หมวดหมู่ | The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 2 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 31 ม.ค. 2567 |
นอกป่าโบราณ ฉวีจิ่ง มณฑลยูนนาน
มุมมอง ตุ๋ย เจ็ทโด้
ตุลาคม ค.ศ.2020
ใกล้ค่ำเต็มที.... สายหมอกขาวทึบครอบคลุมผิวน้ำบริเวณกว้าง บรรยากาศเงียบสงบวังเวง ผืนน้ำนิ่งสนิทไร้สายลมพัดผ่าน เขาหินปูนยืนแช่น้ำตระหง่านเหมือนเสาประตูขวางหน้า เถาวัลย์เลื้อยระโยงระยางเกี่ยวพันกันอีนุงตุงนัง รัดรอบลำตัวงูยักษ์แกะสลักรอบแท่งภูเขาสูง คล้ายเป็นสัญญาณเตือนสำหรับผู้บุกรุกว่าที่นี่คือเขตหวงห้าม
“คืนนี้พักนอน ด้านนอกตรงนี้กันก่อน พรุ่งนี้ค่อยลุยเข้าไปต่อ” ผมร้องบอกกับซอนที่มุ่งมั่นขับเรืออยู่ข้าง ๆ
เรือสีขาวลำใหญ่ 2 เครื่องยนต์ค่อยๆหันหัวเรือเข้าชายฝั่ง พื้นทรายเล็กๆพอได้ตั้งแค้มป์สำหรับคืนนี้ พวกเราช่วยกันขนอุปกรณ์ลงจากเรือคนละไม้คนละมือ
“ซอนกับอาหนานไปหาอะไรมากิน วันนี้ก่อน!” ผมพูดจบก็โยนปืนAK47ให้ซอน หลังจากที่เขาเช็คความเรียบร้อยเสร็จก็ชวนอาหนานเดินเข้าป่าหายไป
“จูยอน! หุงข้าวเลยน้อง เดี๋ยวผมกางเต็นท์ให้” สั่งเสร็จผมก็ลากเต็นท์ขึ้นไปกางใกล้ชายป่า
ใช้เวลาไม่นานก็กางเสร็จทั้ง 4 หลัง แล้วเดินไปขุดหลุมชายป่าไกลจากเต็นท์เพื่อทำส้วมชั่วคราว ลากผ้าใบไปขึงทำเป็นห้องอาบน้ำสำหรับจูยอนริมชายหาด
หลังจากตรวจสอบความเรียบร้อย ผมก็เดินฮัมเพลงสบายใจไปหาจูยอนที่กำลังนั่งหัวยุ่งหุงข้าวอยู่ข้างกองไฟควันโขมง
“ขอบใจมากนะจูยอน คุณแบ่งเบาภาระได้หลายเรื่องเหมือนกันนะนี่”
จูยอนทั้งมือและใบหน้าดำไปด้วยดินหม้อ เธอหันกลับมายิ้มหวานดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ นานวันเข้าเธอก็สนิทกับผมมากขึ้นกว่าเดิม ป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวตลอด...เป็นลูกแมวเลย
“แถวนี้ดูอึมครึมน่ากลัวชอบกลนะคะ คุณว่างั้นมั้ย?” จูยอนมองไปทางซ้ายที่เหมือนเป็นช่องประตู ทางเข้าไปอีกโลกหนึ่ง ภายในเวิ้งน้ำปกคลุมไปด้วยสายหมอกเหนือผิว น้ำดูวังเวง
“รู้สึกกลัวน่ะดีแล้ว จะได้ระวังตัว ธรรมชาติซ่อนสิ่งลี้ลับไว้มากมาย เรามาดีอย่าคิดอะไรมากเลย” ในใจผมเป็นห่วงแต่เจ้าแทน ออกตามหามา 10 กว่าวันแล้ว แล่นเรือเลาะชายตลิ่งอ้อมมาเรื่อย ไม่มีวี่แววว่าจะเจอใครเลย ถามเรือพวกหาปลาที่เจอระหว่างทางก็ไม่มีใครเห็น ได้แต่ภาวนาในใจว่าอย่าพึ่งเป็นอะไรไปก่อนนะ...รอพี่ก่อน
ทะเลสาบนี้ก็กว้างขวางมาก กินพื้นที่ป่าทั้งของมณฑลยูนนานและมณฑลกุ้ยโจว ผมเหมือนคนตาบอดไม่รู้ทิศทาง ได้แต่มาตามคำบอกของอาหนาน
จูยอนหันมายิ้ม…
“อาหนานบอกว่า ข้างในป่าโบราณ ไม่มีชาวบ้านกล้าเข้าไปค่ะ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พรุ่งนี้เขาขอกลับก่อนนะคะ เขาไม่กล้าเข้าไปกับเรา”เธอพูดเสียงเรียบ ผมพยักหน้ารับทราบ...
“คุณเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า ที่บ้านคุณมีเรื่องพวกนี้มั้ย?” ผมอยากรู้ว่าที่เกาหลีเหนือมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์บ้างหรือเปล่า?
“มีค่ะ! ความเชื่อเรื่องพวกนี้ ฉันคิดว่าเป็นชุดความคิดเดียวกันของคนเอเชียค่ะ เชื่อเหมือนกันหมด แต่ที่นั่นเรื่องหมอดูติดคุกเลยนะคะ โดนจับขังรวม ทั้งหมอทั้งลูกค้า มันเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ถือว่าบ่อนทำลายความมั่นคง แต่ฉันก็ชอบดูหมอมากเลย ฮ่าฮ่าฮ่า!” เธออารมณ์ดีหยิบเศษไม้โยนเข้ากองไฟ บ้านเขาก็มีกฎหมายความมั่นคงแปลก ๆ
“ที่บ้านของผม มีหมอดูประจำตัวลุงนายก ทำนายอนาคตประเทศและยังสามารถแก้ปัญหาการเมืองได้ด้วย” ต้องโม้สักหน่อย เรามันคนมีของ
“แปลกดีนะคะ เอาไสยศาสตร์แก้ปัญหาวิทยาศาสตร์ได้ด้วย”
“คุณเชื่อหมอดูเหรอครับ?”
เธอส่ายหน้าเส้นผมกระจาย...
“ไม่เชื่อหรอก แต่ฉันชอบดูดวง สนุกดี!” ยิ้มเริงร่าสดใสน่ารักมาก เธอไม่ได้แต่งหน้า ผิวขาวอมชมพูดูสะอาดตา
“สบายดีหรือเปล่าคุณ ดูหมอดูสนุกตรงไหน?” ผมเจอคนแบบนี้มาเยอะ ปากบอกไม่ชอบ! ไม่เชื่อ! แต่อย่าได้ชวนเชียวนะ! วิ่งนำหน้าก่อนใครเลย
“สนุกตรงที่ต้องสะเดาะเคราะห์นี่แหละค่ะ ที่บ้านฉันเขาให้ลงไปอยู่ในตุ่มหมักกิมจิเวลาดวงไม่ดี เราต้องแก้กรรม” เธอลอยหน้าลอยตาบอกเหมือนเป็นเรื่องปรกติ
“แล้วคุณ...ก็ลงไปนั่งในตุ่มนี่นะ!” พูดอย่างนี้ผมเกาหัวเลย ยายนี่ตลกใหญ่แล้ว
“อื้อ!” แน่ะ! ยังยอมรับหน้าตาเฉย
“กี่วัน?”
“ไม่นานหรอก 3 ชั่วโมงบ้าง 6 ชั่วโมงบ้างแล้วแต่เคราะห์ ดวงใครดวงมัน” เธอยิ้มร่า
ผมส่ายหัว สงสัยชอบอยู่ในตุ่ม ยายบ๊อง!...
“ข้าวสุกแล้ว! เดี๋ยวคุณอาบน้ำซะนะ ก่อนที่ไอ้สองคนนั้นจะกลับมา จะได้ไม่หนาวด้วย” ผมบอกเสร็จก็ลุกเดินไปที่เรือ คว้าถังน้ำสองใบ จ้วงน้ำในทะเลสาบเอาเข้าไปไว้ที่เต็นท์อาบน้ำริมชายหาด ข้าง ๆ เรือ
ผมก้าวขึ้นไปบนเรือเพื่อดูของใช้จำเป็น อาวุธสารพัดชนิดวางกองอยู่บนพื้น น้ำมันเรือเหลืออีกสองแกลลอนใหญ่ อาหารแห้งร่อยหรอลงไปมาก ชะเง้อคอไปมองเรือของอาหนานผูกห้อยท้ายลอยนิ่ง
จูยอน เดินหน้าดำเลอะดินหม้อเข้ามาริมเรือ…
“คุณคะ! รบกวนหยิบกระเป๋าเสื้อ ส่งให้หน่อยค่ะ!” เธอชี้มือมาที่พื้นข้างเท้าของผม กระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่วางอยู่ข้างกองอาวุธ
การได้ใช้ชีวิตคลุกคลีกันหลายวัน ได้ลดช่องว่างของกำแพงป้องกันตัวลง กลายเป็นความสนิทสนม เชื่อใจ ผมก้มลงไปหยิบกระเป๋าแล้วหันส่งไปให้ ไม่ทันได้ระวังตัว...
“นี่แน่ะ! จะได้หล่อขึ้น” เธอเอามือมาลูบใบหน้าของผม
“จะบ้ารึไง? ไม่เล่นอย่างนี้นะ” ผมดุแต่เธอหัวเราะเสียงใส ป้ายดินหม้อขวับเข้ามาอีก
“หยุดนะ!” ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยั่วให้เธอเล่นสนุก
“นี่แน่ะ!” เธอพุ่งเข้ามา ผมปัดป้องยื้อยุดฉุดกระชาก เรือโคลงเสียจังหวะ ตกจากเรือ
“เหวอ!”
“ตุบ!” ผมหล่นลงไปทับเธอบนพื้นทราย จมูกของผมฝังลงแก้มของเธอเต็ม ๆ
สายตาสบประสานกันอย่างจัง...
“เอ่อ!...”
ต่างคนต่างค้าง ผมใจหายวาบ รีบตั้งสติ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปก็แล้วกัน ถือว่าเป็นอุบัติเหตุ รีบเปลี่ยนเรื่อง...
“เจ็ทโด้จะย้ายบ้านหรือไง? ขนของมาเยอะเลย ตั้งแต่รู้จักกับคุณ เห็นหอบแต่ของเป็นคนบ้าเลย” ผมรีบหาเรื่องกลบเกลื่อน
เธอสะบัดหน้าไม่พอใจ ส่งตาหยีมาก่อนเลย...
“ฉันเคยบอกคุณแล้วไง ว่าจะเอามาเผื่อสามคนนั้นด้วย ตอนนี้อากาศก็หนาวแล้ว จะมีเสื้อใส่กันหรือเปล่าก็ไม่รู้? ฝนตกด้วย คงลำบากน่าดู” เธอเสียงเขียวหน้างอ
“ผมรู้แล้ว ล้อเล่นไม่ได้หรือไง? เดี๋ยวนี้ขี้งอนจัง” ผมสังเกตว่า ตั้งแต่พูดดีด้วย เธอก็ติดผมเป็นตังเม พันแข้งพันขาอยู่รอบตัว แล้วมักจะงอนบ่อย ๆ
ผมไม่ถือสาอะไร คิดว่าเป็นน้องสาว รู้สึกสบายใจมากเวลาอยู่กับเธอ คอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทำนั่นนี่ให้ตลอด รู้สึกเหมือนได้เป็นเจ้านาย
“คุณชอบตำหนิฉันตลอด ทำอะไรให้ก็ไม่เคยถูกใจ ฉันแคร์คุณนะคะ ระวังคำพูดด้วย” เธอยังหน้าง้ำบ่นเบา ๆ
“อ่ะ! ขอโทษก็ได้! ทีหลังไม่ทำแล้วคร้าบ!!” ผมส่งกระเป๋าให้แล้วหันมาเติมน้ำมันเรือ
จูยอนหายเข้าไปในห้องอาบน้ำสักพักใหญ่ เสียงอาบน้ำซู่ซ่าทำให้ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมอง
“ตักน้ำให้หน่อยค่ะ!” เสียงใสตะโกนจากในเต็นท์ ผ้ายางกั้นสูงแค่คอ ด้านล่างโล่งสูงครึ่งแข้ง
“โยนกระป๋องมา เดี๋ยวตักน้ำให้” ผมก้มหน้าตะโกนบอก เรืออยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่
“โยนไม่ได้ มาหยิบเอาเอง” เธอตะโกนตอบมาแล้วหัวเราะเสียงใส
“เจ็ทโด้! เดินไปใกล้ก็เห็นหมดน่ะสิ ไม่อยากเห็น เสียสายตา กลิ้งมาก็ได้” ผมยังก้มหน้าก้มตาเติมน้ำมัน ไม่ได้สนใจเธอ
“ไม่อยากเห็นแล้วขึ้นไปบนเรือทำไม..ฮึ?” คำนี้ของเธอแทงใจดำ
“เจ็ทโด้!” ผมฉุนกึกหันไปมอง เธอยืนโผล่หัวยิ้มโบกมือให้ จริงของเธอยืนบนนี้เห็นชัดเลย แต่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น
“ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าใส่ความ คนอื่นผ่านมาได้ยิน ผมเสียหาย ผมไม่เคยมีจิตอกุศลแบบนั้น ถ้าคิดว่าผมอุบาทว์ขนาดนั้น ผมจะไม่ดูแลคุณแล้วนะ ทีหลังทำเองเลย” ผมไม่เคยคิดเรื่องชู้สาวกับจูยอนเลย
ในใจของผมสงสารเธอมากกว่า ที่ต้องออกมาเร่ร่อนลำบากไกลบ้านอยู่คนเดียวอย่างนี้ แต่...เธอมาพูดอย่างนี้มันดูถูกน้ำใจกันมากไป
ผมรู้สึกโกรธจนหน้าชา กระโดดลงจากเรือ เดินเข้าไปหา…
“เอามานี่!” ผมก้มหลังเอื้อมลากกระป๋องน้ำข้างขาเธอ รู้สึกขัดใจมากที่มาดูถูกความปรารถนาดีของผม
“ฮิฮิฮิ!” เธอหัวเราะชอบใจยิ่งทำให้ผมหัวร้อน รีบไปจ้วงน้ำหิ้วมาวางไว้ด้านนอก
“ลากเข้าไปเอง ช่วยแค่นี้ล่ะ!” วางของแล้วผมก็เดินไปดูอาหารกระป๋องข้างกองไฟ นั่งหันหลังให้เธอ
“มันหนัก! ยกไม่ไหว ช่วยหน่อยค่ะ” เสียงใส ๆ ขอความช่วยเหลือจากด้านหลัง
“ไม่! ” ผมตอบห้วน ๆ ไม่หันกลับ
“ได้!...ทำเองก็ได้ แก้ผ้าเดินออกไปอย่างนี้แหละ” พอเธอพูดจบ ผมรีบหันกลับไปชี้หน้าทันที…
“เจ็ทโด้! อยู่เฉย ๆ เลย” ผมก้มหน้าเดินกลับไปที่กระป๋องน้ำนอกเต็นท์ แล้วนั่งยอง ๆ ค่อย ๆ ดันเข้าไปข้างใน
“มองอะไร?” เสียงเธอดังมาจากด้านบน
เท่านั้นแหละ!...ผมฟิวส์ขาดผึง โกรธจนสุดทน หยามกันมากไปแล้ว ด่าสักทีเถอะ ลุกพรวดขึ้นไปตวาด...
“เจ็ทโด้! ผมมองตอนไหน?” ผมอยากบีบคอเธอเหลือเกิน
“ฮ้า!” เธอหน้าตื่น อ้าปากค้าง มือข้างหนึ่งปิดบน อีกข้างปิดที่ด้านล่าง
“ตอนนี้ไง! หันไปเลยนะ โป๊ก!!” เธอเอาขันตีหัวผม
“แม่งเอ๊ย!” โดนเข้าใจผิดไปอีก ผมรีบผละหันกลับเดินไปที่ข้างกองไฟ ใจเต้นไม่ต่างจากน้ำเดือด เล่นบ้า ๆ เห็นเต็มตาเลย บอกตัวเองในใจไม่คิด ไม่คิด มึงเป็นผู้ใหญ่แล้ว มือไม้สั่นไปหมด
“ว้าย! งู! งู! งู!” เสียงเธอร้องลั่น ผมไม่กล้าหันไปกลัวโดนหลอกอีก //ก้มหน้าไว้ ก้มหน้าไว้นะตุ๋ย มึงเป็นผู้ใหญ่แล้ว//
"ช่างมัน!"
“คุณช่วยด้วย! ฉันกลัว! ฮือ!” เสียงร้องตกใจเกินธรรมดา ผมรีบหันไป พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรหัวใจแทบวาย...
“จูยอน! อยู่นิ่ง ๆ อย่าขยับ! อย่าร้อง!”
“ฟ่อ!!!” จงอางยักษ์ใหญ่เกือบน่องขา ขดตัวกลมเหมือนยางในรถยนต์วางซ้อนกัน ชูคอแผ่แม่เบี้ยใหญ่อย่างกับไม้พาย ผมเอื้อมคว้าไม้ขนาดเหมาะมือ ย่องเข้าไปกะจะฟาดกลางลำตัว
กลั้นหายใจ ย่องเงียบไปทีละก้าว ทีละก้าว ขยับไม้ในมือให้มั่น จ้องตาไม่กะพริบ ง้างมือสุด…
“กร็อบ!” เหี้ยแล้ว! เท้าพลาดเหยียบกิ่งไม้แห้ง
“ฟ่อ!ฟู่ว!” งูใหญ่ไหวตัวพุ่งออกมาอย่างเร็ว เหมือนมันจะรู้ทัน เลื้อยปราดออกมาชูคอประจันหน้า
“เฮ้ย!” ผมใส่เกียร์ถอย ถีบพื้นหนี
จงอางดำยาวราว10 เมตรตัวใหญ่มาก ด้านหลังสีดำเงาวับใต้ท้องสีเหลืองสดแซมขาว สร้อยคอสีแดงสลับเหลืองใต้แม่เบี้ยจ้องสายตาดุไร้ความปรานี ชูคอสูงพ้นขอบห้องอาบน้ำ จูยอนยืนปิดหน้าร้องไห้ด้านในเต็นท์
“จูยอนไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่ที่นี่! คุณไม่เป็นหรอก ยืนนิ่ง ๆ ไว้” ผมโบกไม้ไปมา งูใหญ่หันมองตาม
“ฟ่อ!ฟู่ว!”
“ฮึบ!” พอได้จังหวะก็โยนไม้ให้เฉียดตัวของมัน ด้วยความดุร้ายมันพุ่งฉกตามไม้ทันที ไม้กลิ้งหลุนหลุนตกลงน้ำข้างเรือ มันเลื้อยตามแล้วว่ายน้ำออกไป
“เฮ่อ!” ผมถอนหายใจยาว โล่งอก...
“จูยอนมันไปแล้ว!”
“ฮือฮือ!” เธอวิ่งพรวดออกมาโทง ๆ ผมได้แต่ยืนตัวแข็งตาค้าง อะไรที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มีผมได้เห็นหมด ร่างสูงระหงผิวชมพูขาวนวล หน้าอกกลมกลึงตั้งชัน เอวคอดรับสะโพกผายสาหร่ายเปียกน้ำ ปลีน่องขาวเนียน ผู้หญิงคนนี้รูปร่างสวยดีจัง
“เอ่อ!..เอ่อ!” ผมทำอะไรไม่ถูกและไม่ทันระวังตัว เธอน้ำตาไหลพรากพุ่งเข้ามากอด
“โอ๊ะ!”
ผมยืนตัวแข็งทื่อ ใจคอไม่ดี สมองโง่ ๆ สั่งการทันที น้องสาวนะตุ๋ย น้องสาวนะตุ๋ย ตบหัวตัวเอง ไม่คิด ไม่คิด นี่น้องสาว น้องสาวท่องไว้นะตุ๋ย มึงเป็นผู้ใหญ่แล้ว
“ฮือ!ฮือ!ฮือ! ฉันกลัวงูที่สุด โฮ!!” เธอร้องแบบไม่อายฟ้าดิน
ผมปล่อยให้สาวสวยร่างเปลือยเปล่ากอดร้องไห้ตามใจ สายตาผมมองเลยไปยอดเขาครึ้มไกล ๆ เธอคงกลัวเจ้างูจริง ๆ คิดแบบนี้แล้วน่าสงสารมาก ขนาดผมเป็นผู้ชายบ้า ๆ เห็นจงอางใหญ่ขนาดนั้นก็ยังขาสั่น
ทันใดนั้น...
หางตาเหลือบไปเห็นอะไรแวบ ๆ ดำ ๆ เฮ้ย! มันย้อนกลับมาอีก แต่คราวนี้ไม่ได้มาแค่หนึ่ง...ฉิบหายแล้ว
“จูยอน!” ผมเรียกแล้วถอดเสื้อยืดที่สวมส่งให้ เธอกระพริบตาปริบ
“อย่าหันไปมองข้างหลัง รีบใส่เสื้อก่อน ช้า ๆ นะ” สายตาของผมจ้องไปที่งูจงอางขนาดไล่เลี่ยกัน 2 ตัว เลื้อยกอดรัดกันอยู่ข้างเรือ จูยอนเหมือนจะรู้ถึงอันตราย สายตาล่อกแล่กค่อย ๆ เอาเสื้อสวมหัว
“ข้างหลังมีอะไรคะ?” น้ำเสียงของเธอตื่นเต้น น้ำตายังไม่แห้งเลย เธอสวมเสื้อยืดตัวยาว ส่วนผมนุ่งกางเกงขายาวตัวเดียวกับรองเท้าคอมแบทหุ้มข้อ
“มันมาอีกแล้ว ค่อย ๆ เดินมาหลบข้างหลังผมนะ” ผมบอกเบา ๆสายตามองไปที่อสรพิษดำทะมึนไม่วางตา
“อึ๋ย!” ทันทีที่จูยอนขยับตัว งูทั้ง 2 ตัวก็เลื้อยปราดเข้ามาชูคอแผ่แม่เบี้ยสูงท่วมหัว อวดปล้องเหลืองกลางลำตัว ผมต้องแหงนหน้ามอง งูอะไรจะสมบูรณ์ขนาดนี้ จะตัวใหญ่ไปไหน
“ฟ่อ!” มันแยกเขี้ยวพุ่งตัวโฉบลงมา
“ฮึบ!” ผมเบี่ยงตัวหลบ คว้าลำตัวของมัน
“คลุกคลัก!” เจ้าตัวร้ายดิ้นสู้
“ฮึบ!” ผมโยนมันกลับไปที่เก่า
“ระวังค่ะ!”
“เฟี้ยว!” หัวของมันแว้งเข้ามาจะกัดแขน...
“เฮ้ย!” ผมยกแขนหลบได้เฉียดฉิว
“ตุบ!” พอเจ้าตัวนี้ตกพื้น อีกตัวก็พุ่งเข้ามา กล้ามเนื้อของผมเขม็งเกลียวไปทั้งตัว มองหาไม้ยาวก็ไม่มีสักอัน มันพุ่งมาอีกแล้ว จะดุไปไหนเนี่ย...?
“ฟ่อ!” งูร้ายพุ่งเข้ามาหมายฉกที่หัว
“ฮึบ!” ผมถอยหลบ…
“อ๊ะ! ว๊าย!” ขาสะดุดจูยอนล้มกลิ้งไปด้วยกัน
“ฟ่อ!” มันฉกผิดอีกครั้งเลื้อยออกไปตั้งหลัก ทั้งสองตัวโยกตัวเลื้อยต้อนเข้ามา ผมขยับถอยจนชนกองไฟ
“”ฮือฮือ! ฉันกลัว!” เธอเริ่มคุมตัวเองไม่ได้ ผมรีบดึงมากอด นอนจ้องงูจงอางชูคอส่ายอยู่ต่อหน้า ยกรองเท้าสูงส่ายไปมาเพื่อล่อหลอก ส่วนมือก็เลื่อนคลำไปตามพื้นหาอาวุธ ทันทีที่มือสัมผัส...
“จ๊าก!!” ผมสะดุ้งสุดตัว…
“อูยส์ ร้อน!” มือแตะโดนหม้อข้าวที่กำลังเดือด
“โป๊ก!” มันฉกลงมาที่รองเท้า ชั่วโมงนี้ไม่สนอะไรทั้งนั้น ผมหันไปคว้า…
“อย่าอยู่เลยพวกมึง!” ผมคว้าหูหม้อสนามเดือด ๆ สาดน้ำข้าวใส่
“โครม!!” ได้ผลโว้ย! มันโดนน้ำร้อน เผ่นกันไปคนละทาง
“มึงสุกแน่!” ผมยืนยิ้มเย้ยมัน อย่างสาแก่ใจ
แต่…
“อ๊าก…กก” ผมรีบโยนหม้อข้าวทิ้ง สลัดมือรัวรัว...
“ร้อนฉิบหายเลย”
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” จูยอนหัวเราะทั้งน้ำตา
………………………………………………….....................................
หลังผ่านเหตุการณ์ระทึกใจ ผมก็มานั่งมองเวิ้งน้ำในทะเลสาบ รอเจ้าสองคน มันไปยิงสัตว์ที่ดาวอังคารหรือไงนะ? ป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก ข้าวก็กระจายเละเทะไปหมด มือเริ่มบวมแดง มันปวดหนึบมากขึ้นทุกที กำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ก็ต้องสะดุ้ง...
“ขอบคุณมากนะคะ!” เธอกอดคอจากด้านหลัง แล้วก้มมาหอมแก้ม ผมนิ่งทำอะไรไม่ถูก กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแป้งกระทบจมูกอย่างจัง
เล่นอะไรอย่างนี้วะ ใจสั่นอีกแล้วกู…
“เอ่อ!” ผมรีบลุกเดินไปเรือ พอถึงเรือก็ไม่รู้ว่าเดินมาทำไม? หันหลังกลับเดินก้มหน้าผ่านไปที่เต็นท์ชายป่า ทำตัวไม่ถูก หันซ้ายหันขวาเดินเข้าป่าแม่งเลย
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” เสียงหัวเราะตามมา…
“ไปไหนคะ! ไม่ต้องกลัวขนาดนั้น ฉันเป็นน้องคุณนะ” เธอวิ่งมาหา
“เอ่อ!เป็นห่วงไอ้สองคน” ผมตอบส่งเดช
“ไม่กินข้าวเย็นเหรอ? หุงข้าวใหม่กันดีกว่า อยู่เป็นเพื่อนกันหน่อย”
พอเธอบอกอย่างนั้น ผมก็เดินกลับมานั่งก่อไฟใหม่จัดแจงเริ่มต้นหุงข้าวใหม่อีกครั้ง
“ที่บ้านฉันก็เอาวิธีสอนหนังสือของเด็กญี่ปุ่นไปใช้ด้วยนะ ฉันชอบมากเลย เขาใช้การเล่นเพื่อการเรียนรู้” เธอเอาข้าวมาใส่หม้อสนาม จูยอนเป็นคนที่ยิ้มแล้วสว่างมาก โลกสดใสไปด้วย รอยยิ้มของเธอดูใสซื่อจริงใจ
“มันดียังไง?” แอบคิดในใจ...พวกคอมมิวนิสต์ สนใจการศึกษาแบบประชาธิปไตยด้วยเหรอ? โดยสถานะถือว่า สองชาตินี้เป็นศัตรูชั่วนิรันดร์
“เด็ก ๆ กับการเล่นเป็นของคู่กัน ถ้าบังคับให้อ่านหนังสืออย่างเดียวก็จะขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และเด็ก ๆ เองก็หาตัวตนไม่เจอ พวกเขาเลยคิดวิธีการสอนแบบการแสดงบทบาทสมมุติ Roll play” เธอยิ้มดวงตาใส
“เล่นยังไง?” ผมไม่เห็นด้วย เด็ก ๆ มันต้องบังคับสิ เอาแต่เล่นมันจะได้เรื่องอะไรกัน โตขึ้นมาก็หัวแข็ง หัวหมอ ออกมาประท้วงรัฐ ประท้วงผู้ใหญ่
“เขาจะสมมุติบทบาทขึ้นมา แล้วให้เด็ก ๆ เป็นคนเล่น เช่น เล่นเป็นคุณครู เซนเซกุกกุ หรือจะเล่นเป็นอะไรก็ได้ ที่เป็นความฝันของเด็ก” เธอยิ้มกว้างดวงตาประกายชื่นชอบ
“พากันเล่นทั้งครูทั้งเด็ก สนุกตรงไหน?” ผมเมิน ไม่เห็นด้วย
เธอชักสีหน้ามองตาขวาง…
“แก่แล้วก็อย่าแก่เลยสิคะ การเล่นมันติดตัวทุกคนนะคะ คุณนี่ขวางโลกจริง ๆ”
อ้าว! โดนซะหนึ่งดอก
“เด็ก ๆ ให้ไปโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือ จะให้ไปเล่นอย่างนั้นจะเสียเงินค่าเทอมทำไม? เด็ก ๆ ดื้อตายเลย เรียกไม่หัน กู่ไม่กลับ” ผมโตมาจากการบังคับให้ท่องจำและสำเร็จการศึกษามาแบบนั้น ผมไม่อยากจะเชื่อว่า การปล่อยให้เล่นกันจะทำให้เด็กฉลาด
“ในทุกการเล่น เด็ก ๆ จะเรียนรู้และเพิ่มทักษะทุกด้านนะคะ ถ้าเด็กดื้อก็จะได้เด็กฉลาด หรือคุณอยากมีลูกเรียบร้อย นั่งน้ำลายไหลยืด ทำอะไรไม่เป็น อย่างนั้นน่ะ! เลี้ยงกันตายเลยนะคะ” เธอสวนมาจุกอก ก็จริงของเธอนะ
“บอกต่อสิ ขอละเอียด ๆ หน่อย”
“อย่างเช่น เซนเซกุกกุนะคะ สมมุติว่าเล่นเป็นคุณครู เขาจะให้น้องที่ฝันอยากเป็นคุณครู ได้เป็นคุณครูจริง ๆ เพื่อน ๆ ในห้องก็เป็นนักเรียน เด็ก ๆ จะกล้าแสดงออกและพวกเขาอาจจะพบตัวตนก็เป็นได้ การเปลี่ยนเป็นบทบาทอื่น ๆ เด็ก ๆ ก็ไม่เบื่อ สนุกทั้งเด็กและทั้งผู้สอน ฮากันทั้งวัน” พอเธออธิบาย ผมค่อย ๆ คิดภาพตามก็สนุกดี ทำให้เด็กกล้าแสดงออกด้วย
“ก็ดีเหมือนกันนะ ผมไม่เคยรู้ว่ามีแบบนี้” ผมเริ่มเห็นคล้อยตาม
“ฉันว่าดีนะ เรามีโอกาสได้เป็นคน ๆ นั้น ก่อนจะได้เป็นมันจริง ๆ มันก็เหมือนกับวัยหนุ่มสาวได้เป็นแฟนกัน ก่อนที่จะเป็นผัวเมียกัน” เธอบอกแล้วชะโงกหน้าหันกลับไปมองข้างหลัง แนวป่าสั่นไหว
พระอาทิตย์กำลังลับยอดเขา เจ้าซอนและไห่หนานจัดการชำแหละหมูป่า ดึงไส้พุงโยนลงน้ำ ฝูงปลากินเนื้อขึ้นน้ำมากินเศษอาหารหยุบหยับน้ำแตกเป็นวงกว้าง จูยอนเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าบนเรือเสร็จก็กลับมาจัดแจงคดข้าวใส่จาน แกะอาหารกระป๋องแล้วร้องเรียก
“เสร็จหรือยังคะซอน ไห่หนาน มากินข้าวค่ะ!”
เธอหันมายิ้มให้ผม…
“ขอดูมือหน่อยค่ะ ไม่ดีเลย คุณต้องมาเจ็บตัว” เธอสีหน้ากังวลเอื้อมมาจับมือของผมพลิกดู เอายาหม่องมาทาให้แล้วหยิบผ้าพันแผลมาม้วนรอบมือ
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉัน ฉันกลัวงูมากที่สุดเลย มันขยะแขยง เห็นแล้วขาอ่อนหมดแรง ทำตัวไม่ถูก” เธอยิ้มตาหยีฟันขาว เปลี่ยนชุดใหม่สวมเสื้อคอกลม กางเกงขายาวพลิ้วสำหรับนอน
“คราวหลัง! พูดขอบคุณก็พอนะ ไม่ต้องกอดคอ แล้วก็ห้ามหอมแก้มผมด้วย” ผมบอกเบา ๆ โดยไม่กล้ามองหน้า ไม่บอกก็ไม่ได้เพราะผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว
“แหม!...คิดมากไปได้ ทีคุณหอมแก้มฉันยังไม่ถือเลย”
“เอ่อ!...” ไปไม่เป็นเลยกู...
“ไม่ใช่สิ! ไม่ใช่”! ผมรีบยกมือโบกปฏิเสธจะบอกว่า ไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอไม่สนใจ...
“ฉันแค่แสดงการขอบคุณ ฉันเรียนจบจากยุโรปนะคะ แค่นี้ไม่มีใครถือสาหรอก ไม่ได้จูบปากแลกลิ้นกันซะหน่อย” เธอยิ้มอาย โยกตัวเข้ามาเบียด
ผมโล่งอกถอนหายใจ...
“คุณเรียนจบที่ไหนครับ?”
“เรียนจบที่ซูริค สวิตเซอร์แลนด์ค่ะ รู้จักกับดร.เหยียนลี่เหมินที่นั่น บ้านของคุณตาของฉันก็อยู่ที่นั่น” เธอตอบมาทำให้ผมมีคำถามอีกมากมาย ขยับตัวหันมองเจ้าสองคนส่องไฟฉายชำแหละหมูป่ากัน
“คุณแม่เป็นคนที่นั่นเหรอ?” ผมลดเสียงซักไซ้ข้อมูล
“ใช่ค่ะ! ท่านเป็นลูกครึ่งเกาหลี-โปแลนด์ ฉันมีเชื้อยิวด้วยนะ” ถึงว่าสิ เธอถึงตัวสูงกว่าสาวเกาหลีเหนือทั่วไป
“คุณคิดจะกลับเกาหลีเหนืออีกมั้ยครับ?” ผมชวนคุยเรื่อยเปื่อย แต่คำถามนี้คงจะจี้ใจของเธอ สีหน้าเปลี่ยนไป...
“ใคร ๆ ก็ผูกพันกับบ้านของตัวเองกันทั้งนั้น คนที่โดนไล่ออกจากบ้านของตัวเอง มันไม่มีศักดิ์ศรีหลงเหลือเลยนะคะ” สายตาของเธอเศร้าลง น้ำตาเอ่อขอบตา
“ฉันคิดถึงบ้าน...” เสียงสั่นเครือ น้ำตาของความคับแค้นใจไหลหยด ผมร้าวใจและเข้าใจสำหรับความกดดันจากผู้ที่อำนาจเหนือกว่า ผมโดนกระทำมาตั้งแต่เด็ก เรื่องนี้คงไม่มีใครเข้าใจ มันดีไปกว่าผมแน่…
“ขอโทษนะ!” ผมกล่าวขอโทษจากใจจริง รากขมขื่นของชีวิต พอขุดขึ้นมาแล้ว มันกวนใจไปอีกหลายวัน
“ไม่เป็นไรค่ะ! ฉันจะเล่าให้ฟังเพื่อตอกย้ำความแค้นของตัวเอง ฉันจะได้ไม่ลืมว่า ครั้งหนึ่งเคยโดนกระทำแบบนี้ ฉันโดนคุกคามจากรัฐ” ว่าแล้วเธอก็ชะเง้อมองไปที่เจ้าสองคน แล้วเอียงตัวเปิดชายเสื้อยืดหันหลังมาให้ดู
“??????” ผมอึ้ง!..ไม่มีคำจะพูดต่อ และเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดทันทีที่เห็นรอยแผลเป็นยาวขวางลำตัว เนื้อหนาปูดโปนหลายเส้นทับกันจากการโดนเฆี่ยนตี ผมรีบเอามือลูบชายเสื้อของเธอลง /สงสารจับใจ/
ด้วยความสัตย์จริง ผมอยากจะดึงเธอมากอดจังเลย เธอคงเจ็บปวดทุกครั้งที่ได้เห็นรอยแผลนี้ การยอมรับชะตากรรม เป็นวิธีเดียวที่จะกำจัดความโกรธเกลียดลงไปได้ แต่เธอก็ไม่เลือกที่จะยอมรับมัน
“ฉันอยากมีโอกาสสักครั้ง! ขอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้ามีคนหยิบยื่นโอกาสให้ ฉันจะไม่ลังเลเอาคืนให้สาสม การลงโทษที่มันไม่สมควรกับความผิด ไม่ควรเกิดขึ้น” เธอคำรามในลำคอเบา ๆ ผมขนลุกเกรียวกับสายตาที่เยือกเย็นแข็งกร้าว
ผมไม่กล้าล้อเล่นกับคนสายตาแบบนี้ ผมอยู่ในสนามรบและมีประสบการณ์มากพอที่จะดูคนออก ผมรู้ว่าสายตาแบบไหนกล้าหาญและแบบไหนขี้ขลาด สายตาของเธอดูลึกล้ำ เยือกเย็นน่ากลัวอย่างที่เจ้าซอนพูดไว้จริง ๆ
เธอสะบัดหน้า ปรับเปลี่ยนท่าทีแล้วยิ้มหวาน...
“เอ่อ! คุณเคยเป็นทหารรับจ้างฝรั่งเศสเหรอคะ? ฉันแอบได้ยินลูอิสกับซอนคุยถึงคุณในรถบรรทุก ตอนที่แอบด้านหลังรถบรรทุก แล้วก็เห็นได้ชัดเลยว่า พวกคุณต่อสู้เก่งมาก ฉันนั่งดูพวกคุณไล่ยิงกับนักเลงจีน ลูกกระสุนเฉี่ยวหัวตั้งหลายนัด นึกว่าจะตายซะแล้ววันนั้น”
ผมพอนึกออก...วันที่ถล่มมังกรอู่ฮั่น ลูอิสพาเธอขึ้นไปซ่อนบนรถบรรทุกเหมือนที่นาตาลีกับไป่ไป๋ทำ…
“ใช่ครับ! ผมปลดมา 5 ปีแล้ว ถามทำไม?”
“ฉันเคยได้รู้เรื่องการประหารชีวิตเชลยสาวของนักรบในทะเลทราย มีจริงไหมคะ?” เธอถามประสาซื่อ ผมหันขวับกลับไปมองอย่างเร็ว การข่าวของเธอลึกดีจัง เรื่องความลับกลางสนามรบมีแต่ทหารนักรบเท่านั้นที่รู้ ทหารในออฟฟิศไม่น่าจะรู้ ผมพยักหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ
“คุณได้ประหารเชลยหรือเปล่าล่ะ? แค่อยากรู้ อย่าคิดเป็นอื่น” เธอยิ้มอายโยกตัวกระแซะ
ผมคิดในใจ...ถ้าอยากรู้ก็จะบอกเป็นวิทยาทาน คงไม่เป็นไรหรอก แค่บอกน้องสาว และผมก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว...
“คุณอย่ามองว่ามันเลวร้าย ผมให้โอกาสเชลยสาวได้รู้ก่อนว่าทางเลือกของพวกเธอมีอะไรบ้าง? การโดนประหารมันก็แค่ลงโทษสถานเบา เธอมีสิทธิ์ที่จะเลือกนอนกับใครก็ได้ ทหารมีตั้งหลายคน ผมให้โอกาสเลือก” ผมดึงจมูกคิดถึงอดีต ขยับจะเล่าต่อแต่เธอเบะปากสวนมา..
“มันก็บังคับให้เลือกอยู่ดี น่าอึดอัดเหมือนกันนะ ให้ไปนอนกับคนที่ไม่ได้รัก ความรู้สึกคงไม่ต่างจากโดนข่มขืน” เธอแย้ง
“หรือจะเลือกตายก็ได้ ผมจัดให้ทุกอย่าง แต่จะให้ปล่อยกลับไปคงไม่ได้ มันก็เป็นการลงโทษนะ จะสนุกได้ยังไง?”
“แล้วถ้าเลือกจะไม่ตาย ยังงั้นเหรอคะ?”
“ถ้าเลือกแล้ว ทหารคนนั้นไม่เอาก็ตายอยู่ดี โดนยิงทิ้งทุกคน ผมถือว่าพวกเธอเป็นศัตรู มาเพื่อช่วยศัตรู เธอต้องตายอย่างมีเกียรติ” ผมบอกแล้วหันไปมองเจ้าสองคน ยังส่องไฟแล่เนื้อไม่เสร็จ
“อ้าว!แล้วคนที่ไม่ยอมเลือกล่ะคะ?”
“หมายความว่าเธอยอมตาย ก็จัดให้อย่างที่เธอต้องการ วิถีนักรบกลางทะเลทราย พวกเราต้องโหดเพื่อส่งสาส์นไปบอกกับพวกสาว ๆ ที่กำลังคิดจะออกมาให้เปลี่ยนใจซะ นี่เป็นเรื่องของผู้ชาย การยิงผู้หญิงพวกเราไม่ได้อยากทำ แต่ถ้าไม่เชือดไก่ให้ลิงดู พวกผู้ชายมันจะออกมาเป็นนักรบกันอีก เพราะสาว ๆ พวกนี้สวย ๆ ทั้งนั้น มาจากทุกมุมโลก”
“รู้สึกเสียใจไหมคะ! ที่ทำแบบนั้นกับผู้หญิง?”
“หือ!” คำถามแบบนี้ต้องคุยยาวหน่อย สงครามจะอ้างเรื่องเพศและอายุไม่ได้ ยิ่งเรื่องความรู้สึกเสียใจหรือสงสาร มันไม่มีตั้งแต่พวกเราตัดสินใจออกรบแล้ว…
“เดี๋ยวก่อนนะจูยอน! หายใจลึก ๆไว้ ค่อย ๆ ฟังดี ๆ นะ! พวกนั้นต่างก็อาสามาเพื่อไปเป็นเมียของนักรบศัตรู ก็เท่ากับว่าประกาศตัวเป็นศัตรู ศัตรูไม่มีคำว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย เด็กหรือคนแก่ การทำสงครามหมายถึงการเข้าทำลาย เข่นฆ่า ไม่ใช่อุปการะ คนละเรื่องกัน!” ผมคิดแบบนี้ ผู้หญิงบางคนยิงปืนแม่นกว่าผู้ชายอีก
ค่ายกลางทะเลทราย เราจำเป็นต้องปิดเป็นความลับ ถ้าสงสารแล้วปล่อยพวกเธอกลับไป เท่ากับพวกเราฆ่าตัวตายทางอ้อม นักรบโพกหัวพวกนั้นโหดมาก มันเชือดคอพวกเราเป็นเป็ดไก่เลย
“ต้องทำผิดอะไรเหรอคะ? ถึงจะได้เป็นเชลย!”
“คุณเป็นทหารจริงรึเปล่าเนี่ย?” ผมแปลกใจ เธอเป็นทหารก็น่าจะรู้นะว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ต้องมีความผิดหรอก เจอก็จับ เจอก็ยิงกันแล้ว ถามอย่างนี้ทำไมวะ?
“คลุกคลัก!” เสียงเจ้าสองคนทำงานกันเสร็จแล้วกำลังลุกเดินมา ผมเปลี่ยนเรื่องคุย...
“พรุ่งนี้พอส่งอาหนานกลับไปแล้ว เราไปลุยป่ากัน ให้ซอนมันแยกไปขับเรือหา”
“เอาสิคะ! ฉันก็คิดจะชวนเหมือนกัน!”
เจ้าสองคนเดินเข้ามาร่วมวง เราขยับนั่งกันใหม่ ผมเอียงตัวไปกระซิบเธอแล้วชี้ไปที่ซอน...
“ไอ้นี่ไง! มือเพชฌฆาต”
ซอนได้ยิน หันมองด้วยหางตา…
“อะไร? ยิงหมูป่าแค่เนี้ยะ! เป็นเพชฌฆาตตรงไหนไม่ทราบ?” มันเข้าใจผิดคิดว่าไปนินทามัน
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” จูยอนหัวเราะลั่นป่า //เออ...เอาเข้าไป เข้าใจกันคนละทางสองทาง//
“กินข้าวกันเถอะ!”
ผมยังร้อนใจตลอดเวลา ไม่สบายใจเลยที่ไม่มีวี่แววของคนให้เห็นในบริเวณนี้เลย ถ้าต้องลุยป่าก็จะลุย ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งกัดกินความเชื่อให้ลดลงไปทุกที
..............................................................................................................
หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |