
ฉางชุน มณฑลจี้หลิน
มุมมองสายตา แทน
กรกฎาคม ค.ศ.2021
“วื้ด!...!!” Hyper loop จอดเทียบชานชาลา ลานสว่างด้านซ้ายมือในอาคาร ไม่มีทหารยืนยามมีเพียงสายตาของประธานเหมาที่จ้องเราอยู่บนฝาผนัง
ผมกดปุ่มซ่อมบำรุง เพื่อไม่ให้มันทำงานได้ตามคำสั่งของหมวดจาง แล้วก้าวออกจากไฮเปอร์ลูป เดินย่องขึ้นบันไดไปชั้นสอง อ้อมไปด้านหลังของอาคาร
“ครืด!ครืด!” เสียงตู้คอนโทรลไฟดังในห้องสุดท้าย
“น่าจะเป็นห้องนี้” ผมหันไปบอก เธอผลักประตูพรวดเข้าไป…
กล่องเหล็กสี่เหลี่ยมตู้คอนโทรลระบบไฟตั้งเป็นช่อง ดวงไฟสีเขียวแดงกะพริบลายตา มองหาเป้าหมายที่หมวดจางสั่งนักสั่งหนาว่าถึงที่นี่แล้วต้องจัดการเรื่องนี้ก่อน หยิบไม้เบสบอลที่พิงผนังติดมือมาด้วย
“ทำอะไรคะ?” ไป่ไป๋กระซิบถาม
“ตัดระบบไฟฟ้าที่นี่ก่อน” ผมบอกแล้วดึงเบรกเกอร์ปิดทีละตัว...
“โป๊ะ!ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”
“หวืด!หวืด!” เสียงของกำลังไฟค่อย ๆ หยุดทำงานลงทีละจุด สวิทซ์ไฟสีเขียวค่อย ๆ ดับลงทีละดวง ไล่มาจนถึงเบรกเกอร์ตัวสุดท้าย
“โป๊ะ! หวืด…ดดด!!” คอนโทรลไฟสายเมนที่คุมทั้งระบบดับลง
“วูบ!!” ภาพตัด ความมืดมิดเข้าแทนที่จนมองไม่เห็นหน้ากัน
ผมจูงมือเธอออกจากห้องวิ่งฝ่าความมืดกลับไปทางเดิม มาหยุดดักตรงประตูทางเข้า ไป่ไป๋กระซิบ...
“ทำไมไม่ไปต่อคะ เดี๋ยวพวกมันก็มาที่นี่”
“รอพวกมัน”
“คลึก!คลึก!” รอเวลาสักพักเสียงฝีเท้าก็วิ่งขึ้นมาพร้อมแสงไฟฉายส่ายไปมา ผมกำไม้ให้เหมาะมือเอาหลังพิงผนังรอจังหวะ...
“พลั่ก! โอ้ย!” ผมซัดไม้เบสบอลฟาดลงก้านคอของทหารคนแรกที่ขึ้นมาก่อน เขาเซถลาไปทรุดข้างโต๊ะทำงาน
“พลั่ก!พลั่ก!พลั่ก!” ยิ่งรู้ว่าใกล้จะหนีได้ยิ่งกังวลใจและเกร็งมากขึ้น ผมลนลานทำอะไร ขาดความยั้งคิดเข้าไปทุกที
“ครืด!” ผมรีบลากเขาออกให้พ้นทางเดิน รอยเลือดดำในเงามืดเป็นทางยาว ปลดกุญแจมือของเขามาล็อคแขนของเขาติดกับราวเหล็ก หยิบวิทยุสื่อสารเครื่องเล็กส่งไปให้ไป่ไป๋ช่วยคอยฟัง
“แทน! คุณทำเขาแรงไปนะ” เธอเสียงอ่อย
“ผมกลัว!”
มองฝ่าความมืดลงไปชั้นล่าง รู้สึกเหมือนมีการเคลื่อนไหวมาอีกครั้ง แสงไฟดวงน้อยพุ่งสว่างจากมือทหารด้านล่างกำลังวิ่งขึ้นมาพร้อม เสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี…
“เฮ้ย! อาโย่ว!อยู่ตรงไหนวะ? ”
“ผลั้วะ!” ทันทีที่เขาร้องหาเพื่อน ชะตาของเขาก็เหมือนเพื่อนที่มาก่อนหน้า ผมก็ซัดไม้เบสบอลเข้าที่กกหูเต็มแรง
ผมไม่สนใจกับความเป็นความตายของพวกเขาแล้ว คิดอย่างเดียวต้องหนีให้ได้ แล้วรีบออกไปจากประเทศนี้ซะ
“หมวดจางให้หนีไปทางไหนคะ?”เธอกระซิบถามในขณะที่หูก็ฟังวิทยุสื่อสารไปด้วย ผมล็อคแขนทหารไว้คู่กันเสร็จแล้วก็เปลี่ยนแมกกาซีนลูกปืนสั้นพร้อมยิงส่งให้
“ไปทางเหนือ!” ผมรอจนได้จังหวะคว้ามือเธอวิ่งลงไปออกจากอาคาร พื้นที่ค่ายมืดเพราะไฟฟ้าดับ วิ่งลัดสนามกว้างใหญ่หิมะปกคลุมขาวโพลน
ด้วยความมืดและไม่รู้จักพื้นที่ทำให้ลังเลหันมองซ้ายขวาตัดสินใจไม่ถูก...
“หมวดจางให้วิ่งขึ้นเหนือ จะเจออาคารเก็บสโนว์โมบิลข้างโรงเก็บเครื่องบินรบเฉิงตู J-10 ผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน?”
“งั้นวิ่งไปก่อน อย่าอยู่กลางแจ้งเลย หนูเสียว!”
ดวงดาวสาดแสงลงมาจับพื้น สะท้อนทุ่งหิมะขาวโพลน สายลมยามค่ำคืนพัดแรงหนาวเหน็บ ไป่ไป๋วิ่งชี้นิ้วไปข้างหน้า เราวิ่งผ่านบ่อน้ำใหญ่ทางขวา วิ่งตรงไปหาก
“ค่อย ๆ นะ ระวังตัวด้วย!” ผมย่องเบาวิ่งเลาะอาคาร ไป่ไป๋เดินตามมาเงียบกริบ
กองไฟเรียงเป็นแถวยาวคู่ไปกับตัวอาคาร ระหว่างทางที่วิ่งมา ผ่านกลุ่ม Soulless มากมาย นอนเบียดรวมกันบนพื้นโล่งใต้หลังคา ในอาคารไม่มีผนังหลังคาสูง เสียงฝีเท้าของเราไปรบกวนโสตประสาทของพวกเขาทำให้ลุกเดินออกมา
“Soullessมา!” ผมหันไปบอกกับเธอเมื่อพวกเขขยับตัวลุกนั่ง ผมสังเกตได้ว่าพวกเขาเหมือนชาวบ้านที่ฉวีจิ่ง แต่ร่างกายเน่าพุพองมากกว่า
“พวกมันใจดำมาก ปล่อยทิ้งให้ตายโดยไม่ดูแลอะไรเลย บ้านไม่มีผนังก็หนาวตายกันหมดสิ” เธอบ่นพึมพำ
นาตาลีเคยบอกว่าจะมาฉีดวัคซีนให้พวกนี้ พวกเขาเป็นผู้ติดเชื้อเหมือนกัน ในนี้ไม่มีทหารคอยควบคุมด้วย ดูจากสถานที่แล้ว Soulless พวกนี้คงถูกสอนให้เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ข้าง ๆ อาคารมีทั้งเล้าทั้งคอกสัตว์หลายชนิดแต่โดนทิ้งร้าง เตาเผาขนาดใหญ่หลายจุด พอจะคลายหนาวให้พวกเขาได้
“ไปต่อ!” ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปสู่ด้านเหนือเพื่อเข้าหาเป้าหมาย พื้นที่กว้างใหญ่จนวังเวง
“แทนคะ! โน่นมีแสงไฟ” เธอหันมองไปทางซ้ายไกลหลายกิโลเมตร แสงไฟฟ้าสว่างพุ่งขึ้นฟ้าจากหลังภูเขา
“ไม่รู้เหมือนกัน ตรงนั้นต้องเป็นสถานที่อะไรสักอย่างและต้องสำคัญเพราะไฟฟ้าสว่างมาก” ผมเดามั่ว
ผมวิ่งลัดเลาะผ่านอาคาร ข้าวของวางระเกะระกะตามรายทาง ที่นี่ดูเหมือนหมู่บ้านในชนบท เพียงแต่มีอุปกรณ์ของทหารทิ้งกองไว้ข้างทาง การป้องกันก็ดูจะหละหลวมมาก หิมะโปรยอ่อนปกคลุมไปทุกอย่าง
“เหนื่อยมั้ยครับ? หมวดจางเคยบอกว่า พวกนี้สอนได้” ผมหยุดเดินพักเหนื่อยหลังจากวิ่งกันมาไกลหันไปชวนเธอคุย
“ทำไมมากมายอย่างนี้? คงเป็นพันคนเลยนะนี่” เธอหันกลับไปมองหมุนรอบตัว สาวน้อยขี้งอนหายใจหอบตัวโยน
“คุณได้สังเกตมั้ย? ที่เราวิ่งผ่านมามีคนนอนตายตั้งหลายคน” ผมบอกแล้วหยิบโทรศัพท์โทรออก /พี่ซอนมาถึงไหนแล้วนะ?/
“อนนี่เคยบอกว่า พวกนี้เป็นฝีมือหมวดจาง”
ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะคุยสายกับพี่ซอน...
“พี่ซอนผมหนีออกมาได้แล้วนะ! ตอนนี้ผมกับไป่ไป๋อยู่แถว ๆ เล้าหมู” ผมบอกเมื่อพี่ซอนรับสาย
“ดีมากไอ้น้อง! หมวดจางบอกทางเจ้าแทนที มันบอกว่าอยู่เล้าหมูแล้ว ที่ไหนก็ไม่รู้?” เสียงของพี่ซอนเหมือนน้ำมันหล่อลื่น ผมมีกำลังใจและความหวังผุดขึ้นมา อยากเจอหน้ากันไว ๆ
เสียงหมวดจางทักมา...
“ไฮแทน! คุณมาถูกทางแล้วแต่มันยังไม่ถึง วิ่งต่อไปอีกจะเจอโรงจอดเครื่องบินบนเนินทางขวามือ สโนโมบิลจอดอยู่บนนั้น คุณเห็นแสงไฟสว่างทางทิศตะวันตกไกล ๆ รึป่าว...นั่นน่ะ! ฐานยิงระเบิดนิวเคลียร์ อย่าไปทางนั้นเด็ดขาด มีกองทหารอยู่ที่นั่น” เธอบอกในสิ่งที่ผมเดามั่วและก็เดาถูกเพราะมันสำคัญไฟฟ้าจึงสว่าง ผมหันมองตามแสงไฟ หูก็ฟังหมวดจางพูด ขาก้าวเดินต่อไป
“ครับ! ขอบคุณครับ ขอสายนาตาลีหน่อยครับ”
“แทนคะ! ไป่ไป๋ล่ะ?” ผมยิ้มกับเสียงหวานระรื่นหูของเธอ ถามหายายตัวแสบก่อนเลยนะ
“ผมได้ตัวมาแล้วครับ จะเอากลับไปส่งให้นะ รออีกนิด” ผมดีใจที่ได้คุยกับเธอนิดเดียวก็ยังชื่นใจ ไป่ไป๋คนเดียวทำให้ผมต้องเป็นคนไม่มีสัจจะ ไม่รู้ล่ะ? ออกไปได้ค่อยคุยกันใหม่
“มาด้วยกันทั้งสองคนนะคะ ห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด ฉันเป็นห่วงนะ คิดถึงมากด้วย ขอพูดกับไป่ไป๋หน่อยค่ะ!” น้ำเสียงของเธอเป็นห่วง ผมส่งโทรศัพท์ไปให้ไป่ไป๋ เธอยืนคอยคิวอยู่แล้ว
“อนนี่! คิดถึงจังเลย หนูมีข่าวดีจะบอก”เธอยิ้มบิดตัวไปมาเดินหนีไปคุยอีกทาง ผมชะงัก! จะบอกเรื่องอะไรวะ? ผมยังไม่ยอมง่าย ๆ หรอกมาบังคับให้บอกรัก ตอนนี้ยอมไปก่อนเพื่อพาเธอกลับ เราต้องคุยกันใหม่
ผมเดินมาเข้าไปหา Soullessสาวอดีตวัยรุ่น สังเกตได้จากเสื้อผ้าที่สวมใส่ ถึงจะมอมแมมก็ยังมองออกว่าเป็นวัยรุ่น เส้นผมร่วงเป็นหย่อม เธอนั่งเหม่อลอยเหมือนคนไม่มีความหวังใด ๆ ในชีวิตอีกแล้ว อากาศหนาวเย็น เธอนั่งห่อตัวข้างกองไฟ
“แกรก!” ผมเหยียบโดนกิ่งไม้
เธอหันมามองแล้วแบมือที่สั่นระริก…
“อือ!ออ!” เสียงครางออกจากลำคอ
ผมน้ำตาตกใน ช่วงวัยชีวิตที่ต้องเปล่งประกายสวยงามที่สุดของเธอ กลับจมอยู่ในความมืดมน หิวโหยและหนาวเหน็บ
“กินนี่ครับ!” ผมจุกใจที่เห็นภาพเหล่านี้ แกะห่อขนมที่ซื้อไว้ให้ไป่ไป๋ส่งให้ เธอรับไปยัดใส่ปากอย่างไม่ลังเล
“ถ้าช่วยได้ ผมจะกลับมาช่วยนะครับ อดทนไว้ก่อน” ผมแกะขนมที่เหลือทั้งหมดอีกหลายชิ้นวางลงบนพื้นให้เธอได้หยิบกิน
“ไปเถอะ!” ไป่ไป๋เข้ามาแตะไหล่ ผมขยับถอดเสื้อกันหนาว
“จะทำอะไรคะ?”
“เอาให้เธอสวม จะได้อุ่น ๆ”
“ไม่ได้นะคะ! ยังไม่รู้ว่าจะไปไหนและเจออะไร ตอนนี้หนาวมากเราต้องช่วยตัวเองก่อน” เธอก็พูดถูก แต่ผมยังมีเสื้อยืดแขนยาวข้างในอีกตัวไม่เปลี่ยนใจเอาเสื้อไปสวมให้ Soulless
“ทำเกินไปนะคะ!” เสียงไม่ค่อยดี
ผมคว้าแขนวิ่ง...
“ไปเถอะ!” หนาวฉิบหาย
พ้นกลุ่มอาคารออกมา ลานหิมะขาวโพลนสว่างในคืนเดือนมืด สายลมแรงหนาวเหน็บ โรงจอดเครื่องบิน แยกออกไปอยู่บนเนินทางขวา อยู่นอกเขตรั้วไฟดับเหมือนกัน
“พรึบ!” จู่ ๆ ไฟถนนสว่างขึ้นมา
“หือ!!” ผมตกใจหยุดเดิน
“โอ๊ะ!” ไป่ไป๋วิ่งมากระแทกลำตัว กระเด็นเข้าพุ่มไม้ ไฟฟ้าสว่างไปทั่วบริเวณเห็นอาคารเรียงกันยาวหลายตึก
“แกรก!” เสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้น ไป่ไป๋ตั้งใจฟัง...
“พวกนั้น! รู้ตัวกันแล้วค่ะ!” ไป่ไป๋หันมาบอก ผมเช็คกระสุนปืนสั้นเหลืออีก 2 แม็กกาซีน ระเบิดมือ 3 ลูก ไป่ไป๋มีปืนสั้นติดตัว
ความกลัวเข้ากุมจิตใจอีกครั้ง ลมพัดกรรโชกแรงอากาศเย็นจนปากสั่น สีสันบรรยากาศรอบตัวเหมือนภาพขาวดำ ราวกับได้ย้อนเวลากลับไปในโลกของอดีต วิทยุในมือของไป่ไป๋ยังดังสั่งการตลอด
“แย่แล้ว! พวกมันระดมกำลังกันตามล่าเราแล้ว หนีกันเถอะ!” เธอบอกหน้าตาตื่น
“ไปต่อ!” ผมดึงมือให้วิ่งตามกัน ไปทางโรงจอดเครื่องบินไฟสว่างอยู่บนเนิน
“ด้านหน้าปิดหมด ไปเข้าข้างหลัง” ผมสั่งแล้ววิ่งนำจนกระทั่งพ้นเหลี่ยมอาคาร
“เฮ้ย!” ผมรีบหันไปดึงตัวเธอ/ทหารยามสองนาย/
เราเปลี่ยนเป็นย่องเบาชะโงกหน้าออกไปดูอีกครั้ง ทั้งคู่นั่งหลับสัปหงก
“กลิ่นเหล้าหึ่งเลย!” ไป่ไป๋ย่นจมูกเดินย่องจะผ่านประตูเข้าไป
ทันใดนั้น!...
“หวอ! หวอ! หวอ!” เสียงเตือนภัยบาดใจทำเอาผมสะดุ้งโหยง ในขณะเดียวกัน ทหารขี้เมาสองนาย ก็สะดุ้งตื่น
“เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นวะ! อเมริกาบุกเหรอ?” เขางัวเงียมึนเมา
ในจังหวะนั้น ผมไม่ปล่อยให้เขามีสติ วิ่งเข้าหาพร้อมกระโดดง้างหมัด...
“พล็อก!” ปล่อยหมัดสุดแรงเข้าปลายคาง
“ผลัวะ!” แล้วหันไปเตะเข้าก้านคอของเพื่อนที่นั่งคู่กัน มองจนแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ลุกขึ้นมาอีก จับล็อคกุญแจมือไว้ทั้งคู่ ลุกวิ่งไปหาไป่ไป๋...
“เปลี่ยนชุดกันก่อน!” ผมหยิบหมวกกันน็อกสำหรับขี่สโนว์โมบิลสวมให้เธอ แล้วเดินไปกวาดกุญแจของสโนว์โมบิลมาหมดแผง ต้องตัดกำลังพวกมันไปด้วย คว้าเสื้อกันหนาวหนามาสวมทับให้เธออีก /ผมรอดแล้วเจอเสื้อกันหนาว/
“หยิบสกีมาด้วย” ผมชี้ไปบนผนังข้างห้อง เธอเดินไปหยิบมา 2 ชุดเสียบเข้าข้างรถ ได้อาวุธเต็มพิกัดคราวนี้สนุกแน่
“ไปกันเถอะ พวกมันเคลื่อนพลแล้ว” ไป่ไป๋ชี้ไปที่เสียงวิทยุที่ทหารยาม เราคว้าปืนกลของทหารจีนติดมือมาด้วย
…………..........................................................………………..
“บรื้น...นน!!!” สโนว์โมบิลสีขาวกลืนกับธรรมชาติ เห็นเพียงแสงไฟจากหน้ารถจับไปบนพื้นหิมะทะยานไปข้างหน้าอย่างเร็ว ออกนอกเขตอาคาร ขับเลาะรั้วลวดหนามไต่ความสูงขึ้นมาเรื่อย ยิ่งขับมาไกลภูเขายิ่งสูงชัน หันกลับไปมองด้านหลัง แสงไฟจากรถหุ้มเกราะและพลทหารวิ่งตามมากลุ่มใหญ่
“วี๊ด...ดด!!”
“ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!” จรวดจากรถหุ้มเกราะ ยิงโค้งยาวมาระเบิดลงข้าง ๆ เสียงสนั่น หิมะกระจาย พวกมันกำลังหาพิกัดต้องหนีให้เร็วขึ้น ไป่ไป่นั่งซ้อนท้ายกอดเอวตัวกลม
“ตูม! ตูม! ตูม!” ลูกกระสุนตกใกล้มาทุกขณะ
ผมขับหนีขึ้นเหนือสูงขึ้นไปเรื่อย ต้นสนสองใบเรียงเป็นแถวยาวหนาตา ช่วยบังวิถีจรวด
“บรื้น! บรื้น! บรื้น!” รถหุ้มเกราะหลายคันวิ่งฝ่าทุ่งหิมะ ตามมาอย่างรวดเร็ว
แผงรั้วลวดหนามด้านขวาก็ยังไม่มีท่าว่า จะมีรูโหว่ให้เห็น จนกระทั่งข้ามเนินยอดเขาสูง ถึงได้เจอจุดบอดของรั้ว...
“ไป่ไป๋! เรารอดแล้ว” ผมจอดแล้วชี้ไปที่รูรั้วจากการถูกตัด เธอกอดเอวแน่นพยักหน้า
“ตูม!ตูม!ตูม!”เสียงลูกปืนระเบิดไล่หลัง เร่งให้ไปต่อ...
“ไปกันเลย!” ผมขับออกผ่านรั้วลงภูเขาไปอีกฟาก หันหัวขับแล่นออกไปทางตะวันตก มองไปทางไหนก็มีต้นไม้กับหิมะขาวโพลน
มองย้อนกลับขึ้นไปยอดเขา แสงไฟจากหน้ารถหุ้มเกราะวิ่งตามลงมา พวกมันกัดไม่ปล่อยเลย
“ว้าว...ววว!” สโนว์โมบิลพุ่งทะยาน ลอยละลิ่วลงจากยอดเขา ผ่านเนินแล้วเนินเล่า พาหนะของเราคล่องตัวกว่า หนีพวกมันจนไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์
“วิ้ว!วิ้ว!!” สายลมเย็นพัดแรง ผมจอดรถริมหน้าผา มองลงไปอย่างพิจารณาที่แสงไฟด้านล่างลิบ ๆ รอบแอ่งน้ำใหญ่ด้านล่าง คงเป็นหมู่บ้านที่หมวดจางให้มารอ ผมคะเนในใจมาไกลขนาดนี้ พวกมันคงตามไม่ทันแล้ว
“นั่นใช่เป้าหมายหรือเปล่าคะ?” เธอเดินมากอดด้านหลังชี้นิ้วลงไป
“ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะใช่ก็ได้ครับ”
“อย่างน้อยก็หนีออกมาได้แล้ว อย่าให้โดนจับได้ก็พอ”
“คุณเจ็บตัวมั้ย?”
“ไม่!”
“หนูเจ็บตูด รถมันกระแทก นี่ค่ะ!..กระเป๋าเงินคุณตก หนูเก็บให้แล้วนะ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดคุณแล้วนี่ เราจะเป่าอะไรดี”
“ไปกันเถอะ ก่อนจะโดนมันเป่า” เราขับลุยลงไปตามแสงไฟ
ทันใดนั้นฝันก็สลาย....
“ทึ่ก! ทึ่ก! ทึ่ก!” เสียงแปลก ๆ จากสโนว์โมบิล ก่อนที่เครื่องยนต์จะสะอึกดับลง
“รถเป็นอะไรคะ?” ไป่ไป๋ถามหลังจากก้าวลงพื้น
“สงสัยน้ำมันหมด! เราขับมานานมากแล้ว” ผมบอกแล้วหันมองซ้ายขวาเตรียมลุยต่อ ดึงสกีออกมาวางกับพื้น
“ดวงไม่ดีเลย! หนีออกมาได้แล้วเชียว”เธอเดินเข้ามา
“ไป่ไป๋ครับ! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ทุกอย่างดีไปหมด ท่องเอาไว้ในใจ” ผมลูบหัวปลอบใจ
“ดียังไง ไม่เห็นจะดีเลย?” เธอทำปากจู๋ขัดใจ ก้าวขึ้นมาเหยียบบนแผ่นสกี ผมจับเท้าของเธอสวม รัดเข็มขัดให้เรียบร้อย
“ถ้าเราไม่อยากท้อแท้และสิ้นหวัง จงบอกกับตัวเองบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเจอกับเหตุการณ์ร้าย ๆ อะไรก็ตาม ทุกอย่างดีไปหมด”
“แล้วแบบนี้มันดีตรงไหนกัน ฮึ?”
“เราไม่เคยเล่นสกีด้วยกัน จะได้มีครั้งแรก เดินสกีไปเงียบ ๆ ดีกว่า” ผมบอกแล้วดูนาฬิกาเกือบตี 5
เธอหันมายิ้มเจ้าเล่ห์…
“หนูน่าจะเดินไม่ไหว หนูก็น้ำมันหมด เจ็บขาด้วย” เธอทิ้งตัวลงนั่ง ผมผวาเข้าจับเท้าของเธอบีบเบา ๆ /เธอมักจะเจ็บขาบ่อย ๆ/
“ขี่คอมั้ย? ไหวรึเปล่า?” ผมบีบเท้าไล่ความเจ็บปวด
เธอส่ายหน้าอมยิ้มเจ้าเล่ห์
“ขอกำลังใจนิดเดียวก็ไปต่อได้แล้ว” เธอบิดตัวยิ้มอาย
ผมขมวดคิ้วมองไม่เข้าใจความหมาย
“ผมต้องทำยังไงครับ?”
“คุณไม่ต้องทำอะไรหรอก หนูทำเอง มานี่เลย!” เธอดึงผมไปจะจูบ ผมส่ายหัวยิ้มให้
“นี่! คุณจูบผมบ่อยไปแล้วนะ ใครหมกมุ่นกันแน่”
“ก็หนูรักนี่ หนูอยากจูบ อยากอยู่ใกล้ หนูบอกแล้วว่า ความรักของหนูมันต้อง ปะฉะดะ แก้ปัญหาทีหลัง” เธอหัวเราะร่วน // ดื้อจริง ๆ
“ตกลงตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วเหรอ? คุณพูดเองเออเองคนเดียวเลยนะ”
“ก็คุณบอกรักหนูไม่ใช่เหรอ?” ว่าแล้วเธอก็เขย่งขึ้นมาโน้มคอ ผมเอียงแก้มลงไป /ก็คุณบังคับนี่นา/
“ฟื้ด!!!!”เธอหอมแก้มแล้วสูดลมหายใจลึกยาว
“เติมเต็มถังรึยัง? จะได้ไปต่อ”
“ยังเลย! เกือบเต็มแล้ว อีกนิดเดียว” เธอจับใบหน้าของผมแล้วเขย่งเท้าขึ้นมา ลมหายใจหอบแรงพวงแก้มชมพูยื่นหน้าขึ้นมา
“ให้หนูจูบก่อน”เธอโน้มคอ แต่ผมขัดขืน
“ไม่ได้ครับ!” ผมไม่ยอมจะมาจูบครึ่ง ๆ กลาง ๆ แค่ไม่จูบผมยังเดินไม่ถนัดเลย คอมันเคล็ด
“ก็ไหนคุณบอกว่ารักหนู ให้หนูจูบหน่อยนะ”
“ไม่ได้ครับ!” ผมโบกมือ การห้ามใจต้องใช้ความกล้าอย่างมากเพื่อหลีกหนีความต้องการทางธรรมชาติ
“ทีเดียวนะ! นิดเดียว ดูหนูสิ! ลมอ่อนไปหมดแล้ว ไร้เรี่ยวแรง โอย..ไม่ไหว” เธอทำท่าระทวยลงไปกองกับพื้น ผมได้แต่ยิ้มส่ายหน้า คนอะไรน่ารักเป็นบ้า
ผมลงไปนั่งข้าง ๆ...
“อย่าคิดหักหลังนาตาลีสิ นิสัยไม่ดี คุณตกลงไว้อย่างนั้นไม่ใช่เหรอ?” ผมยิ้มล้อ หาทางออกไปก่อน
“จูบก็หักหลังเหรอ?” เธอมองสายตาเจ้าเล่ห์
“ใช่! นาตาลียังไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ ผมไม่หักหลังนาตาลี” ผมไม่ตามใจเดี๋ยวเลยเถิด กลัวห้ามใจตัวเองไม่ได้
“ไม่จูบก็ได้” เธอขยับลุกยืนปัดก้น
“หือ!” ผมแปลกใจ ทำไมง่ายจัง น่ากลัวนะเนี่ย
เธอพูดง่ายเกินไป จนต้องจ้องมองให้แน่ใจว่า ใช่!ไป่ไป๋คนเดิมหรือเปล่า?
“เป็นอะไรคะ?” เธอขมวดคิ้วมอง
“เปล่าครับ! แค่แปลกใจ”
“อย่าคิดมาก จากนี้ไปคุณจะเจอแต่เรื่องแปลกใจ หนูจะทำให้คุณแปลกใจทุกวัน หนูแอบเห็นในบัตรพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคุณแล้วนี่ หนูจะให้ของขวัญชิ้นใหญ่” เธอยิ้มสวย สายตาของเธอแปลกจังเลย จะเล่นซนอะไรอีกล่ะ?
“มาแข่งกัน!” สิ้นเสียงเธอก็พุ่งพรวดออกตัวลิ่ว
“ได้เลย!” ผมถีบตัวไล่ตาม โยกเอียงตัวซ้ายขวาหลบต้นไม้ สกีพุ่งลงจากพุ่มไม้สู่ต้นไม้ จากเนินสูงสู่เนินเตี้ย ตื่นเต้นเร้าใจไปกับความเร็วและผวากับการไม่ชำนาญเส้นทาง
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” เราสองคนลอยละลิ่วเคว้งคว้างไปกลางอากาศ
“เย้!” ไป่ไป๋ชูสองมือ
ความรักของผมที่ไม่เคยคิดจะครอบครองใคร กลับกลายเป็นผมกำลังจะโดนครอบครอง ขอให้รอดจากจุดนี้ไปได้ก่อน เมื่อปลอดภัยดีแล้วค่อยคิดใหม่อีกที ความตายวิ่งตามหลังมาตลอด ไม่มีเวลามาคิดถึงความรักหรอก
..........................................................................................................