
กังนัม เกาหลีใต้
มุมมองสายตา ชเว จูยอน
พฤษภาคม ค.ศ.2022
ศูนย์พักพิงผู้แปรพักตร์ ชองดัมดง กังนัม…
“ติ๊งต่อง!” ออดสัญญาณพักเที่ยง ของศูนย์อบรมผู้แปรพักตร์ พวกเราต้องถูกปรับทัศนคติกันใหม่ให้เข้ากับโลกเสรี เพื่อให้ลดความแปลกแยกให้น้อยลง สำหรับฉันไม่มีปัญหาเพราะเคยใช้ชีวิตนอกโลกเผด็จการ การเดินทางมาจากเกาหลีเหนือก็เหมือนกับการเดินทางข้ามเวลามาสู่อนาคต การใช้ชีวิตต่างกันสิ้นเชิง รอยยิ้มจอมปลอมที่ดูเร่งรีบ ร้อนรน แก่งแย่งและกดดัน
พวกเรา...ผู้แปรพักตร์ทั้ง 6 คน เดินมาเข้าแถวรับถาดอาหารไปเข้ามุมของตัวเองที่ถูกจัดกันไว้ แยกออกจากกลุ่มคน
“นี่! เธอดูยายนั่นสิ! เช้ยเชย! บ้านน้อกบ้านนอก! หนีมาหรือเขาไล่มาก็ไม่รู้?” สาวเกาหลีใต้สามคนนินทาเสียงดัง จากโต๊ะตรงข้ามนอกโซน
ฉันจำได้แล้ว…เคยเดินชนกับหัวโจกของกลุ่มที่หน้าห้องน้ำ เมื่อตอนที่ถูกส่งมาที่นี่ใหม่ ๆ เธออาฆาตตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้
“พวกหลังเขา ไม่รู้จะหนีมาทำไม? บรรพบุรุษของพวกเธอฝักไฝ่คอมมิวนิสต์ แต่ยายนี่! เนรคุณหนีมา” อีกเสียงกระเซ้าหัวเราะคิกคัก
“มาก็สร้างแต่อาชญากรรม พวกฝั่งเหนือไร้การศึกษา จะหางานอะไรทำได้ นอกจากมาเป็นขยะ”ทุกคำเน้นย้ำลงไปก้นบึ้งของหัวใจ สายตาที่มองมาเหมือนเห็นฉันเป็นตัวน่ารังเกียจ
“นี่เธอ! ศูนย์แรงงานฝั่งเหนือข้างบ้านฉันนะ มันต่อยตีกันทุกวัน พวกนี้เถื่อนมาก ขโมยของเก่งด้วย ชาวบ้านระอากันหมด ไม่รู้จะรับพวกมันมาทำไม?” สาวสวยทันสมัยหน้าตาสะอาดหมดจด แต่จิตใจไม่ไหว จ้องมองหน้าของฉันเขม็ง...
“ผู้หญิงพวกนี้! เดี๋ยวก็ไปขายตัว หน้าตาก็ไม่ได้ขี้เหล่นี่ จับอาบน้ำให้หายเหม็นก็น่าจะขายได้นะ” ทุกถ้อยคำเสียดสีที่สาดใส่ ฉันจะยอมรับก็ไม่ได้ ไม่ยอมรับก็ไม่ได้ อันนี้เป็นสันดานส่วนตัว ไม่ใช่ทั้งหมดของประเทศ มันคงเป็นกรรมของฉันที่มาเจอกับพวกเธอ
ฉันวางช้อนนั่งมองพวกเธอคุยกัน มินซอเพื่อนชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์มาก่อนบีบมือฉันเบา ๆ
“สหาย!อย่ามองแรงขนาดนั้นสิ เดี๋ยวมีเรื่อง” มินซอกระซิบเบาสุด
สาวหัวแดงท่าทางแสบ หนึ่งในนั้นเห็นฉันวางช้อน เบะปากหันไปสะกิดเพื่อน…
“เธอพูดกันดังดังหน่อย! เดี๋ยวมันจะหาว่า เรานินทา พวกเราไม่ได้ซุบซิบนินทาใช่มะ?” เสียงของเจ้าถิ่นเยาะเย้ยอย่างมั่นใจ
“เราพูดความจริง ก่อนมาถึงที่นี่ คงรับแขกมาเยอะเลยสินะ?” ปากยื่นปากยาวมาเลย
“ฮิ! ฮิ! ฮิ!” เธอหัวเราะเหยียดหยามตีมือไฮไฟว์
“ปัง!” ฉันทุบโต๊ะแล้วมองหน้า
“สหาย! ไม่เอาน่า!” มินซอเอื้อมมาบีบมือแรงขึ้น
“แควนจานาโย!” ฉันบีบมือคืน
“ ?????” เสียงในห้องอาหารเงียบกริบ ทุกคนหันมองมา
“ขอความกรุณา อย่าบุลลี่กันแบบนี้เลย พวกเราแค่มาขอลี้ภัยแล้วจะเดินทางต่อไปประเทศที่ 3”
“สหาย!.ใจเย็น ๆ ค่ะ อย่ามีเรื่องกัน” มินซอก้มหน้ากระซิบกระตุกแขนเตือน
“ทำเป็นพูดภาษาอังกฤษ รู้จักบุลลี่ด้วยเหรอ? ยายบ้านนอก!” ทั้งสามสาวลุกเดินมาที่โต๊ะ ท่าทางแรง เอาเรื่อง
“ยังไงเหรอสาวเหนือ ทนฟังเรื่องจริงไม่ได้เหรอ?” เธอยืนดูดน้ำจ้องหน้า ดูจากใบหน้าพวกเธออายุไม่น่าจะเกิน 25 ปี ยังอยู่ในวัยห้าว
มินซอลุกจากเกาอี้ทรุดลงคุกเข่า...
“ฉันขอนะคะ อย่ามีเรื่องกันเลย” มินซอยกมือขึ้นถูกัน อ้อนวอน
“ช่วยเตือนเพื่อนเธอด้วย พึ่งมาอยู่อย่าซ่าส์ โดนส่งกลับแล้วจะหนาว” พวกเธอเป็นเจ้าหน้าที่ในค่ายพักพิง แต่ไม่รู้อยู่แผนกไหน? ฉันโชคร้ายที่มาเจอแบบนี้ คิดถึงบ้านแสนสุขของเจ็ทโด้จังเลย
“ฉันขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะคะ! เธอยังไม่รู้กฎกติกา” สหายมินซอขยับเตรียมโค้งศีรษะขอโทษ
ฉันผวาพรวด…
“สหายมินซอลุกขึ้น! อย่าคุกเข่าให้คนอย่างนี้ อย่าลดเกียรติของเกาหลีเหนือ” ดึงแขนให้เธอลุกยืน
“ทำไม คนอย่างฉันมันทำไม? ยังไงก็ยังดีกว่าพวกเธอ บ้านตัวเองก็อยู่ไม่ได้ ต้องเร่ร่อนเป็นสัมภเวสี ผีพยองยาง มีเกียรติด้วยเหรอ?” ทุกคำพูดเจ็บปวดกัดใจ
“พูดพอใจหรือยัง?” ฉันมองหน้าทีละคน
“ยัง! จะพูดอีก มีอะไรรึป่าว?” หัวโจกคนสวยเชิดหน้าใส่
“เปล๊า! ก็พูดมาสิ จะฟัง!” ฉันยังจ้องหน้า อยากพูดอะไรก็พูดมา
“กวนตีนเหรอ?” เธอไม่พูดเปล่า ปัดจานข้าวหล่นจากโต๊ะ
“เคล้ง!”
“ว้าย!” กลุ่มเพื่อนของเธอเข้ารุมจิกหัวมินซอ ล้มลงไปอีก
“โครม!” ฉันถีบเข้าสะโพก หนึ่งในนั้นกระเด็นไปโดนโต๊ะแล้วคว้าข้อมือหัวโจกที่แทงซ่อมเข้ามาที่ท้องบิดมืออย่างแรง...
“แกร๊ง!!”
“โอ๊ย! ปล่อยนะ!!!” เธอกระทืบเท้าหน้าเหยตัวเอียงทรุดตามความเจ็บ
“ปล่อย!” เพื่อนอีกคนวิ่งเงื้อเข้ามา ฉันยกเท้ายันหน้าอกไว้ กวาดตามองรอบตัวเกาหลีมุงมองกันเฉย ไม่มีใครเข้ามาช่วย
“โอ๊ย! ปล่อยนะ!!!” หัวโจกร้องลั่นหมดทางสู้ ฉันบิดมือจนเธอคุกเข่าทรุดลงกับพื้น
“ปรี๊ด! ปรี๊ด! หยุดเดี๋ยวนี้” เจ้าหน้าที่ผู้ชายวิ่งแหวกเข้ามาห้าม
“โอปป้า! จับมันส่งกลับไปเลย มันมีพฤติกรรมก้าวร้าว”
“แยกกันก่อน! ปล่อยมือด้วย คุณจะหักข้อมือเธอหรือไง?” เขาตวาด ฉันปล่อยมือจากหัวโจก แล้วก้มลงไปพยุงมินซอลุกยืน
“ใกล้พ้นโปรฯ แล้ว อย่ามีเรื่องกัน ไม่งั้นคุณจะโดนขังคุกนะครับ” เขากล่าวเตือนสียงเข้ม
“โอปป้า! อย่าไปใจดีกับพวกมัน รายงานเลยค่ะ ตัดคะแนนให้หมด”
“แยกย้ายครับ! แยกย้าย! ” เจ้าหน้าที่หนุ่มโบกมือไล่ แล้วหันมามองฉัน...
“อย่าให้มีอีกครั้งนะครับ ผมรายงานคุณแน่” เขาขู่มองแรง
มินซอปราดเข้ามาขวางแล้วโค้งหัว....
“ค่ะ ๆ จะจำไว้นะคะ!” เธอก้มหัวปะหลกปะหลก
“สหาย! ไปกันเถอะ เข้าห้องเรียนกันดีกว่า” เธอดึงฉันออกจากห้องอาหาร
…………………………………………………….
ช่วงพักเบรกตอนบ่ายของการเรียนวิชาการใช้ชีวิตสมัยใหม่ ฉันถือถ้วยกาแฟออกมานั่งมองตึกสูงของเกาหลีใต้ ที่ดูอึดอัดยัดเยียดในเขตเศรษฐกิจพิเศษกังนัม ในจอภาพ...กลุ่มไอดอลสาวกำลังร้องเล่นเต้นกันกระจาย หลังจากนักข่าวรายงานข่าวจบ
ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ไม่ให้ความสำคัญกับข่าว Soulless แม้แต่น้อย พวกเขาต่างก็ต้องดิ้นรนแข่งขันกับเวลา ไม่มีใครจะใส่ใจคนที่เดินช้ากว่า นี่สินะ! ทุนนิยม เงินทำเรื่องน่ารังเกียจได้มากมาย ซื้อได้ทั้งเวลาและชีวิตของคน การกำหนดให้เงินเป็นตัวกำหนดสังคม ใช้เงินเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ทำให้เกิดช่องว่างของคำว่าสัมพันธภาพ
มินซอยกน้ำเดินเอาเข้านั่งข้าง…
“สหายจูยอน! กินน้ำสิ” เธอดันแก้วมา
“ขอบใจนะสหายที่ช่วยฉัน”
เพื่อนสาวชาวเกาหลีเหนือคนอื่น ๆ เดินมานั่งสมทบ รุ่นนี้ไม่มีผู้ชายที่แปรพักตร์เข้ามาเรียน ในดวงตาที่มีความหวังนั้น ถูกเคลือบด้วยความกังวลใจ ความกลัวจากบ้านเกิดยังตามมาหลอกหลอน ผู้ที่ไม่รักผู้นำต้องตาย กฎหมายบ้า ๆ ของโลกเผด็จการ
ฉันและแทนต่างเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ดี ต้องโดนบังคับให้จากบ้านด้วยความขมขื่น เขาจะคิดอย่างไรฉันคาดเดาไม่ได้ ส่วนฉันขอเพียงมีโอกาสครั้งเดียว ฉันจะล้างบางมันให้หมด ผู้นำรัฐที่กดขี่ ต้องไม่มีที่ยืน
“ฉันคิดว่าเรามาผิดที่ ทำไมเหมือนเราพูดคนละภาษากับพวกเขาเลย” เพื่อนอีกคนในวัยใกล้เคียงกันเปรยขึ้นมา
“ฉันว่า พวกเขานั่นแหละที่ทำให้ภาษาวิบัติ” เสียงพวกเขาคุยกัน
“ฉันเห็นด้วย ทำไมต้องพูดเกาหลีผสมอังกฤษด้วยก็ไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่องเลย” เด็กวัยรุ่นสาวหน้าหงิก
เกาหลีเหนือเปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่เก็บรักษาทั้งภาษาและวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ทุกประการ ยังคงเหมือนโลกโบราณที่ปิดตัวซ่อนเร้น ฉันพอเข้าใจที่พวกเธอบ่น เพราะเกาหลีใต้อิงเศรษฐกิจและการค้ากับอเมริกา จึงมีความจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร พวกเขาสอดแทรกภาษาอังกฤษเข้าไปในชีวิตประจำวัน และวัดคุณค่ากันโดยการโอ้อวดภูมิความรู้ อาชีพและฐานะตามสไตล์ของทุนนิยม
มินซอหันมา...
“ฉันอยู่ที่นี่มานานแล้ว ยังสอบไม่ผ่านโปรฯ สักที ทางศูนย์ฯ ก็ไม่ยอมให้ผ่าน สหายมั่นใจไหมว่าจะสอบผ่าน?”
“ฉันมั่นใจมาก!” ฉันไม่มีปัญหากับภาษาอังกฤษ แต่คนเกาหลีเหนือส่วนใหญ่พูดอังกฤษไม่ได้ เพราะเหตุผลมาจากการเมือง
“สหายจูยอน ตอนที่อยู่ฝั่งเหนือสหายทำงานอะไร? ฉันสังเกตมานานแล้วว่า สหายไม่เหมือนพวกเรา ทั้งผิวพรรณและท่าทางของสหายเหมือนชนชั้นสูง”
“อ๋า! ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ขายของให้นักท่องเที่ยวในพยองยางค่ะ ถามทำไมคะ?”
“อ๋อ!..ถึงพูดภาษาอังกฤษได้ แล้วทำไมสหายต่อยเก่งจัง ฉันนึกว่าเป็นทหาร” เธอยิ้มเจื่อน
“ทำไมคะ เป็นทหารแล้วยังไงคะ?” ฉันรู้คำตอบอยู่แล้ว
“ถ้าเป็นทหารต้องคุยกันยาว ฉันเกลียดพวกมัน” มินซอเบะปาก
เธอคงเป็นชาวบ้านขนานแท้ที่ไม่มีลูกหลาน หรือญาติเป็นทหาร พวกนี้จะโดนกดขี่หนักมาก
“คุณอยู่เมืองหลวงยังมีโอกาสได้เรียนสูงฉันสิแย่เลย หนีมาติดอยู่ที่นี่มา 8 เดือนแล้ว สอบไม่ผ่านสักที คนอื่น ๆ ใช้เวลาแค่ 3 เดือนก็ออกไปทำงานได้แล้ว”
ชามินซอ เป็นหญิงรูปร่างเล็กลำตัวผอมเกร็ง เส้นเอ็นปูดโปนตามแขน บ่งบอกถึงการตรากตรำต่อสู้กับชีวิตมาโชกโชน อายุราว 35 ปีสมควรจะได้ใช้ชีวิตเป็นแม่อยู่กับลูกที่น่ารัก แต่กลับต้องหนีหัวซุกหัวซุน เธอเป็นคนมีน้ำใจคอยดูแลเพื่อน ๆ ที่หนีออกมาอยู่นอกประเทศด้วยชะตากรรมเดียวกัน
“สหายมาอยู่ที่นี่ต้องเงียบไว้ พวกเราพูดอะไรก็ผิด พวกฝั่งใต้เห็นแก่ตัวและมองพวกเราเป็นกาฝาก” เธอถูมือที่หยาบและลอกเป็นแผ่นจากการทำงานหนัก ทอดสายตาไปที่จอภาพบนยอดตึกสูง
“ทำไมเหรอ?” ฉันชงให้เธอคุยไปเรื่อย ๆ ไม่อยากอยู่เงียบ ๆ ไม่อยากหัวสมองว่าง
“พวกเขาไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เหมือนคนบ้านของเราหรอกสหาย พวกเขาไม่ไว้ใจพวกเรา ยังคงมองว่าพวกเราเป็นศัตรู เป็นสายลับ แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาไม่ได้ดีไปกว่าเราหรอก แก่งแย่งชิงดีกันจะตายไป เพื่อนกันยังนินทาลับหลังกันเลย” มินซอ ผู้อยู่นานสุดออกความเห็น
สาววัยรุ่นยื่นหน้าเข้ามา…
“ที่นี่สะดวกสบายก็จริงนะ แต่ฉันอึดอัด ถ้าผ่านโปรฯ ฉันจะออกไปอยู่ปูซาน อยู่ริมทะเล จะเก็บเงินเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ”
“ฉันขอแค่ได้เข้าโรงงานก็พอ จะได้ส่งเงินไปให้ที่บ้านบ้าง?” พวกเธอต่างมีเป้าหมายแตกต่าง ฉันก็มีไม่เหมือนกับพวกเธอ
“ประเทศนี้มันก็ยากจนเหมือนกันแหละ มันเก็บขยะเอาไปใช้ซ้ำ ไม่เคยคิดเลยว่า จะต้องมานั่งเรียนวิธีการแยกขยะ” เด็กสาววัยรุ่นจากบ้านเกิดบ่นมากกว่าใคร เธอโชคดีที่ออกมาได้ตอนอายุยังน้อย
“เขาเรียกว่า รีไซเคิล” ฉันอมยิ้ม
“บ้ารึเปล่า ใส่ผิดถังก็มีความผิด? สู้ฝังกลบแบบบ้านเราไม่ได้เนอะ” แม่สาวน้อยชนบทสับสนกับชีวิต
“สหาย!” ชามินซอ หันมาจับแขนเขย่าอ่อนโยน ฉันรับรู้ได้ถึงความอาทรจากมือสากที่ต้องตรากตรำต่อสู้มาทั้งชีวิต สายตาห่วงใยบนใบหน้ากร้านแดดนั้น...ราคาแพงมาก เป็นสิ่งที่หายากในเมืองเจริญ...
“ฉันว่า อีคนนั้นมันไม่จบง่ายหรอก สหายระวังตัวด้วยนะ”
เด็กสาววัยรุ่นเบะปาก ส่ายหน้าระอา...
“อีพวกหมาหมู่ไม่น่ากลัวหรอก ถ้าอยู่บ้านเรา หนูจับฝังดินไปแล้ว”
ฉันไม่อยากใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ ฉันตั้งใจมาเพื่อจะได้มีตัวตนไม่ได้มาเพื่อหาเรื่อง...
“วันนี้ไปเที่ยวชองดัมดงกัน ใครจะไปกับฉันบ้างคะ?”
เด็กวัยรุ่นสาวกระเด้งยิ้มกว้าง...
“ฉันไปด้วย! ฉันต้องไปหัดขึ้นรถไฟฟ้าให้เก่งก่อน ต้องลองใช้ตู้อิเลคทรอนิกส์บ้าบอนี่ให้ได้ก่อน ยังสอบไม่ผ่านสักทีเหมือนกัน คำสั่งเสือกใช้เป็นภาษาอังกฤษ” เธอดีใจตาวาว
มินซอส่ายหน้า…
“ฉันขอตัวนะ จะตั้งใจอ่านหนังสือสอบ”
“ติ๊งต่อง!”
“ไปเรียนกันเถอะ ออดดังแล้ว”
................................................................................................

ค่ำคืนแสงสีของชองดัมดง เกาหลีใต้ ตระการตา อาคารสมัยใหม่สูงเสียดฟ้าแข่งกันประดับไฟสวยงาม ฝูงคนข้ามทางม้าลายยุ่บยั่บลานตา ถนนเต็มไปด้วยรถยนต์และเสียงแตรเร่งร้อน
ร้านอาหารมากมาย ทั้งอาหารต่างชาติและอาหารเกาหลีเนืองแน่นไปด้วยแขก แต่ฉันหมายตาไว้ก็ร้านเครื่องสำอางและเสื้อผ้าสวย ๆ ต้องหาชุดใส่ให้ดูเหมือนคนใต้สักหน่อย ไม่อยากโดนดูถูกทางสายตา
ฉันมาเยือนย่านเซเลปของเกาหลีด้วยใจประหม่า ความแตกต่างทางการใช้ชีวิต บั่นทอนความมั่นใจลงไปมาก
“สหายชื่ออะไร? ฉันชื่อชเว จูยอน” ฉันถามเด็กสาวที่มาด้วยกัน
“จังมี!... คิม! จัง! มี!” เธอยิ้มใสซื่อแววตาระยับ เริงร่าเบิกบานท่ามกลางฝูงชนหลากชาติที่เดินสวนกันไปมา
“ตึกรูปร่างแปลกดีนะคะ ฉันเคยไปพยองยางสองครั้ง มันสวยคนละแบบ ของบ้านเราดูบึกบึนแข็งแรงกว่านี้”
“แตกต่างกันที่แสงไฟค่ะ ที่นี่ใช้ไฟฟ้าได้ไม่อั้น บ้านเราติด ๆ ดับ ๆ สหายมาจากจังหวัดไหนคะ?”
“ชินอุยจู!” เธอหันมาบอก ฉันพยักหน้ารับเบา ๆ ฉันเองก็หนีออกมาจากทางนั้นเหมือนกัน
ที่เกาหลีเหนือ ตึกของราชการส่วนใหญ่จะรูปทรงบึกบึน รูปลักษณ์หนักไปทางการทหาร เลียบแบบมาจากรัสเซีย ส่วนตึกสูงสมัยใหม่ของเอกชนในพยองยางก็ไม่ต่างกับที่นี่ รับวัฒนธรรมมาจากยุโรปทั้งสิ้น
แต่สิ่งที่แตกต่างชัดเจนคือร้านขายของที่ดูมากมาย สะดวกสบายหรูหรา โดยเฉพาะร้านไก่ทอดที่มีทั้งร้านหรู ยันร้านเหลาในตรอกเล็กมากกว่าสินค้าอื่น /ตัวกินไก่อยู่ที่นี่เอง/
“สหาย! ไปดูเครื่องสำอางกันนะ” จังมีชี้ชวน
“มีเงินเหรอ?” ฉันยิ้มแกล้งแหย่ เงินเป็นของหายากสำหรับสาวเหนือ
“หึ!” เธอส่ายหน้า
“ล้อเล่นนะคะ!” ฉันยิ้มมองสหายเด็กสาว ไม่ได้คิดจะดูถูกเพื่อน แต่ดูอย่างไร สหายคนนี้ก็ปลอมตัวไม่เนียน กางเกงขาบานทรงมอสย้อนไปยุค 60-70 เสื้อปกใหญ่ลายดอกไม้สีฉูดฉาดขนาดนั้น ไม่ต้องพูด…ใคร ๆ ก็มองออก ถ้าพูด…ก็รู้ทันทีว่า มาจากฝั่งเหนือ
“ฉันอยากดูไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยเก็บเงินมาซื้อ” เธอยิ้มวาดฝัน แต่ฉันสะท้อนในอก สาววัยรุ่นวัยสดใสเต็มไปด้วยความฝันที่บ้านฉันอีกหลายคน โดนเกณฑ์เข้าแค้มป์เป็นนางบำเรอท่านผู้นำ
“สหาย! ฉันอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก ช่วยเลือกให้หน่อยนะ”
“ได้สิ! ฉันจะซื้อให้เป็นของขวัญ”
“จริงนะ! จริงนะ! สหายใจดีจัง” เธอยิ้มกระโดดดีใจ แล้วก้มลงมากระซิบ...
“ถ้าเราเข้าร้านแล้วไม่ต้องพูดกันนะ เดี๋ยวคนมอง”
“อืม!” ฉันอมยิ้ม เป็นผู้อาศัยอยู่ลำบากจริง ๆ อยู่บ้านของเจ็ทโด้สบายใจกว่ากันมาก ชาวบ้านใจดี มีน้ำใจเดินไปทางไหนมีแต่รอยยิ้ม มีส่วนคล้ายเกาหลีเหนือเยอะ ต่างจากที่นี่สิ้นเชิง
“เอาอย่างนี้สิ! เดี๋ยวสหายอยากได้อะไรก็ชี้ ฉันจะไปซื้อให้เอง ฉันก็ไม่พูดเกาหลีหรอก ฉันจะพูดอังกฤษกับพวกเขา” เพื่อปลดล็อคทางชนชั้น ภาษานี่แหละที่จะทำให้ คนไม่กล้ามาดูถูก
“สหายเก่งจริง ๆ พูดภาษาอังกฤษได้ด้วย”
“นิดหน่อยน่ะ”
เธอชี้ไปที่ชายหนุ่มวัย 27-28 ปีหน้าตาดี กำลังโปรยยิ้มให้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างสุภาพ…
“สหายดูคนนั้นสิ ห้อยป้ายที่คอว่า เป็นผู้แปรพักตร์มาจากเกาหลีเหนือ มากอดเพื่อสร้างสันติภาพ จะบ้ารึป่าว! ใครจะมากอดกับคนอย่างเรา? ไม่กลัวรึไงสายลับในนี้ก็เยอะแยะ!” จังมีไม่เห็นด้วยอย่างแรง
ชายหนุ่มเกาหลีเหนือดูสดใส สวมเสื้อยืดขาวสะอาดสะอ้าน ห้อยป้ายกระดาษขนาดใหญ่ไว้ที่คอเขียนว่า North Korean want to be free & Hug for free ใบหน้ายิ้มแย้มจริงใจให้กับทุกคนที่เดินผ่าน
ฉันตื้นตันน้ำตารื้น ซาบซึ้งใจที่เห็นเพื่อนร่วมชาติที่หนีออกมาได้ พยายามช่วยเหลือคนที่ยังติดอยู่ในประเทศ จิตใจของเขายิ่งใหญ่มากที่ไม่คิดเอาตัวรอดคนเดียว คนอย่างนี้น่านับถือ...
“รอเดี๋ยวนะ!” ฉันแฉลบเข้าไปหา
“อันยองฮาเซโย!” ฉันกางแขนกว้าง สวมกอดชายร่วมชาติที่จิตใจยิ่งใหญ่
“โคมับนิดะทงจี!” ฉันขอบคุณสหายเบา ๆ
“หือ!” เขาสะดุ้งหันขวับ คิ้วขมวดยิ้มอ่อน ๆ ใช้สองมือจับไหล่แล้วดันออกแล้วจ้องหน้าของฉัน...
“ฉันพึ่งมาถึงไม่นานค่ะ ยังไม่ผ่านโปรฯ” ฉันยิ้มพยักหน้าเบา ๆ
เขายิ้มกว้างดึงเข้าไปกอดอีกครั้ง แล้วปลอบใจเบา ๆ...
“อดทนไว้นะสหาย อาจฝืนความรู้สึกบ้าง เสียใจบ้าง อย่าไปสนใจ อยู่ที่ไหนก็หนีไม่พ้นคนดูถูก สักวันเราจะกลับบ้านด้วยกัน”
ฉันอบอุ่นมาก ถึงจะเป็นกอดของใครก็ไม่รู้ แต่มันเติมกำลังใจให้กัน ฉันกอดนิ่งเนิ่นนาน...
“แปะ! แปะ!” เสียงปรบมือของใครบางคนดังขึ้น แล้วตามด้วย...
“แปะ! แปะ! แปะ! แปะ! แปะ!” เสียงปรบมือกึกก้องจากรอบด้าน
ฉันถอยหันมองรอบกาย นักท่องเที่ยวต่างชาติยืนมุงยิ้มมองด้วยสายตาชื่นชมโดยปราศจากเจ้าบ้าน
“แปะ! แปะ!” บางคนปรบมือให้ในขณะเดินผ่าน บางคนเป่าปากหันมายกนิ้วโป้งให้ ฉันรู้สึกอายค่อย ๆ ถอยหลัง
“มานี่ก่อนครับ!” เขาดึงแขนแล้วเอาไหล่กระแทกไหล่
“อันยองฮี คาเซโย!” เขายิ้มกว้างก้มมากระซิบข้างหู
“อันยองฮี คเยเซโย!” ฉันยิ้มโบกมือเป็นนางงามให้ฝูงชน แล้วเดินหลีกไปข้ามถนน เป้าหมายร้านเครื่องสำอาง...พากันไปดูสีทาหน้า
“ไปเร็ว! ไฟเขียวคนข้ามแล้ว” เธอจูงมือวิ่ง ตื่นเต้นเป็นบ้าเลย
“ดีนะที่นี่! ไม่ต้องมีสาวจราจรเหมือนบ้านเรา” จังมี ยิ้มฟันขาว
ภายในร้านหรู...สินค้าเครื่องสำอางมากมายลานตา มีให้เลือกตั้งแต่ใช้กับเล็บเท้ายันเส้นผมบนหัว ลูกค้าไฮโซเกาหลี ยืนลองลิปสติกสีชมพูอ่อนที่เข้ากับใบหน้าขาวเนียน กลุ่มเด็กสาววัยรุ่นหน้าตาน่ารัก ชี้ชวนกันดูแป้งพัฟ
“สหายเอาอันนี้” จังมีกระซิบแล้วชี้ไปที่แท่งสีชมพูกลมในตู้ ฉันเคยเห็นมันโฆษณาใช้ทาปากได้ ทาแก้มได้
ฉันหยิบมาใส่ตะกร้า 6 ชิ้น หันไปเจอกับสายตาไม่ไว้ใจของพนักงานขาย เธอจ้องมองเราแทบละลายจมพื้นคงกลัวว่าจะขโมยของ
“ดูอย่างอื่นอีก ซื้อไปฝากเพื่อน ๆ ด้วย” ฉันกระซิบกลับ
“สหายมีเงินเหรอ แพงนะ?” เธอกระซิบกระซาบแล้วขยับเดินไปดูที่ปัดแก้ม ดูจากสายตาแล้วเธออยากได้แต่ไม่กล้าหยิบ ฉันรวบมา 6 ชิ้น
เราเดินหยิบของใส่จนพูนเต็มตะกร้า จังมีก็คอยดึงออก เธอเกรงใจอย่างเห็นได้ชัด
กลุ่มพนักงานขายพูดกันเสียงดัง เหมือนจะให้เราได้ยิน...
“ถ้าเงินไม่พอจ่าย ฉันจะทุ่มมันด้วยตะกร้านั่นแหละ” พวกเธอยังคงมองด้วยสายตาระแวง
“อาจจะเป็นพวกเศรษฐีบ้านนอกก็ได้”
“ดูอีคนตัวเล็กนั่นสิ มาจากฝั่งเหนือแน่ พวกแปรพักตร์”
ฉันเดินหน้านิ่งเข้าไปหา...
“How much in total?” ยื่นตะกร้าพร้อมใช้ภาษาอังกฤษสื่อสาร
“Yes ma’am!” ใบหน้ายู่ยี่ที่ระแวง แปลงเป็นสาวโฉมงามยิ้มหวานทันที คุณค่าของคนในโลกทุนนิยมวัดกันที่ภายนอก
“4,000,000 won” เธอยิ้มหวาน งานนี้คงได้พนักงานขายดีเด่นแน่
จังมียืนยิ้มบิดตัว ดวงตาเป็นประกายมองของที่ซื้อ...
“สหาย! เราแทบจะเหมาร้านกันเลยนะเนี่ย ซื้อเยอะมาก สหาย เอาเงินจากไหนมาเยอะแยะ?”
“เงินเก็บค่ะ!” ฉันไม่ได้บอกหรอกว่า เงินที่เจ็ทโด้ให้มาก็มากมาย นาตาลีให้มาอีกเยอะแยะ ใช้ไม่หมดง่ายหรอก
พนักงานยื่นทอนเงินมาให้พร้อมออกมายืนเตรียมขอบคุณ ฉันลากแขนจังมีมายืนต่อหน้าพวกเขา
“คัมซามนิดะ!” พนักงานขายก้มศีรษะขอบคุณ จังมียิ้มเก้อเอามือปิดปากตาเหลือกจะก้มหัว ฉันกระตุกไว้แล้วส่ายหน้า
ฉันเรียกศักดิ์ศรีคืนให้เธอแล้วนะ พวกทุนนิยม ใครมีทุนคนนั้นก็ได้รับความนิยม เงินซื้อคนพวกนี้ได้
จังมีเริงร่ากับถุงเครื่องสำอาง ทั้งน้ำหอมและเครื่องประทินผิว หิ้วถุงพะลุงพะลังออกไปหน้าร้าน ฉันจะเอาไปฝากเพื่อนผู้แปรพักตร์อีก 4 คนที่ไม่ได้มาด้วย กำลังจะเดินกลับ ไหล่ของใครบางคนกระแทกมาเต็ม ๆ
“โอ๊ะ! บีอันนิดะ!” ฉันกล่าวขอโทษก่อน
“อ้าว! เจอกันอีกแล้ว ยัยคนเหนือ!” เจอโจทย์อีกแล้ว ยัยหัวโจกคนสวย ฉันจูงมือสหายเดินหนี ไม่อยากมีปัญหา
เธอมากัน 5 คน เดินล้อมเข้ามา...
“จะรีบไหน?”
“ฉันขอโทษไปแล้วไง จะเอาอะไรอีก?” ฉันหันไปบอก
“แกบิดข้อมือของฉัน ต้องคุกเข่าขอโทษ” เธอแวดใส่
“คุณหาเรื่องก่อนนะ” ฉันเดินหลีกออกหน้าร้าน
พวกเธอเดินตามมาล้อมริมถนน กลุ่มผู้ชายอีกห้าคนท่าทางไม่ใช่คนดีเดินเข้ามาสมทบ
“ไม่อยากเจ็บตัวก็คุกเข่าขอโทษ เดี๋ยวนี้” ชายผมยาวเดินมาผลักไหล่
ฉันยกมือเจรจา...
“ปล่อยเด็กคนนี้ไปก่อน เธอไม่เกี่ยว!” ฉันผลักจังมีออกไป
เธอผวากลับเข้ามา...
“สหาย!ไหวเหรอ?” เธอก้มกระซิบ
ยายหัวโจกไม่ยอม…
“เธอไม่มีสิทธิ์ต่อรอง คุกเข่าขอโทษเดี๋ยวนี้”
“ได้! ได้! ฉันจะขอโทษเอง” จังมี ทรุดตัวลงคุกเข่า
ฉันรีบดึงแขน...
“เธอไปเถอะ! ไม่ต้องขอโทษ” ฉันส่งของในมือให้แล้วไล่ส่ง
“แต่สหาย!...” จังมีมองกลุ่มนักเลง
“ไป! เธอหนีมาไกลแล้ว อย่าให้ถูกส่งกลับ”
“สหาย!...”
“ไปสิ!”
“สหายระวังตัวนะ!” เธอลังเลก่อนจะวิ่งพรวดออกไป ลูกน้องสาวสามคนวิ่งไล่ตามไป
ยายหัวโจกกับเพื่อนชายเดินมาประกบซ้ายขวา...
“ตรงนี้มีวงจรปิด ไปในซอยดีกว่า” ชายหนุ่มเตือนสติเพื่อน
“เธอต้องการอะไร?” ฉันโดนล็อคสองแขน ลากเข้าซอยตัน ชายสองคนเฝ้าปากซอย อีกสามเดินถือไม้ตามมา
“คุกเข่า!” เธอผลักหลัง
“โอ๊ย!” ฉันเซถลา หลังติดกำแพง หันกลับไปตั้งการ์ดเตรียมสู้...
“ฝันไปเถอะ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด คุณหาเรื่องก่อนทุกอย่าง คุณต่างหากต้องเป็นฝ่ายขอโทษ”
“ปากดี!” สองมือของเธอพุ่งมาจะขย้ำคอ
“ผลัวะ!” ฉันย่อขาเตะกวาด
“อุ่บ!” เธอขาลอยหงายท้องล้มลงหัวฟาดพื้น
“จับมันไว้สิ!” เธอหันไปเกี้ยวกราด
“ย๊าก..กก!” ผู้ชายสามคนวิ่งเงื้อไม้เข้ามาหวด…
“วืด!” หลบคนแรกได้ทัน
“ผลัวะ!” อีกคนซัดเข้ามาเต็มกราม
“โอ๊ะ!” ฉันสมองวูบไปแวบหนึ่ง ขาอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น ชายอีกสองคนเข้าปีกจับฉันขึง…
“อึ่ก! อึ่ก!” เธอรัวหมัดต่อยท้อง จนจุก
“ผลัวะ! ผลัวะ!” โดนตบเต็มสองแก้ม
ฉันเจ็บใจมากที่โดนรังแก ฉันมาเยือนแผ่นดินนี้ด้วยความรู้สึกชื่นชมชื่นชอบ แต่กลับต้องมามีบาดแผลทางใจเพิ่มขึ้นอีก มนุษย์ไม่ว่าที่ไหนก็จิตใจเลวร้ายเหมือนกันหมด ผู้แข็งแรงกว่าไม่เคยมองคนที่อ่อนแอ กลับใช้ความเหนือกว่าเอาเปรียบ
“คุกเข่า” เธอตวาด
ฉันยืนนิ่ง
“จับมันคุกเข่า” เธอสั่งผู้ชาย
ชายทั้งสองคนเอารองเท้าเหยียบน่องฉันจนทรุดลงสองเข่า เขาใช้ไม้กดหัวให้ลงต่ำ
ฉันปวดร้าว คับแค้น รันทดใจ ผิดหวังมากที่คาดหวังว่าที่นี่เป็นบ้านพี่เมืองน้องจะมาขอหลบภัยชั่วคราว ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเจอเหตุการณ์ที่ขมขื่นอย่างนี้ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดมาบังคับได้ยังไง? ไม่ยากเลยที่จะฆ่าพวกเธอ แต่ก็เท่ากับว่า ที่ฉันทำมาทั้งหมดเป็นศูนย์ ถ้าเกิดเรื่องเลวร้าย ฉันอาจติดคุกหรือถูกส่งกลับ อึดอัดใจมาก
“ผลัวะ!” ฉันโดนเตะเต็มแรง ใบหน้าสะบัด
“พูดสิ! ขอโทษ”
“ไม่มีทาง!” ความน้อยใจ ผิดหวังที่ฉันให้ค่าพวกเขาว่าเป็นพี่น้อง ไม่เคยคิดร้ายกับพวกเขา ฉันจะทำยังไงดีระหว่างศักดิ์ศรีกับการเอาตัวรอด
เธอง้างมือพุ่งพรวดเข้ามา
“ผลัวะ!” ฉันถีบกระเด็นก้นไถไปกับพื้น
“อุ่บ!” เธอจุกตัวงอ
เพื่อนชายตัวใหญ่ปราดเข้ามา...
“อั่ก!” เขาต่อยท้องอย่างแรง จนฉันร่วงลงไป
“ลุกขึ้น!” ฉันโดนตรึงสองแขนหมดทางสู้
“อั่ก! อั่ก!” โดนต่อยครั้งแล้วครั้งเล่าจนชาไปทั้งตัว ปวดท้องแทบขาดใจ
“ขอโทษ! เดี๋ยวนี้” เสียงชายหนุ่มโกรธเกรี้ยวเสียดใจ...
“ตายไปซะ พวกสวะ!” ยายหัวโจกถือไม้ยาวเข้ามา
ฉันไม่ได้กลัวแกเลย ฉันจะจำความแค้นนี้ไว้ ฉันต้องรักษาชีวิต ฉันต้องรอด ฉันต้องรอดและฉันจะเอาคืน
เธอง้างไม้ฟาดลงมา...
“โป๊ก!” ฉันมึนหัวทรุดลงพื้น น้ำตาไหล แค้นใจ กัดฟันแน่น...
“หวอ!”
“เฮ้ย! ตำรวจมา เผ่นกันก่อน” เสียงรองเท้าวิ่งคลุกคลัก
สมองหมุนมึนหัว ก่อนที่จะขาดสติ เสียงคุ้นเคยดังเข้ามา มือแข็งแรงช้อนหัวประคองร่าง...
“จูยอน!” เขารับไว้ก่อนที่หัวฉันจะฟาดพื้น
ภาพเบลอลอยข้างหน้า...
“ลูอิส!”
……….........................................................................................…………………..