หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 4 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 18 ก.พ. 2567 |
Kala Democracy
มุมมองสายตา ตุ๋ย เจ็ทโด้
มิถุนายน ค.ศ.2021
ความสงบเงียบภายนอกทำให้เกิดความสงบเงียบภายใน เมื่อไม่มีสิ่งเร้าเราก็อยู่กับจิตของตัวเองได้ มองทะลุเข้าไปในร่างกายของตัวเองได้ หลังจากอยู่วัดนาน ความสงบทำให้อาตมาเย็นกายเย็นใจเป็นที่สุด ตั้งใจท่องบทสวดมนต์และประพฤติตัวให้สมกับที่ขอข้าวชาวบ้านมาประทังชีวิต
“หลวงพี่! รู้จักคนในรูปหรือเปล่า?” เสียงห้วนดังไร้มารยาท ท่าทางห้าวหาญเดินไม่ก้มหัวให้ใครแบบนี้ สันนิษฐานได้สองอย่าง ถ้าไม่ใช่กุ๊ยก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
แต่สถานที่นี้เป็นวัด แบบนี้เป็นเจ้าหน้าที่แน่ ๆ พวกกุ๊ยที่สังคมประณามยังเคารพพระ รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร โลกกลับตาลปัตรไปหมดแล้ว
อาตมาละสายตาจากหนังสือสวดมนต์ เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มหัวเกรียนในเสื้อคลุมสีดำติดป้ายตราองค์กรใหญ่ ยื่นมือไปรับรูปมาดูเห็นแค่หูก็รู้แล้วว่า เป็นเจ้าแทน ดูเสร็จก็โยนรูปกลับไป
พวกมันว่างขนาดตามไล่ล่าเด็กเลยเหรอ? เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำที่ไม่ได้เกินเลยไปจากความจริงที่ปรากฏตามสื่อ โทษฐานเท่ากับระเบิดตึก World trade center เลยสิท่า
มันไม่ได้ฆ่าคนตายสักหน่อย ต้องใช้สมุนมากมายตามล่าเชียวหรือ? คนกลุ่มนี้เงินเดือนรวมเบี้ยเลี้ยงในการไล่ล่า ไม่ต่ำกว่าหลายแสนเหรียญต่อเดือน มันมาจากภาษีที่รีดมาจากประชาชนทั้งนั้น
ภาษีเปรียบเสมือนดาบนั้นคืนสนอง จ่ายไปเพื่อให้พัฒนาประเทศ หวังจะมีชีวิตที่ดีกว่า แต่รัฐกลับเอาเงินไปสร้างอาณาจักรแห่งความกลัว และกลับมากดขี่ชาวบ้าน เท่ากับเลี้ยงเสือ เลี้ยงจระเข้ชัด ๆ
นี่สินะ! ที่จูยอนพยายามอธิบายให้ฟัง อาตมาโง่เองคิดว่าคนที่สวมเครื่องแบบเป็นคนดี เคยได้ยินมาว่า พวกนี้พอสอบข้อเขียนผ่าน หน่วยงานจะพาไปฝึกร่างกายให้แข็งแรง แล้วก็เรียนรู้วิชาจากรุ่นพี่ เขาสั่งให้จับก็จับ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาหรอก สงสัยจะจริงซะแล้ว?
“หลวงพี่! ให้ความร่วมมือกันดีกว่า ผมจะกันไว้เป็นพยาน เราสืบมาหมดแล้ว มันพวกเดียวกับท่านไม่ใช่หรือ?” เขานั่งลงข้าง ๆ แล้วถือวิสาสะดึงหนังสือสวดมนต์ออกจากมือ
อาตมาได้แต่มองตาม คิดในใจ...นิสัยทรามได้ใจจริง ๆ นี่ขนาดนั่งอยู่กลางศาลาการเปรียญ มีพระอีกหลายรูปนั่งตามมุมท่องหนังสือสวดมนต์กันอยู่
“โยม! มาหาผิดคนแล้วล่ะ!” อาตมาบอกและขยับตัวจะลุกขึ้น
“หื้อ!” เพื่อนเขาอีกคนนั่งลงมาอีกข้าง แล้วกดขาของอาตมาไม่ให้ขยับ สายตาของพระในวัดเริ่มมองด้วยความสนใจ
อาตมาเริ่มอึดอัดใจ สัญชาตญาณนักสู้เริ่มทำงาน พวกนี้มันกดดันด้วยวิธีแบบนี้เอง คุกคามกดดันญาติพี่น้องและเพื่อนโดยไม่ละอายใจ มองทุกคนเป็นเหยื่อเพียงเพื่อจะบรรลุเป้าหมายนี่นะ
“ไม่เอาน่าหลวงพี่! ขอความร่วมมือดี ๆ” เขาบีบขาจนรู้สึกเจ็บ นี่เข้าข่ายคุกคามแล้ว
“เฮ้อ!” อาตมาถอนหายใจยาว...
“ผลัวะ!” แล้วเอามือปัดแขนจนเขาหัวคะมำ
เริ่มเข้าใจพวกที่ต้องการปฏิรูปองค์กรนี้แล้ว คนที่ต่อต้าน คนที่เห็นต่าง ต้องต่อสู้กับลิ่วล้อที่ไม่มีจรรยาบรรณ ส่วนตัวบนก็เป็นหุ่น
“แนะนำตัวกันก่อนดีมั้ยโยม? อาตมาไม่รู้จักโยมสักคน มากันตั้งหลายคนนี่นา?” อาตมาแกะมือออกจากขา พร้อมจ้องหน้านิ่งไม่หลบสายตาจนเขาเบือนหน้าหนี
พวกนี้คงเป็นเด็กเรียนเก่ง น่าจะมาจากลูกชาวบ้านเหมือน ๆ กัน แสวงหายศศักดิ์ด้วยการทำทุกอย่างที่นายสั่ง
ด้านหลังของพวกเขา ยังมีอีกสามคนท่าทางจองหองไม่น้อยกว่ากัน นั่งสูบบุหรี่เขี่ยขี้บุหรี่ลงพื้นศาลา ทั้ง ๆ ที่ป้ายห้ามสูบบุหรี่แปะอยู่ข้างเสาที่เขานั่ง
อีกคนก็นอนไขว่ห้าง เท้าชี้หน้าพระประธาน อาตมาสังเกตว่า หนึ่งในนั้นใช้ไม้เท้า
เจ้าคนที่อาตมาดึงมือออกทำท่าขัดขืน เลยออกแรงบิดอย่างแรงจนเขาร้อง
“เบา ๆ หน่อยสิหลวงพี่! มันเจ็บนะครับ จะทำร้ายเจ้าพนักงานหรือไง?” เขาขัดขืน แต่มือก็ยังไม่ยอมปล่อยจากขาของอาตมา ได้ข้อกล่าวหาทั้ง ๆ ที่พวกมันบีบขาอาตมาก่อน
ตั้งแต่ปลดประจำการกลับมาก็แทบไม่ได้อยู่บ้านสักเท่าไหร่? และไม่ค่อยมีเวลาว่างได้ติดตามข่าว แต่หลังจากบวช เวลาว่างก็มากขึ้น เจ้าแทนเคยแนะนำให้ดูข่าวจากโซเชียลมีเดีย ทำให้โลกทัศน์ของกว้างขึ้น ไม่ต้องฟังพวกนักอ่านข่าวที่ชอบใส่สีตีไข่เข้าข้างพวกของตัวเอง
ความคิดค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากเดิม อาจจะเรียกได้ว่า ดวงตาเห็นธรรม ได้เห็นความเสื่อมทรามอำมหิตอีกมุมของรัฐ ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาเจอกับตัวเอง พวกมันมาเยี่ยมถึงวัดเลย
“ตกลงจะเอายังไง? จะแนะนำตัวก่อนหรือเปล่า? ถ้าอย่างนั้นอาตมาขอตัวก่อน” อาตมาขยับตัวลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวสิ!” ชายหัวเกรียนผิวขาวตัวสูงก้าวออกจากกลุ่มด้านหลัง ขาข้างขวาของเขาเสีย ต้องใช้ไม้เท้าพยุงเดิน จับไหล่ลูกน้องทั้งสองคนให้แยกออกไป
“เรียกผมว่าเหว่งก็ได้ครับ” เขายิ้มกว้าง ยื่นบัตรประจำตัวผ่านหน้าวืดมองไม่ทัน
“พวกมันเผาตึกที่อู่ฮั่น หนีการจับกุมทำร้ายและฆ่าเจ้าหน้าที่ฯ เป็นอาชญากรที่รัฐต้องการตัว วันนั้นหลวงพี่ก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ?” ไอ้นี่มาเรื่องแล้วไง ยัดข้อหาหน้าตาเฉย
“ไปเอาหมายจับมา” อาตามาขยับจะเดินหนี
เขาคว้าแขน...
“ถ้าบอก ผมจะไม่เอาผิดหลวงพี่ จะกันไว้เป็นพยาน” เขาส่งสายตามองแรง ฝันไปเถอะที่จะมาขู่กันง่าย ๆ
อาตมาส่ายหน้าเพราะไม่รู้จริง ๆ ไม่ได้ติดต่อกับเจ้าแทนนานแล้ว มันไปเผาตึกอะไร อาตมาไม่รู้เรื่องเลย?
แต่พอเขาพูดอย่างนี้ อาตมาเดาได้ทันทีว่า เจ้าแทนต้องอยู่กับเจ้าซอน เจ้าแทนมันไม่มีปัญญาหรอก ไอ้พวกนี้ตามไปเจอตอเอง ช่วยไม่ได้
เจ้าแทนไม่ใช่คนชอบหาเรื่อง มันชอบช่วยเหลือคนเป็นชีวิตจิตใจ ต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่ ๆ อาตมาเชื่อใจน้องคนนี้ ถ้าเป็นเจ้าซอนยากจะคาดเดา
จู่จู่..เขายังเพิ่มข้อหาให้อีก...
“พวกนี้ค้าอาวุธสงครามด้วย ผมเห็นกับตาพวกมันมีอาวุธเต็มรถ ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ ผมจะค้นบ้านหลวงพี่นะ” เขาก้มหน้าลงมาพูด จนได้กลิ่นเหม็นของบุหรี่
“คุณตากำนันบอกให้ผมมาถามหลวงพี่ บอกมาดี ๆ ก่อนจะเจอข้อหาให้ที่พักพิงผู้ต้องหาอีกกระทงจะดีกว่า เด็กสาวที่บ้านของท่านก็บอกว่า มันเคยมานอนที่บ้านท่านด้วยนี่นา” เขาขู่สายตาก้าวร้าว
อาตมาได้แต่มองนิ่งไม่โต้ตอบ ก้มเก็บหนังสือ หยิบโทรศัพท์ หันมองพระรอบด้าน รู้สึกเกรงใจที่เสียงไปรบกวนการท่องหนังสือของพวกท่าน
“หลวงพี่ชื่ออะไร?” เขาถามห้วน
อาตมาขยับตัวเดินไม่อยากตอแย เขากับลูกน้องขยับเดินตาม
“อาตมาชื่อตุ๋ย”
“หึหึหึ!” เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของใครบางคนดังขึ้น
“ชื่อโคตรล่อแหลมเลย ชื่ออย่างเดียวเหรอ ชอบตุ๋ยด้วยรึป่าว?” ตามมาด้วยเสียงกระแนะกระแหน นิสัยเหมือนพวกผู้ร้ายในหนังเลย
นายเหว่งเดินมาดึงแขน ครั้งที่ 2…
“หลวงพี่! เจอมันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? ”
อาตมาไม่ตอบสะบัดแขนจนมือหลุด...
“สุภาพด้วยครับ!” เดินหนีลงจากศาลาการเปรียญไปที่ศาลาริมคลองหลังวัด พวกเขาเดินตามมาเป็นขบวน
เมื่อทุกคนนั่งเรียบร้อย อาตมาจึงตอบคำถาม
“เป็นปีได้แล้วมั้ง ตั้งแต่ก่อนอาตมาบวช พวกเขาอยู่ในจีน เราไม่ได้ติดต่อกัน” อาตมาไม่ยอมผิดศีล ตอบตามจริง /เหนื่อยใจสายตามองผักตบชวา ลอยอ้อยสร้อยตามกระแสน้ำในคลองหลังวัด
“สายของผมบอกว่า มันกลับมาแล้ว” เขาคว้ามือไปบีบ
นี่!...มันจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ? ชักเริ่มรำคาญไอ้หมอนี่แล้ว อย่างนี้มันเท่ากับข่มขู่คุกคาม ถ้าไม่ห่มผ้าเหลือง พวกเขาคงเอาเท้าเหยียบหัวติดพื้นไปแล้ว คนทั่วไปไม่มีใครอยากมีปัญหากับพวกนี้ เพราะไม่มีความเชื่อมั่นในระบบ
“อาตมา! ไม่รู้จริง ๆ ” ชักมือกลับ หันไปจ้องหน้านิ่ง
“จะไม่รู้ได้ยังไง บอกมาเถอะ! หนักจะได้เป็นเบา เพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?” เขาใส่ร้ายหน้าตาเฉย เพื่อนกันต้องรู้ทุกเรื่องเลยหรือไง? การขอความร่วมมือกับข่มขู่ แยกยากเหลือเกินสำหรับการกระทำของเขา
“โยมชอบปรักปรำ ตั้งแต่คุยกันอาตมาโดนสองกระทงแล้ว พวกโยมหากินง่ายดีนะ?”
“อ้าว ดูหมิ่นเจ้าพนักงานนี่ หาว่าผมปรักปรำไปโรงพักดีกว่ามั้ง?” เขาฮึดฮัดขึ้นมา ลิ่วล้อกรูเข้ามาล้อม
อาตมาได้แต่เวทนา แรงกดทับแบบนี้สินะ ที่เจ้าแทนและเพื่อน ๆได้รับ ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยไม่มีเลยเมื่ออยู่ใกล้เจ้าหน้าที่บ้านเมือง มีแต่ความน่ารังเกียจและหนาวเหน็บ
“อาตมาตอบโยมไปหมดแล้ว อาตมารู้แค่นี้” สุดระอากับพฤติกรรมพวกนี้เหลือเกิน เคยเห็นในคลิปมามาก พอเจอเข้าเองก็แทบจะทนไม่ไหวเหมือนกัน
“นายครับ! หน่วยสื่อสารโทรมาบอกว่า ได้สัญญาณแล้วครับ มันยังอยู่ในจีน ตอนนี้มันไปอยู่ที่เสิ่นหยาง” ลูกน้องของเขาเดินเข้ามารายงาน
เขาลุกเดินไปยืนคุยกันสักพัก
“ถ้าผมจับไอ้แทนบุพการีได้ เราได้เจอกันอีกแน่ ผมจับตาดูอยู่นะหลวงพี่” เขาหมุนตัวกลับ เดินจากไปด้วยท่าทางยโส
อาตมานั่งมองน้ำในลำคลองปล่อยความคิดต่าง ๆ ให้แล่นเข้ามา เส้นแบ่งชนชั้นของคน นอกจากฐานะทางการเงินแล้ว ยังมีอาชีพบางอาชีพที่เป็นเช่นนั้น
อาชีพศิลปินขายความสามารถ เปลี่ยนคนธรรมดาให้เป็นยอดคน น่าสรรเสริญและยกย่อง แต่อีกหลายอาชีพโดย เฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐเปลี่ยนคนธรรมดาเป็นเทวดาหรือไม่ก็โจรที่กฎหมายคุ้มครอง หลังจากที่พวกเขาสอบบรรจุเสร็จ ก็ไม่เคยเป็นมนุษย์อีกเลย คอแข็งขึ้นมาทันที
ความเสมอภาคเที่ยงธรรมอย่าไปถามหา ชาวบ้านต้องอยู่กับความหวาดระแวง ไม่มีใครอยากขึ้นโรงขึ้นศาล การแสดงสันดานต่ำ ๆเช่นนี้เหมือนถูกฝึกมาโดยเฉพาะ ยิ่งต่ำช้ามาก ยิ่งได้ดิบได้ดี
“หลวงพ่อครับ!.หลวงพ่อเจ้าอาวาสเรียกพบครับ”
อาตมาสะดุ้งเมื่อเจ้าด้วงเด็กวัดที่ผมส่งเสียให้เรียนวิ่งหน้าตั้งมาเรียก
“ขอบใจนะด้วง!” อาตมาตะโกนตามหลัง มันวิ่งเลี้ยวซ้ายไปทางอุโบสถ เพื่อน ๆ คงมารอรับไปเล่นข้างนอก
“ฮึบ!” ผมดีดตัวเดินไปหน้าวัด
หลวงพ่ออุปัชฌาย์มักจะชอบนอนที่หน้ากุฏิของท่านหน้าวัด ฟังการเมืองผ่านวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเล็ก ท่านชราภาพมากแล้ว แต่ยังแข็งแรงเดินคล่องแคล่ว และเป็นคนมีความคิดทันสมัย รุ่นนี้เรียกว่าแก่ลายครามไม่ใช่แก่กะโหลกกะลา
“หลวงพ่อมีอะไรให้ผมรับใช้ครับ” อาตมาเอ่ยถามหลังจากก้มกราบเสร็จ
ท่านขยับตัวลุกนั่งขัดสมาธิ
“ท่านตุ๋ย! ผมอยากคุยด้วยไม่มีอะไรหรอก คนแก่ไม่ค่อยมีเพื่อนคุย คนแก่ชอบเล่าเรื่องอดีตเลยไม่ค่อยมีคนอยากคุยด้วย ไอ้เรื่องสมัยใหม่ก็ตามไม่ทัน เด็กสมัยนี้ฉลาด เราก็ไม่มีอะไรจะไปสอน ข้อมูลเยอะแยะ รู้มากกว่าเราที่อยู่มานานอีก หึหึ!!!”
รอบตัวท่านไม่มีเครื่องใช้ที่มีมูลค่าเลย กาน้ำชาใบเก่า เสื่อปูนอนหมอนธรรมดา ทั้ง ๆ ที่ของเหล่านั้นมีของใหม่ ๆ เต็มห้องเก็บของ
อาตมาเอื้อมมือแตะขาท่าน...
“เหงาเหรอครับ ผมก็เหงาเหมือนกัน?” รอยยิ้มจากใบหน้าคนชราไม่สวยงาม แต่แววตาที่เมตตาคู่นั้นดูอบอุ่นมาก ท่านเดินผ่านวัยหนุ่มมานาน
“ไม่เหงา ผมไม่เคยเหงา”
“ทำได้ยังไงครับ? พระทุกรูปก็เหงาทั้งนั้น”
“ผมตั้งใจมาบวช ถ้าเรามีเป้าหมาย เราจะหาวิธีไปสู่เป้าหมายจะไม่เหงา ท่านเพิ่งบวชได้ปีเดียว เดี๋ยวก็จะลืมโลกภายนอก ความเหงาก็จะหายไป”
“ต้องหาจุดยึดเหนี่ยวใช่ไหมครับ?”
“มีตำรามากมายให้ศึกษา แค่อ่านหนังสือก็หายเหงาแล้ว”
“จะจำไว้ปฏิบัติครับ”
“สมัยที่ผมยังหนุ่ม ผมมองศาสนาไว้แบบหนึ่ง พอแก่ตัวลงผมกลับมองไปอีกแบบหนึ่ง ผมเลยอยากคุยกับท่าน มาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันดีกว่า ท่านมีโอกาสเดินทางไปไกล คงมีประสบการณ์เยอะกว่าผม” ท่านหัวเราะเบา ๆ มองมาอย่างเอ็นดู
สมัยอาตมาเป็นเด็กวัด ท่านเป็นพระใบฎีกาคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ท่านค่อนข้างดุ เจ้าระเบียบเป็นที่เกรงกลัวของลูกศิษย์พระ
“อย่างไรครับหลวงพ่อ มันเกิดอะไรขึ้นกับท่าน?” ผมหยิบกาน้ำชามารินถวาย ผมมักล้อเล่นกับท่าน
ท่านชอบ ท่านบอกว่าได้หัวเราะบ่อย ๆ รู้สึกใจเต้นแรงดี
“สมัยโน้น!...บ้านเมืองยังมีสงคราม พวกผมโดนเกณฑ์ไปเป็นทหาร เลยต้องหาวิชาอาคมเพื่อป้องกันตัว พระวัดไหนมีชื่อเสียง พวกผมดั้นด้นไปขอของดีไว้ติดตัว สมัยก่อนรถไม่มีต้องไปเรือ ลำบาก เอามาห้อยคอเป็นพวง รอบเอวอีกต่างหาก ยังไม่รวมเสื้อยันต์กับมีดหมอ ถึงแม้ว่า…เพื่อนหลายคนจะโดนยิงตายพระเครื่องคาอก แต่ผมก็ยังเชื่อว่า ศาสนาศักดิ์สิทธิ์ ตอนนั้นคิดแบบเด็ก ๆ” ท่านหัวเราะหึหึ! แล้วยกน้ำชาร้อนขึ้นมาจิบช้า ๆ ดวงตาฝ้าขาวเหม่อมองครุ่นคิด
“ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพวกผมในสมัยนั้น คือพระเครื่องที่ห้อยคอ เสื้อยันต์ ผ้ายันต์ ตะกรุด ศรัทธาโดยไม่มีข้อสงสัยและเชื่อว่า การทำบุญ การบวชพระ จะส่งผลให้คนตายขึ้นสวรรค์ได้” ท่านเล่าเรื่องเก่าในความทรงจำ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นตามวัย แต่ดวงตากลับเป็นเปล่งประกาย
กาลเวลาทำงานซื่อสัตย์เสมอ ทุกชีวิตกำลังเดินมาที่จุดเดียวกัน...แก่แล้วก็จากไป
“เมื่อสมัยก่อนวัดเป็นศูนย์รวมกิจกรรมของหมู่บ้าน ชาวบ้านสนุกสนานมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ท่านตุ๋ย! รู้มั้ย? วัดส่วนใหญ่สร้างจากเงินทำบุญ ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ วัดนี้ชาวบ้านก็ช่วยกันสร้างขึ้นมาเอง เมื่อสมัยก่อนใช้เป็นโรงเรียน พระนี่แหละ เป็นครูผู้สอน”ท่านยิ้มรำลึกอดีต อาตมาเพิ่งรู้ก็วันนี้นี่เอง...เกิดไม่ทัน
“พระก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างบรรทัดฐานและสร้างความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันของสังคมชุมชน”
“เฮ้อ!” พูดถึงตรงนี้ท่านถอนหายใจยาวเหมือนหนักใจ อะไรหนอทำให้ท่านกังวล
“หลวงพ่อครับนอนคุยก็ได้ ผมจะนวดขาให้” อาตมาขยับเข้าไปประคองท่านนอนลง บีบนวดขาให้เส้นคลายตัว คนแก่มักเป็นเช่นนี้ปวดแขนขาโดยหาสาเหตุไม่ได้
สังขารของคนเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ท่านผอมมากแขนขาเล็กลีบจนมองเห็นเส้นเอ็น
“ขอบใจท่านตุ๋ยมากนะ ตั้งแต่เด็กจนถึงวันนี้ ท่านยังคงเส้นคงวามาตลอด น่าภูมิใจแทนบุพการีของท่านนะ ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เลี้ยง แต่ท่านก็เติบโตมาเป็นคนดี” ท่านเอ่ยชมซึ่งหน้าผมยิ้มรับรู้สึกตื้นตัน
“ท่านเองก็เปรียบเสมือนพ่อแท้ ๆ ของผมเหมือนกัน ท่านยังเคยไล่ตีผมเลย ยังจำได้หรือเปล่า? ลื่นตกน้ำที่ศาลาหลังวัดไปด้วยกัน”
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” ท่านพยักหน้าแรงหัวเราะออกมา รอยยิ้มในดวงตาบ่งบอกว่า ท่านสุขใจ
“ตอนนั้นเรื่องอะไรนะ? ผมก็ไม่ได้จำ มันนานมากแล้ว” ท่านยังนอนหัวเราะแล้วถามต่อ
“พระจะออกไปบิณฑบาตตอนเช้ามืด แล้วเถาปิ่นโตไม่พอใส่กับข้าว พระทั้งวัดก็ช่วยกันหาเวลาก็จะไม่ทัน แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนหลวงพ่อเอาก้อนแม่เหล็กกลมผูกเชือกไปแกว่งที่ปลายสะพานท่าน้ำ ได้ทั้งช้อนทั้งปิ่นโตมาเป็นกองเลย”
“อืม! อืม! พอจำได้แล้ว...นานมาก สมัยยังเด็กก็ดื้อกันอย่างนี้ทุกคนแหละ ทางผ่านของชีวิตมักมีบาดแผลกันทุกคน มากน้อยตามความดื้อ” ท่านยิ้มส่ายหน้า
วีรกรรมในวัยเด็ก...เด็กวัดจะต้องรีบไปโรงเรียน แต่ต้องรอพระฉันข้าวให้เสร็จก่อน ถ้าล้างปิ่นโตก็จะไปโรงเรียนสาย โดนตีหน้าเสาธงอายเพื่อน เลยเอาโยนทิ้งน้ำไว้ก่อนแล้วค่อยกลับมาล้าง สุดท้ายแล้วก็ลืม
“ผมเคยเกือบตายด้วยนะครับ” มีเรื่องที่ฝังใจไม่เคยลืมกับวัยเด็กของอาตมา
“เรื่องอะไร?”
“เรื่องคนขับรถไปส่งพระบิณฑบาตตอนเช้า ปรกติโยมแดงเป็นคนขับ แต่วันนั้นเขาเมามาก ปลุกไม่ตื่นและงอแงมาก”
“แล้วยังไง?”
“ผมไปเรียกเขาก็โวยวาย แต่ผมก็ไม่ยอมเพราะมันสายมากแล้วโยมรอใส่บาตรร้อนแดด ผมเขย่าเรียกจนเขาฉุนขาดโวยวายลั่น”
“มันโวยยังไง?”
“กูบอกว่า กูไม่ไป! กูบอกแล้วนะว่า กูไม่ไป!”
“อืม!”
“เขางัวเงียลุกขึ้นมาหน้าง้ำ กระทืบเท้าตึงตึงไปสตาร์ทรถแล้วเบิ้ลเครื่องลั่นวัดเลย พวกผมกับพระหิ้วปิ่นโตพะลุงพะลังวิ่งตาม...”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”
“โอ้โห!เขาขับรถอย่างกับแข่งแรลลี่ พอเบรกที! พระกับเด็กวัดกองรวมกันในกระบะท้าย นั่งหัวสั่นหัวคลอนลุ้นจนถึงบ้านโยม พระกอดบาตรแน่นเลย”
“ไอ้แดงมันใจร้อน มันอกหักเลยกินเหล้าจนเสียคน น่าสงสารที่อยู่กับวัดแต่ไม่ได้อะไรไปเลย สุดท้ายมันก็ตายเพราะเมาเหล้าแล้วไปเล่นน้ำ ติดตาข่ายดักปลาหลังวัด หมดกรรม” ท่านเปรยถึงเด็กวัดรุ่นใหญ่ในสมัยนั้น
“ยังไม่จบครับหลวงพ่อ”
“หือ! ยังมีอีกเหรอ?”
“เขาเมามาก พอถึงที่เขาก็นอนหลับต่อในรถ พอพวกเราบิณฑบาตเสร็จก็ต้องกลับใช่มั้ยล่ะ? พอถูกปลุกเขาก็ลุกขึ้นมาโวยวายต่อ...กูบอกว่า กูไม่ไป! กูบอกแล้วนะว่า กูไม่ไป! พอขับรถก็เหมือนเดิม เหยียบซะพวกเราต้องเกาะกะละมังข้าว เถาปิ่นโตกระเด็นกระดอน พอถึงโค้งตาแม้นเท่านั้นแหละ...”
“ยังไง?” ท่านเริ่มสนุก ให้ความสนใจ
“แกงเขียวหวานเหลืองไปหมด ทั้งพระทั้งเด็กวัดลอยคออยู่ในคลอง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ท่านหัวเราะลั่น
“รถจมน้ำเหลือแค่หลังคา ส่วนโยมแดงว่ายน้ำขึ้นอีกฝั่ง แล้วหันกลับมาตะโกนใส่...กูบอกว่า กูไม่ไป! กูบอกแล้วนะว่า กูไม่ไป!” ผมคิดถึงเรื่องนี้ เมื่อไหร่ก็ขำ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เรื่องในอดีตเหมือนเป็นสมบัติชิ้นเดียว ที่หลงเหลือในความทรงจำของทุกคน ยิ่งคนอายุมากก็มีเรื่องราวมาก ในอดีตถ้าทำเรื่องราวดี ๆ ไว้เวลาคิดถึงก็จะนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่ถ้าใจแวบไปคิดเรื่องที่ทำไม่ดีไว้ สิ่งที่ทำได้ได้ก็แค่...เฮ้อ! แล้วก็ปวดใจ แก้ไขไม่ได้
หลวงพ่อนั่งอมยิ้ม ดวงตาวาวหายใจหอบเหนื่อย...
“เวลาผ่านไปไวเหมือนหมุนคลื่นวิทยุ โลกมันเปลี่ยนไปเร็วมากจิตใจคนก็เปลี่ยนตาม เดี๋ยวนี้วัดโดนลดบทบาทความสำคัญลงไปมาก มีกฎหมายและข้อห้ามมากมายเข้ามาเกี่ยวข้องกับวัด การละเล่นต่าง ๆ กลายเป็นอดีต วัดมีเพียงความเงียบเหงาและเป็นสุสานความโศกเศร้า งานหลักของวัดคือเผาศพ จีวรพระเปรียบเสมือนเครื่องแบบ” ท่านสีหน้าเรียบ มีรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าที่ยับย่นของคนชรา
“พระมีหน่วยงานดูแลอยู่แล้วนี่ครับ”
“ก็ใช่นะท่านตุ๋ย แต่เจ้าหน้าที่พวกนั้นก็เป็นปุถุชนคนทั่วไปที่มีตำแหน่งบนบ่า ไม่ได้ถือศีลเหมือนพระแต่กลับมีอำนาจลงโทษพระ ธงชาติจะแยกสีขาวออกมาทำไม ถ้าต้องอยู่ใต้อาณัติของสีอื่น ผมคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ?” ท่านส่ายหน้าช้า ๆ แล้วพูดต่อ...
“แต่เดิม..ผมมองศาสนาเป็นอะไรที่เร้นลับ ลึกจนหาที่สิ้นสุดมิได้ มีความรู้ปรัชญาซ่อนอยู่มากมาย ไม่สามารถเรียนรู้จนจบสิ้น บวชมาจนแก่เฒ่าพึ่งรู้ว่า ตนเองคิดผิดอย่างแรง ผมคิดว่าพระสงฆ์เอาหลังพิงศาสนาเป็นที่พึ่งซะอีก แต่ที่ไหนได้ด้านหลังของพระมีแต่เจ้าหน้าที่รัฐ มันเลยทำให้ศาสนาดูตื้นเขิน วัดก็เป็นเพียงหน่วยงานในการดูแลของรัฐ พระสงฆ์เป็นเพียงอาชีพหนึ่งเท่านั้น อีกไม่นานก็จะมีศาสนาอื่นเข้าแทนที่...เฮ้อ!” ท่านถอนหายใจแรงอีกครั้ง
อาตมาก็สะอึกเหมือนกัน...
“ผมมองว่า ศาสนาเป็นทางเลือกไม่สามารถบังคับกันได้ ผมคิดถูกหรือเปล่าครับหลวงพ่อ?” ผมขยับเข้าประคองเมื่อเห็นท่านขยับตัวลุกนั่ง “ผมก็คิดเช่นเดียวกับท่าน ศาสนาเป็นเรื่องของความศรัทธา ใครชอบใครเชื่อแบบไหนก็เลือกนับถือศาสนานั้น แต่พอมีพระเก่ง ๆ ที่เอาปรัชญาของศาสนามาเผยแผ่ ชาวบ้านศรัทธากลับโดนสงสัยในพฤติกรรม สักพักต้องโดนคดีกลั่นแกล้ง เป็นเช่นนี้ตลอดมา อันนี้ผมก็ไม่เข้าใจ ผมอาจจะแก่มากเกินไป ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”
หลวงพ่อ ท่านปฏิเสธยศถาบรรดาศักดิ์ที่ทางกรมศาสนาแต่งตั้งให้ ท่านเคยบอกว่าไม่อยากเป็นดอกไม้ประดับ เป็นพระมีแต่สละ จะสะสมยศถาบรรดาศักดิ์ไว้ทำไม
“พวกนั้นผิดจริง ๆ ไม่ใช่หรือครับ?” อาตมาเองก็ไม่เข้าใจลึก ๆ ดูจากข่าวกระแสหลัก
“มีแต่สื่อฝ่ายรัฐเท่านั้นที่ประโคมข่าวว่าพระผิด สุดท้ายองค์กรต่าง ๆของฝ่ายสงฆ์ก็ต้องตัดสินใจตาม มิฉะนั้นก็โดนเล่นงานด้วยกฎหมายเหมือนกัน ท่านคิดว่ามันยุติธรรมกับพระสงฆ์เหรอ? เรื่องของสงฆ์น่าจะให้สงฆ์จัดการกันเอง หลายครั้งการตัดสินของฝ่ายนั้นก็ฝืนความรู้สึกประชาชน” ท่านหยุดพักหายใจ...
“ไอ้ที่เลวร้ายคือพอสิ้นสุดการสอบสวนแล้วไม่พบความผิด แต่ก็จับพระสึกไปแล้ว ไม่มีสำนักข่าวไหนมาประโคมข่าวเพื่อคืนความยุติธรรมให้กับท่านเหล่านั้น เหมือนเป็นทฤษฎีสมคบคิดกันยังไงก็ไม่รู้ น่าอนาถใจ ไร้คนรับผิดชอบ” ท่านหายใจเหนื่อยหอบ สายตาดูว่างเปล่า
“น้ำชาครับ วันนี้พูดเยอะเลยนะ” อาตมาถวายน้ำชา
“ท่านตุ๋ย! รู้ไหม? สิ่งมีชีวิตชนิดไหนบนโลกใบนี้เนรคุณที่สุด” ท่านยกน้ำชาดื่ม
“ตั๊กแตนตำข้าวครับ พอตัวผู้ผสมพันธ์กับตัวเมียเสร็จ ตัวเมียจะกินตัวผู้ เคี้ยวกันสดๆ เสร็จแล้วตัวเมียจะอุ้มท้องจนคลอด ลูก ๆ ตัวเล็ก ๆ เกิดเต็มตัวของแม่ แล้วก็กินแม่ทั้งเป็น วงจรชีวิตของมันเป็นอย่างนั้น” อาตมาตอบอย่างมั่นใจ
“นั่นมันเป็นสัญชาตญาณการสืบเผ่าพันธุ์ของสัตว์ชั้นต่ำ มันไม่ได้เนรคุณ มนุษย์เรานี่แหละเนรคุณที่สุด ลองเปรียบเทียบกับชีวิตมนุษย์ก็ได้”
“ยังไงครับ?”
“กินผัวใช่มั้ย?”
“ครับ”
“เพศผู้หรือเพศชายเป็นผู้เสียสละด้วยเช่นกัน ตั๊กแตนมันสละชีพเพื่อให้ตัวเมียมีอาหารเพียงพอในการอุ้มท้องและหลบภัย ก็ไม่ต่างกับเพศชายที่ต้องทำงานเลี้ยงครอบครัวโดยเสียสละหลายอย่าง” ท่านยกน้ำชาแล้วถามต่อ...
“ลูกกินแม่ใช่มั้ย?”
“ครับ!”
“เด็กทุกคนก็กลืนกินเวลาชีวิตของแม่ทุกคน ตั้งแต่ตายังไม่ลืม ต้องอาศัยพ่อแม่อุ้มชูใช้เวลานับสิบปี แต่พอมันเอาตัวรอดได้ มักจะถีบหัวผู้มีพระคุณก่อน อย่างนี้ตายก่อนก็ดีกว่า ตายอย่างทรมานเพราะลูก อกตัญญู”
“เอ่อ!” อาตมาคิดไม่ได้แบบนั้น
“ท่าน! เคยเห็นไหม ลูกบางคนเชื่อฟังเจ้านายมากกว่าพ่อแม่อีก? อ้างแต่ว่าไม่ว่าง ๆ ดูอย่างลูกตานวยท้ายวัดสิ! เที่ยวคุยว่า ลูกได้เป็นนายอำเภอ แล้วเป็นยังไง? ลูกไม่ค่อยกลับมาเยี่ยมเลย”
“อ๋อ! ผมรู้จักกับลูกชายของเขาครับ”
“นั่นแหละ! ยิ่งพอได้เมีย ยิ่งไม่มา สุดท้ายนอนตายอยู่เดียวดาย พวกเราต้องไปเก็บศพมาเผาให้ ผมยังเห็นลูกชายยืนยิ้มแป้นบนหน้าสื่อบ่อย ๆ ”
“เอ่อ!”
“ความรักความห่วงใยที่พ่อแม่มีให้ พวกเขากลับมองว่ามันเป็นเพียงหน้าที่ แล้วมีพ่อแม่คนไหนเคยชนะลูกบ้าง? ต้องทนกับการเนรคุณด้วยคำพูดอย่างช้ำใจมาตลอด”
อาตมาจุกอกกับคำพูดของท่าน อาตมาไม่มีพ่อแม่ให้ตอบแทนบุญคุณ พอฟังก็ยังรู้สึกไม่ดีไปกับท่านด้วย
“หลายคนก็เคยเป็นลูกของศาสนา บวชจนเป็นมหาแต่กลับเนรคุณศาสนา ผมอยากให้โลกหมุนกลับไปเป็นอดีต ถึงแม้จะไม่มีความทันสมัย แต่ก็ไม่เคยมีใครท้องหิว ทุกคนสามารถลงน้ำจับปลาหากินได้ตลอดเวลา ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มาก เสาศาลาท่าน้ำ แค่ลงเอาขาไปแช่น้ำ ก็ได้กุ้งก้ามกรามตัวเบ่อเริ่มเทิ่มมาเป็นอาหารแล้ว”
“ผมเคยได้ยินเรื่องเล่าแบบนี้ สมัยก่อนประชากรคงน้อยกว่านี้” ทุกคำที่ท่านพูดยากที่จะปฏิเสธ นี่สินะ!..ที่ชาวบ้านชอบมาฟังท่านเทศนา ท่านมีมุมมองที่ลึกซึ้งไปอีกแบบ
“ความสำเร็จของคนสมัยนี้วัดกันที่เงิน ใครกันนะเป็นคนกำหนด ทุกอย่างถูกตีราคาเป็นเงินเป็นทองแม้กระทั่งเวลา เงินคือต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด เงินเป็นสิ่งไร้ชีวิตชนิดเดียว ที่สร้างความร้าวฉานได้ในทุกชนชั้นของสังคม ทำให้เจ้านายผยอง ลูกน้องหักหลัง พี่น้องฆ่ากัน ผัวเมียแยกทาง คนโดนบีบให้ต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา ไม่เว้นแม้กระทั่งนักบวช” วันนี้ท่านคงได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นในอกออกมาบ้าง
ผู้สูงอายุทุกคนล้วนเคยเป็นเด็กมาก่อน เพียงแต่พวกเขาได้เดินทางผ่านกาลเวลาที่เนิ่นนานมาก่อน ถึงแม้พวกเขาอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จร่ำรวย แต่ความทรงจำเหล่านั้นมีค่ามหาศาล พวกเขาเปรียบเสมือนคราวด์ที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้มากมาย รอใครบางคนมาเปิดมันก่อนที่จะสายเกินไป ความคลาสสิกเป็นครูที่ดีเสมอ
การมอมเมาคนด้วยลาภยศเงินทอง ทำให้ลูกหลานคนยากจนที่พ่อแม่กัดฟันส่งให้เรียนสูง ๆ กลับกลายเป็นทาสในเครื่องแบบอันทรงเกียรติ เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในการจัดการ เป็นเครื่องมือสังหารคนที่เห็นต่าง ซึ่งคนที่ถูกพวกเขารังแกเหล่านั้น ก็เป็นลูกหลานชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากความเหลื่อมล้ำ
“Rrrrr!” เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะขึ้นมา
“ไปรับโทรศัพท์เถอะท่าน วันหลังค่อยคุยกันใหม่” ท่านบอกแล้วล้มตัวลงนอน อาตมาเข้าพยุงก่อนกราบลาออกมา
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู…เจ้าแทนโทรมาทำไม?
“เจริญพร!”
“Hey!..Do you know Dr. Natalie?”
เสียงห้วนของผู้ชายปลายสายตอบสวนมาทำเอาแปลกใจ ต้องยกโทรศัพท์มาดูชื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
...........................................................................................................
หน้าที่เข้าชม | 12,861 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,977 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 7 ก.ย. 2568 |