หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 6 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 16 เม.ย. 2567 |
เกาหลีเหนือ
มุมมองสายตา ชเว จูยอน
กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024
คังวอน...
“วี๊ด!..เฟี้ยว!” เครื่องบินรบ MIG -29 ของทัพเกาหลีเหนือบินเฉียดยอดเขาเสียงเครื่องยนต์คำรามลั่น ท้องฟ้าใสโฉบเฉี่ยวไปด้วยเครื่องบินรบของทั้งสองชาติพี่น้อง โชว์ศักยภาพทางการทหารอวดกัน บอลลูนหลากสีลอยนิ่งเหนือฟากฟ้าที่ฝั่งใต้
ยอดเขากึมกัง...พื้นที่แห่งตำนานรักแสนเศร้าของสาวงามในตำนานที่สร้างเรื่องราวตราตรึงใจของชนชาติ ขุนเขายอดแหลมแทงเสียดฟ้าน้ำตกสายยาวเป็นน้ำแข็งทิ้งตัวจากยอดเขาสู่อ่างน้ำทีละชั้น ไหลคดเคี้ยวเข้าพื้นป่าขาวโพลน สนสองใบยืนขาวเคียงคู่กับก้อนหินใหญ่ ต้นไม้ใหญ่น้อยดูเป็นสีขาวเทาไปหมด
ธรรมชาติบรรจงสร้างขุนเขาสลับซับซ้อน และทิวทัศน์ผันเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ถิ่นกำเนิดของภาพวาดโบราณอันเลื่องชื่อ กึมกังซานโดในสมัยโครยอ จิตรกรเลื่องชื่อต่างดั้นด้นมาเพื่อวาดภาพ ณ.ที่แห่งนี้
บนลานยอดเขาคลาคล่ำไปด้วยพี่น้องของทั้งสองชาติที่แบกความหวังขึ้นมาบนนี้ด้วยรอยยิ้ม วันนี้เป็นวันที่ประวัติศาสตร์เกาหลีต้องจารึกไว้อีกวัน “วันพบญาติผู้พลัดพราก” ท่านผู้นำเปิดประเทศให้คนจากฝั่งใต้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานเขาคงบุกเกาหลีใต้แน่ ตอนนี้โลกเสรีกำลังพ่ายแพ้ ประชาธิปไตยกำลังล่มสลาย
ยอดเขาสูงลานตาไปด้วยเสื้อผ้าหลากสีสวยงามของผู้คนจากสองชาติ เพื่อบอกกับอีกฝ่ายเป็นนัยว่าฉันสบายดี พี่น้องได้มีโอกาสมาพบปะพูดคุยกันอีกครั้งหลังจากพลัดพรากจากกันกว่า 50 ปีจากผลพวงของสงครามปลดแอกปิตุภูมิ รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าที่มีแต่ริ้วรอยความชรา มือสองข้างที่สั่นระริกเข้าสวมกอดคนรักที่พลัดพราก น้ำตาที่ไหลรินจากก้นบึ้งของความโหยหาต่างก็สะเทือนใจของผู้ได้เห็น หลายคนปาดน้ำตาด้วยความรันทดและตื้นตันใจ พวกเขาจากกันตั้งแต่วัยเด็กและไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกเลยในระยะเวลายาวนานกว่าค่อนชีวิต
คำถามคือพวกเขาผิดอะไร?สงครามที่พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอำนาจที่พวกเขาไม่ได้ปรารถนานำพาซึ่งการพลัดพราก
“ที่นี่สวยจังเลย” เขาตื่นตา ตื่นเต้นกับทุกสิ่งในเกาหลีเหนือ
“ที่นี่แหละค่ะ! จุดกำเนิดเรื่องราวของชาอึมดังเจ้าของรูปภาพบนธนบัตร 50,000 วอนของเกาหลีใต้ที่เคยคุยกันวันก่อน แต่เผด็จการส่วนใหญ่จะเอารูปของตัวเองไว้บนธนบัตรคนที่บูชาเงินต้องบูชาเขาไปด้วย”
เพียงเพราะความโลภของคนถึงได้ทารุณแผ่นดินแม่ให้อกแตก แยกครอบครัวเป็นสองส่วน พรากพ่อแม่ลูกพี่น้องออกจากกันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าทั่วโลกจะอ้อนวอนขอร้องท่านผู้นำอย่างไรในเรื่องการเปิดพรมแดน ก็ได้รับการปฏิเสธตลอดมา ทุกชีวิตในประเทศนี้อยู่ในเงื้อมมือมาร
“อันยองฮาเซโย!” เสียงทักทายกันขรมของพี่น้องผู้พลัดพราก คุณยายวัย 92 ปีสวมใส่ชุดโกโจรีสีชมพูอ่อนจากฝั่งเหนือยิ้มกว้างถามลูกชายวัยชราเส้นผมขาวโพลน สวมสูทดูภูมิฐานอายุ 70 ปีจากฝั่งใต้ที่นั่งรถเข็นคนพิการ
“อยู่ฝั่งใต้สบายดีไหม แกมีเมียหรือยัง? แกยังเยี่ยวรดที่นอนอยู่ไหม?” ท่านถามเหมือนเขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กอยู่
อาจจะฟังดูตลก แต่มันเป็นตลกร้าย ฉันคิดว่าในสายตาของคุณยายคงจดจำใบหน้าของลูกชายตอนเป็นเด็กมากกว่า เพราะความทรงจำสุดท้ายก่อนจากกันท่านคงเห็นอย่างนั้น
ถัดไปหญิงชราร่างกายผอมจากฝั่งเหนือในชุดโกโจรีสีเหลืองอ่อนอายุ 75 ปี ยิ้มกว้างฟันหลอหมดปาก น้ำตาแห่งความตื้นตันใจไหลพราก โผเข้าสวมกอดน้องชายคนเล็กวัย 67 ปี ปากก็พร่ำพรรณนาขอบคุณสวรรค์ มือที่สั่นเทาลูบไล้ไปตามใบหน้าอวบและลำตัวอ้วนในชุดสูทของน้องชาย
ถึงเวลาจะผ่านไปไกลแต่ความรักของพวกเราไม่เคยจืดจางลงเสียงเพลงอารีรังดังก้องทั่วขุนเขา พวกเขาร่วมกันร้องเพลงแห่งการพลัดพรากที่แสนสะเทือนใจ
“มีข้าวกินครบ 3 มื้อใช่ไหม มีเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่หรือเปล่า ฉันจะได้สบายใจ ฉันไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีก! ออมม่า...หนูเจอน้องแล้ว! อาป้าหนูหาน้องเจอแล้ว” พี่สาวผู้ชราภาพ ร้องไห้โฮแหงนมองท้องฟ้าบอกกับพ่อแม่ที่ล่วงลับบนสรวงสวรรค์ ลูบไล้ไปตามใบหน้าและเสื้อผ้าของน้องชาย
ด้วยข้อห้ามของกฎหมายบ้าบอ ครอบครัวต้องแตกแยกพลัดพรากจากกัน พ่อแม่พี่น้องต้องระหกระเหเร่ร่อนไปคนละทาง ผู้นำเป็นใคร ?ได้รับบัญชาจากสวรรค์มาหรือไรถึงมีสิทธิ์ไปทำเช่นนั้น? เขาใช้สิทธิ์มากเกินไปหรือเปล่า ทำไมไม่มีคนตั้งคำถาม?
ฉันน้ำตาคลอด้วยความปวดร้าวใจ หันไปมองแทน...
“คุณลองสังเกตผู้ที่มาวันนี้สิคะ ไม่มีคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ของเกาหลีใต้ขึ้นมาเลย ส่วนมากจะเป็นคนชราที่พลัดพรากในสมัยสงครามปิตุภูมิ สายใยความผูกพันของสองชาติ...เปื่อยลงทุกวัน”
“นั่นไงครับ! หัวแดงเลย แต่งตัวจี๊ดมาก” เขาชี้ไปที่สาวเกาหลีใต้สามคน ยืนหน้าหงิกเชิดใส่ทหารหญิงของเกาหลีเหนือที่ยิ้มเก้อ
“เอ๋! เอ๋! เอ๋! โชคดีจังเลย” ฉันยิ้มอย่างสาแก่ใจมากที่เห็นใบหน้าของคนที่ไม่เคยคิดว่าจะเจอกันอีก
“อะไรเหรอครับ?”
“ฉันเจอเพื่อนเก่าจากฝั่งใต้ พวกเธอรุมทำร้ายฉันแล้วลูอิสมาช่วยไว้ ฉันต้องเอาคืนค่ะ ลืมไปแล้วแท้ ๆ ไม่น่ามาเจอกันเลย” สะใจจริง ๆ เหมือนถูกหวย
“คุณคอยดูสามคนนั้นให้ด้วยนะคะอย่าให้คลาดสายตา เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วค่อยจัดการ สวรรค์บันดาลจริง ๆ หึหึหึ!”
“ได้ครับ! ผมกลัวคุณแล้ว จริง ๆ นะ” เขาเสียงอ่อนเชียว รอบบริเวณลานตาไปด้วยชุดประจำชาติ กระโปรงโกโจรีสีสวยบานฟูฟ่องเหมือนพุ่มดอกไม้เต็มลานหิน
ฉันพยายามกวาดตามองหานายหน้าตลาดมืดที่นัดไว้ เพื่อรับบัตรที่นั่ง VIP ในวันสวนสนาม...
“การที่ประชาชนจะเข้าร่วมชมพิธีสวนสนามได้ ต้องโดนสอบประวัติย้อนหลังไป 3 ชั่วอายุคนในเรื่องของความจงรักภักดี ไม่เช่นนั้นต้องอยู่ด้านนอกงานหมดสิทธิ์เฉลิมฉลอง นี่ก็เป็นการแบ่งแยกประชาชนอีกแบบหนึ่ง”
“ไหนบอกว่าสังคมนิยมไง ทีอย่างนี้ทำไมถึงแบ่งแยก”
“เขาคัดเฉพาะคนที่จงรักภักดี แต่ความจงรักภักดีนี้มีขายในตลาดมืด มีบัตรพวกนี้ขายมากขึ้นทุกปี”
“แล้วถ้าถูกจับได้ล่ะ?”
“ทั้งตระกูลจะโดนลดความภักดีลงหนึ่งขั้น และเจ้าของบัตรจะถูกเชิญไปทำเหมือง ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“สนุกดีเหมือนกันนะบ้านคุณเนี่ย? มันเหมือนกับประเทศแอฟริกาใต้ตอนอยู่ภายใต้การปกครองของคนผิวขาว แต่อันนั้นพอเข้าใจได้เพราะเป็นการล่าอาณานิคม แต่ที่นี่มันพี่น้องชาติเดียวกัน ผู้นำทำเหมือนกับชาวบ้านเป็นศัตรู”
“อย่างนั้นแหละค่ะ!”
สถานที่นัดพบในครั้งนี้เป็นอาคารสีฟ้าหลังเล็ก ตั้งเด่นโดดเดี่ยวบนลานหินกว้าง สีฟ้าของอาคารสดใสเข้ากับพื้นหลังของแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ในสีเดียวกัน
แสงแดดอ่อนช่วงเช้า คละเคล้าสายลมเย็นเฉียบของยอดเขา ผู้คนรอบกายวันนี้สวมใส่เสื้อผ้ามี 3 ชุดที่เราเห็นมากเป็นพิเศษ สูทสากลของผู้ชายจากฝั่งใต้ ชุดทหารเกาหลีเหนือ ชุดประจำชาติของบรรดาแม่ ๆ จากสองฝั่ง
“นี่คงเป็นการพบญาติครั้งสุดท้ายแล้ว”
“ทำไมล่ะครับ?”
“ท่านผู้นำประกาศว่าอเมริกาล่มสลายไปแล้ว ฉันคิดว่าเกาหลีใต้รอวันตาย โดนถล่มแน่นอนจากบอลลูนบนฟ้านั่นแหละ”
“หือ!บอลลูนนั่น ไม่ได้เกี่ยวกับงานครั้งนี้เหรอครับ?” เขาแหงนมองไปฝั่งเกาหลีใต้
“ไว้จะเล่าให้ฟังค่ะ”
ฉันคิดในใจ...โดยปรกติแล้วพวกเกาหลีใต้ไม่มาเสียเวลาสนใจพวกเราหรอก เขาไม่มองย้อนกลับมาในประเทศปิดอีกแล้ว เสียงเพลงอารีรังรากเหง้าของความเป็นเกาหลีดังอ้อยสร้อย เพลงประจำของทั้งสองชาติเปิดคลอกล่อมขุนเขาบทเพลงที่เปี่ยมไปด้วยความหมายของชนชาติและมีความหมายกับคนฝั่งเหนือมากกว่า
ผู้นำสูงสุดไม่เคยคิดบ้างเลยหรือว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่มีใครต้องการ ถ้าเอาความสำเร็จเรื่องรายได้ของประชาชนมาวัดผลงานเขาก็สอบตก ถ้าเอาความสำเร็จเรื่องความสุขมาวัดผลงานเขาก็สอบไม่ผ่าน แค่ชาวบ้านอิ่มท้องยังทำไม่ได้เลยไม่สมควรอยู่ในอำนาจอีกต่อไป
“คุณดูที่รอยแกะสลักคำสอนที่หน้าผาสิคะ มีแต่คำสรรเสริญเยินยอตัวเอง เห็นทหารหนุ่มสาวพวกนั้นไหม?” ฉันชี้ทหารเด็กหนุ่มสาวในชุดสีน้ำตาล สวมหมวกหม้อตาลรูปดาวแดงยิ้มแย้มโห่ร้องดีใจ วิ่งเข้าไปคุยกับคนโน้นคนนี้
“พวกเขาดีใจใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลาที่ได้เจอคนจากฝั่งใต้ คนฝั่งเหนือโหยหาและเป็นห่วงเป็นใยคนจากฝั่งใต้ด้วยใจจริง เพราะพวกเขาไม่เคยได้ข่าวคราวจากโลกภายนอก และคิดว่าคนที่ฝั่งใต้ลำบาก”
“ผมว่าพวกเขาดูอ่อนหวานอ่อนโยนดีนะครับ ทุกการแสดงออกน่าประทับใจมากโดยเฉพาะแววตาของเด็กหนุ่มสาวพวกนั้น” เขาชี้ไปที่ทหารหนุ่มสาวไร้เดียงสาในวัย 17-18 ปี
“สิ่งที่พวกเขาได้ยินจากการโฆษณาชวนเชื่อคือ ฝั่งใต้มีแต่โรคร้าย ยากจน เป็นสายลับและเป็นขี้ข้าอเมริกา” ฉันมองไปที่รอยยิ้มจริงใจของทหารเด็กของเราแล้วอธิบายให้เขาฟัง...
“เด็กชายต้องเป็นทหาร 10 ปี เด็กสาว 7 ปี ส่วนประชาชนของที่นี่ ถือเป็นชนชั้นล่างเป็นภาระของชาติ ดังนั้นพ่อแม่จึงพยายามให้ลูก ๆ ได้เป็นทหาร ประเทศนี้ทหารมาก่อน” ฉันมองพวกเขาด้วยความขมขื่นใจ
“พวกเราโดนหลอกมาทั้งชีวิต ตั้งแต่เกิดยันตาย เห็นชุดเสื้อผ้าของน้องทหารที่เก่ามอซอขาดวิ่นแล้วสลดใจ นี่พวกเขา...เป็นเจ้าของประเทศหรือผู้อพยพลี้ภัยกันแน่”
“พวกเขาคงไม่รู้ว่า มีความสุขมากกว่าการเชิดชูคน ๆ เดียว”
“ท่านผู้นำกลัวคนในชาติจะรู้เรื่องที่พวกเขาปกปิดบิดเบือน กลัวคนในชาติฉลาด จึงปล่อยให้ลำบาก จนและโง่ เพื่อง่ายต่อการปกครอง ออกกฎหมายที่มีโทษสูงบังคับให้ยอม คุ้น ๆ ไหมคะ?” ฉันหันไปยักคิ้วให้
“หึหึหึ!” เขาส่ายสายตามองไปรอบ ๆ ชะเง้อข้ามไปมองสามสาว
“แล้วคุณมองประเทศของฉันอย่างไรคะ?”
“ถามแล้วถ้าตอบไม่สวย อย่าโกรธกันนะ” เขาลังเล ฉันขำเอื้อมมือไปตีแขน...
“ไม่โกรธ บอกมา!” ฉันอยากรู้คนนอกมองบ้านฉันอย่างไร?
“บ้านคุณเหมือนคอกเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ กฎหมายเหมือนเครื่องมือทารุณกรรม ทหารถูกล้างสมองให้เป็นเครื่องจักรสังหาร ประชาชนเป็นเพียงทาสผู้ใช้แรงงาน รัฐพยายามปิดหูปิดตาคน ไม่มีเสรีภาพในการคิด พูด หรือเขียน การแสดงออกมีมุมเดียวคือเชิดชูผู้ปกครอง”
“นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ข้ออ้างต่าง ๆ ของรัฐมันเป็นแผนการยึดประเทศของพวกมัน สืบทอดผลประโยชน์ในสายเลือด กอบโกยอยู่ตระกูลเดียว” ฉันหันมองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ำตาของพี่น้อง เวรกรรมอะไรของพวกเราที่ต้องเกิดมาในดินแดนต้องคำสาป
“รู้สึกว่านายหน้าจะมาแล้วนะ ไปเอาของก่อน” ฉันลุกจากก้อนหินใหญ่เดินปะปนเข้ากลุ่มชน เขาเดินชะเง้อคอตามมาผ่านรูปท่านผู้นำ
“เพี๊ยะ!” ฉันตีแขนเตือนสติ
“หือ!” เขาชะงักสงสัย
“อยู่ที่นี่คุณต้องหูตาไว รูปท่านผู้นำของเราอยู่ไปทุกหัวระแหง คุณต้องหัดทำความเคารพบ่อย ๆ จะได้ไม่เป็นที่สังเกต” แต่พอฉันแหงนหน้ามองก็ได้แต่ถอนหายใจคงปิดยากหน่อย เพราะร่างกายของเขาสูงเกินมาตรฐานชายเกาหลีเหนือมาก
“ถ้าโดนจับได้ ผมจะโดนลงโทษยังไง?” เขาก้มลงมาถาม ฉันเห็นนายหน้ามาชะเง้อมองที่อาคารสีฟ้าแล้ว...
“สำหรับนักลงทุนอย่างเรา ครั้งแรกจะโดนตักเตือนจดชื่อไว้ ครั้งต่อไปยึดทรัพย์เนรเทศ แต่ถ้าผิดร้ายแรงอาจจะเอาไปทำเหมืองหรือยิงเป้า คุณรอฉันอยู่ตรงนี้นะ” ฉันเดินไปหาผู้ชายตัวผอมสวมเสื้อลายสก็อตสายตาล่อกแล่กในมือถือซองกระดาษ ยืนแอบข้างต้นไม้หน้าอาคารฟ้า...
“อันยองฮาเซโยทงมู!”
“สหายมานานแล้วเหรอ? ผมมองหาไม่เห็น” เขาหันมองรอบตัวต่างคนก็ต่างระแวง
“ฉันก็ยืนอยู่ข้างแผ่นป้ายตลอด” ฉันบอกแล้วมองซ้ายขวาควักเงิน 2,000 ดอลลาร์มาถือไว้
“นี่ครับของที่สหายอยากได้ ขอให้มีความสุขกับบารมีของท่านผู้นำนะครับ” เขายื่นซองให้ ฉันรับซองกระดาษน้ำตาลมาเปิดดู บัตร 2 ใบพร้อมเข็มติดอกรูปท่านผู้นำเป็นไปตามข้อตกลง
“รับเงินไปสิ” ฉันยื่นเงินให้ เขามองซ้ายขวาแล้วรับรีบยัดใส่กระเป๋ากางเกงรีบเดินฉากออกไป
“เสร็จแล้วไปต่อกันเถอะค่ะ” เราพากันไปกลับ กลุ่มเด็ก ๆ ในชุดประจำชาติยืนอยู่บนลานจอดรถยนต์
“อันยองฮาเซโย!” กลุ่มเด็กน้อยชาวเกาหลีเหนือยิ้มฟันหลอคอยแจกดอกกุหลาบสีขาวกับสีแดงคู่กัน หมายถึงสองเราคือหนึ่งเดียว
ฉันก้มลงไปยิ้มกับเด็กหญิงตัวน้อย...
“อนนี่ขอดอกไม้ได้มั้ยคะ?”
“อ่ะ!ด้วยความกรุณาจากท่านผู้นำ ขอให้มีความสุขที่เกาหลีเหนือนะคะ” เธอยื่นมาพร้อมรอยยิ้มแล้วเอามือสองข้างแนบท้องโค้งศีรษะ
“เดี๋ยวคุณไปรับฉันที่ยาย 3 สาวนั่นนะคะ ขอยืมหมวกหน่อย” ฉันสวมหมวกเดินยิ้มหวานผ่านลานโล่งไปหาหญิงสาวหน้าหงิกที่เป็นหัวโจกของกลุ่ม
“เจ็บใจไอ้น้องเฮงซวย มันหนีไม่ยอมมากับฮัลมอนี่ ซวยเลย” เธอบ่นหน้างอกับเพื่อน
“เอาน่า! อย่าทำหน้าหงิกให้ท่านเห็นนะ เดี๋ยวคนแก่เสียใจ”
“ฉันไม่ได้อยากมา ฉันจะไปดูคอนเสิร์ต!”
ฉันเดินแฉลบเข้าไปหา...
“อันยองฮาเซโย! ฝั่งเหนือยินดีต้อนรับค่ะ” ยื่นดอกกุหลาบไปให้ ทั้งสามสาวมองหางตาเหยียดหยัน
“น้ำใจเล็กน้อยจากพวกเรา มาครั้งแรกหรือเปล่าคะ?” ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องครั้งแรกแน่ ๆ /ที่นี่ไม่ให้คนฝั่งใต้เข้า/
“.........” ทั้งสามยังเชิดหยิ่ง ใบหน้าหงิกมองไปที่กลุ่มคนชราที่คุยกันสนุกสนาน
“ข้างล่างมี Unseen ชาอึมดังนะคะ” ฉันยังใจเย็นค่อย ๆ ต้อน
“มีอะไรเหรอ?” ยายสาวหัวจุกสนใจ พวกนี้แต่งตัวเหมือนCosplay
“มันเป็นถ้ำที่ชาอึมดังเคยมานอนตอนที่มาวาดรูปค่ะ”
“ทำไมฉันไม่เคยรู้? พวกเธอรู้รึเปล่า?” เธอหันไปคุยกับเพื่อน
“มันเป็น Unseen คนนอกไม่รู้หรอกค่ะ คนที่นี่ก็ไม่ได้รู้กันทุกคนนะคะ ที่นั่นยังมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่เก็บไว้อย่างดี” ฉันยื่นน้ำเย็นให้เหยื่อตายใจ
“ไปมั้ย?” ยายหัวโจกลังเลหันถามสาวหัวทอง
“ไว้ใจได้รึเปล่า พวกนี้น่ากลัวนะ” เธอแอบกระซิบกัน/ฉันได้ยินนะเว้ย/
“เธอกลัวพวกมันเหรอ เสียศักดิ์ศรีหมด!”ยายหัวจุกพูดได้ดี ถูกใจมาก
“ใช่! ฉันไม่รู้สึกลัวสักนิด!” ยายผมทองสนับสนุน
“เฮ้อ!อยู่ก็คอยอีกนาน ฮัลมอนี่ของฉันยังร้องไห้ไม่เลิกเลย น่ารำคาญ” หัวโจกหงุดหงิดหน้างอยังไม่ยอมตัดสินใจ
ฉันกระตุ้นให้อยาก...
“ในถ้ำยังมีชุดถ้วยน้ำชาวางอยู่ที่เดิม ถ้าเอามือไปแตะก็เป็นฝุ่นไปเลย ชาวบ้านดูแลรักษาอย่างดี ไม่เคยมีคนจากฝั่งใต้ได้ไปนะคะ คุณโชคดีมากจะได้เป็นกลุ่มแรกที่ได้ไป บริการฟรีนะคะด้วยความกรุณาจากท่านผู้นำ”
“เอายังไง?”ยายหัวจุกดึงแขน
“ไปเถอะ!” ยายหัวทองดึงอีกข้าง แต่หัวโจกยังลังเล
ฉันหมุนตัวกลับ ใช้ไม้ตาย...
“ถ้าไม่ไปก็ไม่เป็นไรคะ ขอให้สนุกกับฝั่งเหนือนะคะ” พูดแล้วเดินหนี เงี่ยหูคอยฟัง...
“ชัมกันมัน!” หมูเข้าเล้าแล้ว
“ตึง!ตึง!” ทั้งหมดขึ้นรถยนต์ไปกับเราโดยดี
………………………………..
รถยนต์ขับเลี้ยวเลาะลงมาได้ครึ่งทางของภูเขาสูง ชาวบ้านทำนาขั้นบันไดลดหลั่นลงไปเชิงเขาด้านล่าง ชาวนาโดนสั่งปิดบ้านให้ไปที่อื่นเพื่อป้องกันไม่ให้คนฝั่งใต้แวะคุยด้วย
เริ่มปัดกวาดเลยดีกว่า อีกไม่ไกลก็จะถึงฟาร์มเลี้ยงกวางน้ำของฉันแล้ว...
“อันยองฮาเซโย ชเวจูยอนอิบนิดะ” ฉันแนะนำตัวโดยไม่หันหน้า
“อันยองฮาเซโย”เสียงตอบรับแบบไม่เต็มใจ
“เรามาทำคอนเท็นต์นอนถ้ำชาอึมดังกันดีกว่า” สามสาวคุยกันเอง
“คิดให้มันมี Storyหน่อยสิ คนจะได้ติดตามเยอะ ๆ”
“งั้น! เราหลงมาเจอถ้ำกันดีไหมล่ะ จะได้มีเรื่องเล่าด้วย”
“ดีกว่านี้มีมั้ย?” เสียงหัวโจกหงุดหงิด ยายนี่! ไม่เคยเปลี่ยนนิสัย
ฉันหันไปเสนอหน้า…
“ทำคอนเท็นต์แบบนี้ดีกว่า พวกคุณโดนทหารเกาหลีเหนือจับได้แล้วโดนจับขึงพืด น่าจะเป็นคอนเท็นต์ได้”
“โหดเชียว! แต่ก็ชอบ เอาอันนี้แหละ!” เอ้า!..ยายหัวโจกชอบซะงั้น
“แทนคะ! เข้าไปจอดที่โรงนาตรงนั้นหน่อยค่ะ” ฉันชี้ลงไปข้างทาง
“พรืด…ดด!!” เขาเลี้ยวลงไปจอดข้างโรงนาร้าง ริมป่า
“ถึงแล้วเหรอคะ?”
“อยู่ข้างหลังนี่แหละค่ะ ลงไปดูกัน”
ฉันพาพวกหล่อนเข้าโรงนาเล็ก ๆ
“ที่นี่ยังใช้แรงงานคนทำนาอยู่เลย ล้าสมัยมาก” พวกเธอหันมองคันไถเทียมควายและอุปกรณ์ทำนาในแบบโบราณบนผนัง
ฉันหันไปหาหัวโจก...
“คุณยังทำงานที่ศูนย์ผู้แปรพักตร์เกาหลีเหนือที่ชองดัมดงหรือเปล่าคะ?”
“หือ!”
“รู้จักฉันด้วยเหรอ?” หัวโจกเดินกลับมาหา ท่าทางของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะปกครองรูปแบบใดพวกนี้ก็กร่างเหมือนกันหมด
“แก๊ก!” ฉันหันไปล็อคประตู แทนยืนกางขาเตรียมพร้อมรับคำสั่ง
“จำกันไม่ได้เหรอ?” ฉันถอดหมวกโยนให้แทน แล้วจับใบหน้าของเธอมาบีบจ้องสายตาสู้กัน
“มากไปแล้วนะ เธอจะทำอะไร?” เธอหน้าถอดสี พยายามดิ้นหนี
“อั่ก!” ฉันตีเข่าเข้าท้องตัวงอ
“เฮ้ย!”สองสาวขยับจะเข้าช่วย...
“Stop!” แทนยกมือขวาง
ยายหัวจุกชี้หน้า...
“แกรับผลที่ตามมาไม่ไหวแน่ ฉันเป็นเจ้าหน้าที่รัฐนะ”
“Hands tied.Now!”เขาโยนเชือกสั่งให้มัดมือ
ฉันดึงคอเสื้อของหัวโจกขึ้น กระแทกหมัดเข้าท้อง...
“อั่ก! อั่ก! อั่ก!” ถีบส่งไปอีกที เธอกระเด็นล้มลงไปเกาะคราดไม้ สองสาวโดนแทนผลักเข้าไปกองรวมกัน
ยายหัวจุกปากดี โวยวาย...
“พวกมึงเป็นใคร เตรียมตัวไว้เลย กูไม่ยอมแน่ เกิดสงครามแน่!”
“กูไม่กลัวมึงหรอก พวกคอมมิวนิสต์!” ยายหัวทองจ้องเขม็ง
ฉันเดินยิ้มเข้าไปหาพวกเธอ...
“ถ้าอยากกลับบ้านครบ 32 ก็ทำตามเขาซะ รีบมัดมือ!”
“ทำไมพวกกูต้องทำ กูจำมึงได้แล้วอีสวะฝั่งเหนือ” ยายหัวโจกชี้หน้าโกรธจัด
“ฉันเตือนแล้วนะ พวกเธอโดนข่มขืนแน่”
แทนรูปร่างบึกบึนตัวใหญ่ค่อย ๆ เดินโย่งเข้ามาแล้วก้มลงไป…
“Do you want to die?”
“มาเลยกูไม่กลัว!” สามสาวเชิดหน้าร้องท้าทาย
เขาหมุนตัวหันหลังเปิดฮู้ดถอดแว่นถอดหน้ากากออกแล้วพุ่งเข้าไปหาสามสาว…
“แฮ่!!” ใบหน้าสยองเละกับดวงตาที่ปลิ้นแดงแลบลิ้นยาว
“ห่ะ!” ฉันพลอยกลัวไปด้วย ใบหน้าของเขาน่ากลัวสุด
“เหวอ! ว้าย! ไม่เอา! ออกไป!” ทั้งสามสาวตาเหลือกลานถอยหลังกรูด
“มัด!” ฉันโยนเชือกอีกครั้ง พวกเธอช่วยกันมัด
“รู้สึกยังไงบ้าง? รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมบ้างมั้ย?” ฉันข้องใจกับหัวโจกคนเดียว
“อั่ก! อั่ก! อั่ก!” เธอจุกตัวงอ
“เกิดสงครามแน่ มึงไม่รอดหรอก”
“อั่ก! อั่ก! อั่ก!”
“ฉันคิดมาตลอดว่าฉันทำผิดอะไรพวกเธอถึงรุมทำร้ายกัน ช่วยบอกหน่อยสิจะได้หายสงสัย”
“ผลัวะ!ผลัวะ!ผลัวะ!” พวกเธอเคยตบหน้าฉันขอคืนให้ 2 เท่า...
“ฉันหนีจากความตาย แต่พวกเธอกลับยื่นความแค้นมาให้เพิ่ม ฉันไปทำอะไรให้พวกเธอโกรธมากมายนักเหรอ?”
“อั่ก! อั่ก! อั่ก!” ฉันรัวหมัดใส่ท้องมดลูกฝ่อแน่มึง...
“ผลัวะ!ผลัวะ!ผลัวะ!” เดินตบอย่างมันมือโดนกันจนเลือดกบปากถ้วนหน้า
“ยอมแล้ว!” หัวโจกยกมือยอมแพ้...
“ฉันโดนจ้างให้ทำ”
“ตอแหล! ใครจะมาจ้าง ฉันไม่ได้มีศัตรูที่นั่น”
“พล็อก!” ฉันปล่อยหมัดอัปเปอร์คัพเข้าคางหน้าหงายทรุดลงพื้น
“ก็ไอ้ฝรั่งคนที่ช่วยเธอนั่นแหละ มันจ้างให้ทำ”
“หือ!” ฉันหันมองหน้าแทน แต่เขาฟังภาษาเกาหลีไม่ออกยืนนิ่ง
“เขาจ้างให้หาเรื่องเธอ เขาเป็นคนวางแผนและชี้เป้า ไม่อย่างนั้น!ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่า วันนั้นเธอจะไปซื้อเครื่องสำอาง” เธอยกมือพนมแล้วถู
“ผลัวะ!” ฉันเตะเข้าไปที่ใบหน้า เธอผวาเข้ากอดขา...
“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฉันร้อนเงิน เขาจ่ายตั้ง 5 ล้านวอน แต่เธอก็ได้ออกจากศูนย์เร็วกว่าปรกติไม่ใช่เหรอ น่าจะหายกันแล้วสิ?” เรื่องมันชักวนกลับไปจุดเริ่มต้น
“ผลัวะ!” ก่อนจากเตะไปอีกที
“ฉันเห็นแก่ฮัลมอนี่ของพวกเธอ หาทางกลับบ้านเอาเอง และจงจำไว้ว่าคนที่ด้อยกว่าก็เป็นคน ถ้าไปแจ้งความพวกเธอจะไม่ได้กลับฝั่งใต้ ถ้าออกไปเดินเพ่นพล่านข้างนอกเธอตายแน่”
“อ้าว! แล้วฉันจะกลับยังไงล่ะ?” ยายหัวจุกหน้าซีด
“ไม่รู้!”
“แทนกลับเถอะ!” ฉันหัวหมุนสับสน เดินกลับขึ้นรถแวน
รถยนต์แล่นผ่านฟาร์มของเราลงไปด้านล่าง ฉันนั่งเงียบนึกย้อนถึงยอร์นตั้งแต่ต้น เขามีพิรุธตลอดตอนทางที่มารับจากซ่องในจีน หมวดจางต้องยิงซอนเพราะโมเสสตามไปเจอกลางป่า พวกมันรู้ได้อย่างไรถ้าไม่มีคนชี้เป้า? ส่วนดร.เหยียนลี่เหมินสุดท้ายก็หักหลังนาตาลีทั้งหมดเป็นเพราะแผนของเขา และยายนี่ก็เหมือนกันพอเข้าใจได้
“สบายใจแล้วใช่มั้ย?” แทนหันมาถามหลังจากรถยนต์เลยฟาร์มลงมาถึงถนนด้านล่าง ผ่านเขตกึมกังมาแล้ว
“ไม่สบายใจเลย” ฉันลูบนกหวีดในคอ ยอร์นทำนกหวีดอันนี้ขึ้นมาทำไม /น่าสงสัยมาก/
“คุณตั้งใจจะฆ่าเธอมั้ย?”
“ไม่หรอกค่ะ! ฉันลืมพวกเธอไปตั้งนานแล้วแต่พอได้เห็นหน้าแล้วนึกขึ้นได้ เดี๋ยวพวกเธอก็ได้กลับบ้านไม่เป็นอะไรหรอกค่ะแค่ขู่ให้กลัว แต่ฉันได้ข้อมูลของลูอิสเพิ่มมาค่ะ” ฉันสงสัยนกหวีดที่เขาให้มามากกว่า ทำไมถึงมีอีกอันไม่เข้าใจเลย
“เรื่องอะไรครับ?”
“ไม่มีอะไรหรอก รีบไปกันเถอะ!” ฉันไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ เราไปพักที่เมืองหลวงรอเวลาลงมือ
ใกล้วันสวนสนาม ลานด้านหน้าของทุกหน่วยงานราชการริมถนนจะมีการซ้อมเดินสวนสนาม ธงสีบานเย็นกับสีแดงเข้มพลิ้วไสว ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นพวกเขามุ่งมั่นซ้อมอย่างพร้อมเพรียง แม้กระทั่งเดินกลับบ้านก็ตั้งแถวเป็นริ้วขบวนซ้อมโบกธง
“จะไปที่อื่นต่อมั้ยครับ? ผมได้เที่ยวเกือบทั่วประเทศแล้ว มากับคุณครั้งนี้คุ้มค่ามากจะมีคนนอกสักกี่คนที่ได้เที่ยวทั่วเกาหลีเหนือ” ท่าทางของเขาคงชอบที่นี่ พาเดินทางไปไหนก็ไม่เคยบ่นสักนิด
“กลับพยองยางค่ะอีกไม่กี่วันก็สวนสนามกันแล้ว ท่านผู้นำเริงร่ามากดูท่าว่าสวนสนามปีนี้น่าจะยิ่งใหญ่ คึกคักกันน่าดู”
เขาหยิบโน้ตบุ๊กส่งมาให้ ฉันขมวดคิ้วมอง...
“นี่มันของฉันนี่นา ยังเก็บไว้อีกเหรอคะ?” ดีใจที่ได้เห็นมันอีกครั้ง
“ใครให้อะไรไว้ ผมจะไม่ทิ้งครับ ผมไม่ทำร้ายจิตใจของผู้ให้” น้ำเสียงของเขาแปล่งหู
ฉันปลื้มใจมากจริง ๆ และเข้าใจว่าเขาคงอยู่ได้เพราะสิ่งนี้ ...
“ที่นี่ใช้ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันจะอัพเกรดให้ใหม่ที่เกาหลีเหนือไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต ต้องขออนุญาตจากราชการ ที่ฟาร์มของเราขอได้ค่ะ”
“มันใช้ไม่ได้แล้วครับ ทั้งสองคนทิ้งโทรศัพท์ไปแล้ว”น้ำเสียงของเขายิ่งสั่น
“หือ! แล้วคุณยังเก็บมันไว้อีกเหรอคะ?”
“ผมไม่มีรูปถ่ายไม่มีอะไรที่จะนึกถึงพวกเธอ ผมได้แต่มองเส้นสีเหลืองของการเดินทางเก่า ๆ ที่เคยมีผมเดินอยู่ด้วย วันที่ได้ข่าวว่านาตาลีเสียชีวิต ผมเกือบฆ่าตัวตายสงสารไป่ไป๋มาก และผมก็ดีใจจนทำตัวไม่ถูก ก็ตอนที่เจอทั้งสองคนที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่ผมก็ทำได้แค่เท่าที่คุณเห็น”
“คงลำบากน่าดูนะคะที่ต้องเก็บตัวในเงามืด” ฉันสะอึกกับความรักที่มั่นคงยิ่งใหญ่ไม่แพ้ลูกพี่เขาเลย
นึกขอบคุณเจ็ทโด้ที่ส่งเขามาด้วย อย่างน้อยยังอุ่นใจที่มีเพื่อนมาด้วย เขาเป็นเพชรเม็ดงามที่ฉันคิดถึงมาตลอดและอยากตอบแทนบุญคุณ เขาไม่เคยดูถูกในวันที่ตกอับยากไร้ เต็มใจดูแลและส่งออกจากโลกที่มืดมนจนสามารถเริ่มชีวิตใหม่ได้
และครั้งนี้...เขาถูกส่งมาเพื่อตาย เขาก็ยังคงเดินเคียงข้างและไม่เคยแสดงความกลัวออกมาให้เห็น ถึงฉันจะไม่มีใครข้างกายอย่างน้อยก็ได้เพื่อนแท้ที่จะเดินทางไปภพหน้าด้วยกัน
.................................................
หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |