The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 1 ตอนที่ 3

The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 1 ตอนที่ 3
หมวดหมู่ The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 1
ราคา 0.00 บาท
อัพเดทล่าสุด 17 ม.ค. 2567
ขออภัย สินค้าหมด
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay


พยองยาง เกาหลีเหนือ

มุมมองสายตา ชเว จู ยอน

สิงหาคม ค.ศ.2020

รถตรวจการณ์ทหารแล่นฝ่าความแออัดของการจราจรในเมืองหลวงออกนอกเมืองด้วยความเร็วสูงหันทางซ้ายโบกมือลาหอกระจายข่าววิทยุโทรทัศน์ที่ทำงานของทีมลาซาลัสด้วยหัวใจปวดร้าวการตัดสินใจครั้งนี้มีชีวิตเป็นเดิมพัน ใจเริ่มสั่นเมื่อรถยนต์แล่นผ่านที่ทำการพรรคแรงงานฯ ในบริเวณลานจัตุรัสคิมอิลซุงทางด้านขวา กลิ่นไอความเชื่อร้ายปกคลุม/ปทั่วลานปูน         
          รถทหารพุ่งทะยานข้ามแม่น้ำแทดง ออกจากกรุงพยองยางดังลมพายุใต้ฝุ่น ถึงเมืองอันจูที่ห่างออกมาราว100กิโลเมตรภายใน 1 ชั่วโมง จากเมืองอันจู เมืองที่เต็มไปด้วยต้นไม้และภูเขาสูง  รถยนต์ยังทะยานตรงไปยังเมืองคูซองอีก100กิโลเมตร และจากคูซองขับมาที่เมืองชายแดนชินอึยจู เมืองหน้าด่านฝั่งตะวันตกติดกับชาติจีนอีก100 กิโลเมตร
          “บรื้น!! รถยนต์แล่นฝ่าความมืด ลุยอย่างมีจุดหมาย
          “โชคดีที่วันนี้มีงานประชุมระดับโลก ทางฝ่ายมั่นคงลดระดับการป้องกันลงมาที่ระดับหนึ่งฉันทำลายความเงียบภายในรถที่ไม่มีใครพูดกันมาตลอดทาง ซังอา น้องเล็กหลับไปแล้วคงเหลือแต่ฉันกับซอนแจคนขับ    
          “ปรกติด่านตรวจถี่ยิบไปหมด เราผ่านด่านร้างมาหลายแห่งแล้วนะครับ ซอนแจตั้งข้อสังเกต สายตายังคงมองตรงไปที่ถนน   
          “วิทยุสื่อสารก็ไม่มีรายงานความผิดปรกติอะไร? วันนี้เงียบดีจัง ฉันว่าเราตัดสินใจถูกแล้วล่ะที่หนีวันนี้ ฉันหันบอก ซอนแจ พยักหน้าเห็นด้วย
          รถยนต์ยังคงแล่นฝ่าความมืดต่อไป มีเพียงแสงสว่างจากไฟหน้ารถจับไปที่ถนน ทางลาดชันขึ้นลงไต่ภูเขาเป็นระยะ พระจันทร์สุกสว่างทำให้เห็นเทือกเขาสูงขวางหน้า เราต้องผ่านไปให้ถึงแม่น้ำยาลูก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หันมองนาฬิกาที่หน้าปัดรถ แสดงตัวเลข
20.35 น. ยังมีเวลาอีกเยอะสำหรับการหนี
          “เดี๋ยวลงจากภูเขาลูกนี้ ต้องเจอด่านใหญ่ครับ กองพันที่12 อยู่ข้างหน้าซอนแจรายงาน ฉันพยักหน้ารับรู้ ในใจก็อยากให้ถึงไว ๆ ผ่านจุดนี้ไปได้เท่ากับฉันรอดแล้ว
          เขาหันมาชวนคุย...  
          “ก่อนจะถูกส่งตัวไปอยู่กับสหายผู้กอง ผมเคยประจำการครั้งแรกที่นี่ เคยถูกส่งไปเฝ้าด่านแทจิน ริมฝั่งแม่น้ำยาลู่ ตรงที่เรากำลังจะไปด้วยนะครับซอนแจ เล่าถึงความหลังที่ฉันไม่เคยรู้ เพราะไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ ตลอดเวลาที่ทำงานด้วยกัน ฉันเองก็ไม่ค่อยชอบหน้าเขานัก เขามักปีนเกลียวบ่อย ๆ แต่คราวนี้ต้องมาตกระกำด้วยกัน ต้องเป็นพวกเดียวกันอย่างช่วยไม่ได้            
          “ฉันก็เคยอยู่กองพันที่ 12 เคยบังเอิญจับผู้หลบหนีได้คนหนึ่ง สอบสวนเสร็จฉันก็ปล่อยไป จับได้ตอนฉันไปเดินป่าที่เขาดงซอน  ตอนนั้นฉันไปฝึก  เดี๋ยวเราก็ต้องเดินไปที่นั่นแหละ ฉันให้ข้อมูลบ้าง ปรกติเรื่องแบบนี้เราไม่เคยคุยกัน            
          “ผมเคยยิงพวกเขาด้วยนะครับ พวกที่คิดหลบหนี ในแม่น้ำศพเยอะแยะ พวกเรายิงทั้งนั้นแหละครับน้ำเสียงของเขายังเจือปนความภูมิใจ ผู้นำเกาหลีเหนือไม่รู้จักคำว่า เมตตาปราณี เขายัดเยียดชุดความคิดอำมหิตให้กับกองทหาร ฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมเพื่อสร้างอาณาจักรแห่งความกลัว           
          ซอน แจมีสีหน้าเครียดขึ้นนิดหน่อย  ถึงแม้ในรถจะมืด แต่ระยะห่างของเราก็แค่ศอกเดียว เขาถอนหายใจบ่อยจนฉันเริ่มเห็นว่าเขาเริ่มสับสนมากขึ้น
         “สหายผู้กองครับ!..ตั้งแต่สร่างเมาผมก็คิดมาทั้งทาง น้ำเสียงของซอนแจเปลี่ยนไป ทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจ
          “มีอะไรคะ?” ฉันหันไปถาม
          “เมื่อก่อน...ผมเห็นผู้หลบหนี เป็นศัตรูของชาติเป็นผู้ทรยศหักหลังท่านผู้นำ วันนี้ผมกำลังจะเป็นศัตรูของชาติเหรอครับ? เรากำลังจะแปรพักตร์นะครับ ซอนแจเป็นทหารหลายปี ระบอบได้สลายสามัญสำนึกของมนุษย์ปรกติไปหมดแล้ว                     
          “สหายซอนแจ ได้เคยคุยกับผู้หลบหนีบ้างหรือเปล่า? ทำไมเขาต้องหนี แล้วเขาหนีอะไร?”ฉันพอเข้าใจคนหนุ่มอย่างซอนแจ การฆ่าคนทำให้เขาได้รับความดีความชอบจากคนที่เขายิง       
          ชาวบ้านที่น่าสงสารเหล่านั้นถูกทางการป้ายสีให้เป็นผู้ทรยศเป็นคนแปรพักตร์ ศพเพื่อนร่วมชาตินอนตายข้างถนนจึงเห็นจนชินตา เป็นการข่มขู่ให้กลัวจนไม่กล้าโงหัวขึ้นต่อต้าน               
          “เราปล่อยพวกนั้นไปไม่ได้หรอกครับ การหนีจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ต้องไปตายอยู่ดี การที่พวกเรายิงให้ตายก่อนเท่ากับเราได้ช่วยให้วิญญาณของเขาจะได้ไม่ต้องทรมานและหลงทางนะครับ เขาก็เหมือนกับทหารระดับล่างทั่วไป ใครที่ไม่เคยออกนอกประเทศจะหาเหตุผลมาอธิบายหรือโต้แย้งความเชื่อของตัวเองไม่ได้ ชนชาติที่โดนครอบงำโดยสื่อภายในประเทศตั้งแต่เกิดยันตาย                    
          คุณค่าของความเป็นคนไม่มีราคา ชีวิตของทุกคนเป็นของท่านผู้นำ ประชาชนมีชีวิตอยู่ได้วันนี้เพราะร่มบารมีและการเสียสละของตระกูลคิม หน้าที่หลักของประชาชนคือเทิดทูนผู้นำและแสดงจงรักภักดี  แม้จะอดอยากยากเข็ญเช่นไรก็ต้องเชิดชูไว้เหนือหัว                
          “ไม่ใช่หรอก สหายก็รู้ดีนี่ว่า มีแต่ทหารอย่างพวกเราเท่านั้นที่มีชีวิตดีกว่า ชาวบ้านเหล่านั้นเขาหนีเพราะความหิวโหย ธรรมชาติโหดร้ายจนพวกเขาทำกินไม่ได้ พวกเขาไม่เคยกินข้าวครบสามมื้อเหมือนพวกเราหรอกนะ ฉันปลอบไปตามความจริง เกาหลีเหนือแบ่งชนชั้นประชากรปกครองอย่างชัดเจน            
          “แต่ผมไม่สบายใจที่ต้องหนีไปแบบนี้ เหมือนทรยศท่านผู้นำ ทรยศประเทศนะครับ เขาลังเลอย่างเห็นได้ชัด ฉันได้แต่คิดในใจว่าการล้างสมองของรัฐมันรุนแรงและได้ผลมากจริง ๆ             
           “สหาย! โลกใบนี้กว้างใหญ่มากนะ ไม่ได้มีประเทศเราประเทศเดียว ลมหายใจต่างหากล่ะที่เป็นตัวกำหนดว่า เรายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?ฉันรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนความเชื่อของคนในชั่วเวลาอันสั้นแค่นี้              
           “แล้วผมจะอยู่ได้อย่างไรโดยไม่มีท่านผู้นำ แค่คิดผมก็หายใจไม่ออกแล้ว ประเทศอื่นมีแต่ความยากจนและโรคร้าย ผู้คนก็ไม่เป็นมิตรเหมือนปีศาจ คอยแต่คิดจะมายึดประเทศของเรา ถึงแม้เราจะหนีออกไปได้ เราก็อดตายหรือไม่ก็โดนฆ่าตายอยู่ดีสิ่งที่ซอนแจพูดออกมา ทุกโรงเรียนสอนเหมือนกันหมดตั้งแต่ชั้นอนุบาลยันดอกเตอร์
           "อื้อ...ออ!!" คังซังอาขยับตัวลืมตาลุกขึ้นนั่งส่งเสียงเข้ามาคุย…               
          “จริงครับ! ผมเคยเรียนมา ท่านผู้นำสูงสุดของเราสุดยอด เคยพิชิตยอดเขาแบคดูคนเดียวมาแล้วนะครับ ท่านขับเรื่อยอร์ชได้ตั้งแต่อายุ 3 ขวบและไปเหยียบดวงอาทิตย์เป็นชาติแรกด้วย ซังอางัวเงียฟื้นขึ้นมาอวดสรรพคุณผู้นำอีกคน 
          ซอนแจได้คนสนับสนุนรีบบอกต่อตามความเชื่อ...
          “ออกไปก็ติดโรคตายอยู่ดี ประเทศเรามียาวิเศษ รักษาโรคได้ทุกชนิด ท่านผู้นำของเรายอมอดอยาก ทนทุกข์ระทมเพื่อให้พวกเราได้มีชีวิตสุขสบาย ผมลำบากใจจริงๆ” ซอนแจร่วมผสมโรง มือยังคงสาวพวงมาลัยสายตาจ้องถนนด้วยสีหน้าเป็นกังวล        
          ฉันได้แต่ถอนหายใจ ผู้นำระดับสูงไม่มีคนไหนไม่ลงพุง นายทุนและเจ้าหน้าที่ระดับสูงมีกินมีใช้อย่างเหลือเฟือ มีแต่ชาวบ้านตาดำๆที่หนังหุ้มกระดูก พวกเขามองไม่เห็นหรือไงกัน? ถ้าพวกเขาเป็นอย่างนี้ เราจะเดินร่วมทางกันได้อย่างไร? คงต้องคิดใหม่...                  
          “นี่พวกนาย! เรามาตกลงกันใหม่ดีมั๊ย? ฉันสงสัยว่าพวกนายคงสร่างเมาและหายตกใจแล้วแน่ๆเลย ฉันหันไปมองหน้าทีละคน
          “ตอนนี้เรากำลังจะหนีความตาย จากคนที่สหายกำลังชื่นชมว่าดีนักหนาอยู่นะ สหายโลเลเกินไป จะหนีได้เหรอ? จอดรถเดี๋ยวนี้!” ฉันชี้ไปที่ข้างทางให้หยุดรถ 
          ซอนแจหักพวงมาลัยชะลอรถจอด                  
          “ถ้าสหายไม่ไป ฉันจะไปคนเดียวฉันเปิดประตูลงไปยืนข้างล่าง  ซอนแจก้าวลงจากรถแล้ววิ่งอ้อมมาหา                    
          “สหายผู้กองครับ ผมขอโทษ ผมรู้สึกผิดกับท่านผู้นำ ผมทรยศประเทศไม่ได้ซอนแจก้มหน้านิ่ง
          ฉันไม่แปลกใจเลย เด็กที่โตมาในเกาหลีเหนือมีความเชื่อเรื่องนี้เหมือนกันหมด ความเลวร้ายของโฆษณาชวนเชื่อที่ปลูกฝังใส่หัวเด็ก ผู้นำสูงสุดคือสมมุติเทพและล่วงรู้ความคิดจิตใจของทุกคน
           ฉันหันไปมองซังอาที่ยังนั่งที่เดิม...                   
           “สหายคังซังอา ไปหรือไม่ไป?” ฉันถามเสียงดุ                      
          “ผมจะไปเป็นเพื่อนกับสหายผู้กองครับ เขาตอบชัด หมดห่วงกับคังซังอา ต้องจัดการกับอีกคน....
          “สหายซอนแจ เอาวิทยุกับปืนมานี่ ฉันเดินเข้าไปปลดปืนที่คาดอกและยึดวิทยุโยนใส่รถ                 
          “เราต้องแยกกันตรงนี้ สหายไปตามทางของสหาย ฉันไปตามทางของฉัน ขอให้นายโชคดี...อันยอง!”
           “อันยองฮาเซโย!”เขายืนก้มหน้านิ่งก่อนจะหันหลังเดินจากไป
          “...........” ถนนบนชนบทภูเขายามค่ำคืน ไม่มีรถผ่านแม้แต่คันเดียว ไม้พุ่มสองข้างทางโยกเอนตามแรงลม เสียงสัตว์กลางคืนร้องระงมป่า แสงจันทร์สะท้อนถนนยาวคดเคี้ยว
          ซอนแจเดินดุ่ม ๆ ย้อนกลับไปในทางที่เราขับรถผ่านมา คังซังอากระโดดลงจากรถ ชักปืนมาขึ้นลำ...          
          “แก็รก!” ใจฉันหายวาบ ขยับกุมปืนที่เอว คิดในใจคังซังอาหักหลังเหรอ?  ...            
          “จะทำอะไรสหายซังอา 
          “ปล่อยไปไม่ได้ครับ” เขาหันกระบอกปืนไปทางซอนแจ          
           “อย่า! ฉันรีบคว้าปืนก่อนที่ซังอาจะลั่นไก การฆ่าคนในเกาหลีเหนือเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ไม่ใช่เวลานี้   
          “อย่าเสียเวลากับมัน ปล่อยมันไปฉันส่ายหน้า ดึงปืนขนาด 9 ม.ม.จากมือเขาเอามาถือไว้               
          “สหายผู้กองครับ เราจะหนีไม่รอด ก็เพราะมันนี่แหละครับ ยิงทิ้งไปเลยซังอาฮึดฮัด มองจ้องเงาตะคุ่มที่เดินจากไป            
          “อย่าทำเลย อย่างไรเสีย พวกเราทุกคนก็มีความตายรออยู่เหมือนกัน ถ้าเขาตัดสินใจอย่างนั้น ก็ช่างเขาเถอะ เราไปกันต่อดีกว่าฉันเข้าใจความรู้สึกของทั้งสองคนเป็นอย่างดี สิ่งที่พวกเรามีเหมือนกันคือ ความกลัว ความกลัวที่เกาะกินไปทุกอณูร่างกาย                  
          ฉันสลัดความกังวลขับรถไปต่อตามความตั้งใจเดิม ซังอาขึ้นมานั่งข้างหน้าด้วยกัน รถยนต์ขับวกเวียนตามโค้งเหลี่ยมภูเขา สักพักใหญ่ก็ลงจากภูเขามาสู่ทางราบ มองเห็นแสงไฟสว่างอยู่ไกล ๆ ไฟแดงกระพริบวับวาบข้างหน้าแสดงว่ามีด่านทหาร ถึงจุดที่ฉันกังวลแล้ว...กองพันที่12 
          "ตึกตึก!ตึกตึก!" จิตใจที่สงบลงไปแล้วถูกปลุกขึ้นมาเต้นรัวอีกครั้ง
          "บรื้น!...นน!!" รถยนต์พุ่งตรงเข้าไป เลี้ยวหลบไม้กั้นสลับซ้ายขวาที่วางกั้นถนนไว้ ทหาร 4 นายอาวุธครบยืนกอดอกอยู่ฝั่งละสองคน เมื่อรถวิ่งเข้าไปใกล้จึงได้เห็นมีทหารอีกคนนอนอยู่บนเตียงผ้าใบอยู่ข้างทาง
          ทหารทางด้านคนขับยกมือเป็นสัญญาณให้หยุด เขารีบทำความเคารพทันทีที่สายตาของเขาเหลือบมาเห็นป้ายข้างประตูหน้าของรถยนต์ รูปธงชาติและสัญลักษณ์ตราปืนไขว้กันของฝ่ายความมั่นคง เสียงตบเท้าทำความเคารพดังรบกวนทหารในเปลสะดุ้งตื่น...           
          “จะไปไหนกัน?” เขาตะโกนถามเสียงขัดใจ พร้อมเดินเบ่งเข้ามาใกล้จนเห็นหน้ากันชัดเจน
          "ห่ะ!" เขาตกใจยืดอก ทำความเคารพทันที …         
          “ชุงซอง! ผู้กองจูยอน จะไปไหนครับดึกดื่นป่านนี้?”
          “เฮ่อ!” ฉันถอนหายใจที่มีคนจำได้ความกังวลหายไป
          “พรุ่งนี้จะวางระบบคอมพิวเตอร์ให้ผู้พันคิมหน่อยค่ะ มาส่วนตัวเก็บไว้เป็นความลับด้วยนะคะฉันยิ้มหวานไปให้นายทหารคนนั้น ใครก็ไม่รู้ ฉันไม่รู้จัก                     
          “เชิญครับๆ เขาก้มหัวเชิญอย่างนอบน้อม                 
           "ย้าฮุ่ว...วว!" หัวใจเริงร่า ความมั่นใจกลับมาอีกครั้งที่ผ่านจุดสำคัญนี้ได้อย่างราบรื่น ถนนหน้ากองพันที่12 มีแต่ขวากหนามที่วางไว้เต็มถนน ต้องโยกหลบซ้ายขวาตลอดระยะทางเกือบสองกิโลเมตร ฉันยิ้มขำคังซังอานั่งโยกตัวไปมาตามจังหวะที่หักพวงมาลัยหลบซิกแซก                  
          “สหายผู้กองครับ ไปอีกไกลไหมครับกว่าจะถึงแม่น้ำ?” สหายซังอา มองตรงไปที่ถนนยาวคดเคี้ยวข้างหน้า อย่างน้อยฉันก็ยังอุ่นใจที่น้องชายคนนี้ไม่ทิ้งกันระหว่างทาง แอบซึ้งในน้ำใจของเขา ในยามยากเช่นนี้หาเพื่อนตายได้น้อยมาก         
          “ถ้าเราขับตรงไปอีก 5 กิโลเมตรก็ถึงด่านแทจิน ด่านสุดท้ายที่ริมแม่น้ำยาลู่ แต่เราไปข้ามตรงนั้นไม่ได้ เดี๋ยวฉันจะเลี้ยวซ้ายแยกหน้า ไปที่เขาดงซอนแล้วเดินอ้อมภูเขาไปลงแม่น้ำฉันชี้ไปที่เทือกเขาด้านหน้าอธิบายให้สหายซังอาที่ตั้งใจรับฟังอยู่             
          “สหายผู้กองครับ ผมว่ามันไม่มีความยุติธรรมในบ้านของเราหรอก ครั้งก่อนสหายผู้กองก็โชคร้ายสหายซังอาพูดโดนใจดำ ความคับแค้นภายในเดือดปุดขึ้นมา                  
          “คงจะจริง” ฉันกล้ำกลืนความปวดร้าว เรื่องเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน ก่อนที่จะย้ายจากทีมลาซารัสมาประจำที่ฝ่ายความมั่นคง
          วันนั้น...เป็นวันที่ฉันล้มทั้งยืน เป็นวันที่ไม่อาจลืมไปจากใจ ฉันโดนข้อหาสงสัยการกระทำของเจ้าหน้าที่ระดับสูง โดนโบยหลัง 50ที ขังคุกอีก 3 เดือนลดระดับความจงรักภักดีลงอีก 1ขั้น                 ตอนนั้นผมก็ใจสลาย ทำไมพวกผู้ใหญ่ถึงไม่ฟังเราบ้างเลย? ท่านนายพลไม่น่าต้องมาจบชีวิตอย่างไม่สมเกียรติ ท่านไปราชการเพื่อชาติ แต่พอติดเชื้อร้ายกลับต้องโดน... เขาหยุดพูด สีหน้าเครียด
          “พวกเขาเอาความมั่นคงมาอ้าง อะป้าและออมม่าของฉัน ท่านโชคร้ายเป็นเหยื่อของโฆษณาชวนเชื่อ
ฉันเจ็บแค้นและปวดร้าวเมื่อคิดถึงพ่อกับแม่ ฉันเกลียดไอ้ประเทศบ้านี่ เกลียดไอ้ผู้นำสูงสุด
          “ผมเห็นพวกนายทหาร ชอบเอาคดีความมั่นคงมาเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ท่านนายพลเป็นคนดี คุณผู้หญิงก็ใจดีมาก แค่ท่านติดเชื้อทำไมไม่ช่วยรักษา แล้วก็บอกว่ามียาวิเศษรักษาได้ทุกโรค โกหกซ้ำซ้อนหลายชั้นมากเขาติดตามฉันและรับรู้เหตุการณ์ที่เลวร้ายของครอบครัว คำพูดเล็กน้อยนั้นมันยิ่งทำให้ฉันเกลียดบ้านเกิดมากขึ้น คนเป็นไข้หวัดกลับโดนข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง             
          “นายจะไม่เสียใจภายหลังนะ ที่ตัดสินใจหนีไปกับฉัน”           
          “ถ้าท่านนายพลไม่รับผมมาอยู่ด้วย ผมก็ยังคงลุยหิมะจับกระต่ายกินอยู่แถวยอดเขาแบคดู ไม่มีโอกาสมาเป็นทหาร ผมจะเสียใจมากที่ไม่ตามมาดูแลสหายผู้กอง สหายผู้กองเองก็สอนงานผมหลายอย่าง ผมจะได้ใช้ความรู้ตอบแทนสหายด้วย”เจ้าหนุ่มน้อยทำให้หัวใจชุ่มชื้น
          “ขอบใจนะ สหาย
! ที่เอ็นดูฉัน” ฉันยิ้มอุ่นใจ    
          “อย่าเรียกว่าเอ็นดูเลยครับ ต้องเรียกว่าซื่อสัตย์ถึงจะถูก”  ซังอาหน้ามุ่ยเมินหน้าออกนอกรถแล้วบ่นเสียงดัง...                                
          “ผมโกรธมากตอนที่สหายผู้กองถูกจับ แค่ร้องขอให้โรงพยาบาลตรวจสอบผลการติดเชื้อใหม่  ทั้งๆที่หมอก็รู้ว่าท่านนายพลไม่ได้ติดเชื้อ ผมว่าหมอต้องการให้ท่านเป็นเหยื่อในการโฆษณาชวนเชื่อ”           
          “เลือดต้องล้างด้วยเลือด สักวันฉันจะเอาคืน” ฉันบอกด้วยความโกรธ  หันไปดูอีกที เขาก็หลับไปอีกแล้ว น่าตบสักฉาดจุดชนวนให้โกรธแล้วหลับหนีกัน                    
           พระจันทร์เต็มดวงคล้อยลงไปมาก แม้ยามค่ำคืนแต่ก็ยังมองเห็นฟ้าใส เวลาในรถบอก 03.09น. ฉันขับรถเสียบเข้าไปในพุ่มไม้แล้วช่วยกันเอากิ่งไม้แถวนั้นมาปิดเท่าที่ทำได้ เราสองคนก็เก็บสัมภาระที่จำเป็นใส่เป้สะพายหลังคนละใบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นใส่ชุดฝึก             
เสื้อยืดทหารสีดำ กางเกงขาสั้นรัดรูป รองเท้าผ้าใบไฟฉายคาดหัวคนละดวง กึ่งเดินกึ่งวิ่งลัดเลาะไปตามทางฝึกที่ทหารมาทำไว้ ต้นไม้ขนาดกลางสองข้างทางยื่นกิ่งมาเกี่ยวเสื้อข่วนแขนถือว่าเป็นอุปสรรคเล็กน้อย
          “ต้องขึ้นเนินไปให้ถึงต้นไม้ใหญ่ อีกประมาณ 500 เมตร จะเป็นจุดที่ต้องออกจากรั้วฉันหันไปบอกซังอา เรากำลังหลบหนีออกจากประเทศที่ใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือในการปกครอง การต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดผวาเป็นเรื่องยาก ต้องคอยระแวงเพื่อนบ้านที่พร้อมจะไปแจ้งความเพื่อแลกกับรางวัลนำจับ 
          กฎหมายความมั่นคงเป็นอาวุธร้ายแรงที่ฝ่ายรัฐ เอามาอ้างเพื่อฆ่าผู้เห็นต่างอย่างไร้ความปราณี แค่อ้างว่ารักชาติ รักผู้นำสูงสุด สวมเสื้อคนดีก็สามารถรังควานคนอื่นได้ตามสบาย  ผู้เห็นต่างถูกตราหน้าว่าไม่ใช่ผู้ร่วมชาติไม่สมควรมีชีวิต   
ฉันเดินมาจนถึงต้นไม้ใหญ่ เพ่งสายตาไปตามไฟฉาย มองหาทางลงไปในป่าด้านล่าง ค่อยเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ลงไป เสียงซังอาเรียกจากบนเนินด้านหลัง  
          “สหายผู้กองครับ!”             
          “หือ! มีอะไรคะ?” ฉันขานรับก่อนจะค่อย ๆ ก้มหลังหลบกิ่งไม้
          “มีคนตามมาครับ!  ผมเห็นแสงไฟหน้ารถยนต์ซังอา ชี้นิ้วย้อนไปทางด้านล่างที่เราจอดรถทิ้งไว้         
          ฉันใจหายวาบรีบเดินขึ้นไปหา มองย้อนกลับตามที่ซังอาชี้นิ้ว  รถยนต์สามคันวิ่งตามกันมาด้วยความเร็วสูง ไฟสว่างจากหน้ารถยนต์ฝุ่นฟุ้งกระจาย                          
          “ซอนแจ หักหลังเราแล้ว รีบไปกันฉันดึงมือซังอาแล้วรีบวิ่งลงไปตามทาง ชี้ไปที่รูตาข่ายที่ขาดกว้าง
          “เย่” ซังอาพุ่งตัวคลานมุดออกไปก่อน  ในขณะที่ฉันกำลังคลานออกตามไป ทันใดนั้น! หูของเราทั้งสองคนได้ยินเสียงและหันมามองหน้ากันทันที
           "..........." ฉันขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ซังอาเองก็นิ่งอึ้งไป
           “โฮ่ง!  โฮ่ง!  โฮ่ง!” นั่นมันเสียงเยอรมันเชฟเฟิร์ด นี่นา ทำไงดี//
               ........................................................................................................................................................

ชินอึยจู เมืองชายแดนทิศตะวันตกเกาหลีเหนือ จีน

มุมมองสายตา ชเว จู ยอน

สิงหาคม ค.ศ.2020

เราสองคนล้มลุกคลุกคลาน หัวทิ่มหัวตำกับพื้นที่เต็มไปด้วยหญ้าและดินแข็ง กิ่งไม้เกี่ยวกระชากเสื้อผ้าขาดเป็นริ้ว วิ่งหน้าตั้งตะลุยผ่านป่าโปร่ง ออกมาเจอป่าไผ่ ได้แผลติดตัวกันมาคนละแผลสองแผล เสียงหมาใหญ่เห่ากรรโชกบีบหัวใจแสงไฟไล่ตามหลังมาถึงป่าโปร่งแล้ว บางช่วงเป็นทางลาดเอาก้นไถลไปกับพื้นแทนการวิ่ง จนก้นเจ็บระบมไปหมด ผ่านออกจากดงไม้ไผ่มาได้ก็เจอทุ่งหญ้ากว้างสุดตา หญ้าคอมมิวนิสต์ใบแห้งสูงระดับเอวรอพันขาของเราอยู่ เราไม่มีทางอื่นให้เลือกตัดสินใจพากันวิ่งเข้าดงหญ้าแห้ง มันพันแข้งพันขาวิ่งไม่ถนัดหกล้มหกลุกหัวทิ่มหัวตำตีลังกากันหลายตลบ  ไฟฉายกระเด็นตกไปตอนไหนก็ไม่รู้และฉันก็ไม่คิดจะกลับไปหามันอีก เป้าหมายของเราอยู่อีกฟากของทุ่งหญ้ากว้างนี้....
          “สหายซังอา! จุดไฟเผาหญ้าเร็ว!” ฉันตะโกนสั่งโดยไม่ได้หยุดรอ วิ่งไปล้มไปอย่างทุลักทุเลจนผิดจุดหมายปลายทางที่ฉันตั้งใจ
หนุ่มน้อยวิ่งตามมาจนทัน  เปลวไฟโหมกระพือขึ้นและลามกินพื้นที่ไปเรื่อยเป็นวงกว้าง จิตใจฉันยังจดจ่ออยู่กับผู้ล่า ด้วยความมืดตอนนี้ไม่รู้มาถึงไหนแล้ว สันนิฐานว่ายังคงติดอยู่ในป่าไผ่         
           “สหายซังอา เผาไปเรื่อยๆ  หมามันจะได้ดมกลิ่นเราไม่ได้ ตอนนี้ฉันรู้สึกแสบและเจ็บขาทั้งสองข้าง สุนัขเยอรมันแชฟเฟิร์ดยังคงเห่าไล่หลังเสียงดังในป่าไผ่             
          ฉันดึงกอหญ้ามาม้วนให้กลมแล้วจุดไฟคบเพลิงวิ่งแยกไปทางซ้าย ไฟในมือจี้ไปที่ต้นหญ้าไฟลุกติดไปตามทาง ซังอาก็ทำเช่นเดียวกันแต่วิ่งไปด้านขวา แสงเปลวไฟจากกอหญ้าทำให้มองเห็นใบหญ้าไหวยวบยาบจากการเคลื่อนไหวของสุนัขตัวโต มันก้าวกระโจนพร้อมเห่ากรรโชกมาจนมุมที่กองไฟ สุนัขทหารทั้งสามตัวไม่กล้ากระโดดข้ามเปลวเพลิง วิ่งเลาะเพื่อหาทางข้าม ไฟถูกจุดขึ้นเป็นรูปตัววี  พวกมันยิ่งวิ่งยิ่งทำให้ไปไกลจากพวกเรามากขึ้น            
          "แฮ่ก!แฮ่ก!แฮ่ก!" ซังอาวิ่งเข้ามาหา เสียงหายใจหอบแรงเม็ดเหงื่อผุดเต็มใบหน้า เขาหยุดพักหายใจมองกลับมาด้านหลัง  เสียงหมายังเห่าเหมือนเดิมแต่อยู่คนละฝั่งกองไฟยังพอเบาใจ
           “ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด!” เสียงปืนอัตโนมัติดังขึ้น ฉันรีบทิ้งตัวตามสัญชาติญาณ แล้วกลิ้งไปด้านข้าง เสียงปืนดังต่อเนื่องจนไม่กล้าโผล่หัวขึ้นไป   
           “สหายซังอา เป็นอะไรมั้ย?”  ฉันนอนคลานศอก รุกคืบไปข้างหน้า                
          “ไม่เป็นไรครับ ซังอาคลานตามมา เสียงหอบฟื้ดฟาด                   
          “ลุกขึ้นก้มหลังวิ่งตรงไปข้างหน้า พ้นป่ากล้วยก็ถึงแม่น้ำยาลู่แล้ว ฉันลุกวิ่งก้มหลังให้พอดีกับความสูงของหญ้า              
          ด้วยความกลัวในใจ ฉันระแวงหลังตลอดเวลา กลัวลูกปืนที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือน
           “ฟืดฟาด! ฟืดฟาด! เราวิ่งมาหยุดที่หน้าดงกล้วยป่า              
           “ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด!” เสียงปืนสนั่น          
          “ไป! ฉันก้มหลังวิ่งเข้าป่ากล้วย                    
          “ปัง!ปัง!ปัง!ปัง! เสียงปืนยังดังตามหลังไม่ขาดสาย แค่หมาก็จะบ้าตายอยู่แล้ว เจอปืนอีกจิตใจก็ยิ่งปั่นป่วน เหนื่อยแทบขาดใจ แต่เราไม่มีเวลามาสงสารตัวเอง หน้าที่ตอนนี้คือต้องหนีให้ได้ วิ่งแหวกใบกล้วยด้วยหัวใจแทบจะระเบิด กลัวมากจนขนหัวลุกไปหมด                     
           พอหลุดจากดงกล้วย ได้พักหายใจวิ่งเหยาะ ๆ กระหืดกระหอบ  ด้านหน้าเป็นลานหินชะง่อนผายื่นออกไป ด้านล่างเป็นหน้าผาลึกลงไปสู่แม่น้ำยาลู่ เตลิดมาผิดเป้าหมายไกลมาก ริ้วสายน้ำสะท้อนเงาจันทร์ระยิบระยับ สายหมอกจางๆปกคลุมไปทั่วลำน้ำ กลิ่นไอเย็นเข้าปะทะจนแสบจมูก
          ซังอาเดินกลับมาจากชะโงกดู...         
          “หน้าผาครับ เอาไงดี?” สหายซังอาหายใจหอบเหนื่อย
          “โฮ่ง! โฮ่ง! เสียงอัลเซเชี่ยลเห่าเข้ามาใกล้เต็มทีแล้ว กลองในหัวใจระดมตีหนักขึ้น เวลาในการคิดและตัดสินใจน้อยเต็มที     
หันกลับไปมองที่ดงกล้วยด้านหลัง เหลียวซ้ายแลขวาหาทางหนีต่อ ตรงนี้ไม่ใช่จุดหมายที่ต้องการจะมา แต่อารามตกใจกลัว ทำให้หนีมาทางนี้อย่างไม่รู้ตัว         
          ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำไกลออกไปเห็นแสงไฟฟ้าจากบ้านเรือนของชาวจีนสว่างไสวเตรียมต้อนรับวันใหม่
           ทันใดนั้น....    
           “โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!” เจ้าเยอรมันเชพเพิร์ททั้งสามตัวก็กระโจนพรวดออกจากดงกล้วย ซังอากระโดดมาคว้าข้อมือแล้วกระชากให้วิ่งตาม  ฉันปลิวตามแรงเด็กหนุ่มกระชาก          
          “กระโดดให้ไกลที่สุดนะครับ ยืนตรง อุดจมูกไว้เสียงสุดท้ายของซัง อาก้องในหู ฉันวิ่งก้าวกระโดดสุดแรง ดีดตัวออกจากหน้าผาสูงเพื่อให้พ้นชายขอบด้านล่าง            
          ร่างกายเบาหวิวเหมือนหลุดล่องลอยไปในอวกาศอันเคว้งคว้างเวิ้งว้างความรู้สึกหวิวโหวง ถึงแม้จะไม่กี่วินาที  แต่มันก็ดูเหมือนยาวนาน ไกลแสนไกลก่อนที่ร่างจะกระทบน้ำด้านล่าง /// I believe I can fly ///
          “ตูม! ” ฉันยืดขาตรงเอามือบีบจมูกจมดิ่งลงไปใต้น้ำ ก่อนจะงอขาขึ้นเพื่อชะลอการจมลึกลงไป แล้วค่อยๆถีบน้ำดันตัวขึ้นเหนือน้ำขึ้นมาหายใจ                        
          “ฮู้ว!” ฉันเป่าลมออกจากปากหลังขึ้นน้ำ สายตามองหาซังอา สายน้ำพัดแรง สายน้ำกำลังไหลลงไปทางซ้ายแสดงว่าน้ำกำลังลงไปทางทะเลจีนที่ตานตง พยุงลอยตัวออกไปเรื่อยๆให้ไกลจากวิธีกระสุนของทหารด้านบน สายหมอกบางลอยเหนือน้ำเป็นเหมือนม่านพรางตา            
          “ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด!!” แสงไฟแลบจากปลายกระบอกปืนบนหน้าผา ลูกกระสุนตกลงน้ำเหมือนเม็ดฝนรีบมุดน้ำอีกครั้ง ปล่อยตัวให้ไหลไปตามกระแสน้ำ  แม่น้ำยาลู่ช่วงนี้กว้างพยายามมุดน้ำพยุงตัวให้ออกไปกลางแม่น้ำไกลจากชายฝั่งมากที่สุด ลอยคอให้สายน้ำพัดพาไปไกลจากจุดนี้               
           พยุงตัวลอยน้ำมาเรื่อยๆจนถึงชายหาดเล็กๆห่างจากหน้าผามาไกล คลานขึ้นชายฝั่งโยนเป้ลงพื้นแล้วล้มตัวลงนอนอย่างหมดเรี่ยวแรง แสงสว่างรุ่งอรุณเริ่มจับขอบฟ้า ฝูงนกโบกบินเรียงแถวยาว สูดลมหายใจแรงหลายครั้งความเหนื่อยทำให้ต้องพักอีกหน่อย ฉันน่าจะรอดแล้ว ซังอาล่ะอยู่ไหน?               
          “สหายซังอา! คัง! ซัง! อา! ซัง! อาอ้า!” ฉันเดินเลาะตามริมตลิ่งป้องปากตะโกนเรียกลูกน้องคนสนิทตลอดเวลา กลางสายน้ำยามนี้มีแต่ความว่างเปล่าสายลมและแสงแดดยามเช้าช่างสดใสดีเหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลใจลดลง             
          ความรู้สึกเจ็บแปลบตามเนื้อตัว  ทำให้ต้องก้มมองสำรวจตัวเอง ใจหายที่เห็นบาดแผลและเลือดแห้งเกรอะกรังตามรอยแผลที่ถูกบาดตามลำตัวอีกหลายแผล ก้นระบมปวดเมื่อยไปทั้งตัว              
          “คังซังอา! ซังอา! ซังอาอ้า!” ฉันเฝ้าตะโกนด้วยใจหวัง  ร้องเรียกอยู่นานแต่ความเงียบทำให้ใจเสีย ความคิดด้านร้ายเริ่มกรูเข้ามาป่วนสมอง เพื่อนของฉันต้องปลอดภัย เขาต้องไม่เป็นอะไร พยายามไม่นึกถึงทางลบแต่น้ำตาเจ้ากรรมก็เอ่อล้น ความเจ็บปวดจากส่วนลึกที่มันอัดอั้น ระเบิดพรั่งพรูสุดต้านทาน น้ำตาของคนสิ้นหวังรินหลั่ง เหมือนใจจะขาด             
          ฉันไม่ยอมปักใจเชื่อว่าซังอาไม่อยู่กับฉันแล้ว  ฉันยังเดินร้องหาไปเรื่อย  ในใจสงสารในวาสนาของเขา อีกนิด อีกนิดเดียว  อีกนิดเดียวแท้ๆ  ซังอาจะได้พบโลกใบใหม่แล้ว...อีกนิดเดียว ฉันนั่งชันเข่ารออย่างสิ้นหวังอยู่อย่างนั้นไม่มีเสียงจะเรียกซังอาแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นพ้นยอดเขาส่องแสงจ้ากระทบแผ่นน้ำ  เหล่านกน้อยโบยบินกันอย่างอิสระเสรี ท้องฟ้ากว้างใสสวยงามแต่ฉันเศร้าใจหดหู่ น้ำตายังคงไหลอาบสองแก้มใจสลาย ความอึดอัดและแรงกดดันทำมือสั่นใจสั่น นั่งคอตกร้องไห้ทุบหน้าอกตัวเองด้วยความเสียใจ มองไปทางไหนก็เงียบไม่มีแม้เงา เดินเลาะชายฝั่งริมตลิ่งมองหาซังอาตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจนแดดเริ่มแรง           
          เรือลาดตระเวนลำน้ำของทหารเกาหลีเหนือลอยลำมาแต่ไกล ฉันจึงหันหลังเดินต่อไปเข้าสู่แผ่นดินจีน แผ่นดินที่ฉันไม่เคยคิดอยากย่างกรายเข้ามาใกล้แม้แต่ในฝันก็ตาม อีกไม่ไกลก็จะถึงเมืองตานตง ที่นี่มีชนกลุ่มน้อยเชื้อสายเกาหลีอาศัยอยู่จำนวนมาก ทุกย่างก้าวจากนี้ไปหมายถึงลมหายใจ หากพลาดถูกจับได้ถูกส่งตัวกลับไปมันคือการตายทั้งเป็น                    
          ฉันหยุดหันกลับไปมองประเทศบ้านเกิดที่ภาคภูมิใจเป็นครั้งสุดท้าย  จากนี้ไปคงไม่ได้กลับมาเหยียบแผ่นดินนี้อีกแล้ว เกาหลีเหนือดินแดนที่เหนือจินตนาการไม่มีคำพูดใดในโลกจะพรรณนาได้  ประเทศที่ยกย่องเผด็จการให้เป็นผู้วิเศษ ประเทศที่ชีวิตของคนจนไม่มีค่า ดินแดนที่ความรักมีความหมายเดียวคือจงรักภักดีท่านผู้นำ ไม่มีความรักที่โรแมนติกในดินแดนเกาหลีเหนือ...อันยอง                 
เสรีภาพในการโบยบินไปในท้องฟ้าของนกป่า ช่างมีค่ามากกว่าความเป็นคนของชาวเกาหลีเหนือ  ถ้ามีโอกาสที่จะล้างแค้น ฉันจะทำโดยไม่รีรอ ชะตาชีวิตจากนี้อยู่ที่ฟ้าลิขิตแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องยอมรับมัน ตัดสินใจกัดฟันก้มหน้าน้ำตารินเดินเข้าสู่ดินแดนมังกร            

                                                                         .........................................................   
                

จำนวนผู้มาเยือน

หน้าที่เข้าชม12,859 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด10,975 ครั้ง
ร้านค้าอัพเดท6 ก.ย. 2568

สมาชิก

พูดคุย-สอบถาม