
หมู่บ้านชนบทกลางขุนเขา
ภาคเหนือ KaLa Democracy
มุมมองสายตา เจ็ทโด้
มกราคม ค.ศ.2021
ผมใช้เส้นทางช่องหมาลอดผ่านชายแดนเข้ามา โดยไม่ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองให้วุ่นวาย บ้านของผมอยู่ทางภาคเหนือของประเทศในหมู่บ้านเล็ก ๆ ชายป่า
“บรื้น!...นน!” ตลอดเส้นทาง รถหัวลากขนาดใหญ่ขนท่อนซุงออกจากป่าแล่นสวนตลอดทาง พวกนี้เป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เป็นพวกเจ้าหน้าที่ ชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปยุ่งด้วย ภูเขาแถบนี้หัวโล้นลงทุกวัน
KaLa Democracy เข้าสู่ฤดูหนาว...
“บรื้น!...นน!” ถนนลาดยางพรั่งพราวไปด้วยดอกกาสะลองดำและดอกไม้ป่านานาพันธุ์บานสะพรั่งรับลมหนาวสองข้างทาง เหมือนได้ขับรถยนต์ลอดอุโมงค์ดอกไม้แดงแซมส้มเหลืองตระการตา กลีบดอกไม้บางสีสวยร่วง ปลิวกระจายตามสายลมติดหน้ากระจกรถยนต์
“สิ่งที่นาตาลีเตือนเกิดขึ้นแล้วนะพี่” เจ้าแทนขับรถหันมาคุย
“สุดท้ายเรื่องนี้กลับมาเกิดกับกู แล้วจะเตือนคนอื่นยังไง?”
“เตือนไม่ได้ ทางเดียวที่จะช่วยได้ต้องไปบอกกับรัฐบาล” แทนโยนไปเรื่องใหญ่ ซึ่งไม่น่าจะใช่วิธีแก้ปัญหา รัฐยังมีปัญหาเกี่ยวกับยี่ห้อวัคซีนอยู่เลย
“รัฐที่หวงอำนาจ สนใจแต่เรื่องความมั่นคง ไม่สนเรื่องพวกนี้หรอก” จูยอนพูดเรียบ ๆกับแทน
“ไปบอกเจ้าหน้าที่ก็ได้นี่คะ” ไป่ไป๋เสนอ ผมโบกมือ...
“กลัวแล้วว่ะ! ไม่เหลือความไว้วางใจแล้ว ขออยู่เฉย ๆ ดีกว่า บอกไปก็อาจจะโดนตั้งข้อหาบ้าบอก็ได้ เห็นมีคนพูดเรื่องวัคซีนก็โดนฟ้อง” ผมเริ่มคิดในสิ่งที่จูยอนพูดและในสิ่งที่เจ้าแทนโดนกระทำ
“ดูข่าวเหมือนกันเหรอพี่?” เจ้าแทนหน้าเครียด
“ถึงบ้านแล้ว อย่าคิดเรื่องนี้เลย” รถยนต์เลี้ยวผ่านประตูเข้ามา
บ้านสองชั้นสไตล์คันทรี่ใต้ร่มต้นเสลา ดอกม่วงแซมขาวกำลังบานเต็มต้น โน้มกิ่งลงมาที่ระเบียงไม้ชั้นสอง ด้านขวาติดตัวบ้านเป็นโรงจอดรถใหญ่กว่าบ้านหลายเท่า รถยนต์หลากชนิดจอดเรียงราย เจ้ารถหัวลาก Volvo คันที่ไปส่งของกลับมาถึงก่อนเรา
กลุ่มเด็กนักมวยวัยรุ่นและเซียนไก่ชน นั่งให้น้ำไก่ข้างกำแพงบ้าน ได้ยินเสียงรถยนต์...
“เฮ้!..ลูกพี่กลับมาแล้วโว้ย!” พวกมันวิ่งกรูเข้ามายกมือไหว้เป็นฝักถั่ว
“โฮ่ง!โฮ่ง!โฮ่ง!” บราวนี่!...หมาลูกผสมโกลเด้นรีทรีฟเวอร์สีน้ำตาลอ่อนตัวใหญ่เห่าเรียกเสียงดัง มันวิ่งมากระโดดใส่ด้วยความดีใจ ม้วนหมุนตัวหางแกว่งระรัว กลัวหางมันจะขาด
“เป็นไงมั่ง บราวนี่?” ผมลูบหัวมันด้วยความรัก
“งี้ด! งี้ด! งี้ด!” เสียงร้องครางเหมือนจะบ่นว่าคิดถึงจังเลย วิ่งส่ายตูดกระดิกหางขยับไล่ไปทีละคน แล้วเริ่มสันดานเดิม…
“ว้าย!..อย่าทำอย่างนี้” เสียงไป่ไป๋ร้องแล้วกระโดดโหยง เจ้าบราวนี่ กระทุ้งจมูกเข้าหว่างขา
“ไม่นะ!” เธอเด้งหมุนตัวหันหลังให้มัน ซึ่งก็เข้าทางมันอีก...เอาจมูกมุดดมตูดซะเลย
“ว้าย!..” ยัยน้องเล็กกระโดดตัวลอย แผนกพิสูจน์กลิ่นเริ่มทำงาน
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” จูยอนหัวเราะลั่นกับท่าทางไป่ไป๋ที่ยืนเด้งหน้าเด้งหลัง หมาตัวนี้มันเป็นของมันเอง มันชอบดมตั้งแต่เล็ก ๆ
“ผมฝึกให้มันทำหลายอย่าง มันเก่งใช้ได้ทีเดียว แต่นิสัยชอบดมตูดนี้แก้ไม่ได้ ถ้ามันดมของใครแล้วสะบัดหน้าหนีแล้วเอาขาลูบจมูกนะ โคตรฮาเลย สาว ๆ อายม้วนวิ่งกลับบ้านกันหลายคนแล้ว”
“ทะลึ่ง!” ไป่ไป๋จับหน้าของมันแล้วจุ๊บจมูกหมา
“ผมทั้งขำทั้งสงสาร บางครั้งเด็กนักเรียนสาว ๆ กลับจากโรงเรียนแล้วต้องเดินผ่านหน้าบ้าน มันจะเข้าไปสำรวจทุกคน เด็กสาวกรี๊ดก๊าดวิ่งกันกระเจิง”
“แกดมหาอะไรฮึ?” ไป่ไป๋ยังจ้องหน้ามัน บราวนี่ไม่เคยกัดใคร มีแต่คนเกรงใจเพราะมันตัวใหญ่มาก
“พอนานวันเข้ามีเด็กสาวคนหนึ่งซื้อคุกกี้มาให้มัน หลังจากนั้นมันก็จะไม่ไปดมน้องคนนั้นอีกเลย คนละแวกนี้รู้ทันมันหมดแล้วต้องเซ่นมันด้วยคุกกี้เป็นค่าผ่านทาง”
“ว้าย! ไม่ต้องเลย อย่านะ” จูยอนตาเหลือกโบกมือถอยหลัง...
“ไม่นะ! อย่าคิด ฉันจะไม่ให้ข้าวแกกินนะ อย่านะ!” จูยอนตาเหลือกโบกมือถอยหลัง มันกระดิกหางเดินเข้าหา
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” พวกเราหัวเราะกับท่าทางทุลักทุเลของเธอ
“ว้าย!!!..ไม่เอานะ ๆ ฉันอาบน้ำแล้ว ไม่เหม็น!” จูยอนพยายามหนี เธอต้องเอามือปิดแผลที่หลังไปด้วย เธอยังไม่แข็งแรงพยายามปิดจิ๋มแล้ววิ่งเหยาะแหยะหัวเราะร่วนมาหา
ผมลูบหัวเจ้าบราวนี่...
“พอแล้ว! มึงทำซะจนชาวบ้านเค้าคิดว่ากูสอน คุณสองคนชอบหมามั้ย?”
“บราวนี่! เป็นเพื่อนกันนะ ใครอาบน้ำให้ ตัวหอมจังเลย” ไป่ไป๋เข้ามาลูบหัว มันทิ้งตัวนอนหงายท้องกางขาโชว์ไข่ดำทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เธอหัวเราะลั่น
“บราวนี่! ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ” จูยอนย่อไม่ถนัด แต่ก็พยายามก้มลงไปลูบตัวมันจนได้
ผมหันไปตะโกนบอกลูกน้อง
“พวกมึง! ดูแลเพื่อนกูด้วยนะ แหม่ม! อยู่ไหนไปตามมาสิ?” ผมร้องสั่งไปทางสมุน ไอ้พวกนี้ก็เป็นงาน เดินเข้ามาไหว้ตามธรรมเนียมทีละคน สาว ๆ ทำหน้าแปลกใจคงจะไม่คุ้นเคยกับธรรมเนียมการไหว้ ได้แต่ยิ้มทำหน้าเด๋อด๋า
“พ่อจ๋า! พ่อมาแล้วเหรอ? คิดถึงจังเลย” แหม่ม! วิ่งหัวเปียกจากในบ้านกระโดดกอดหอมแก้ม
“หือ!” สองสาวขมวดคิ้วหันมองหน้ากัน
แหม่ม...เป็นเด็กผู้หญิงคนแรกที่ผมรับอุปการะ เธออยู่กับคุณยายซึ่งแก่มากทำงานไม่ไหวแล้ว บ้านอยู่ละแวกใกล้เคียงกัน แม่ของเธอเอามาทิ้งไว้ตั้งแต่ยังแบเบาะแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ผมรับอุปการะเลี้ยงดูตั้งแต่เธออายุ 8 ขวบ ส่วนยายก็ให้พวกเซียนไก่ผลัดกันเอาข้าวไปให้กิน
นี่ก็ผ่านมา10 ปีแล้ว แหม่มโตเป็นสาวสวย เวลาผมไม่อยู่บ้าน เธอจะเป็นคนมาอยู่และคอยเก็บกวาดบ้าน ส่งเสียเด็กคนนี้มีแต่ภูมิใจ เธอเป็นเด็กเรียนเก่งและขวนขวายหาความรู้ ไม่เคยมีเรื่องให้ไม่สบายใจ
แหม่มวิ่งตัวปลิวไปหาเจ้าแทนคู่ซี้…
“พี่แทนขา! คิดถึงจังเลย” เธอวิ่งไปเกาะแขนเอนหัวพิงไหล่
“งี้ด! งี้ด! งี้ด!” เจ้าบราวนี่กระโดดดีใจเล่นกับเจ้าแทน
“แหม่ม! มารู้จักเพื่อนพ่อก่อน” ผมแนะนำไป่ไป๋กับจูยอน แหม่มพูดภาษาอังกฤษได้ดี
“ลูกสาวคุณเหรอเจ็ทโด้?” ไป่ไป๋ส่งสายตาสงสัย มองแหม่มสลับกับผม แหม่มกับไป่ไป๋วัยไล่เลี่ยกันแต่รูปร่างไป่ไป๋กินขาด เธอมีออร่าดูแพงกว่าแหม่มมาก จูยอนเองก็มองไปมาเหมือนจะสับสน ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แสดงว่าเจ้าแทนก็ไม่เคยเล่าบอกพวกเธอเหมือนกัน ถ้าอยากรู้เรื่องอะไร? ให้พวกเธอถามแหม่มเอาเอง
เจ้าแทนยิ้มร่า...
“เป็นไงไป่ไป๋ ผู้หญิงที่นี่สวยมั้ยล่ะ?” มันเยาะเย้ย เธอพยักหน้าเบา ๆ หันไปมองแหม่มเล่นกับหมา…
“คุณเคยบอกว่า สาว ๆ ที่นี่สวยทุกคน สงสัยจะจริง แต่ไม่ใช่กะเทยใช่มั้ย?”เธอยิ้มแล้วจับมือกับแหม่ม
“ทำไมคะ?” แหม่มถามกลับ
“กะเทยที่นี่ดังไปถึงจีน ที่นั่นเห็นเป็นของแปลก ชอบมาดูกัน” เธอสายตาหม่น
“คิดถึงพี่แทนจังเลย!” แหม่มเสียงหวานเข้าสวมกอดเอวเจ้าแทนยิ้มเอามือลูบหัวน้อง
“พี่ก็คิดถึงแหม่มเหมือนกัน เป็นยังไงบ้าง?” เขาก้มลงไปดึงจมูกแหม่ม ผมไม่ว่าหรอกถ้าสองคนจะรักกัน ดีเสียอีกจะได้หมดห่วง เจ้าแทนไม่ใช่คนเจ้าชู้และมันก็ใจดีมาก
จูยอนยิ้มกว้างเขาไปหาน้องแหม่ม ...
“เป็นแฟนของแทนเหรอคะ? หน้าตาสวยจิ้มลิ้มเชียว”
“ค่ะ!หนูเป็นแฟนกับพี่แทน” แหม่มยิ้มหน้าแป้น ไป่ไป๋หน้าตูมยืนเก้อคนเดียว เธอติดเจ้าแทนจะตายโดนแย่งไปต่อหน้าดูสิจะทำยังไง? เธอหันซ้ายขวาแล้วเดินมาหาเอื้อมมือไปลูบหัวหมา...
“บราวนี่! ดีใจด้วยนะได้กลับบ้านแล้ว” เธอสีหน้าแปลก ๆ ดีใจกับหมาเรื่องอะไร? มันก็อยู่บ้านมัน
“เจ็ทโด้คะ! หนูอยากเข้าบ้านแล้ว” เธอบอกแล้วหันหลังเดินไป
“แหม่ม! ดูแลพี่สาวสองคนนี้ให้ดีนะ เดี๋ยวพ่อไปบ้านคุณตาก่อน” ผมนั่งลงลูบหัวเจ้าบราวนี่ในจิตใจเริ่มหวั่นวิตกที่จะต้องเจอกับพ่อกำนัน

หลังจากที่พาทุกคนเข้าบ้าน แยกย้ายไปตามห้องของตัวเองแล้ว ผมก็เรียกเจ้าแทนให้ออกไปด้วยกัน เป้าหมายคือบ้านเอื้องก็บ้านเจ้าแทนนั่นแหละ หลังเอื้องเสียไปผมรู้สึกว่า ใจเบา ว่างเปล่า ไม่มีความหมาย ผมไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว
“บรื้น!...นน!” รถยนต์ของเรามาจอดใต้ร่มมะม่วงหน้าบ้านของแทน พอได้กลับมาอยู่ในที่ ๆ คุ้นตา ภาพอดีตก็ทิ่มตำ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่เอื้องนั่งยิ้ม ศาลาหน้าบ้านยังยืนเหงาไปด้วย
ก้าวขึ้นชั้น 2 พ่อกำนันนั่งอยู่บนโซฟาพอดี ท่านชราลงไปมาก หลังค่อมร่างกายสั่นเทา สวมแว่นตาหนาเตอะ ผมคลานเข้าไปกราบแทบเท้าท่าน แทนก็ทำเช่นกัน
“แทนเหรอลูก?” แกยังจำได้แม่น แล้วหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ผม
“มึงมาบ้านกูทำไมไอ้ตุ๋ย? เดี๋ยว..ปั้ด!” แกลุกขึ้นยืนง้างไม้เท้าจะฟาด ผมก็ไม่ได้หลบหนีแต่อย่างไร ก้มหน้าหลับตารอรับแรงกระแทก แต่ท่านไม่ได้ตีลงมา
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไป แต่ความเกลียดในจิตใจของท่านที่มีต่อผมไม่เคยลดน้อยลง ถึงผมจะประสบความสำเร็จแล้ว ผมก็ไม่เคยหยิ่งผยองกับท่านแม้แต่ครั้งเดียว
“ลูกสาวกูต้องหย่า ต้องมาตายก็เพราะมึงนี่แหละ ไอ้เลว! มึงนี่ตัวซวยตั้งแต่เด็กเลยนะ น่าจะตายโพงตายห่าไปตั้งนานแล้ว กลับมาอีกทำไม?” ท่านด่าเป็นชุด ผมหมอบฟังไม่โต้แย้ง แทนเดินมาประคองคุณตาที่โกรธจนตัวสั่นนั่งลงบนโซฟา
“ผมมาขอลาบวชครับ!”
“.........” ท่านนิ่งไป
ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมจะทำให้คนรักได้ ผมไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว ผมเกิดจากวัด ผมก็พร้อมที่จะกลับมาตายที่วัด ไม่มีความหวังอะไรที่ต้องรอต่อไป ทุกอย่างเลือนหายไปหมดแล้ว คนที่ผมรักทุกคน ไปรอผมบนสวรรค์กันหมดแล้ว การบวชครั้งนี้จะได้อุทิศส่วนกุศลที่ได้ฆ่าคนมามากมายในสนามรบ ถ้าท่านมัจจุราชใจดีอาจจะให้ผมได้ไปสวรรค์พบกับเอื้องอีกครั้ง
“มึงไม่ต้องมายุ่ง! มันจะเป็นบาปติดตัวลูกกูป่าว ๆ กูขี้เกียจตามไปแยกมึงชาติหน้า” ท่านยังเสียงดัง ง้างไม้ตะพดในมือสั่นระริก
“ผมตั้งใจอย่างนั้นครับ เอื้องไม่มีคนบวชให้ ผมจะบวชอุทิศส่วนกุศลนี้ให้เอื้องเอง” ผมเรียนท่านไปแบบนั้น ถ้าการเกาะชายผ้าเหลืองแล้วได้ขึ้นสวรรค์มีจริง ผมก็จะเป็นคนนำทางไปส่งให้ถึงสวรรค์ชั้นที่สบายที่สุดเอง
“เอ็ง! ไม่สมควรมายุ่งอีก เดี๋ยวสามีเขาจะมาดูถูกกู” ท่านมีแต่มุมมองที่ไม่ดีกับผม ทุกคำพูดเสียดแทงใจจนอยากร้องไห้ มันเป็นตราบาปของเด็กกำพร้าและลูกคนจนที่ไม่เคยหลุดพ้นจากกับดักของสังคม
“พี่ตุ๋ย!” แทนเดินกอดรูปเอื้องมาน้ำตาไหลนองหน้า ผมเองก็ต้องกัดฟันทน มองรูปเอื้องได้ไม่นานก็ต้องเมินหน้าหนีน้ำตามันจะไหล
“ฮือฮีอฮือ!”สงสารเจ้าแทนร้องไห้หนักมาก เอื้องเป็นคนเดียวที่เข้าใจมันมากกว่าใคร เอื้องรักมันเหมือนลูกชาย มันก็รักเอื้องเหมือนแม่
“ตอนที่ผมไม่สบายอยู่ในป่า ผมจำได้ว่า น้าเอื้องกับแม่ไปหาผม ฮือฮือ!” เจ้าแทนร้องไห้กอดรูปมือสั่น
“จริงเหรอ? เอื้องไปหาแกเหรอ? เอื้องเสียตอนที่แกติดอยู่ในป่าโบราณ” ผมหันมองครุ่นคิด เป็นไปได้ที่วิญญาณของเอื้องจะไปตามหาหลานรัก ถ้าวิญญาณมีจริง ผมคงส่งเธอขึ้นสวรรค์ได้แน่/มีความหวังขึ้นมาในใจ/
“จริงครับพี่! อีกครั้งก็ตอนที่ผมรู้ข่าวแล้ว นอนที่บ้านไป่ไป๋ น้าเอื้องก็มาหาอีก ท่านมาเข้าฝันผม น้าเอื้องมาลาผมแล้ว” เจ้าแทนร้องไห้โฮ
“เอื้องรักแกมากนะแทน รักเหมือนลูกชายตัวเองเลย เธอฝากให้พี่ช่วยดูแลแก แต่จากนี้...แกต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ พี่ไม่ได้อยู่ดูแลแกอีกแล้ว” ผมกลืนน้ำลายอย่างขมขื่น
“ผมเป็นคนดีพอหรือยังครับ? ผมต้องทำอย่างไรอีก” แทนกล่าวทั้งน้ำตา ผมสงสารมันจับใจน้ำตาซึม
“แกเป็นคนดี ดีมากแล้ว” ผมปลอบใจน้อง
“น้าเอื้องบอกว่าถ้าผมทำดีแม่จะกลับมา แต่ทำไมต้องมาเอาน้าเอื้องไปอีก” แทนร้องไห้ด้วยความน้อยใจในโชคชะตา ผมพูดไม่ออก กุศโลบายที่ผู้ใหญ่หลอกเด็กในวัยเยาว์ มันจะฝังในความทรงจำไปจนตาย เจ้าแทนสุภาพกับผู้หญิงเพราะคำสอนของน้าเอื้องนี้เอง...
“น้าเอื้องกับแม่ไม่ได้จากไปหรอกแทน เขาอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป จะคงอยู่ตลอดไป”น้ำตาเจ้ากรรมพานจะไหลออกมา รีบกะพริบตาไล่
“ให้ผมบวชด้วยนะพี่” แทนพูดทั้งน้ำตา
“ไม่เป็นไรหรอก อยู่ดูแลจูยอนกับไป่ไป๋ให้ดี ส่งให้เธอถึงที่หมาย แล้วทำในสิ่งที่สั่งไว้ให้ครบ” เจ้าแทนไม่คุ้นเคยกับวิถีแบบนี้ อ่านภาษาถิ่นไม่ออก เขียนก็ไม่ได้ บวชไม่ได้หรอก
หลังจากรอให้พ่อกำนันได้ระบายอารมณ์จนเป็นที่พอใจแล้ว ก็ลากลับบ้าน จากนี้และตลอดกาล บ้านหลังนี้จะไม่มีเอื้องอีกแล้ว
................................................................................................