนี้ไปทางขวาถึงจุดที่ 1 อาคารสวัสดิการ จุดที่ 2 อาคารโรงเก็บรถถัง จุดที่ 3 เรือนนอนทหาร จุดที่ 4 โรงอาหาร แล้วกลับมาที่นี่อาคารปฏิบัติการ ตัดสินกันที่นี่! ตรงนี้! ระยะทางทั้งสิ้น ประมาณ 40 กิโลเมตร” ใบหน้าของเธอขึงขัง สายตาดุดัน อกตั้งหลังแอ่นชูมือขวา ...
“ฮู....ย่าห์!!! พร้อมมั้ย!” เธอเปลี่ยนไปเป็นอีกคนไม่เหลือคราบผู้หญิงหวานเลย
“เย่!” กองทหารตอบรับขนลุกซู่
ฉันยืนอยู่หัวแถวตรงหน้าจูยอน ได้แต่หันซ้ายหันขวาใจเต้นระทึกไปด้วย นินจากำลังเดินตรวจแถวเดินผ่านหน้าไปมา แอบคิดในใจทำไมฉันต้องมาเป็นทหารด้วย ผู้บัญชาการก็ต้องวิ่งด้วยเหรอ สับสนกบชีวิตจริง ๆ
ฉันหันมองหาสหายโก เขายืนอยู่ในแถวข้างซ้าย มองฉันอยู่พอดี เลยโบกมือส่งยิ้มหวานไปให้ เขาโบกมือรับ ชุ่มชื่นใจยังไม่ทันหุบยิ้มเลย...
“ทหาร! ห้ามยิ้ม! ห้ามเล่น!” นินจาตวาดหูสั่น
“วิ๊ง!...” ฉันรีบหุบยิ้มก้มหน้า อีตาบ้า...อายนะ
เสียงจูยอนประกาศ...
“ทงมูยอลาบูน! จงจำไว้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่สหายล้มลง? สหายจะโดนตัดออก เราคัดเฉพาะคนที่แข็งแรงเท่านั้นเพื่อเป็นผู้นำ”เธอยืดอกมองไกล
“เย่!!” เสียงทหารตอบหนักแน่น
“ไป!!!!ปั้ลลี่! ปั้ลลี่!” สิ้นเสียงของจูยอน ทหารทั้ง 400 ขยับออกตัวตัววิ่งเสียงอึกทึก ฉันหันซ้ายหันขวาท่ามกลางเหล่าทหารไม่รู้จะไปทางไหนดี
“โอ๊ย!” โดนกระแทกจนกระเด็นเซถลากำลังจะล้ม
“อึ้บ!!” แขนของใครบางคนช้อนใต้ท้องก่อนที่ใบหน้าของฉันจะกระแทกพื้นแล้วยกตัวของฉันลอยเคว้ง
“ว้าย!” ฉันตกใจมือคว้ามั่วไปกอดคอ พอเห็นหน้าแล้วหมดอารมณ์ ...นินจานี่เอง
“ไม่ต้องวิ่งในแถว วิ่งตามผม” เขาสั่งแล้วเริ่มวิ่งเหยาะอยู่กับที่ ฝูงทหารวิ่งไปทางขวาของเวทีผ่านประตูเข้าค่ายฯ จุดหมายที่ 1 อาคารสวัสดิการกองทัพประชาชน
ฉันขัดใจกับนินจามากที่เขามาเซ้าซี้ จ้ำจี้จ้ำไช...
“ทำไมฉันต้องวิ่ง?” ฉันไม่ชอบที่โดนบังคับ
“คุณจะไม่ช่วยทำงานหรือไง? กินข้าวของเขาต้องช่วยเขาสิ” เขาเสียงแข็ง
“ฉันช่วยอย่างอื่นก็ได้” ฉันหยุดเท้าเอวแหงนหน้าสู้
เขาก้มลงมาแล้วตะโกนใส่หน้า…
“ไม่ได้!!! ไปวิ่ง เดี๋ยวนี้!!!” เสียงดังแสบหู เขาจับตัวของฉันหมุนแล้วผลักให้วิ่ง
“ไม่!” ฉันโกรธ....หยุดกำหมัดรอ เดี๋ยวจะต่อยให้ร่วงเลย
เขาเดินตัวโย่งเข้ามาผลักทีเดียว กระเด็นหัวทิ่ม...
“โอ้ย! อย่าผลักสิ!”
“ไฟท์ติ้ง!!” เขามาจับไหล่ด้านหลังแล้วดันให้วิ่ง ฉันต้องซอยขาวิ่งหน้าตั้งอยากจะฆ่าให้ตายนัก หัวสมองไม่เคยว่างต้องโกรธไอ้บ้านี่ได้ตลอดเวลา
ฉันกัดฟันสะบัดตัวแล้ววิ่งหนี เห็นสหายโกวิ่งนำหน้าเกือบจะถึงจุดที่ 1 แล้ว รีบสปีดแซงทุกคนเข้าไปหาเขา...
“สหายโก! มาแข่งกัน” เรื่องวิ่งฉันก็เก่งไม่แพ้ใครหรอก ฉันต้องวิ่งหนีลูกปืนมาตลอด แค่นี้สบายมาก
เขาหันมายิ้มอบอุ่นใจดีแล้วก้มศีรษะ...
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ มา!..เรามาแข่งกัน” ค่อยสบายหูสบายตาหน่อย
ตอนแรก...ฉันนึกว่า แค่วิ่งไปตามถนนเรียบ ๆ แต่พอผ่านด่านที่ 2 ทางเดินเริ่มเป็นหลุมบ่อกิ่งไม้เริ่มเกะกะ ถนนพาเข้าป่าลึกไปเรื่อย กองทหารเริ่มแรงแผ่วลง บางคนถอดใจเดินเอาดื้อ ๆ
“เหนื่อยไหมครับ?” สหายโกวิ่งเหยาะ ๆ อยู่ข้าง ๆ
“นิดหน่อยค่ะ สบายมาก” ฉันยังไหว แต่ยิ่งวิ่งทางยิ่งชัน สองข้างทางมีแต่ต้นไม้บนพื้นมีหินเกะขวางตีน หันมองไปรอบตัวทหารเกาะกลุ่มวิ่งตามมา
แต่นายยักษ์โย่งของฉันหายไปไหนแล้วไม่รู้ ทหาร 400 ทั้งวิ่งทั้งเดินเป็นเส้นตามทางลาดเอียงของภูเขา กว่าจะวิ่งฝ่าฟันขึ้นมาจนถึงลานจุดสูงสุดของเนินเขาก็แสนสาหัสสากรรจ์
ฉันหยุดยืนสูดลมเย็น หายใจลึก เงยหน้าชื่นชมทัศนียภาพขุนเขาหัวขาวหิมะเริ่มละลาย บิดตัวไล่ความเมื่อยสายตากำลังฟินกับวิวสวยไม่ทันได้ระวังตัว
“อึ่ก!”โดนชนอย่างแรง
“โอ๊ย!” ฉันถลาลื่นยื่นมือให้สหายโกช่วย เขาเอื้อมมือมาคว้าแต่ไม่ถึง ฉันเสียหลักหน้าถลำลงเนินเขา แรงดึงดูดของโลกทำให้ต้องซอยขาถี่เพื่อให้ทันกับความเร็ว แต่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งหยุดไมได้
“เหวอ!” ฉันตาเหลือกใจสั่นทั้งวิ่งทั้งกระโดดข้ามก้อนหินอย่างเร็ว อยากหยุดก็หยุดไม่ได้ ความสูงขนาดนี้หยุดตัวเองไม่ได้แน่ มองข้างทางไม่ทันเลย
“ช่วยด้วย!” ขายังซอยถี่ ประมาณ 20 เมตรข้างหน้าต้นไม้ใหญ่ยืนขวางทาง...
“เฮ้ย!” ฉันแทบช็อกเลี้ยวหนีก็ไม่ได้ต้องชนกับมันแน่เลย
“หยุดครับ! สหายหยุดวิ่ง” เสียงสหายโกวิ่งตามมา
“ฉันหยุดไม่ได้ ช่วยด้วย!” ฉันร้องลั่นต้องตายแน่
“ล้มตัวลงครับ ล้มลง”
“ฉันทำไม่เป็น” ฉันร้องลั่นตาเหลือก ร่างกายพุ่งเข้าหาต้นไม้หลับตาปี๋รอรับชะตากรรม
“อึ้บ!” เสียวท้องแวบ ร่างของฉันหมุนคว้างเป็นวงกลม ขาลอยจากพื้น มือของใครบางคนโอบเอวแล้วหมุนตัวไปตามแรงเฉื่อย ฉันยังหมุนไปตามแรงเหวี่ยงแล้วค่อย ๆ หยุด ลืมตามอง...
“นินจา!”
เขาช่วยได้ทันท่วงทีแล้ววางฉันลงอย่างนุ่มนวล แล้วเดินต่อไปที่ต้นไม้ สหายโกคนที่บอกให้ฉันทิ้งตัว นอนจุกกองที่ใต้ต้นไม้
“ไหวมั้ย? สหายโก” นินจา ร้องถามแล้วเข้าเขย่าตัว
“หลบหน่อย!” เสียงทหารจากบนเนินวิ่งลงมา ฉันหันกลับไปมองถึงกับช็อก
“จ๊าก!!!” กองร้อยทหารใหม่มีแต่เรื่องบ้าบอ พวกเขากรูกันลงมาพุ่งเข้าชนต้นไม้
“ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ!” ทหารทั้งกลุ่มนอนทับกันรวมกองใต้ต้นไม้
ฉันหันตะโกนไปบนเนิน...
“ทหารหยุด!” กองทหารที่ยืนอัดแน่นบนเนิน ค่อย ๆ ก้าวเดินลงมา
“ไปกันต่อครับ!” สหายโกเดินปัดใบไม้บนตัวยิ้มเข้ามาพร้อมยื่นมือให้จับ
“อึ้บ!” ฉันขยับเอื้อมมือไปจับจะถึงอยู่แล้วเชียว...
“ห้ามจับมือ!” ไอ้ยักษ์ตวาดเสียงดัง เขาหดมือกลับฉันฉุนกึก ไอ้มารผจญขัดขวางตลอดเลย
เขาเดินอาด ๆ เข้ามาตะโกนใส่หน้า...
“ล้มเองลุกเอง! วิ่งไปต่อสหายจูยอนรออยู่! เร็ว!” ไอ้บ้าหูชาเลย
“วิ่ง! เร็ว ๆ” เขาหันไล่ทหารทุกคนที่กำลังนั่งพัก ฉันพลอยโดนไล่ไปด้วย สหายโกวิ่งหนีไปไหนแล้ววะ?
ฉันวิ่งเกาะกลุ่มทหารตามลงมาจนถึงพื้นราบ ป่าโปร่งกับด่านทดสอบรออยู่ สหายโกกำลังโหนเชือกข้ามบ่อน้ำสี่เหลี่ยม เขาโยนตัวครั้งเดียวจากฝั่งนี้ ไปฝั่งโน้นแล้ววิ่งไปต่อ เขามุ่งมั่นที่จะต้องผ่านการทดสอบครั้งนี้
ฉันสับขามาจนถึงบ่อคว้าเชือกอย่างมั่นใจ คว้าเชือกมากำแล้วโหนอย่างที่สหายโกทำ ของเล่นของลูกเสือเนตรนารีอย่างนี้ สบายมาก
“ฮึบ!” เชือกโยนตัวลอยข้ามอย่างสวยงาม ปล่อยมือจากเชือก เท้าเหยียบขอบบ่อ...
“แพร่ด...”
“เฮ้ย!” ลื่นหงายหลัง มือไม้ควงหมุนมั่วไปหมด
“เหวอ!” ฉันกำลังหงายท้องตกบ่อ
“วืด!” มือของใครบางคนเข้ามาช้อนเอวตัวลอย
“หมับ!” ฉันผวาเข้ากอด
พอเงยหน้ามองเป็นเจ้านินจาอีกแล้ว ยุ่งจริงเชียว...
“นี่!..นายจะไปไหนก็ไปเลยไป อย่ามาทำอย่างนี้กับฉัน คนอื่นจะมองว่า ฉันใช้เส้น” ไม่มีคำขอบคุณใด ๆ ฉันแหวใส่แล้ววิ่งต่อ
สหายโก หยุดรอโบกมือเมื่อเห็นฉันวิ่งเลยอาคารจุดที่ 4 เราวิ่งเหยาะ ๆ เข้ารวมกับทหารที่มาก่อนผ่านหน้าเจ็ทโด้
“77-78-79” เขายืนนับ 100 คนที่เขาต้องการ
สหายโกถือแก้วน้ำมาส่งให้แล้วพากันเดินไปนั่งข้างสนาม...
“สหายผู้บัญชาการ เก่งมากเลยนะครับ วิ่งแข่งชนะผู้ชายด้วย” เขายกแขนสูดหายใจลึก
“ชมเกินไปแล้วค่ะ” แหม...หนุ่มหล่อชมซึ่งหน้าก็เขินนะ ยังหายใจหอบอยู่เลย ทหารค่อย ๆ ทยอยเข้ามาในสนาม
“สหาย! มาจากฝั่งใต้เหรอครับ?”
“ฉันเกิดที่นั่นแต่ไปโตที่อเมริกาค่ะ”
เขาตาโตยิ้มกว้าง
“ดีจังเลย! ขอบคุณมากนะครับที่มาช่วยบ้านของผม”
“สหายผู้กอง!มีเป้าหมายรวมชาติเกาหลี ฉันอยากให้มันเป็นจริงค่ะ ฉันไม่เข้าใจว่าจะแยกประเทศทำไม?”
“ดีเลยครับ เรามาช่วยกัน สัญญา!” เขายิ้มกว้างยื่นมือมาให้จับเป็นสัญญา
ฉันยื่นมือจะจับให้สัญญา...
“ห้ามจับมือ! ลุกขึ้นไปเข้าแถว! ไม่ใช่เวลามาแนะนำตัว ไป! เร็ว!” เสียงเจ้านินจาตวาดอีกแล้ว
สหายโกหดมือกลับลุกวิ่งไปเข้าแถว ฉันขยับจะไปเข้าแถวด้วยแต่เจ้านินจาเดินมาใกล้แล้วตะโกนใส่หน้า...
“คุณไปรวมกับผู้หญิงท้ายแถวโน่น ไป!” มึงจะเสียงดังไปไหน
ฉันอายกองทหารมาก ก้มหน้าวิ่งหนีอย่างไว สั่งดี ๆ ไม่ได้หรือไงวะ? จะตะโกนใส่หน้าหาลุงมึงเหรอ? โอย...หงุดหงิด หงุดหงิด
“ฉันฟ้องแน่ นายเจอดีแน่” ฉันบ่นพึมพำขัดใจมาก
………………………………………….
ในโรงอาหารตอนพักเที่ยง...
เหล่าทหารทยอยเดินต่อแถวรับถาดแล้วเข้านั่งโต๊ะยาว เจ็ทโด้กับจูยอนนั่งยิ้มคุยกันหวานแหวว ฉันยังหายใจหอบเหนื่อยรับถาดอาหารแล้วเดินหัวเปียกบ่นกะปอดกะแปดเข้าไปแทรกนั่งข้างสหายโกที่นั่งถัดจากเจ็ทโด้
“อย่าให้ถึงคิวฉันบ้างก็แล้วกัน นายตายแน่!!!” ฉันยังอารมณ์บูด ขัดใจกับไอ้นินจา แยกเขี้ยวบ่นงึมงำ
จูยอน สวมเสื้อยืดคอกลมดำเปียกเป็นวง นั่งตัวตรงยิ้มกว้าง...
“เหนื่อยไหมคะสหายผู้บัญชาการ?” เธอยื่นหน้ามา
“หงึ...” ฉันหน้าบูด พยักหน้ารับ...
“แทบขาดใจ แต่ฉันเข้า 100 คนแรกนะคะ” ฉันโกรธเจ้ายักษ์นั่น แต่ก็ยังยิ้มอวดที่ผ่านการคัดเลือก สหายโกคีบหมูทงคัตซึใส่ถาดมาให้แล้วยิ้มหวาน
“ทานเยอะ ๆ ครับ ยังต้องเหนื่อยกันอีก สู้! สู้!นะครับ ไฟท์ติ้ง!” เขาท่าทางใจดี ฉันกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย หันไปตอแหลด้วย...
“ขอบคุณค่ะ คุณก็ทานเยอะ ๆ นะคะ สู้! สู้!ค่ะ ไฟท์ติ้ง!” ฉันหยิบหมูใส่ปากเคี้ยว ถ้อยทีถ้อยอาศัย เจริญหู เจริญตา เจริญอาหาร
“นาตาลี! อย่ากินเยอะเดี๋ยวจุกนะ” เจ็ทโด้ นั่งข้างเอื้อมมาตีมือ
ฉันหันไปอ้อน อยู่ต่อหน้าชายหนุ่มต้องเก็บอาการ...
“ฉันกินข้าวไม่ลง อดข้าวมาตั้งนาน วันนี้ข้าวอร่อยมาก” ทั้ง ๆ ที่กับข้าวก็พื้น ๆ แต่ฉันซัดเกลี้ยงจานคงจะเพราะความเหนื่อย
สหายโก มองหน้าจูยอนแล้วถาม
“สหายผู้กองครับ! สหายคิมจุนซองกลับไปแล้วเหรอครับ?” เสียงช้อนชามกระทบกัน พร้อมเสียงคุยกันเจี้ยวจ้าวของทหารในห้อง
“ท่านไปจัดการธุระ พวกเราโชคดีมากที่ได้ท่านมาช่วยจัดการ ท่านเก่งเรื่องสวัสดิการพอดี ทีมของท่านเก่ง ๆ ทั้งนั้นเลย ฉันสบายใจจริง ๆ เลยค่ะ” จูยอนยิ้มกับเขาแล้วหันมา...
“แล้วครูฝึกนินจาไปไหนแล้วล่ะ ทำไมไม่มากินข้าว?”
“ไม่รุ ไม่สน!” ฉันเมินหันไปยิ้มรับน่องไก่จากสหายโกมาแทะ อยู่กับเขาดีกว่า
เจ็ทโด้หันมาบอก...
“มันไปเตรียมฝึกทหารต่อ เดี๋ยว!ผมก็ต้องไปช่วยมันแล้ว ไปก่อนนะ” เขาบอกแล้วลุกไป สหายโกลุกวิ่งตามไป
ฉันขยับเข้าหาจูยอน...
“ดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้วนะคะ พวกเราช่วยกันคิดเดี๋ยวก็สำเร็จ” ฉันกะดี๊กะด๊าเข้าประจบ
“ใช้เวลาอีกนิดคงจะดีขึ้น”
“อนนี่เก่งจังเลย รักที่สุดเลย” ฉันเอียงหัวซบไหล่
“หือ! มีอะไรป่ะเนี่ย?”เธอโยกตัวมอง
“จูยอนอนนี่!ช่วยเรื่องหนึ่งได้ไหมคะ? ฉันจะไม่ลืมบุญคุณเลย” ฉันเอื้อมไปแตะมือ อ้อนเอากับจูยอนก็ได้
“อะไรจะสำคัญขนาดนั้น? ว่ามาสิ” เธอแววตาใจดียิ้มหวาน
“ฉันไปฝึกกับสหายโกได้หรือเปล่า? ไม่อยากอยู่ใกล้นินจาเลย เขาชอบแกล้ง” ฉันส่งสายตาวิงวอน
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” จูยอนหัวเราะลั่นฟันขาว ปรบมือชอบใจ
“??????” ฉันขมวดคิ้วมองขัดใจมาก มันตลกตรงไหนไม่ทราบ?
เธอยกถาดแล้วลุกจากโต๊ะเดินออกจากห้องอาหาร หนีฉันไปเลย ไม่หันกลับมามองอีกเลย มันจะมากไปแล้วนะ...
“อ่นนี่ อ่นนี่!” ฉันลุกวิ่งตาม ขัดใจจริง ๆ ทำไม ๆ ๆ ในหัวมีแต่คำถาม คนพวกนี้ไม่ใช่เพื่อนของฉันเหรอ? ทำไมทุกคนขัดใจไปหมด?
“จูยอน! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ฉันตะโกนจิก
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เธอหันมาหัวเราะ แล้ววิ่งหนีไปทางสามหนุ่มที่ยืนคุยกัน
เจ้านินจาเดินเข้ามาหา ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ...
“อิ่มแล้วเหรอครับ? เดี๋ยวมายืนใกล้ ๆ ผมนะ”
“หึ๋ย! ทำไมต้องเป็นฉันวะ?” อยากจะมุดดินหนี ไม่อยากอยู่ใกล้แล้ว ต้องขอย้ายทีมให้ได้ หันไปฟ้องเจ็ทโด้ก็ได้ ฉันเมินแล้วเดินเข้าไปเกาะแขนเจ็ทโด้
จูยอนยิ้มชำเลืองมองแต่ฉันไม่สน ยื่นหน้าเข้าไปหาเอ่ยปากขอเขาต่อหน้าทุกคน...
“เจ็ทโด้คะ! ฉันขอย้า...”
“ปัง!” ฉันสะดุ้งสุดตัว...เสียงปืนดังสนั่นข้างหู กระดูกทั่งกระดูกโคนร้าวไปหมด
“ว้าย!” กระโดดกอดเจ็ทโด้ด้วยความตกใจ จูยอนเสียบปืนทองคำเข้าซอง เจ็ทโด้ขยี้หูหันไปคุยบางอย่างกับจูยอน
“$#%@!@#$$%@#” ฉันได้ยินแต่เสียงวิ้ง ๆ ๆ ๆในหู พวกเขาตีมือกันแล้วหัวเราะ ทำไมฉันไม่ได้ยิน?
นินจาเดินเข้าร่วมวงสนทนา
“%$$##@@$^%$” เขาพูดอะไรกันแล้วหัวเราะ ฉันหูดับ ไม่ได้ยินที่เขาพูดกัน ฉันพยายามตบบ้องหูตัวเอง
สหายโกก้มหน้าลงมา...
“$#%$#$@%^$%%$$” เขาพูดอะไรวะ? ฉันคิ้วขมวดเอานิ้วปั่นหู
“หา!!!อะไรนะ!!!” ฉันถามปรกติ แต่เขาสะดุ้งถอยตาโตอ้าปากยกมืออุดหู
ทั้งจูยอนและไอ้สองหนุ่มของฉัน ล้มกลิ้งหัวเราะกับพื้น ทำไมต้องทำให้ฉันอายทุกทีเลย? งอนมากไม่ฝึกด้วยแล้ว ฉันกระทืบเท้าเดินหนี
เจ็ทโด้วิ่งมาดึงแขน...
“@$@#$@$%$@” เขาแหกปากตะโกน
ฉันเริ่มใจไม่ดี ขยี้หูบ่อยขึ้น อายก็อายโกรธก็โกรธ อยากกลับไปหาหมวดจางแล้ว ฉันมีกรรมอยู่กับใครก็โดนแกล้ง งอนตุ๊บป่องเดินหนีกลับไปที่ห้องอาหาร ฉันจะต้องหาทางกลับรัฐฉานให้ได้
“อูยส์ ปวดอึ้จัง” กุมท้องรีบเดินไปห้องน้ำ ไม่ไหว ไม่ไหว
พอเปิดประตูเข้าไปด้านใน บรรดาแม่บ้านกำลังขัดโถถูพื้นทำความสะอาด งานด่วนก็จ่อตูดออกมาเสมอเนื้อเตรียมโผล่หัวออกมาแล้ว ฉันเดินขมิบตูดออกมา หันมองห้องน้ำผู้ชายอยู่ข้าง ๆ ลังเลไม่กล้าเข้า
“โอย...ไม่ไหว ไม่ไหว” มือกดท้อง ยืนเด้งปิดก้น กัดฟันเดินกลับออกมายืนที่หน้าอาคาร พวกเขายังยืนคุยกันอยู่
ฉันไม่ไหวแล้วขนลุกเกลียวไปทั้งตัว ลำไส้ตุงตูดแล้ว หันมองซ้ายขวาจะทำยังไงดี ฉันต้องทำยังไง? แขนขาสั่นไปหมดแล้ว
ทันใดนั้น...โอ้...สวรรค์โปรด คุณป้าแม่บ้านกำลังเดินเข้ามา ฉันรีบขยับไปดักรอ เมื่อเธอมาถึงก็เรียกให้หยุดแล้วก้มกระซิบข้างหู
“อาจุมมานีม! ห้องน้ำหญิงอยู่ที่ไหนคะ !!!!!” ฉันกระซิบถามได้ยินเสียงตัวเองแว่ว ๆ แล้ว แต่ป้าแม่บ้านสะดุ้งตกใจเอามือปิดหู หันมามองสายตาไม่พอใจ
เธอตะโกนใส่หน้า
“ทำไมต้องตะโกนใส่หูฉันด้วย? บ้ารึป่าว?” ฉันได้ยินเสียงแว่ว ๆ เธอหน้ายุ่งเอามือปัดหู ไม่พอใจแล้วขยับจะเดินหนี ฉันไม่ได้ตั้งใจ โอย! ไม่ไหวแล้วขาเริ่มบิดพันกัน
ฉันดึงมือเธอไว้...
“มีอันนิดะ! ฉันถามว่าห้องน้ำหญิงอยู่ไหน? ” ฉันถามอีกครั้ง
“บ้าหรือไง? ไปเล่นที่อื่นไป” เธอเอาผ้าขี้ริ้วในมือขว้างมา แล้วสะบัดหน้าหนี โธ่...ป้าหนูปวดขี้
“ว้าย!!!” ร่างของฉันผวาวูบโดนใครบางคนฉุดมือ พอเงยหน้าขึ้นมอง เจ้านินจาอีกแล้ว ยุ่งทุกเรื่องเลยนะ
เขาฉุดมือฉันวิ่งเข้าไปในโรงอาหารอีกครั้ง พาเดินไปที่ห้องน้ำผู้ชายแล้วเปิดประตูหาห้องว่างจนได้ห้องสุดท้าย เขาพยักหน้าแล้วโบกมือให้เข้าไป ฉันหยุดยืนหมุนลังเล เขาเดินออกมาดันหลัง...
“เข้าไปเลย ผมจะรอข้างนอก ไม่ให้ทหารเข้า”
ฉันได้ยินเพียงเสียงแว่ว ๆ แต่มันช่างเป็นเสียงที่เพราะพริ้ง ฉันแทบถอดกางเกงไม่ทัน พอขบวนแรกพรวดออกมาฉันถึงกับถอนหายใจ รำพึงรำพัน
“เฮ้อ..สวรรค์เป็นอย่างนี้นี่เอง” ขอบใจมากนะ นินจา
………………………………………..หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |