
กองพันที่8 เสินหยาง
มุมมองสายตา แทน
มิถุนายน ค.ศ.2021
“ตึกตึก! ตึกตึก! ตึกตึก!” หัวใจเต้นดังในความมืด ผมได้เห็นอะไรที่ไม่สมควรเห็น เบื้องหลังของ Tame26 ที่นาตาลีเคยบอกไว้อยู่รวมกันครบทีม ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลจีน ที่ไหนได้รัฐมนตรีของจีนแปรพักตร์นี่เอง
ผมคลานเงียบถอยออกจากห้องจัดเลี้ยงมาด้วยความสับสน มันเกิดอะไรขึ้นกับจูยอนและลูอิส จากที่ได้ยินทั้งสองคุยกันก็ดูเหมือนเป็นพวกเดียวกัน พวกนี้คิดจะทำอะไรกันแน่ แผนครองโลกเหรอ ยิ่งคิดยิ่งสับสน ที่นี่เต็มไปด้วยคนอันตราย
คลานตามช่องเพดานทั้งอึดอัดและคับแคบสำรวจดูห้องมุมที่เจอสัญญาณของไป่ไป๋ ก้มมองผ่านรูเป็นห้องทำงานของนายทหาร ไม่มีร่องรอยของเธอปรากฏ
“อึ่ดอึ่ด!” พอคลานเหนื่อยมาก ๆ เข้า ชักเริ่มสงสัยว่า ตัวเองเป็นสไปเดอร์แมนหรือจิ้งจกกันแน่ เที่ยวคลานไปมาบนเพดานฝ้า
คลานไปทางด้านหลัง ห้องข้างล่างนี้กลิ่นหอมจังเลย กลิ่นหอมชวนน้ำลายไหล แนบตามองลงด้านล่างเห็นห้องครัว ไอน้ำพวยพุ่งจากหม้อต้มที่กำลังเดือดพล่าน พ่อครัวแม่ครัวกำลังจัดอาหารกันอย่างเป็นระบบ ทุกคนเร่งรีบบางคนจัดผักบางคนผัดกระทะเล่นไฟ หลิงหลิงสาวจีนคนสวยที่เจอตอนเข้าประตูก็อยู่ในห้องนี้ด้วย เธอกำลังจัดเรียงอาหารลงจาน ผมสูดกลิ่นหอมตาลอยน้ำลายไหล
ตัดสินใจไปหาที่อื่นดีกว่า ไป่ไป๋ไม่น่าอยู่บนอาคารนี้ คลานย้อนกลับไปตะปีนลงมาชั้นล่าง แอบลงไปชั้นใต้ดินอีกครั้ง ชะโงกหน้ามองด้วยความกังวล
“อุ่บ!” กลิ่นเหม็นแสบจมูก มาต้อนรับเหมือนเดิม ผมจะหาวิธีผ่านทหารยามสองนายที่ยืนเฝ้าประตูนี้ได้อย่างไร?
ชั้นใต้ดินนี้มีทางออก 3 ทางแต่มีคนยืนเฝ้าประตูแค่ประตูเดียวแสดงว่า ต้องมีอะไรสำคัญอยู่ในนั้นแน่ ๆ
“ครืด!” ประตูกระจกเลื่อนออก ผมกวาดสายตามองเขาไปด้านใน เป็นอย่างที่คิด...ไป่ไป๋อยู่ข้างในนั้น ใจชื้นขึ้นมาทันที
“กร๊อง! กร๊อง! กร๊อง!” ใช้มุกเดิมกระป๋องใบน้อยกลิ้งเรียกความสนใจจากทหารได้นายหนึ่ง
เขากำลังเดินมาทางที่ผมซุ่มแอบ ผมหายใจไม่ทั่วท้อง กลัวมือสั่นเสื้อของผมเต้นตามจังหวะของหัวใจที่ลุ้นระทึก ผมไม่ใช่นักรบอาชีพ แค่ยิงปืนเป็นและยังไม่เก่งด้วยซ้ำไป
เขาเดินผิวปาก ท่าทางสบาย ๆ สะพายปืนยาวไทป์ 56 มาด้วย ผมแอบเข้าเงามืด รอจังหวะให้เขาเข้ามาใกล้…
“ฮึบ!” ผมพุ่งเข้าล็อคคอปิดปาก พยายามจะทุบที่ทัดดอกไม้ให้สลบ
“อุ๊บ! ๆ ๆ ” เขาสะบัดดิ้น ทุบไม่ได้
ในจังหวะนั้นเอง...
“โอ๊ะ!” ผมเจ็บจี้ดที่เท้าข้างขวา รองเท้าบูทของเขากระทืบลงบนรองเท้าผ้าใบอย่างแรง
“โอ๊ย!” ผมทรุดก้มหน้า
“ผลัวะ!” หมัดแข็งซัดเข้ามาเต็มปาก ดาวลอยระยับตา
“ผลัวะ!” โดนหมัดเข้าที่ปลายคางอีกดอก
“ตึง!” ก้นจ้ำพื้น ยกมือตบท้ายทอยตัวเอง สลัดหัวไล่ความมึนงง
เขาสืบเท้าเข้ามา...
“อั้ก!” ผมผงะหงายหลังลงกับพื้นตามแรงถีบเข้ายอดอก หัวใจเต้นรัว
เขาโถมตัวมานั่งทับบนท้องความตายแล่นแวบเข้าหัว...
“ผลัวะ! ๆ ๆ” ทุกดอกเข้าเต็มกรามซ้าย-ขวา สติกำลังจะหลุดลอย ใบหน้าเจ็บปวดเลือดกระจาย ผมเพียงแต่คิดว่าจะจับเขามัดแล้วเข้าไปช่วยไป่ไป๋ แต่เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
ผมไม่ไหวแล้ว ต่อสู้ไม่ได้ หลับหูหลับตาเสียบมีดแมกไกเวอร์แทงพรวดสวนออกไป
“อ๊าก...กก!!” โดนที่ลำคอ
“เหวอ!” ผมทำไปเพราะความกลัวสุดขีด เลือดสาดพุ่งเหมือนไก่โดนเชือดกลิ่นคาวคลุ้งใจ เขาดิ้นกระตุกสองสามครั้งก่อนแน่นิ่งไป
“ตึกตึก! ตึกตึก!” ผมลนลานลากร่างไร้วิญญาณมาแอบมุมแล้วนั่งลงข้าง ๆ ก้มมองมีดเล่มเล็กในมือเลอะคราบเลือดก่อนจะทิ้งมันลงพื้น ไม่กล้าแม้จะมองไปที่ศพทหาร
ร่างกายของผมสั่นระริก ทั้งตื่นเต้นและสับสน ผมรู้ว่า การต่อสู้ไม่จำเป็นต้องโกรธเคืองกันมาก่อน ต่างคนต่างทำหน้าที่..แต่ผมสู้ด้วยความกลัว ใจเต้นเร็วแรงตลอดเวลา จิตใจสับสนวุ่นวาย ผมพึ่งฆ่าคนตาย มองล่อกแล่ก กลัวจนหนาวในอก
เสียงต่อสู้กันในห้องโถงใต้ดิน ทำให้เพื่อนทหารอีกคนวิ่งมาดู ผมรีบคลานไปแอบมุมมืด หัวใจเต้นรัว ใบหน้าเจ็บระบม ร่างกายปวดเมื่อย มือควานไปในความมืด เจอไม้ขนาดเหมาะมือเอามาถือรอ
ทันทีที่เขาเดินเลยไป
“พลั่ก!” ผมฟาดไม้ไปที่หัวอย่างแรง ความกลัวทำให้คิดแต่จะเอาตัวรอด
“พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!” ซัดไม้ไปอีกหลายที หวังจะให้เขายอม
แต่...เขาทรุดเข่าลงแล้วพุ่งกลับเข้ามา
“โอ๊ะ! อุ่บ!” มือแข็งดั่งคีมเหล็กบีบคอของผม
“อ่อกอ่อก!” ลูกกระเดือกจะแตกอยู่รอมร่อ ลิ้นจุกปากหายใจไม่ออก พยายามดิ้นเอาตัวรอด
ก่อนที่จะหน้ามืด ผมตีเข่าเสยขึ้นมา
“อึ๊ก!” เต็มไข่...
“อ๊าก...กก!” เขาถอยออก
“ฮึ่บ!” ผมผวาตาม ถีบเข้าท้องเขาเซถอยไปชนเสา
ผมคว้ามีดจากพื้นวิ่งเข้าไป...
“ฉึก! ฉึก! ฉึก!” หลับหูหลับตาปักมีดกลางอกอย่างบ้าคลั่ง
“โอ๊ะ!” เขาสะดุ้งเฮือกแล้วทรุดตัวลง
ความกลัวตายทำให้ควบคุมการกระทำไม่ได้ คิดแต่เพียงจะต้องพาไป่ไป๋หนีออกไปให้ได้ มือไม้สั่นลากศพซ่อนในเงามืดเก็บปืน คว้าวิทยุติดมือไปด้วย
เสื้อผ้าชุ่มไปด้วยเลือดสด ๆ กลิ่นคาวและกลิ่นเน่าผสมปนเปชวนอาเจียน หันหลังกลับไปมองสำรวจห้องนี้อีกครั้ง มันดูวังเวงน่ากลัว สายตาเก็บข้อมูลจำแผนผังได้นิดหน่อยต้องรีบไปต่อ
“ครืด!” ประตูกระจกเลื่อนออกโผล่หัวเข้าไปด้านในกลิ่นหอมชื่นใจขึ้นมาหน่อย สูดหายใจแรงลึก กวาดสายตาแหงนมองดูเพดานห้องโดมสีขาวทรงกลมมีห้องกระจกรอบด้าน ด้านล่างในห้องทุกห้องของอาคารนี้ ต้องมีรูปประธานเหมาติดฝาผนังทุกห้อง ตามแบบฉบับของเผด็จการ รูปที่มีทุกบ้าน
ไป่ไป๋สวมกางเกงยืดสีดำกับเสื้อยืดคอกลมสีขาวถูกมัดอยู่บนเก้าอี้ นั่งคอตกอยู่ในห้องกระจกเบอร์ 2 ผมโล่งใจที่เธอไม่ได้รับอันตราย รีบผลักประตูเข้าไปหา
“หนี ห่าว!” ผมทักให้รู้ตัวแล้วสะกิดเบา ๆ เธอเงยหน้าขึ้นมา
“อื้ออื้อ!” พอเห็นว่าเป็นผมเท่านั้นแหละ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา ดิ้นจะเข้ามาหา ดีนะที่ถูกมัดปากไม่งั้นคงแหกปากร้องจนทหารได้ยินแน่
“ตึกตึก! ตึกตึก!” ใจของผมยังสั่นรัว มือไม้สั่น แก้มัดและแกะผ้าผูกปากออก...
“หนูเชื่อว่าคุณต้องมา หนูภาวนา คุณมาแล้วจริง ๆ” น้ำเสียงตื่นเต้น สายตาฉายแววดีใจ
ผมดึงเธอขึ้นมากอด ลูบหลังแผ่วเบาถ่ายทอดความรู้สึกห่วงใย ในขณะที่จิตใจของผม โดนความกลัวเกาะกุมเหลือนิดเดียว แขนขายังสั่น อีกใจความรู้สึกของผม เปรียบเสมือนเจอของรักที่ถูกขโมยไปได้กลับคืนมา ทั้งดีใจและโล่งใจความกังวลหายไปเป็นปลิดทิ้ง ยังคงเหลือความกลัวล้วน ๆ
“รีบไปกันเถอะ!” ผมส่งปืนสั้นให้ในขณะที่มือของผมยังสั่นไม่หาย
“แกรก!” เธอขึ้นลำปืนอย่างคล่องแคล่ว เสียงวิทยุสื่อสารในมือดังขึ้น ผมยื่นให้เธอฟัง
“พวกทหารกำลังจะมาทางนี้ เราหนีเถอะ ชักเริ่มไม่ดีแล้ว” เธอหันมองซ้ายขวา รู้สึกอุ่นใจ อย่างน้อยตอนนี้ได้เธอมาช่วยเรื่องภาษาจีนอีกแรง

ผมวิ่งนำหน้าออกไปทางประตูที่เข้ามา เดินไปตามทางออกไปด้านนอกที่เหม็นอับ ยืนลังเลไม่รู้จะไปทางไหนดี เหลือบมองไปยังมุมมืดยังเห็นศพทหารนอนตะคุ่ม ๆ
ไป่ไป๋แซงขึ้นเดินนำหน้า...
“มาทางนี้ค่ะ!” เธอชี้ไปที่ลูกศรบนป้ายภาษาจีนที่ฝาผนัง เราเดินเลี้ยวซ้าย-ขวาผ่านห้องขังมนุษย์กลิ่นเน่าเหม็นขมคอ น่าสลดใจ
เดินเลี้ยวซ้ายไปเข้าอีกห้อง
ทันใดนั้นเอง...
“ครืด!” ประตูก็เปิดพรวดพร้อมทหารสองคนเดินคุยกันออกมา พวกเขาเห็นผมแล้วต่างคนต่างตกใจ ไม่มีการพูดจาทักทายใด ๆ ทั้งสิ้น
ผมตกใจบวกด้วยความกลัวสุดขีด สาดกระสุนปืนยาวไทป์ 56 ในมือใส่ทันที
“ตรึ่ด!ตรึ่ด!ตรึ่ด!” เสียงปืนกึกก้องในชั้นใต้ดิน คราวนี้คงเรียกแขกมาได้ไม่น้อย
เธอวิ่งผลักประตูเข้าไปภายในห้องโถงเล็ก ๆ เดินผ่านลิฟต์โดยสารด้านขวา มาหยุดที่ท่ออุโมงค์พลาสติกกลมใสขนาดใหญ่ เธอไปยืนอ่านแผงป้ายที่ผนัง จอภาพติดผนังเป็นเส้นทางมีไฟแดงกระพริบ
สักพัก..ก็เอามือกดปุ่มแดงบนแผงควบคุม
“พรึบ! พรึบ! พรึบ!” เสียงรองเท้าบูทหลายคู่วิ่งรัวลงมาตามบันได
ความเครียด ความกังวล ความกลัวถาโถมเข้ามา จนผมต้องถูมือเพื่อไล่อาการสั่น
“กิ๊งค์” ผมสะดุ้งเสียงลิฟต์ดังขึ้นข้าง ๆ ผวาไปหมด ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ผมหันกระบอกปืนเข้าหาทันที
“ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด!” เสียงปืนอัตโนมัติดังกึกก้องในห้องแคบ ทันทีที่เห็นชุดทหาร ผมก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ควบคุมมือตัวเองไม่ได้ไกลั่นทันที ตอนนี้เห็นช้างตัวเท่าหมู
“อ๊าก...กก!!” ทหารสามนายล้มดิ้นเลือดสาดกระเซ็นเต็มผนังลิฟต์ เลือดเข้าตา ผมบ้าไปด้วยความกลัว ไม่มีคำว่า เหตุผลเมื่อมีความกลัว คิดอย่างเดียวต้องรอด
“ไป่ไป๋! ดูอะไรอยู่ รีบไปกันเถอะ” ผมร้อนใจที่เห็นเธอยืนรอบางอย่าง
“ครืด!” ประตูกระจกใสเลื่อนออกเมื่อยานบางชนิดในท่อเคลื่อนมาถึงและกำลังเปิดฝาครอบขึ้นอย่างช้า ๆ
“พรึบ! พรึบ! พรึบ!” เสียงฝีเท้าวิ่งลงบันไดมา
ทหารชายทะเร่อทะร่าลงมาจากบันได
“ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด!” ผมยิงใส่ทันที
หันกลับไปมองเห็นด้านหลัง...
“ไฮเปอร์ลูปของทหาร!” เธอกำลังขยับตัวก้าวเข้าไปนั่ง
“อย่า!” ผมฉุกคิด รีบคว้ามือเธอ
“หวอ!” เสียงสัญญาณเตือนภัยเสียดแทงใจดังขึ้น
“ไปนี่แหละ เชื่อหนูสิ!” เธอพยายามดึงมือให้ผมเข้าไปนั่งข้างใน ผมยื้อฉุดแขนเธอไว้ แล้วกดปุ่มให้มันแล่นไป
ทันใดนั้น...
“ก็อก! ก็อก! ก็อก! ก็อก!” เสียงวัตถุเหล็กกลิ้งกระแทกพื้นรัวถี่ ผมและเธอหันไปมองตามเสียง ตกตะลึงตาเบิกโพลง...
“ระเบิดมือ! หลบเร็ว!” ผมร้องเสียงหลง ดึงมือเธอวิ่งออกนอกห้อง ทิ้งตัวราบลงกับพื้น
“บรึ้ม!” เสียงระเบิดดังกึกก้องพื้นสั่นสะเทือน ประตูกระเด็นพังยับเยินเศษฝุ่นฟุ้งกระจาย
“ตามมา!” ผมคว้าข้อมือของเธอวิ่งออกไปโซนห้องขังอีกครั้ง
ทหารออกมาจากประตูฝั่งตรงข้ามของอีกด้าน เรารีบก้มหัวลงต่ำใช้ความมืดและคนในห้องขังเป็นที่กำบังตัว ค่อย ๆ วิ่งก้มหลังกลับไปทางท่อน้ำที่ปีนขึ้นมาในครั้งแรก
“ลงไป!” รีบพาเธอมุดตัวลงไปในท่อ เสียงฝีเท้าทหารวิ่งกันคลุกคลัก พื้นสะเทือน
“หวอ…ออ!” เสียงไซเรนเตือนภัยยังดังต่อเนื่องเร้าใจความตื่นเต้นเพิ่มทวีคูณ
“อี๋!..หนูท่อ..แหวะ” เธอร้องรังเกียจเจ้าหนูหนังกลับที่วิ่งกันพล่าน
“ไม่เป็นไร! อย่าไปมองมัน” ผมปลอบใจไม่ให้เธอกลัว หนูวิ่งไปทางปลายท่อลงอุโมงค์ใหญ่
“ทำไมคุณไม่ขึ้นไฮเปอร์ลูปล่ะ พาหนูมาลงท่อทำไม? สกปรกด้วยเหม็นด้วย!” น้ำเสียงไม่พอใจ คลานตามมา
“มีคนเคยบอกว่าที่ ๆ อันตรายที่สุดคือที่ ๆ ปลอดภัยที่สุด” ผมบอกไปโดยจำเขามาพูด
“ดูหนังจีนกำลังภายในมากไปรึป่าว พ่อคู้นนน!” ตัวจริงเสียงจริงกลับมาแล้ว เรื่องกวนประสาทยกให้เธอเป็นที่หนึ่งเลย
เราคลานมาจนออกอุโมงค์ใหญ่ เสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้นเป็นระยะ
“หนูว่า เราอยู่ในนี้ก่อนเถอะ พวกเขาออกตามล่าเราแล้ว ถ้าขึ้นไปตอนนี้มันเจอตัวเราแน่ ไหนมาดูหน่อยซิ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า? เลือดใครเต็มเสื้อเลย เหม็นมากด้วย” เธอพูดพลางจับผมถอดเสื้อคลุม
เอื้อมมือมาลูบหัวลูบตัวของผม แววตาเป็นประกาย ผมก็เห็นด้วยอยู่ในอุโมงค์ปลอดภัยกว่าและไม่อึดอัดเท่าไหร่ เธอคว้าเอาเสื้อไปล้างเลือดแล้วเอากลับมาสวมให้
ผมปลดเป้ล้วงหยิบเสื้อกันหนาวส่งให้...
“อะไร? ของหนูเหรอ?” เธอยิ้มกว้างชูเสื้อกันหนาวสีชมพูขาวหมุนตัว
“ขอบคุณนะคะ น่ารักนะนี่!” เธอยิ้มพอใจก็สบายใจ
ผมก้าวเท้าเดินต่อ กลัวจนหน้าอกจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ อยู่แล้ว เราก้าวเดินตามทางน้ำไหลไปเรื่อย ๆ ใจสั่น สมองหลอน แวบคิดไปถึงทหารที่ถูกแทง ถ้าถูกจับได้มันฆ่าผมแน่
“หวอ!” สัญญาณเตือนภัยด้านบนยังร้องครวญกวนโสตประสาท
“แกรก!” เสียงวิทยุสื่อสารดังเธอยกแนบหู...
“คุณคิดถูกแล้ว! พวกนั้นคิดว่าเราขึ้นไฮเปอร์ลูป พวกเขาตามไปทางโน้นแล้ว” เธอยิ้มแก้เก้อเมื่อได้ยินทหารสั่งการผ่านวิทยุสื่อสาร ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดที่ยังมีโอกาสหนีต่อ
“พวกทหารยังไม่รู้ว่า คุณเป็นใครเข้ามาได้ยังไง?”
“แล้วคุณมาได้ยังไง?”
“หนูถูกพวกมันจับในสนามบิน ไม่รู้ว่า ทหารพวกนั้นมาจากไหน? มันพาหนูขึ้นช็อปเปอร์มาที่นี่” เธอบอกเสียงใสแววตาเป็นประกาย รอยยิ้มอ่อนโยนที่คุ้นตา ดูเธอท่าทางจะไม่กลัวเลย? คราวที่เจอกับทหารจีนในป่า เธอก็ไม่แสดงความกลัวเลย ผมเสียอีกที่กลัวมากกว่า
“แกรก!” ทุกครั้งที่เสียงวิทยุทหารดัง ผมสะดุ้งหัวใจจะวายทุกครั้ง
คราวนี้ตายแน่ จะช่วยให้เธอออกไปได้ยังไงยังคิดไม่ออก ผมทำเรื่องใหญ่เสียแล้ว
“คุณรู้ได้ยังไงคะ ว่าหนูอยู่ที่นี่?”
“ตุบตุบ!” ตบกระเป๋าโน้ตบุ๊กสะพายหลังเป็นคำตอบ
“กลัวหรือเปล่าครับ? เดี๋ยวก็ออกไปได้แล้ว” ผมถามดักไว้ก่อนไม่อยากให้เธอพูดมาก เดี๋ยวงานเข้าอีกเดินหนีดีกว่า
“แล้วอนนี่ล่ะ! ไม่ได้มาด้วยเหรอ?”
ผมส่ายหน้า รีบก้าวยาวเดินไปข้างหน้า
“แล้วจะหนียังไง ไปทางไหน?” เธอเดินตามถามเป็นเด็กขี้สงสัย
ผมไม่อยากตอแย คิดแต่จะหาทางหนี ถูกจับคราวนี้ต้องตายแน่
“พูดไม่เป็นแล้วรึไง! ใครบังคับคุณมาเหรอ? ถ้าไม่อยากมาแล้วมาทำไม?” เอาแล้วไง! เสียงสูงไม่พอใจอีกแล้ว ผีเจาะปากมาพูดจริง ๆ
“หนูพูดด้วย ไม่ได้ยินเหรอ?” เธอวิ่งตามมาดึงแขนให้หยุด แล้วดันจนหลังไปติดผนังอุโมงค์...
“เอ่อ!”
เธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้จ้องตาไม่กระพริบ ท่าทางเอาเรื่อง //งานเข้าอีกแล้ว//
“จะทำอะไรครับ? เราไม่มีเวลาแล้วนะ” หันมองไปทางอื่นไม่กล้าสบตา
“คนโกหก!” เธอจับใบหน้าผมจ้องอย่างกับจะกินเลือดเนื้อ ผมหลบตาไม่มีอารมณ์จะทะเลาะด้วย
“คุณมาหาหนูทำไม แล้วคนอื่นไปไหนหมด? ให้คนอื่นมาช่วยก็ได้ หนูไม่อยากเจอคุณ ซอนล่ะ! ซอนไปไหน?” เธอเขย่าคอเสื้อแยกเขี้ยวขู่
ผมหลบตา พูดออกไปเบา ๆ...
“ถ้ามีคนเสี่ยงชีวิตมาช่วย แค่บอกขอบคุณก็พอ” ตอนนี้เธอน่ากลัวกว่าทหารข้างบนอีก
“จะมาช่วยทำไม? เราไม่ได้เป็นอะไรกัน หนูเกลียดคุณ จำไว้ด้วย ไม่อยากเห็นหน้า” เธอปล่อยมือสะบัดหน้าหนีแล้วเดินต่อ ผมขยับเสื้อให้เข้าที่แล้วเดินตามไปเงียบ ๆ
“เดี๋ยวหนีออกไปข้างนอกได้แล้ว เราแยกย้ายกันเลยนะ หนูมีธุระต้องรีบจัดการ หนูเสียเวลาอยู่กับพวกคุณตั้งนานเป็นปี ๆ ถ้าหนูไปเกาหลีใต้ป่านนี้ได้เดบิวท์แล้ว คุณก็รู้จักผิงผิงนี่ หนูเก่งกว่าเธอตั้งเยอะ” เธอยังเดินบ่นกะปอดกะแปดไปเรื่อย
ผมไม่โต้ตอบ เดินตามอย่างสงบเสงี่ยม เดี๋ยวเธอเหนื่อยก็คงหยุดไปเอง...เด็กน้อยเอ้ย!ปากกับใจไม่เคยตรงกันเลย จะแถไปได้อีกกี่น้ำ
“รักอนนี่ให้มาก ๆ นะ อย่าทำให้เธอเสียใจ อย่าปล่อยให้เหงา นอกจากคุณ เธอก็ไม่มีใครแล้ว ถ้าว่าง ๆ หนูอาจจะไปเยี่ยม หนูเองก็คงจะแต่งงานเร็ว ๆ นี้ หม่าม้าเรียกแม่สื่อมาคุยแล้ว ลูกโรงน้ำแข็งเขาสนใจ” เธอลอยหน้าพูดจ๋อย ๆ ตัวตึงจริง ๆ
ผมก้มหน้าแสยะยิ้ม จะเป็นสะไภ้ลูกโรงน้ำแข็งซะด้วย ไม่เชื่อหรอก ใครจะเชื่อ!
“อ่อ!..งานแต่ง! หนูไม่เชิญคุณนะ..บอกเลย!” เธอลอยหน้าลอยตา ผมอมยิ้มเดินตามหลัง ยังไงเธอก็น่ารักเสมอในสายตาของผม ท่าทางเย้ยหยันอย่างนี้ ผมโดนตั้งแต่สมัยที่เจอกันครั้งแรกบนรถบรรทุก
“เราต้องหาทางหนีออกจากที่นี่กันก่อน ลูกกรงเปิดได้หรือเปล่าก็ไม่รู้?” ผมบอกแล้วชี้ไปข้างหน้า ลูกกรงเหล็กขนาดใหญ่ขวางทางอยู่
“ทีหลังช่วยวางแผน ล่วงหน้ามาก่อนนะ” เธอเสียงแข็งอีกครั้ง
“งั้นใช้แผน 2 ก็แล้วกัน วิ่งไหวมั้ย?” ผมถาม เธอพยักหน้ารับ
“วิ่ง!” ผมไม่รอช้าออกวิ่งพรวดไปที่ลูกกรงทันที ถ้ามัวเดินต่อต้องฟังเธอบ่นหูชาแน่ ลูกกรงห่างออกไปประมาณ100 เมตร เธอวิ่งกวดตามมาติด ๆ
หลังจากเดินสำรวจลูกกรงเหล็ก ขวางกั้นภายในอุโมงค์ ...
“ไม่มีทางออก ลูกกรงเชื่อมติดกันหมด”เธอหน้าหงิก
“แล้วไหนแผน 2 ของคุณ” เธอหันมาโวยตาโตท่าทางขึงขัง
“ผมยังคิดไม่ออก” ใครจะมีแผนเยอะขนาดนั้น ตอนมาก็เพราะตกใจเป็นห่วง ไม่มีแผนอะไรทั้งนั้นแหละ
“ยังคิดไม่ออกหรือไม่มีกันแน่ อีตาบ้า!” แยกเขี้ยวจะกินผมแล้ว
“เราเดินมาไกลแล้วนะ ลองขึ้นไปดูด้านบนหน่อยมั้ย?” ผมถามเมื่อเห็นบันไดปีนขึ้นด้านบน
“แกรก!” เสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้นมาพอดี
“รีบเลยค่ะ! พวกทหารกำลังลงมาทางนี้แล้ว หัวหน้ามันสั่งให้ลงอุโมงค์แล้ว” เธอรีบดันก้นผมให้รีบตะปีนขึ้นไปเมื่อวิทยุดัง หน้าตาเธอตื่นตระหนกคงหายโกรธผมแล้ว โชคดีจังระฆังช่วย
“เมื่อไหร่จะเก่งอย่างซอนนะ? หนูต้องลุ้นตลอด ตั้งแต่รู้จักกับคุณ ไม่มีครั้งไหนที่ไม่เหนื่อยเลย วิ่งตลอด!” เธอบ่นผมเป็นลูกชายของเธอเลย
ผมแง้มตะแกรงฝาท่อขึ้นไปดู...
“ข้างบนนี้เป็นป่า” โผล่ออกมาข้างหลุมเพลาะในป่าด้านหลังอาคาร มองเห็นจักยานที่ขโมยมานอนแอ้งแม้งอยู่ในพงหญ้า
ดวงอาทิตย์ด้านหลังคล้อยลงมาแล้ว เหลือบมองเวลาที่ข้อมือใกล้ห้าโมงเย็น เราก้มหัววิ่งในหลุมเพาะมีซอกเล็กซอกน้อยแยกซ้ายขวา ตัดสินใจจูงมือเธอวิ่งตรงไปอย่างเดียว
“แย่แล้ว! มันตามมาแล้ว เอาหมามาด้วย!” เสียงวิทยุทำเอาเสียขวัญ
ผมขนหัวลุกซู่พอได้ยินว่า หมา หันกลับไปมองรอยทางที่เราเดินผ่านมาทิ้งร่องรอยไว้มากมาย ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่รู้จะลบรอยเท้าได้ยังไง ต้องวิ่งให้ไวที่สุดแต่กว่าจะก้าวได้แต่ละก้าวก็แสนยากเย็น เท้าจมลงในหิมะเกือบถึงหัวเข่า
“ไปต่ออย่าหยุด” ผมดึงมือเธอฉุดให้ขึ้นจากหลุมเพาะ ขึ้นมาวิ่งในป่าหิมะไม่สูงมาก
“ไป่ไป๋! วิ่งไปก่อน” ผมสั่งแล้วหันกระบอกปืนเล็งไปที่กลุ่มทหารที่ตามมา
“ตรึ่ด…ดด!” ผมสาดกระสุนไปทางพวกเขา
กลุ่มทหารทิ้งตัวลงพื้นอย่างเร็ว
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!” ยิงโต้กลับมาทันที
ผมพุ่งตัวแอบหลังต้นไม้ เล็งปืนใส่...
“แชะ! แชะ! แชะ! แชะ!”
“อ้าว!..กระสุนหมดซะแล้ว” ผมโยนปืนยาวทิ้ง หันวิ่งตามไป่ไป๋
“แทน! เจอรั้ว!” ไป่ไป๋ตะโกนมาชี้ลงไปอีกด้าน
เธอวิ่งขึ้นไปถึงป่าละเมาะกลางเนินแล้ว พื้นที่กองพันกว้างสุดตา ผมวิ่งตามเธอขึ้นเนินลูกย่อมจนทัน ก้าวขาวิ่งผ่านป่าละเมาะมาโผล่อีกฟาก พื้นหิมะขาวกั้นกลางระหว่างป่าละเมาะกับรั้วลวดหนามของกองพัน
ทันใดนั้น...
“บรื้น! บรื้น! บรื้น! บรื้น!” เสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่มดังมาจากทางขวา ผมรีบดึงเธอแอบข้างต้นไม้
“บรื้น! บรื้น! บรื้น! บรื้น!” ฝูงสโนว์โมบิลแล่นมาด้วยความเร็วสูงจากรันเวย์สนามบิน
“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!” เสียงสุนัขเห่ากรรโชกไล่หลังใกล้ทุกที
ผมทิ้งตัวนอนราบกับพื้น คิดในใจยังไงก็ต้องสู้ พวกมันมาจาก 2 ฝั่ง ครั้งนี้ไม่สู้ก็ตายอย่างเดียว
“ไป่ไป๋! ดูหมาไว้นะ!”
เธอนั่งเอาหลังพิงต้นไม้กัดริมฝีปากพยักหน้าหงึก ๆ ก้มตัวนอนราบมองเขม็งกลับไป
ผมนอนรอจนสโนว์ไมบิล 6 คันวิ่งเข้ามาใกล้ ปืนสั้นในมือเล็งตรงไปนิ้วชี้เตรียมกระดิกลั่นไก
“ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!” ผมสะดุ้งสุดตัว เสียงปืนของไป่ไป๋ดังใกล้ ทำลายสมาธิ ทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปมอง
ทันใดนั้น…
“เฮ้ย!”
“แง่ง! แง่ง! แง่ง!” สุนัขอัลเซเชียลสีน้ำตาลเข้มตัวใหญ่ กระโดดโถมตัวเข้ามาหมายขย้ำคอ
“แง่ง! แง่ง! แง่ง!” ผมยกแขนขึ้นกั้นค้ำคอมันไว้ ฟันเขี้ยวคู่หน้าของมัจจุราชสี่ขาก้มงับถี่น้ำลายกระเซ็นห่างกันแค่ปลายจมูก
“แง่ง! แง่ง! แง่ง!” มันพยายามสะบัดหน้าออกแรงกดตัวลงมางับหน้า เขี้ยวขาวยาวน้ำลายเยิ้มของมันงับเฉี่ยวใกล้ใบหน้าหลายครั้ง
“ฮึบ!” ผมเกร็งแขนดันจนแขนสั่น เอียงหน้าหลบเขี้ยวข้างใบหน้า
“ตุ๊บ!...เอ๋ง” เธอวิ่งเข้ามาเตะเข้ากลางลำตัว มันกระเด็นเสียจังหวะ เจ้าเขี้ยวขาวหันกลับมาจ้องเตรียมกระโจนใส่อีกครั้ง
“ปัง! ปัง! ปัง!” ปืนสั้นในมือเธอกระตุกเล็กน้อย เจ้าอัลเซเชียลเคราะห์ร้ายฟุบลงสิ้นฤทธิ์
“ขอโทษนะ! แกดุเกินไป” เธอบอกกับหมาที่นอนแน่นิ่ง แล้วดึงมือผมลุกขึ้น
“อีกสองตัวหนูจัดการให้แล้ว ไปกันต่อเถอะ!” รั้วลวดหนามอยู่อีกไม่ไกลแล้ว
“ ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ” เสียงห่ากระสุนปืนบินเฉี่ยวหัวเฟี้ยวฟ้าว ใบไม้ปลิวร่วงกราว
“เฮ้ย!” ผมพุ่งตัวล้มทับเธอไว้
เราพยักหน้าให้กัน เด้งตัวลุกขึ้นยืน
“วิ่ง!...งงง!” ผมสั่งแล้ววิ่งลุยดงหิมะข้ามไปที่รั้ว เธอวิ่งตามมาอย่างทุลักทุเล ขายาวยวบลงลึกจมหิมะ
เสียงปืนทำให้ฝูงสโนว์โมบิลหลบฉากกันไปหมด ทางข้างหน้าโล่งสะดวกขึ้น เราวิ่งฝ่าทุ่งหิมะยวบยาบอย่างยากลำบาก จนกระทั่งมาถึงจุดกึ่งกลาง
“พั่บ! พั่บ! พั่บ! พั่บ!” ลมแรงปานพายุพร้อมเสียงกระหึ่มจากใบพัด สะบัดหิมะฟุ้งกระจาย ซวยแล้วทหารมาเพิ่มอีก
...............................................................................