
หมู่บ้านชาติพันธ์มู่เหลา คุนหมิง
มุมมองสายตาไป่ไป๋
พฤศจิกายน ค.ศ.2020
หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดลง ชาวบ้านต่างผละเดินจากพวกเราไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินไปกันคนละทิศทางไร้จุดหมาย ไม่มีการพูดคุยกัน ไม่มีใครสนใจสิ่งรอบข้างและเข้ามาดูคนเจ็บที่นอนหายใจรวยรินแม้แต่คนเดียว
“วิ้ว!!” สายลมพัดเศษใบไม้ปลิวว่อนไปตามถนนดูเศร้าสร้อยทุกอย่างเงียบงัน
ฉันตกใจกลัวมากทำอะไรไม่ถูก คนแรกที่คิดถึงที่สุดแวบเข้ามารีบโทรศัพท์ไปบอกหม่าม้า เหตุการณ์นี้สะเทือนใจที่สุดในชีวิต พวกเรารับมือกับการเข้าโจมตีของหมวดจางไม่ไหว
ซอน เจ็ทโด้ จูยอนยังไม่ได้สติ ฉันน้ำตานองหน้าเศร้าใจคิดไม่ออก ใจสั่นไปหมด แทนอุ้มร่างไร้ความรู้สึกของจูยอนขึ้นรถยนต์
“พวกเขาจะไปไหนกันต่อคะ?” ฉันใจสลายเข้าไปช่วยประคอง น้ำตาแห่งความรันทดท่วมหน้าและรู้สึกเจ็บปวดไปกับเพื่อน
“ไม่รู้เหมือนกัน ช่างมันก่อนเถอะ!”
ฉันสังเกตว่าพวกนั้น เดินไปเดินมาอยู่บนถนน บางคนเดินไปสองสามก้าวแล้วหยุดคิด แล้วก็หมุนตัวกลับ แล้วเดินต่อทำวนอยู่แค่นี้เหมือนคนนึกอะไรไม่ออก มันเกิดบ้าอะไรกันขึ้นมา เรื่องเล่าของนาตาลีเป็นจริงทุกอย่าง แสดงว่า เธอไม่ได้โกหกพวกเราเลย
“แล้วพวกนี้จะใช้ชีวิตต่อย่างไร? หมวดจางเลวมาก หนูไม่น่าตีก้นเธอเลย ตีหัวให้ตายซะก็ดีแล้ว” ฉันคิดแล้วแค้นใจ
การช่วยชีวิตเพื่อนที่อยู่ตรงหน้าบีบหัวใจมาก ทำให้ไม่ได้คิดถึงนาตาลีเลย ชีวิตของเธอมีความหมาย พวกมันคงจะไม่ฆ่าเธอทิ้งหรอก รถแฮมเมอร์สีเหลืองพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงลัดเลาะออกจาป่าเข้าสู่ถนนใหญ่ เจ็ทโด้ยังนอนแกว่งสลบไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้นั่งที่เอียงลงมา ถัดไปเป็นซอนที่ถูกจับนอนในลักษณะเดียวกัน ลิ่มเลือดแห้งกรังที่ใบหน้า เสื้อขาดวิ่นกันทุกคน
ฉันนั่งเบาะยาวด้านหลังให้จูยอนนอนคว่ำหน้าหนุนตักไว้ เอื้อมมือไปกดปิดแผลที่เอวด้านขวาไม่ให้เลือดทะลักออกมา เธอโดนแทงด้วยมีดยาว เลือดไหลออกมากจนหมดสติไป เธอยังไม่ได้ใช้ชีวิตอิสระเลย อย่ายอมแพ้นะ
“จูยอน! จะไม่ไหวแล้วนะ แทนเร็ว ๆ หน่อย” ฉันร้องบอกแทนด้วยเสียงสั่นเครือ
“บรื้น...นน!!” แทนตั้งหน้าตั้งตาขับรถมุ่งหน้าอย่างเร็ว
“ไปที่หมู่บ้านจ้วง หม่าม้าหนูอยู่ที่นั่น” ฉันตัดสินใจโทรหาหม่าม้าก่อน โชคดีมากที่หม่าม้าอยู่ไม่ไกล
“พาไปโรงพยาบาลก็ไม่ได้ เธอไม่มีหลักฐานอะไรเลย อาจถูกส่งกลับเกาหลีเหนือ” แทนหันมาบอก
“โธ่...” ฉันอึดอัดกับทางเลือกที่เหลือน้อยของเธอ
“หมอเขาไม่เลือกรักษาหรอกมั้ง?” ฉันเคยดูในละคร หมอชอบพูดแบบนี้
“ใช่ครับ!แต่น้อยคนที่จะเป็นแบบนั้น”
“หนูใจไม่ดีเลย หนูสงสารจูยอนอนนี่ เธอไม่น่ากลับมาช่วยพวกเราเลย หนีออกไปกับลูอิสก็ดีแล้ว” ฉันมองใบหน้าซีดขาวบนตักแล้วน้ำตาหล่น ซาบซึ้งน้ำใจของพี่สาวชาวเกาหลีเหนือคนนี้ เธอต้องแลกกับอิสรภาพเพื่อมาช่วยพวกเรา ตอนนี้เธอกำลังจะต้องแลกกับชีวิต น้ำตาเอ่อล้นเนื่องท่วมใจที่แหลกเหลว
“ลืมตาขึ้นมาคุยกับหนูสิคะ อย่าหลับนานอย่างนี้ เราต้องไปเกาหลีใต้ด้วยกันนะคะ” ฉันใจหายแวบทุกครั้งที่มองเห็นใบหน้าขาวซีดของเธอ ชีวิตของเธอต้องหลบหนีออกมาไกลบ้าน ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนก็แย่มากพออยู่แล้ว แม้ในยามเจ็บปางตายแบบนี้ก็ไม่สามารถไปรักษาในโรงพยาบาลมาตรฐานได้ ฉันนึกขึ้นมาแล้วเกลียดพวกผู้มีอำนาจจริง ๆ เลือดไหลออกจากปากของเธอ
ฉันสุดจะกลั้นไหว…
“แทน!....หนูไม่ไหวแล้ว ใจสั่นมากเลย” ฉันหายใจไม่ทัน น้ำตาออกมาพรั่งพรู
ทำไมรถวิ่งช้าขนาดนี้เมื่อไหร่จะถึง? เหลือบมองไปที่ไมล์รถยนต์ตัวเลขโชว์ที่ 250ไมล์/ชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่รถยนต์แทบจะบิน แต่ใจฉันไปเร็วกว่านั้นหลายเท่า เวลาทุกวินาทีมีความหมายกับทั้งสามคน
“ฮือฮือฮือ!”
“ไม่เป็นไร! คุณทำดีแล้ว คุณอย่าเป็นอะไรไปอีกนะ เข้มแข็งไว้!” เขาทำได้แค่นั้น สายตายังมองถนนโล่งยาว พระอาทิตย์คล้อยต่ำมากใกล้ค่ำแล้ว
“จูยอนต้องรอด! เธอเข้มแข็ง เธอจะไม่เป็นอะไร” เขากัดกรามแน่น น้ำตาของแทนไหลลงอาบแก้ม เขาคงจะอดทนจนถึงที่สุดแล้วเหมือนกัน พวกเราเฉียดตายมาด้วยกันตั้งหลายครั้ง ไม่เคยเศร้าใจมากขนาดนี้เลย ทำไมโลกช่างมืดมนเหลือเกิน เสียงเพลง See you again จากวิทยุในรถดังแว่วมา
“It’s been a long day without you .my friend .And I’ll tell you all about it when I see you again. We’ve come a long way from where we began. Oh! I’ll tell you all about it when I see you again. When I see you again. น้ำตาแตกทะลัก เห็นภาพพวกเขาหัวเราะในวันที่เรามีความสุขและสัญญาว่าจะกลับมาเล่าสู่กันฟัง เธอนอนนิ่งไม่ไหวตัวมานานแล้ว แกว่งตัวไปตามแรงเหวี่ยงของรถจี๊ป เนื้อตัวซีดขาวลงมาก // เจ็บมากมั้ยคะ! จูยอนอนนี่แผลใหญ่มากด้วย สู้ ๆ นะคะ//
“ฮือ!ๆๆ...ทำไมไม่เป็นฉัน” ฉันไม่มีความมั่นใจเหลืออยู่เลย ฉันไม่กล้าคิดว่าจูยอนจะไม่รอด ฉันรับความจริงนี้ไม่ได้ ถ้าเป็นฉันคงเข้าไปรักษาตัวได้แล้ว
ในยามเข้าตาจน ความกลัวและความกังวลมักเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้น ปัญหาก็ปรับขนาดใหญ่ตามความกลัว กว่า 2 ชั่วโมงที่แทนขับออกจากป่ามา หม่าม้าโทรถามเป็นระยะ ๆ
“บรื้น...นน!!” แทนขับรถฝ่าพายุบีบแตรไล่ทุกคันที่ขวางทาง จนรถผ่านเข้าหมู่บ้าน
“ถึงแล้ว!” ประโยคนี้ของแทนเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ เหมือนปลาเกร็ดแห้งกำลังจะขาดใจได้น้ำ กำลังใจมันกลับมาอีกครั้ง เขาขับรถไปตามทางที่หม่าม้าบอกเข้ามาในหมูบ้านชนบทแห่งหนึ่งของชาวจ้วง

“เอี๊ยด!” รถจอดหน้าอาคารเล็ก ชายสองคนรอยู่ก่อนแล้ว หิ้วแคร่ไม้ออกมาวางไว้หลังรถ
ฉันกดพนักพิงหลังในจังหวะที่แทนเปิดท้ายพอดี แทนกับฉันพยายามยกลำตัวจูยอนอย่างนิ่มนวลที่สุดเพื่อเอาไปวางไว้บนเปล แล้วทั้งชายทั้งสองก็ช่วยกันยกเปลวิ่งไปทางหลังบ้าน
“เจ็ทโด้! ตื่น ๆ ๆ ๆ” ฉันปลุกเขาเสียงดัง เขาเหมือนคนนอนหลับมากกว่า จะว่าไปแล้วลำตัวของ เขาไม่มีบาดแผลเลย ยังหายใจสบาย แต่ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ
ฉันไม่กล้ามองไปที่ซอนที่นอนนิ่งหายใจรวยริน ตั้งแต่เรายกขึ้นบนรถมาแล้ว สักครู่ชายสองคนก็มาหิ้วเจ็ทโด้ลงเปล เดินไปที่หลังบ้านฉันรีบก้าวเดินตามไป
อาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวชั้นเดียวด้านหลัง โรงพยาบาลชนบทเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ ฉันไม่มั่นใจเลยว่าจะรักษาเพื่อนของเราได้
ผลักประตูเข้าไปด้านในกลิ่นยาแรงเข้าจมูก เจ็ทโด้นอนสลบเหมือดบนเตียงยาว
“แต๊ง!” เสียงนาฬิกาติดผนังเดินบอกเวลา 1 ทุ่มตรง แทนกับฉันเดินวนชนกันอยู่หน้าห้องกระจกสีดำ มองไม่เห็นข้างใน
ฉันเดินไปหยิบหมอนที่พื้นมาปัดฝุ่น แล้วเอาไปช้อนใส่หัวเจ็ทโด้ที่ยังไม่รู้สติ เด็กสาววัยรุ่นในชุดชนเผ่าจ้วง คนเดิมเดินยิ้มเข้ามา
ฉันผวาเข้าหา...
“รบกวนเธอแล้ว ห้องน้ำอยู่ตรงไหนคะ? ขอผ้าผืนหนึ่งด้วยนะคะจะเช็ดตัวคนป่วย” ฉันจะเช็ดตัวให้เจ็ทโด้
เธอหายไปสักพักแล้วกลับมาพร้อมกะละมังน้ำ
“ที่นี่มีหมอด้วยเหรอคะ?” ฉันถามน้องผู้หญิงด้วยความสงสัย
“มีหมออาสาสมัครค่ะ ท่านเก่งมาก” ใจฉันหายแวบ จูยอนจะรอดมั้ยเนี่ย ใจคอไม่ดีเลย
“หมอเด็กเหรอคะ?” ฉันยังหวั่นใจ
“ไม่ใช่คะ! ระดับอาจารย์ทั้งนั้นเลย พวกท่านเกษียณแล้วอาสามาอยู่ที่นี่ แล้วก็มีคุณหมอหนุ่มสาวมาฝึกงานด้วยค่ะ” เธอกระซิบมองไปที่ประตู ฉันยิ้มออกโล่งใจขึ้นมาทันที มีกำลังใจเช็ดหน้าให้เจ็ทโด้
สักพักประตูกระจกก็เปิดออก ชายหนุ่มในชุดขาวสองคนเอาเปลมาหามเจ็ทโด้เข้าไป
ฉันตามไปดูที่หน้าประตู ด้านในมีห้องเล็ก ๆ อีกหลายห้อง กลิ่นยาโชยเข้าจมูกถึงกับสำลัก
“ทำงานกันกี่คนคะ?” ฉันหันไปถามน้อง ตอนนี้เธอมานั่งตรงที่เจ็ทโด้นอนเมื่อสักครู่
“รวมหนูด้วย 25 คนค่ะ!” เธอบอกตาใส ฉันพยักหน้ารับทราบ
“คนป่วยเยอะมั้ยคะ?” ฉันชวนคุยต่อ เด็กคนนี้น่ารักใสซื่อ
“ไม่มีหรอกค่ะ ชาวบ้านแข็งแรงแม่หมอใจดี” เธอยิ้มกว้างแววตาระยิบ
“ปึง!” เสียงคนรีบรีบร้อนเปิดประตู ชายทั้งสองคนถือเปลวิ่งออกไปด้านนอกท่าทางรีบร้อน
“จี้หย่ง!” เขาเรียกเด็กสาวให้เดินตามไป
ฉันเดินไปหาแทนที่กำลังกระวนกระวายใจหน้าห้องกระจก เขาหันมามองหน้าเศร้าสร้อย หายทุกครั้งที่มองหน้าของเขา ความคิดฉันตีกันมั่วไปหมดฉันไม่รู้จะเรียงลำดับความสำคัญอย่างไร ทุกคนตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตเหมือนกันหมด
“คลึกคลึก!” ซอนหน้าโชกเลือดนอนแน่นิ่ง ถูกยกเข้าห้องไปอีกคน
ฉันมองตามใอย่างรันทดใจ เดินเข้าไปเกาะแขนของแทน...
“ฮือฮือ! หนูไม่ได้ทำอะไรผิดใช่มั้ย? หนูเจ็บตรงนี้” อึดอัด ทุบอก
ตอนนี้เขาเหมือนเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉุดรั้งฉันไว้ เขาเป็นคนที่เสียหายมากที่สุด ตามมาช่วยพวกเราด้วยใจบริสุทธิ์ แต่ต้องเสียพี่ชายทั้งสองคนพร้อมกัน
“คุณทำดีแล้ว พรุ่งนี้พวกเขาก็หายแล้ว” แทนสะอื้น ลูบหัวเบา ๆเขากัดฟันแน่นจนกรามเป็นสันนูน แววตาปวดร้าวแดงก่ำ
“ฮือฮือ!” ฉันมีแต่ความปวดร้าว สะอื้นหนัก เขาหันมากอดลูบหลังเบา ๆ เวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน ประตูกระจกค่อย ๆ เปิดออก
ทันทีที่ประตูเปิดออก...
“ไป่ไป๋ลูก!” เสียงอบอุ่นคุ้นชิน จุดชนวนระเบิดที่อัดอั้นไว้ทะลักพรั่งพรูเหมือนเขื่อนแตก ใจที่เคยเข้มแข็งแตกละเอียดเป็นผงธุลี ทรุดลงต่อหน้าเหมือนคนสิ้นหวัง ตัวสั่นกอดขาท่านไว้แน่นเสียใจจวนเจียนขาดใจ
“ฮือ!ฮือ!” ฉันร้องไห้เสียงดังไม่ต้องอายใครอีกแล้ว
“ไม่เป็นไร! ไม่เป็นไร! แกทำดีแล้ว!” เสียงหม่าม้าเรียกน้ำตาฉันได้เป็นอย่างดี คำปลอบใจเพียงแผ่วเบาน้ำตาก็เอ่อขึ้นมาอีกรอบ หัวใจหวิวสั่น ท่านดึงฉันลุกขึ้นไปกอดแน่นลูบหลัง
ฉันกอดท่านร้องให้ตัวโยน…
“หม่าม้า รักษาเพื่อนหนูด้วย ช่วยเพื่อนหนูด้วยนะคะ” ตัวฉันสั่นแรงมากขึ้น หน้ามืดแขนขาเกร็งก่อนสิ้นเรี่ยวแรง สติสัมปชัญญะของฉันขาดลง
……………….........................................................……………………..