หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 6 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 16 เม.ย. 2567 |
เกาหลีเหนือ
มุมมองสายตา ชเว จูยอน
กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025
โกซอง...
ฉันนั่งแกว่งขารอเวลาอย่างสบายใจมองฝูงกวางน้ำเดินเล็มหญ้าข้างบ่อน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง บนภูเขาสูงสลับซับซ้อนเงียบสงบไกลจากผู้คน บ้านเกิดที่จากไปแสนนาน ถึงจะกลับมาตั้งหลักไกลจากเมืองหลวงแต่ก็ถือว่าใกล้เข้าเป้าหมายอีกก้าว
นั่งนึกย้อนเรื่องราวของนินจาเพื่อนที่น่าสงสารที่มาด้วยกัน ฉันได้รับรู้ความจริงบางอย่างในตอนที่อยู่ในสนามบินซูริค สวิตเซอร์แลนด์ความลับที่เขาพยายามปกปิดตัวตน แต่ก็จำเป็นต้องเผยโฉมหน้าต่อเจ้าหน้าที่ตอนยื่นพาสปอร์ตในสนามบิน ...
“ถอดผ้าคลุมหน้าด้วยค่ะ” เจ้าหน้าที่สาวฝรั่งตัวอ้วนสั่งเสียงดัง เธอขมวดคิ้วมองภาพที่จอแล้วเงยหน้ามองเขา
“พรึบ!”เขาดึงผ้าคลุมหน้าออกจากหัว
“ห่ะ!” ฉันหัวใจแทบวายเอามือทาบอกตาเบิกกว้าง ยอมรับว่าตัวเองตกใจและกลัวมากจนขนลุกซู่
“ว้าย!” ผู้หญิงที่ยืนรอในแถวร้องอุทานเพราะตกใจ ผู้คนที่ยืนรอคิวด้านข้างหันมามองแล้วขยับตัวถอยหลังแตกตื่น หลายคนเบือนหน้าหนี
“.............” ฉันยืนตะลึงมองเขาตาไม่กะพริบ ใจหายรู้สึกกลัวมาก ใบหน้านิ่งตึงใต้แว่นดำนั้น หยาบกร้าน เส้นเอ็นยึดใบหน้าปูดโปน มีแต่ร่องรอยแผลเป็น ปูดบวมย่น
จมูกหยักงอเสียรูป ริมฝีปากแหว่งถูกไหม้จนเป็นเนื้อเดียวกับผิวหน้า เส้นผมหายไปครึ่งศีรษะ ผิวหนังพังผืดแผลไหม้ลามลงคอ น่ากลัวเหมือนปีศาจ Nemesis ร่างกายสูงใหญ่บึกบึน
เจ้าหน้าที่หลุบตาลง ไม่มีใครกล้ามองหน้าเขานาน
“ถอดแว่นตาด้วย แนบดวงตาที่กล้อง” เธอสั่งแล้วจ้องที่จอภาพ
“หือ!” ฉันหันไปเพ่งมอง...ตกใจ!... สับสน!... อึ้ง! ผวาเข้าหา...
“แทน! นี่แทน! ใช่ไหม? ใช่จริงด้วย!” ฉันรู้สึกเจ็บปวดไปกับบาดแผลบนใบหน้า ถึงแม้ว่าร่างกายเขาจะเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่ดวงตาสวยอบอุ่นคู่นั้น ไม่เคยเปลี่ยนไป พระจันทร์เสี้ยวในดวงตาไม่ถูกทำลายไปด้วย
ถึงดวงตานั้นจะแฝงไปด้วยความเศร้า แต่ฉันจำมันได้ไม่เคยลืมสายตาของผู้มีพระคุณที่เคยยิ้มมองฉันในยามตกยาก ฉันเคยอยู่กับเขานานพอที่จะจำได้อย่างรวดเร็ว
ความปวดร้าวในใจ ความสงสารถาโถมเข้ามาบวกกับภาพในตอนนั้นมันเหมือนกับว่า ได้เห็นคนรักโดนแทงตายต่อหน้า ทั้งอึดอัดและปวดร้าว คนที่ฉันเป็นหนี้ชีวิตกลับต้องทนทุกข์ทรมานในความเปล่าเปลี่ยว
“ฮือ!ฮือ!” ทิ้งตัวลงกับพื้นร้องไห้เสียงดังกลางลานสนามบิน
“ลุกขึ้นครับ อย่าทำอย่างนี้” เขาเข้ามาพยุงให้ลุกยืน
“ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริง ๆ” ฉันเข้าสวมกอดเขาโดยไม่แคร์สายตาผู้โดยสารกลุ่มใหญ่ที่มองเขาด้วยสายตารังเกียจขยะแขยง
“ฮือ!ฮือ!” ทำไมเรื่องเลวร้ายแบบนี้ต้องมาเกิดกับคนดี ๆ เช่นนี้ด้วย โลกนี้ไม่เคยยุติธรรม
ฉันหวนคิดปะติดปะต่อและเข้าใจเรื่องราวทันที เขาต้องปิดบังตัวตน ไม่กล้าเจอหน้าไป่ไป๋และนาตาลี เพราะเหตุนี้นี่เอง แท้ที่จริงแล้ว คนที่ช่วยให้รอดตายคราวนี้คือแทน หนุ่มน้อยใจดีที่เคยรู้จัก ความเห็นใจ ความสงสารวิ่งเข้ามาเกาะกุมหัวใจ เอื้อมมือสั่นเทาไปลูบใบหน้าหยาบแข็ง คิดถึงหัวอกของเขาที่ต้องอดทน อดกลั้น ฉันแค่เอ่ยถามสั้น ๆ
“แทน! ยังเจ็บมั้ยคะ?”
“.........” เขาส่ายหน้าเบา ๆ
ฉันไม่ถามต่อให้เขาต้องเจ็บปวดใจ เขาคงตรอมตรมมากที่คนรักมายืนอยู่ต่อหน้าแท้ ๆ แต่ไม่สามารถทักทายพูดคุยได้ เขาคงอยากระบายความในใจ อยากคุยอยากเล่าอยากอยู่ใกล้ แต่ต้องอดทนอดกลั้นได้แต่คอยแอบมองอยู่ไกล ๆ หลบซ่อนตัวในเงามืด ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวดวงใจคงช้ำแหลกลาญ ชีวิตคงลำบากกว่า Soulless อีกสินะ
“สวบ!สวบ!สวบ!” เสียงเหยียบลงบนพื้นกรวดดึงสติฉันกลับมา นาฬิกาถึงเวลานัดแล้ว
“พร้อมหรือยังครับ วันนี้ไปไหนครับ?” เขาสวมเสื้อกันหนาวสีดำสวมฮู้ด สวมหน้ากากสวมแว่นตัวสูงใหญ่
“ไปพยองยางกัน ไปดูลาดเลาที่ลานคิมอิลซุงกันก่อน อาจจะนอนที่นั่นสักคืน กว่าจะขับรถไปถึงก็น่าจะมืดพอดี”
แทนขับรถยนต์ออกจากฟาร์ม เลาะแม่น้ำสายเล็กลงจากภูเขาสูงลงไปสู่พื้นราบ ตรงเข้าสู่เมืองหลวง...
“ผมชอบที่นี่นะครับ มันดูยิ่งใหญ่ มีมนต์ขลัง มันย้อนแย้งระหว่างเมืองหลวงกับชนบท ข้าราชการกับชาวบ้าน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือความพร้อมเพรียงและร่วมมือร่วมใจ โดยเฉพาะเมืองที่คุณพาไปในครั้งแรก ผมประทับใจมาก”
“อ๋า!คุณชอบเมืองฮัมฮึงเหรอคะ ที่นั่นมันเป็นเมืองของสองวิถีนอกเมืองเป็นเกษตรกรรมส่วนในเมืองเป็นศูนย์รวมเทคโนโลยีและการศึกษา”
“เขาเอาขีปนาวุธมาสอนกันตั้งแต่เด็กเลยเหรอครับ ไม่กลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงภายในเหรอ?”
“การเรียนรู้ต้องเรียนตั้งแต่เด็กเพื่อให้เห็นโทษและประโยชน์ปลูกฝังกันตั้งแต่เล็ก ที่เยอรมันก็สอนเรื่องนี้ตั้งแต่ชั้นประถมนะคะเขาสอนตั้งแต่อนุบาลด้วยซ้ำไป เรื่องนี้ฉันเห็นด้วยกับท่านผู้นำ”รถยนต์ขับผ่านที่ทำการเขตกึมกัง เขาหันมา...
“สองแม่ลูกวันนั้นเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้เนอะ?”
“คงโดนหนักแหละ พวกตำรวจชอบจับคนแบบนี้ เถียงไม่ได้สู้ไม่ได้ นายตำรวจหลายคนได้ดิบได้ดีเพราะยัดเยียดคดีแบบนี้ ทำไมคะอึดอัดใจเหรอ?” ฉันก็หนักใจเพราะรู้ชะตากรรมของทั้งคู่ ชีวิตของพวกเราเป็นเพียงเหยื่อของเจ้าหน้าที่รัฐ
“ผมหายใจไม่ออก อึดอัด มนุษย์คิดค้นการเดินทางไปดาวดวงอื่นกันแล้ว แต่ทำไมกฎหมายอย่างนี้ยังมีอยู่ คนใช้ไม่ละอายบ้างเลยหรือไง?” เขากดคันเร่งมิด รถยนต์แล่นแฉลบเข้าโค้งสะบัดซ้าย สะบัดขวาน่าหวาดเสียว แต่เขาควบคุมรถยนต์ได้นิ่งมาก
“มันไม่ใช่กฎหมายหรอกมันเป็นเพียงข้ออ้างที่ท้วงไม่ได้ คุณเรียนกฎหมายก็น่าจะรู้ว่ากฎหมายที่แท้จริงต้องให้คุณและโทษกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ใครจะหาประโยชน์จากกฎหมายมิได้”
“ก็จริงนะ! มันใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากินของเจ้าหน้าที่รัฐ คนที่ยืนฝั่งรัฐทำยังไงก็ไม่มีความผิด”
“เชื่อฉันไหมคะว่า สิ่งที่คุณเห็นไม่ได้เป็นอย่างที่คิดความพร้อมเพรียงความสงบเรียบร้อย ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความรักแต่มันเป็นเพราะความกลัว ภาพที่คนนอกเห็นจะเป็นเพียงสิ่งที่รัฐต้องการให้เห็น การกดขี่ยังคงรอวันปะทุและต้องมีคนได้รับผลของการใช้กฎแบบนี้” รถยนต์แล่นออกมาถึงเมืองก๊กซันทางแยกไปเมืองแชบกซองเพื่อเข้าสู่เมืองหลง
“คุณแน่ใจเหรอ?”
“แน่ใจสิ! ที่อื่นฉันไม่รู้ แต่ที่นี่เปลี่ยนแปลงแน่”
“คุณไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงเหรอครับ?”
“ฉันจะไปกลัวมันทำไม การเปลี่ยนแปลงจะสำเร็จได้ ต้องให้คนที่ไม่มีอนาคตเป็นคนจัดการ”
“มาอีกแล้ว พูดให้งงอีกแล้ว”
“คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ผู้มีอำนาจ ลูกหลานเจ้าหน้าที่รัฐที่มีความหวังกับระบอบ พวกห้อยโหน ทำงานแบบนี้ไม่ได้เพราะเขาได้รับประโยชน์และผูกพัน คนพวกนี้จะคอยต่อต้านการเปลี่ยนแปลง พวกเขาจะมีข้ออ้างมากมายเพื่อปกป้องทรัพย์สินและพวกพ้อง”
“ค่อยเป็นค่อยไปไม่ได้เหรอ?”
“เวลาไม่คอยใครเราอาจจะไม่มีเวลายาวนานพอที่จะรอคอยอยู่เฉยๆให้ใครบางคนคิดได้และลงจากอำนาจ และในขณะเดียวกันครอบครัวของคนที่โดนจับกุมคุมขังก็ไม่มีเวลารอคอยเช่นกัน การใช้อำนาจมาแย่งเวลาและพรากคนรักเลวร้ายกว่าพวกทหารยึดอำนาจแล้วทำธุรกิจคนอื่นเสียหายมากนะคะ ไอ้พวกนั้นมันเป็นแค่ปลายแถว”
“แต่สิ่งที่คุณทำหมายถึงชีวิตของคนอื่นนะ” เสียงแข็งเชียวนะ
ฉันอมยิ้ม เขาหายไปนานแต่ก็ยังเป็นคนใจดีเหมือนเดิมเลยนะ...
“แล้วสิ่งที่พวกมันทำเป็นชีวิตของใคร?คุณอย่ามองคดีความไปตามรูปแบบที่คุณเรียนมาสิคะเพราะคุณไม่รู้ตัวว่าโดนล้างสมองจากการศึกษาไปแล้ว พวกผู้มีอำนาจไม่เคยสนใจกฎหมายพวกนั้น มันไม่ได้ใช้ตำราเดียวกับที่สอนเรา มันทำอย่างไรก็ได้เพื่อปิดปากคนเปิดโปง”
“คุณนอนไปก่อนนะ ถึงแล้วผมจะเรียก”
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ทำไมฉันพูดไม่เข้าหูหรือไง?”
“ผมกลัวคุณว่ะ”
...................................................
พยองยาง....
เกาหลีหลีเหนือหน้าหนาวในยามค่ำคืนเต็มไปด้วยหมอกขาวและแสงสีของอาคารสูงใหญ่ไม่ต่างจากเมืองหลวงของชาติอื่น รถยนต์ยังแล่นกันหนาตา
“บ้านเมืองสะอาดเรียบร้อยซะจนดูเหมือนเมืองร้างในบางพื้นที่ แต่ก็รับรู้ได้ว่าทุกย่างก้าว มีสายตาแอบมองผมอยู่ตลอดเวลา”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ทุกคนที่นี่เป็นสายลับกันหมดแหละ คุณดูแม่น้ำโบทงสิคะ! ใสสะอาดมากแม่น้ำน้อยสายนี้แยกจากแม่น้ำแทดงเมืองหลวงของเราหล่อเลี้ยงด้วยแม่น้ำสองสายนี้ค่ะ”ฉันชี้ชวนให้เขาชมเมืองหลวงหิมะร่วงลงมาเป็นสายพลิ้วไปตามแรงลมพัด พยองยางเป็นเมืองใหญ่ถนนหนทางสะดวกสบายสำหรับคนมีเงินและเจ้าหน้าที่รัฐ
“ก็เจริญไม่แพ้ยุโรปนะครับ ตึกสูงเต็มเลย” เขาหันมองไฟแสงสีบนอาคารสูงระยิบระยับ
“จริง ๆ แล้วที่เกาหลีเหนือเป็นประเทศ Vintage ยังเก็บความทรงจำในยุค 70-80 ไว้อีกมากมาย คนที่ชอบของเก่ามาที่นี่ไม่ผิดหวังค่ะ ที่นี่อนุรักษ์นิยมมาก ฉันเติบโตมาในประเทศปิดที่พัฒนาด้านอาวุธอย่างเดียว สิ่งของต่าง ๆ จึงถูกตรึงไว้กับเวลาในอดีตและเป็นของเก่าเก็บที่สวยงาม มันเป็นตัวแทนของกาลเวลาค่ะ”
“จริงครับ! ผมเคยเห็นแบบนี้ที่รัสเซียและแถบประเทศตะวันออกกลาง”
“แทนคะ! เลี้ยวขวาเข้าถนนซอมุนค่ะ เห็นอาคารใหญ่นั่นไหมคะ? ตรงที่ไฟสว่าง ๆ น่ะ!” ฉันชี้อาคารหลังใหญ่ ด้านหลังลานจัตุรัส
สหายหนุ่มสาวและเด็กชายหญิงใบหน้ายิ้มแย้ม สวมชุดกันหนาวกันหมด ดอกหิมะลงบนหัวขาวกันทุกคน
“ครับ” เขาหักหัวรถยนต์ขับตรงเข้าไป
“จอดที่ตึกนี้แหละ!หอสมุดประชาชนที่ยิ่งใหญ่”ฉันชี้อีกครั้งเมื่อเขามาสุดทางด้านหลังของอาคาร
“นี่! หอสมุดเหรอครับ? โอ้โห! ใหญ่มาก ตระการตา” เขาร้องตื่นใจ แหงนหน้าหมุนมองอาคาร
“ถ้าใครเคยดูเกาหลีเหนือสวนสนาม อาคารนี้แหละที่ท่านผู้นำและนายทหารระดับสูงนั่งกันข้างบนโน้นค่ะ ส่วนกลุ่มทุนนั่งด้านนี้” ฉันชี้ขึ้นด้านบนซ้ายขวาของอาคารขนาดมหึมา
“ในวันสวนสนาม เราจะนั่งด้านขวาข้างบันไดด้านล่างหน้าตึกนี้นะคะ...ตรงโน้น ฉันติดต่อนายหน้าขายสิทธิ์ให้เราได้แล้ว”
“หือ! ต้องมีสิทธิ์ ถึงจะเข้าชมได้เหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ! หน่วยความมั่นคงกลัวว่าจะมีคนลอบทำร้ายผู้นำ ฉันแปลกใจมาตลอดคนที่ชาวบ้านบอกว่าเป็นคนดีนักหนาทำไมต้องมีหน่วยอารักขาเป็นร้อยก็ไม่รู้”
“มันดีกับคนบางกลุ่มครับ ที่ไหนก็เป็นแบบนี้ ปากบอกเป็นคนดี แต่ต้องซ่อนตัวกลางกลุ่มทหาร”
“ใช่มะ คงใช่สินะ?” ฉันดึงแขนมากอด
“แล้วคุณไปซื้อสิทธิ์พวกนี้จากใคร ชาวบ้านเหรอ?”
“ไม่ใช่ค่ะ ซื้อกับหน่วยงานความมั่นคงนั่นแหละ”
“อ้าว! พวกมันก็ห้อยโหนหาประโยชน์ เป็นเหมือนกันทุกที่เลยนะครับ”
“ใช่ค่ะ! พวกนี้น่ากลัว พูดเก่ง เอากฎหมายปิดปากฝ่ายตรงข้าม หรือไม่ก็พูดกดดัน เหยียดหยามให้หมดความอดทน พอด่าสวนกลับไปก็เข้าทาง โดนจับข้อหากระด้างกระเดื่อง ผิดแม่ง! ทั้งขึ้นทั้งล่อง” ฉันบอกแล้วจูงมือเขาวิ่งลงไปตามขั้นบันได เข้าสู่พื้นลานจัตุรัสอันเกรียงไกร
“ตึงตึงโป๊ะ!”เสียงเพลงสนุกสนานเร้าใจ ฉันเริ่มโยกตัวสนุกกับเสียงเพลงเต้นรำ ที่ดังกระหึ่มจากลำโพงรอบอาคารลานจัตุรัส
ลานจัตุรัส คิมอิลซุง กลางเมืองหลวงประดับประดาไปด้วยไฟแสงสีสวยงามระยับ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนเด็กเล็กหนุ่มสาวและคนชราผู้จงรักภักดีของท่านผู้นำสูงสุด
“ผู้นำของข้ารวบรวมพื้นดินแผ่นฟ้า ด้วยความรักและกรุณาปวงประชาร่มเย็น” เสียงเพลงสรรเสริญต้องมีบทบาทนำในทุกงาน มีมากกว่าเพลงรักเสียอีก เพราะรักของพวกเรามีความหมายเดียวคือรักท่านผู้นำสูงสุด
งานฉลองเยินยอความเก่งกล้าสามารถของท่านผู้นำสูงสุดไม่ได้ทำให้ท้องอิ่มแต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่จำเป็นต้องทำคืนนี้พวกเขามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสนุกสนานเต็มที่ ทั้งสมัครใจและโดนต้อนมา เพื่อสร้างภาพรักและสามัคคี ฉันก็ถือโอกาสได้พาแทนมาพักผ่อนด้วย พาเขาเดินจากอาคารหอสมุดด้านหลังเข้าสู่ลานกว้าง อาคารที่ทำการพรรคแรงงานฯอยู่ด้านซ้าย เด่นชัดด้วยธงชาติขนาดใหญ่บนยอดตึกด้านซ้าย
“โอ้โห! ลานกว้างมาก เสาอะไรครับฝั่งโน้น?..”เขาลากเสียงสูงชี้ไปสุดลาน ข้ามแม่น้ำแทดงไปอีกฟากฝั่ง
“อนุสาวรีย์จูเชค่ะ! ปรัชญาแบบพอมีพอกิน เน้นการช่วยเหลือตนเองของท่านประธานประเทศคนแรก ทฤษฏีชวนเชื่อพวกนี้ปฏิบัติไม่ได้ผลจริง แต่ก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนไปใช้ทฤษฏีอื่น สงสัยมันเขียนยากเลยเอามาบังคับใช้ให้มันเป็นจริงให้ได้ อดตายกันทั้งประเทศตายปีละไม่เคยต่ำกว่า 2 ล้านคน สูงสุดเคยอดตายกันถึง 5 ล้านคน” ฉันอมยิ้มส่ายหัวกับการโฆษณาชวนเชื่อของผู้มีอำนาจ
“เดือนนี้ชาวบ้านจะมาร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญท่านผู้นำสูงสุดแล้วก็เต้นรำกันทุกวันค่ะ ต้องหาข่าวเพิ่มแล้วไม่รู้ว่านอกประเทศเกิดอะไรขึ้น ทำไมที่นี่ถึงเฉลิมฉลองกันหนักมาก” ฉันไม่รู้ความเคลื่อนไหวของนอกประเทศเลย ข่าวสารในเกาหลีเหนือโดนตัดขาด
ก้าวเดินเคียงข้างชวนคุยไปบนริมฟุตบาทผ่านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ชาวบ้านหนุ่มสาวเดินกันขวักไขว่ใบหน้ายิ้มแย้มผ่องใส เสียงสาวสวยชาวเกาหลีเหนือ สองคนเดินคุยกันมา…
“โอ้ยสหาย!..ฉันไม่อยากจะคุย น้ำหนักฉันลด ไปตั้ง 5 กิโลแน่ะ!”
“เก่งจังเลย ทำได้ยังไง?” สาววัยทำงานในชุดกันหนาวดำ สวยสะดุดตาเอ่ยถาม
“มันค่อย ๆ ลด ตั้งแต่เริ่มฝึกเดินสวนสนามเมื่อ 6 เดือนที่แล้วแน่ะ คงเพราะบารมีของท่านผู้นำ แล้วเธอล่ะเป็นยังไงบ้าง?”
“ฉันก็เกือบจะไม่ไหวเหมือนกัน ฝึกวันละ10 ชั่วโมงไม่ผอมให้รู้ไป แต่น่าเสียดายได้เดินสวนสนามแค่ 10 นาทีเอง” สาวในชุดแดงเพลิงตอบเสียงดัง
ฉันสะกิดให้เขาดูสาวสวยสองคนคุยกัน สาวในชุดดำบอกกับเพื่อน...
“ปีนี้! ฉันต้องปลดเกษียณจากเจ้าหน้าที่จราจรแล้ว”
“สหายอายุครบ 26 ปีแล้วเหรอ? ไวจังเลยเนอะ? จะได้แต่งงานแล้วสินะ” เพื่อนสาวอีกคนพยักพเยิดหัวร่อต่อกระซิก
ฉันเอียงหัวเข้าพิงไหล่ของแทน...
“สองคนนี้เป็นเซเลป ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนที่มาเกาหลีเหนือแล้วไม่ถ่ายรูปพวกเธอ อาชีพที่เป็นไอดอลเป็นฝันของเด็กสาวชาวเกาหลีก็คือ การได้สวมชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเป็นเจ้าหน้าที่จราจร”
“พวกเธอก็สวยน่ารักดีนะ ดูใสซื่อย้อนยุคดี ผมชอบ”
“พวกเธอถูกฝึกให้มาโบกรถยนต์กลางสี่แยก ท่าทางเหมือนหุ่นยนต์ดึงดูดสายตาผู้มาเยือน พวกนี้ได้รับเกียรติอย่างสูงจากสังคม สาว ๆ ทุกคนใฝ่ฝันมาทำงานที่นี่ แต่ข้อเสียคือพออายุครบ 26 ปีก็ต้องเกษียณออกไป” ฉันอธิบาย เขาพยักหน้าน้อย ๆ
“ทั่วโลกสนใจสาว ๆ พวกนี้เพราะเห็นเป็นเรื่องแปลก แต่..ถ้าคุณมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่า นี่เป็นการกดขี่ของบ้านฉัน แม้กระทั่งขับรถยนต์ส่วนตัว ท่านผู้นำยังส่งตัวแทน มาคอยสั่งเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา”
เสียงเพลงยิ่งดังมากเมื่อเราอยู่บนลาน สองสาวเริ่มเสียอาการ...
“ท่านผู้นำอยู่ค้ำฟ้า ฮูเร! ฮุเร! ฮูเร! พาราร่มเย็น” สาวคนแรกร้องเพลงขึ้นมาพร้อมปรบมือ
“ฮูเร! ฮุเร! ฮูเร! ” อีกคนร้องรับกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง แล้วมองซ้ายขวายิ้มเขินอายจูงมือกันวิ่งไป พวกเธอสวยใสไร้เดียงสามากถ้าเทียบกับสาววัยเดียวกันในต่างประเทศ หัวใจใสซื่อบริสุทธิ์และจริงใจพร้อมเป็นภรรยาที่ดี
“สาว ๆ พวกนี้หัวอ่อน โดนล้างสมองจนไม่มีความลังเลสงสัย การเรียนการศึกษาของที่นี่ก็เหมือนประเทศเผด็จการทั่วไป คือเน้นให้ท่องจำ ห้ามคิดวิเคราะห์หรือสงสัย บังคับเรียนประวัติศาสตร์ที่ถูกบิดเบือน ทุกคนที่นี่ต้องชื่นชมผู้นำสูงสุดทุกครั้งที่มีการคุยกันเอง”
“หือ! จริงดิ” เขาอุทานเสียงหลง
“มองที่หน้าอกเสื้อสิคะ..เข็มกลัดรูปท่านผู้นำ พวกมันพยายามเข้าสิงประชาชน ถ้าที่บ้านไหนไม่มีรูปท่านผู้นำติดข้างฝา เตรียมตัวไปทำเหมืองได้เลย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็เป็นประเด็นเรื่องความภักดี ใครลืมติดเหรียญเดินได้ไม่เกิน 5 ก้าวจะมีคนไปแจ้งตำรวจจับ”
“โห! คุ้นมากครับ ใครแจ้งจับก็ได้เหรอครับ?”
“อือ!คนแจ้งจะได้รับการเชิดชู” ฉันหยิบธนบัตรขึ้นมา
“คุณดูนี่สิ! พวกมันต้องเอารูปโคตรเง่ามาใส่ในธนบัตร ใครบูชาเงินก็ต้องบูชาพวกมันไปด้วย ประเทศที่เจริญแล้ว เขาจะเอาบุคคลที่สำคัญจริง ๆ มาใส่ไว้เพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึงคุณงามความดี”
“ผมเคยเห็นธนบัตร 50,000 วอนของเกาหลีใต้ อันนั้นรูปใครครับ?”
“ถามได้ดีมาก!”
“ธนบัตร 50,000 วอนเป็นรูปของ ชาอิมดัง เป็นจิตรกรเอกในสมัยโชซอน เธอได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาดและเป็นภรรยาที่ดี ซึ่งเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ ผู้หญิงที่ดีในยุคสมัยนั้น คุณไปหาดูประวัติของเธอได้ เกาหลีใต้ก็เคยเอาชีวประวัติของเธอมาสร้างละครเชิดชูความดี”
ฉันเดินคลอเคลียโอบเอวกันเหมือนคู่รัก เพื่อตบตาชาวบ้าน ดอกหิมะโปรยปรายอากาศหนาว ไอเย็นออกปาก
“ดูแล้วพวกเขาก็มีความสุขดีนี่ครับ” เขาปัดหิมะบนหัวให้
“บางทีสิ่งที่เห็นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดนะคะ งานรื่นเริงไม่ค่อยมีให้เลือกหรอกค่ะ งานนี้ถือว่าพิเศษ คงจะเฉลิมฉลองที่อะไรสักอย่างแน่ ๆ หรือว่าอเมริกันล่มสลายไปแล้ว พวกที่มานี่!…บางคนยังไม่ได้กินข้าวด้วยซ้ำไป กฎหมายกดหัวประชาชนติดพื้นจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ เพื่อนบ้านก็พยายามจะเป็นสายของตำรวจ เพราะมีรางวัลนำจับให้ ต้องอยู่กันด้วยความหวาดระแวง รัฐใช้กลยุทธ์แบ่งแยกแล้วปกครอง”
เราเดินท่ามกลางเสียงเพลงปลุกใจและเสียงผู้คนถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเข้ามาในลานเต้นรำ รอบกายแน่นขนัดไปด้วยเสื้อผ้าสีสันละลานตา ใบหน้าเปี่ยมความสุข
“ตื่นเต้นจังเลย! นอนไม่หลับมาหลายวันแล้ว ลุ้นรอวันเผด็จศึก” ฉันถูมือไล่ความเย็น
“อันยองฮาเซโย!” เสียงทักทายคุยกันอื้ออึง
ฉันสะท้อนในอกเมื่อคิดว่า สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้กำลังจะสูญหายไป แหงนหน้ามองป้ายรูปภาพทหารชุดเขียวกำลังเป่าแตรบนยอดตึกพรรคแรงงานด้านหน้าแล้วใจหาย
“คุณมั่นใจมั้ย? ถ้าเป่านกหวีดแล้วไม่ได้ผล คุณตายเลยนา” เขาโน้มตัวมาถามขยับขาเดินตาม
“ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตก็ได้ ถ้าพลาดก็อย่าช่วย หนีให้ไวทิ้งฉันไว้ที่นี่ ฉันได้กลับมาตายที่บ้านเกิดไม่ว่ากระดูกมันจะไปกองอยู่ซอกไหน? หรือหมาจะคาบไปแทะ ฉันก็ยังภูมิใจ” ฉันไม่มีอะไรต้องค้างคาใจอีกต่อไป ในใจก็เป็นห่วงเขาจะหนีออกจากที่นี่ได้อย่างไร?
“ถ้าคุณพลาด ผมก็ไปกับคุณแหละ จะได้มีเพื่อนไม่เหงา” นี่ไงล่ะ! แทนที่ฉันรู้จัก ไม่เคยทำให้เสียใจเลย
“ปรบมือ!หมุนตัว!” เสียงนักเต้นเริงร่า
“แปะ!แปะ!” ฉันเดินปรบมือลงไปกลางลานแล้วหมุนตัวเต้นไปตามจังหวะเพลง แทจุงคาโย เพลงพื้นบ้านทำนองสนุกสนาน
“จำได้ไหมคะ ที่เราเคยคุยกันเรื่องการปฏิวัติ นี่แหละวิธีของฉัน Eye for an eye ไม่ต้องไปนั่งประท้วงร้องขอให้ร้อนแดด ตาต่อตา ฟันต่อฟันเด็ดหัวผู้นำไม่ได้ก็ไม่มีวันชนะ การต่อรองมันจะเริ่มได้ก็ต่อเมื่ออำนาจของเราเสมอกัน” ฉันทบทวนความจำครั้งเก่าที่เคยถกปัญหากัน คุยการเมืองกับแทนสนุกกว่าคุยกับเจ็ทโด้ นึกย้อนไปสมัยอยู่ในป่าโบราณแล้วก็ขำ ฉันไม่รู้จะอธิบายเรื่องการกดขี่อย่างไรเลยนั่งทับหน้าอกของเขายันเช้าเลย วันนั้นเลยถือโอกาสนอนกอดซะหนึ่งคืน ซอนมารูดซิปเต็นท์ตอนเช้าเกือบลุกไม่ทัน
“แต่ว่า ทำไมคุณถึงไม่จัดการกับผู้นำคนเดียวล่ะครับ คุณคิดจะเล่นงานมันทั้งระบบเลย ผมคิดว่าคุณทำไม่ถูกนะ”
ฉันยิ้มมองพลุบนท้องฟ้าระเบิดซ้อนกันเป็นวงกลม บรรยากาศคุ้นเคยเก่า ๆ ในวัยเด็กทำให้ดวงใจเต็มอิ่ม บ้านที่คิดถึงสถานที่เก็บความทรงจำของทุกคน
“ถ้าคุณอยากจะกินข้าวให้อร่อย คุณต้องกินทั้งหมดที่เชฟทำให้ อย่าเสียเวลาคัดหรือเลือกกินเฉพาะที่ชอบ ไอ้พวกลูกน้องนี่แหละตัวดี มันเป็นคนออกกฎต่าง ๆ เชิดชูผู้นำโดยไม่สนใจความลำบาก ส่วนผู้นำก็ชอบสิ! มีคนสรรเสริญและให้อำนาจ ถ้าเราเก็บไม่ทั้งหมดวงจรอุบาทว์มันก็จะกลับมา ใคร ๆ ก็อยากขึ้นไปนั่งขี้บนหัวชาวบ้าน”
“ผมเข้าใจ...แต่ผมก็ยังสงสารคนอื่น ๆ” เขาขยับก้าวขาเต้น กระโดดกระเด้งไม่เข้าจังหวะ น่าขัน ถ้าไม่เห็นแววตาจะไม่รู้เลยว่า เขายิ้มหรือเศร้า เส้นเอ็นยึดใบหน้าเขานิ่ง เนื้อชั้นนอกคงตายไปแล้ว
“ถ้าคุณไม่ได้คุยกับเจ้าของอำนาจตัวจริงก็ตกลงกันไม่ได้ คุณไม่มีทางอธิบายให้พวกผู้สนับสนุนของเขาเข้าใจได้หรอก คุณต้องให้ผู้นำของมันไปบอกกันเอง พวกนี้ถ้าปล่อยไว้จะคอยกลืนกินเวลาชีวิตของคนอื่น ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่ยี่หระกับเสียงก่นด่า ปรบมือหมุนตัวค่ะ!”
“แต่มันจะมีคนตายอีกมากนะครับ”
“ถ้าเราต้องการเก็บน้ำฝนสะอาดไว้ในตุ่มที่มีลูกน้ำแฝงอยู่ด้วย เราก็จำเป็นต้องเทมันทิ้งไปก่อน ถ้าไม่กำจัดสักวันลูกน้ำก็กลายเป็นยุงซึ่งก็หมายถึงความคิดของลูกหลานของพวกเขา ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย”
“แต่ผู้นำก็มีคนรักและสนับสนุนนะครับ ผมแค่ต้องการเปลี่ยนความคิดให้พวกที่สนับสนุนตาสว่าง” เขาอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง คิดจะเปลี่ยนใจของฉันก็เหนื่อยหน่อยนะคะ
“พวกนั้นมันฉลาด ไม่ใช่ว่ามันไม่รู้ถึงความเกลียดชัง แต่มันเลือกเล่นแบบนั้น ถ้าคุณปลดความกลัวออกไปจากประเทศได้และคุยกันด้วยเหตุผลไม่ต้องกลัวหรือระแวงว่าจะถูกจับหรือสั่งเก็บ เชื่อเถอะ! ร้อยทั้งร้อยก็เปลี่ยนใจ มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับเสรีภาพมีความฝันมีความหวัง แต่ความกลัวทำให้หลายคนทิ้งความฝัน ความหวังและความเป็นคน พวกเขาไม่ได้เลวแค่เลือกฝ่ายปลอดภัยไว้ก่อนเพราะเขารักครอบครัว กลัวความเดือดร้อน”
“ก็ใช่ไง เขาไม่สมควรโดนฆ่า”
“มันรวมความคิดเป็นหนึ่งเดียวไปแล้ว แยกจากกันไม่ได้ ไม่มีข้อยกเว้น” ฉันยิ้มใจเย็นตอกย้ำความมั่นใจ ฉันก็แลกชีวิตกับเสรีภาพของชนชาติเช่นกัน
ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของฉันได้ ประเทศนี้แบ่งชนชั้นโดยอาชีพถ้าคำนวณไม่ผิดคนที่ได้ฉีดวัคซีนก็จะมีแค่คนของรัฐและกลุ่มทุน ชาวบ้านตาดำ ๆ ไม่ได้รับโอกาส รัฐไม่เคยลงทุนให้ชาวบ้าน พื้นที่ว่างมากมาย ตายก็เอาไปฝัง
“แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร? ถ้าพวกนี้กลายเป็น Soulless แล้วจะยังไงต่อ?” เขาโอบเอวดึงตัวเข้าไปถาม ท่วงทำนองดนตรียังสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงที่คุ้นหู
“ช่างหัวมันสิ! ฉันเชื่อว่ามนุษย์โลกถึงกาลอวสานแน่นอน และชีวิตย่อมมีทางเดินของมันเองสำหรับคนที่หลงเหลือ” ฉันมีความเชื่อเรื่องโลกใหม่มากกว่าจมอยู่กับความคิดของมนุษย์ในปัจจุบัน เพราะฉันคือคนที่ไร้อนาคตที่ต้องการเปลี่ยนแปลง
“ก่อนหน้านี้ประเทศมหาอำนาจต่างก็ออกไปสำรวจดวงดาวในห้วงอวกาศ หาที่อยู่อาศัยใหม่ให้มวลมนุษย์ ก็แสดงว่าไม่มีผู้นำคนใดเลยที่คิดจะเยียวยารักษาโลกใบนี้ไว้ พวกเขาเตรียมจะหนีไปอยู่ดาวดวงอื่น” ฉันไม่เคยเข้าใจผู้ชายพวกนั้นเลย เสียงเพลงจังหวะสนุก เราเต้นกันไปคุยกันไปกะหนุงกะหนิงเหมือนคู่รักทั่วไป
“พอเด็กรุ่นใหม่เกิดขึ้นมา คุณเชื่อผมสิว่า..มันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม” เขาเต้นกระย่องกระแย่ง ยังไม่เข้าจังหวะ
ฉันพยักหน้าเข้าใจ...
“ฉันรู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้น มนุษย์ฉลาด ฉันเข้าใจ แต่อย่างน้อย ถ้าโละล้างแนวคิดของมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ออกไปได้แล้ว โลกก็ยังได้พักผ่อนได้ฟื้นฟู ฉันต้องการเก็บโลกใบนี้ไว้ให้มวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง ฉันมองว่าแนวคิดการดำรงชีวิตของมนุษย์รุ่นนี้ มีแต่ทำลายล้าง แก่งแย่งชิงดี เอารัดเอาเปรียบ ปรบมือค่ะ!” เพลงถึงท่อนให้ปรบมือพอดี
“แปะ!แปะ!” เขาขยับหันซ้ายหันขวาเริ่มจับจังหวะได้แล้ว เต้นไปตามทำนองพร้อมเพรียง
“คุณลองเอาโลกเราเป็นที่ตั้งสิคะ ธรรมชาติ ฝูงสัตว์ป่า พื้นดิน ท้องทะเล ป่าไม้ สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ โดนทำร้ายทุกวัน จะเห็นว่ามนุษย์เกิดทุกวัน แต่ธรรมชาติโดนทำลายลงทุกวัน ลองคิดอีกมุมสิคะ! มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้เพราะกินเลือดเนื้อของสัตว์อื่น มันก็เลวร้ายมากพอแล้ว” ทุกคำถามมีคำตอบจากการตกผลึกทางความคิด
“แล้วคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ล่ะ เขาต้องมาตายไปด้วยเหรอครับ? มันเข้าข่ายล้างเผ่าพันธุ์มวลมนุษยชาติเลยนะครับ คนธรรมดาไม่ทำกันนะครับ” เขายังห่วงผู้อื่นเสมอ แทนผู้น่ารัก
“ถ้าเราตัดความรู้สึกออกไป ไม่ให้ความสำคัญกับมนุษย์มากไปกว่าสิ่งอื่น มองด้วยใจเป็นธรรม ชีวิตก็คือชีวิต มนุษย์นี่แหละ…เป็นตัวทำลายล้างโลกมากที่สุด คุณเชื่อฉันเถอะยังมีคนที่รอดชีวิต มนุษย์ไม่หมดสิ้นไปทีเดียวหรอก คิดง่าย ๆ ว่า ลดจำนวนประชากรโลกลงมา”
ในใจฉัน ไม่เคยคิดว่า คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่มีจริง พวกเขาเลือกแล้ว การเมินเฉยก็เป็นการเลือกแบบหนึ่ง การเป่านกหวีดของยอร์นก็แค่ตัดวงจรการเกิดใหม่ของเด็ก แล้วพวกเราก็ตายพร้อมกันในช่วงยุคสมัยเดียวกัน มนุษย์รุ่นต่อไปก็เกิดใหม่ขึ้นมาแทน
“คุณมองมนุษย์ในแง่ร้ายมากไปหรือเปล่าครับ? แอนตี้สังคมหรือเปล่า?” แทนดึงฉันหมุนเข้าหา แล้วกระซิบข้างหู...
“บ้า!” ฉันขำหันไปทุบไหล่เขา...
“คุณคิดว่า โลกวุ่นวายมาจากสัตว์ชนิดไหน? มีแต่มนุษย์ทั้งนั้น รุกรานสัตว์ไม่พอ สุดท้ายมันก็รุกรานมนุษย์ด้วยกัน”
“ก็ไม่ใช่ ทั้งหมดทุกคนนี่นา”
“ก็จริง! แต่คุณไม่ต้องคิดห้ามฉันหรอกค่ะ คนใจร้ายคนเดียวขึ้นเป็นผู้นำ คนทั้งชาติก็ใจร้ายตามไปด้วย มันต้องมีคนเสียสละ...”
“ผมคิดว่า คนเสียสละน่าจะไม่น้อยนะครับ?”
“ถ้าคุณอยากจะหยุดเหตุการณ์นี้คุณต้องไปจัดการกับหวังฉวนโน่น! มันปฏิบัติการก่อนแน่ ๆ ตอนนี้ไม่มีใครทานอำนาจของมันได้แล้ว” ฉันจะทำตามความคิดเดิม ขอให้คนที่มันฆ่าพ่อแม่ของฉันรับกรรมที่มันก่อไว้ก็พอ เรื่องอื่นยังไม่ได้คิด
เราเคลื่อนไหวร่างกายพลิ้วร่ายรำไปตามคลื่นมวลชน นักเต้นยังยิ้มสนุกสนานเสียงหัวเราะหยอกเย้าของหนุ่มสาวเต็มไปด้วยความสุข เสียงเพลงเปลี่ยนจังหวะเร็วขึ้น นักเต้นโยกหมุนไปกับเสียงเพลง โคมไฟสายรุ้งห้อยระโยงระยางสวยงามอากาศหนาวเย็น ควันออกปาก
“เอ๊ะ!” สายตาของฉันประสานกับดวงตาคู่หนึ่ง รู้สึกสะดุดใจที่ชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นยืนจ้องมองอยู่ก่อน
เขาแหวกผู้คนวิ่งเข้ามาหา
“ลี!..ลี! ซอน แจ ” ฉันจำลูกน้องเก่าที่หักหลังเมื่อหลายปีก่อน
“ตามมา!” ฉันสลัดรองเท้าผ้าทิ้งเหลือเพียงถุงเท้าบาง ดึงมือของแทนวิ่งออกจากงาน ตรงไปริมแม่น้ำแทดง
หันกลับไปมอง เขากับเพื่อนอีกคนแหวกฝูงชนวิ่งตามออกมา
“ใครครับ ทำไมต้องวิ่งหนีด้วย?”เสียงถามตื่นเต้นเขาวิ่งตามหลังมาติด ๆ
“ลูกน้องเก่า! ต้องไม่ให้มันจับได้ ไอ้นี่ก็ขวาจัด” ฉันตอบแล้วสอดส่ายสายตามองหาที่กำจัด 2 คนนี้ก่อน ถือว่ามันโชคร้ายเอง
ฉันวิ่งแหวกผู้คนออกไปสวนสาธารณะ แทดงมัน ริมแม่น้ำแทดง ต้นไทรญี่ปุ่นปลูกเป็นกำแพงยาวตามริมแม่น้ำ บังสายตาได้เป็นอย่างดี ชาวบ้านส่วนใหญ่เต้นอยู่บนลาน ไม่มีใครสนใจ
“สหายผู้กอง! หยุดคุยกันก่อน” เขาตะโกนเรียกไล่หลัง เมื่อวิ่งลงไปถึงริมแม่น้ำ
ฉันวิ่งก้มหลังหลบต้นไทรไปริมแม่น้ำ วิ่งต่อไปจนถึงมุมมืดของสวนสาธารณะ ต้องกำจัดให้เงียบที่สุด /เหลียวมองหาแทนหายไปไหนแล้ว/
ฉันเดินหลบหลังอาคารสูบน้ำแล้วหยุดรอ หันมองด้านซ้าย...แม่น้ำสายใหญ่ไหลเอื่อย หมอกคลุมขาวโพลน
“สหายผู้กอง! กลับมาทำไมครับ? ที่นี่ไม่ดีไม่ใช่เหรอ?” เขาเดินยักไหล่เอียงคอเข้ามา เพื่อนของเขาก็กร่างไม่แพ้กัน ประเทศเผด็จการคนของรัฐท่าทางจะประมาณนี้
ฉันถอยหลังมาจนกระทั่งติดรั้วเหล็กกั้น ที่นี่…การมีคนตายข้างถนนสักคนถือว่าปรกติ ถ้าโดนจับได้ก็อ้างว่า ผู้ตายจาบจ้วงผู้นำสูงสุด...แค่นี้ก็รอดแล้ว
“แล้วยังไง สหายจะจับเหรอ?” ฉันหันกวาดสายตามองหาแทน
“แหม!..พอเห็นหน้าผู้กอง รู้สึกเหมือนจะได้เลื่อนยศอีกแล้ว ไหล่มันหนัก” เขาหันไปพยักพเยิดหัวเราะกับเพื่อน
ประเทศที่ด้อยพัฒนาเป็นแบบนี้แหละ ทุกคนติดกับดักกลไกทางแนวคิด มิติในการมองผิดเพี้ยนไปจากความจริง ความดีความชอบหาได้ตามข้างถนนโดยการใส่ความชาวบ้าน การรีดไถจากเจ้าหน้าที่เป็นเรื่องพื้น ๆ ถ้ามีจ่ายก็จบ ไม่มีจ่ายก็ไปทำเหมือง พวกมันได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง
“นี่! สหายผู้กองรู้ไหม? ผมต้องยิงแขนตัวเองแลกกับดาวบนบ่า หลอกหัวหน้าว่า สหายผู้กองเป็นคนยิงผม” เขาฉลาดที่โยนความผิดมาเพิ่มให้ฉัน
“ฉันซื้อให้มั้ย ดาวในตลาดอันละไม่กี่วอนเอง?” ฉันยิ้มเยาะ
“สหายกลับมาทำไม นึกว่าจะแน่...ในที่สุดก็ต้องกลับมาสู่อ้อมกอดของท่านผู้นำ ไม่มีใครอยู่ได้หากออกจากร่มบารมี แต่สหายต้องไปรับโทษก่อน ผมจะช่วยพูดกับสหายหัวหน้าให้”เขาก้าวเดินขยับเข้ามา ท่าทางมั่นใจมาก
“ถ้าจะจับก็เหนื่อยหน่อยนะสหาย แน่ใจเหรอว่าจะจับฉันได้”
“แล้วเพื่อนของผู้กองวิ่งหลงทางไปไหนแล้วล่ะ?” เขายิ้มหน้าเหี้ยม เดินย่างสามขุมเข้ามา
“ฉันคนเดียวก็พอ เข้ามาจับสิ” ฉันขยับขา ยกมือตั้งการ์ด ไม่ยี่หระ
“น่ากลัวจังเลย!” เพื่อนของเขาพูดเยาะเย้ย พุ่งตัวเข้ามา
“ฮึ้บ!” ฉันเอี้ยวตัวหลบดีดแข้งขวาเข้าท้องจนตัวงอ
“อั่ก!” แล้วทุบสองมือลงที่กลางหลัง
“ไม่รอดหรอก!” ซอนแจพุ่งเข้ามารวบหลัง
“อั่ก!” ฉันศอกกลับเข้าที่ท้อง
ในจังหวะนั้น...เงาดำ ผ่านวูบมาจากด้านหลัง
“ผลัวะ! ผลัวะ!” ฝ่ามือใหญ่สับลงไปที่ทัดดอกไม้ ทั้งสองคนร่วงชักกระตุกตาค้าง
“เอายังไงกับมันดีครับ มันยังไม่ตายหรอก” แทนเหยียบคอของซอนแจ
“โยนลงแม่น้ำไปเลยค่ะ” ฉันไม่ปล่อยรอบสองแน่ เขาปลดกุญแจมือจากเอวของทั้งคู่และล็อคเจ้าของมันไว้
“สหายผู้กอง! ไม่ได้นะปล่อยผม ผมจะไม่บอกกับหน่วยความมั่นคง” ซอนแจดิ้นตาเหลือก
“คนอย่างนาย ไม่สมควรรอดมาถึงวันนี้ นายทำให้คังซังอาต้องตาย เขารอชำระแค้นนายอยู่ ฉันจะส่งนายไปหาเขาเอง”
“ไม่ได้นะ ผมมีครอบครัวแล้ว” เขาร้องลั่น พวกนี้เวลาใกล้ตายก็เหมือนกันหมด แต่พอรุกไล่คนอื่นไม่เคยสนใจว่า คนที่ถูกไล่ล่าก็มีครอบครัว
“แทนคะ! โยนมันลงแม่น้ำไปเลย”
“เอางั้นเลยเหรอ? หึหึหึ” เขาอุ้มปล้ำทีละคน
“ตูม!”
“ตูม!”
“พวกนี้เหมือนยุง ถ้าเห็นแล้วต้องตีให้ตาย ไม่เช่นนั้นจะโดนมันกัด น่ารำคาญ” ฉันยืนมองจนแน่ใจว่า พวกเขาจมน้ำแน่แล้ว จึงเดินกลับออกไปนอกถนน
“เรากลับดีกว่า หมดสนุกแล้ว” ฉันชวนกันกลับโรงแรมรอลงสนามจริง
เขาหันหลังกลับไปมองชาวบ้านที่ตั้งแถวเป็นระเบียบเต้นบนลานอย่างพร้อมเพรียง...
“ผมชอบเวลาดูพวกเขาเต้นกันนะครับ ดูสวยงามเป็นระเบียบในท่วงท่าเดียวกัน คนที่นี่ทำอะไรก็ทำเหมือนกัน”
“นี่แหละประเทศสังคมนิยม เพราะสังคมให้ความนิยมจึงทำอะไรเหมือน ๆ กัน พร้อมเพรียงกัน ถ้าไม่ทำก็โดนเพ่งเล็ง”
“สังคมเป็นคนกำหนดเหรอครับ?”
“เปล่าหรอก ผู้นำมันบังคับ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ยิ่งเข้าใกล้วันสวนสนามก็ยิ่งตื่นเต้นคิดถึงเมื่อไรใจก็แวบ ยอมรับว่ารู้สึกกลัวและกังวลใจ ฉันเป่านกหวีดมานับครั้งไม่ถ้วนแต่มันไม่ใช่เพื่อนร่วมชาติไม่มีความรู้สึกผูกพัน แต่คราวนี้...เป็นบ้านเกิด ถึงจะจิตใจหวั่นไหวแต่ก็ถอยหลังไม่ได้อีกแล้ว
…………………………………….หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |