หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 6 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 26 เม.ย. 2567 |
เกาหลีเหนือ
มุมมองสายตา ชเว จูยอน
มีนาคม ค.ศ.2025
แคซอน ยูธ พาร์ค...
อากาศหนาวเย็นหิมะโปรยปราย...ฉันนั่งใช้ความคิดมองตัวเมืองแคซอนจากชิงช้าสวรรค์ในสวนสนุกอย่างเดียวดาย พื้นดินปิตุภูมิของเกาหลีไม่เคยได้สงบสุข พวกเราโดนต่างชาติเข้ายึดครองครั้งแล้วครั้งเล่า ตอกย้ำรอยแผลประวัติศาสตร์ที่แสนเจ็บปวดใจให้ชนรุ่นหลัง ชาวเกาหลีแทบจะไม่เคยหลุดจากสงครามและถูกปกครองกดขี่จากชนชาติอื่นจนประวัติศาสตร์ด่างพร้อย
สุดท้าย...ประเทศของเราก็ต้องอกแตก แบ่งแยกเป็นสองส่วนเพราะความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกันของชนชาติเดียวกัน ถึงแม้ความจริงจะปรากฏว่าเกาหลีเหนือผิดพลาด และชาวบ้านจะยากลำบากเพียงใด ท่านผู้นำสูงสุดก็ไม่เคยเหลียวแล ยังคงทำตัวเป็นหมาบ้าที่จ้องจะเสริมกำลังทหารและอาวุธเพื่อรักษาอำนาจของตนเพียงอย่างเดียว
หลังจากกำจัดปรสิตออกไปจนหมด ฉันต้องใช้ชีวิตคนเดียวท่ามกลางเมืองร้าง ในช่วงแรกก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ พอนานวันเข้าก็ชักเหงาใจฉันเริ่มเห็นมีคนคอยแอบมอง ยังมีคนรอดตายอีกหลายคน แต่พวกเขาก็ยังกลัว Soulless และกลัวฉันไปด้วย ฉันคงต้องเริ่มทำอะไรบางอย่าง
ฉันก้าวลงจากชิงช้าสวรรค์อย่างหงอยเหงาแล้วเดินไปปิดเครื่องเล่น เดินไปชงกาแฟดื่มนั่งมองสวนสนุกหรูหราด้วยใจหมอง อยู่ต่อไปแบบนี้ไม่ได้แน่ ทั้งเหงาและหดหู่
ฉันขับรถยนต์ออกจากเมืองเข้าเขตภูเขาสูงมาที่ค่ายกักกันเชลยที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้ายทารุณที่สุดในโลก สถานที่กักกันนักโทษการเมืองและผู้เห็นต่างจากรัฐ ค่ายแคซอน ค่ายกักกันหมายเลข 14 สถานที่นี้โหดร้าย เทียบได้กับค่ายเอาชวิทซ์ที่ทหารนาซีเอาไว้กักขังชาวยิว แต่ที่นี่กักขังพี่น้องร่วมชาติที่เห็นต่าง มันเหี้ยมกว่ากันมาก
งบประมาณของชาติหมดไปกับเครื่องทรมานและรั้วลวดหนามไฟฟ้า กำแพงปูนล้อมรอบคุมขังด้านหลังติดเทือกเขาสูงตระหง่านยากแก่การหลบหนี ป้อมยามเรียงรายตามมุมกำแพงร้าง ไร้ทหารยืนเฝ้า
นักโทษชายร่างกายผอมโซ กระดูกไหปลาร้าปูดโปนยังคงทำงานตามปรกติทั้ง ๆ ที่ไม่มีผู้คุมยืนเฝ้า พวกเขายักแย่ยักยันก้มหลังหยิบก้อนหินด้วยสภาพอ่อนล้า อีกกลุ่มยังคงตัดไม้ใส่รถบรรทุกแบกเข้าไปเก็บในโกดัง เสื้อที่เหมือนผ้าขี้ริ้วขาดวิ่นทำให้เห็นร่องรอยแผลเป็นบนแผ่นหลังปูดนูนจากแส้ฟาด
“บรื้น...นน!!” รถยนต์แล่นช้า ๆ ผ่านลึกเข้ามาด้านใน สายลมพัดเศษใบไม้แห้งกรอบปลิวผ่าน เหมือนชีวิตที่แห้งแล้งไร้ความหวังของผู้ถูกคุมขัง นักโทษหญิงก้มหน้าก้มตาเหยียบจักรเย็บผ้าอย่างแข็งขัน...
“ครืด! ครืด!” ใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้มของนักโทษสาวเงยขึ้นมามองก่อนจะก้มหน้าก้มตารับกรรม ประหนึ่งว่าชีวิตของพวกเธอเกิดมาพร้อมคำสาปให้ต้องทำงานจนตาย
“บรื้น!...นน!” รถยนต์เคลื่อนผ่านอาคารยาวของโรงงานเย็บผ้าทางด้านซ้ายอย่างเศร้าสลด
ทางด้านขวา...นักโทษชายร่างกายผอมดังซี่โครงเดินได้กำลังแบกไม้จากกองสูงเข้าไปในโกดัง ถึงแม้ประตูค่ายฯ จะเปิดมานานแล้วก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้คิดจะหลบหนี
ฉันเปลี่ยนใจจากเดิมเมื่อได้นึกตรึกตรองอยู่หลายวัน พี่น้องสหายร่วมชาติที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับฉันมีอีกไม่น้อย พวกเขาอยู่ในนี้มานานจนหมาที่บ้านลืมกลิ่นพวกเขาต้องการอิสระและกลับบ้านชีวิตที่กอดลมหายใจเพื่อรอคอยวันที่ได้กลับสู่อ้อมกอดครอบครัวยังมีอีกมาก
พอรถยนต์แล่นผ่านโรงไม้ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นลานประหาร เวทีไม้ยกพื้นสูงนักโทษชาย 3 คนผู้หญิง 2 คนโดนแขวนคอ ศพขึ้นอืดลิ้นยาว ด้านล่างของเวทีนักโทษชายอีก 5 คนถูกมัดติดกับเสาคอพับคออ่อนรอคิวต่อไป
ฉันดึงปืนทองคำขึ้นมาแล้วก้าวลงไปยืนหมุนตัวมองรอบด้าน เสียงสายลมพัดอ่อนใบไม้เสียดสี ดอกแอสเตอร์เหลืองส้มบานสะพรั่งพลิ้วไหวดูจะเป็นสิ่งเดียวที่เจริญตาสำหรับค่ายกักกันนี้
สหายนักโทษบริเวณข้างเคียงหันมองแล้วเฉย ฉันเดินไปยืนริมเวที สภาพศพลิ้นยาวใบหน้าปูดบวมลูกตาถลน สภาพของทุกคนโดนทารุณอย่างสาหัสก่อนขาดใจ
“เอ๊ะ!” ฉันสังเกตเห็นนักโทษชายหนุ่มร่างกายผอมขยับตัว
เขานั่งคอพับอยู่ข้างเวที ตามแขนและขาเต็มไปด้วยบาดแผลจากแส้ฟาด เลือดแห้งเกรอะกรังเต็มตัว เชือกใหญ่สีขาวขุ่นคล้องคอมือสองข้างถูกมัดไขว้หลัง ใบหน้าปูดช้ำบวมท่าทางบอบช้ำจากการโดนทรมานก่อนพามาประหารชีวิต
“หือ!” เขาขยับนิ้วมือ...ยังไม่ตาย ฉันรีบเข้าไปช้อนใบหน้าของเขา
“สหาย!”
“สหาย! ได้ยินมั้ย?”
“อัน..ยอง..ฮาเซโย สหาย..เป็นใคร? ทำ..อย่างนี้ทำไม?” เขาค่อย ๆ ลืมตาใบหน้าปูดบวม ปากขาวซีดพยายามออกเสียงพูด
ฉันตื่นเต้นนั่งลงกับพื้นต่อหน้า ...
“อันยองฮาเซโย ชเวจูยอนอิบนิดะ สหายชื่ออะไรคะ?”
“โกมีทักอิบนิดะ มาจากเยอรมัน” เขาหันเหม่อมองคนอื่นใบหน้ามอมแมมมือสั่นระริก
ฉันแก้มัดเชือกด้านหลัง...
“ฉันมาปลดปล่อยพวกคุณ จากนี้ไปคุณไม่ต้องกลัวใครอีกแล้ว จะไม่มีใครมากดขี่พวกเราอีก” เข้าไปโอบเอวพยุงเขายืนแล้วพาเดิน
“เกิดอะไรขึ้นครับทำไมไม่มีใครจับสหาย แล้วทหารยามเป็นอะไรไปหมดครับ?” เขาหันมาลูกตาบวมปิดไปหนึ่งข้าง
“สหายยังไหวมั้ย?”ฉันพยุงเข้ามาที่อาคารกองกระจายเสียงฝั่งเดียวกับโรงงานเย็บผ้า
เขานั่งโอนเอนบนเก้าอี้ในสำนักงาน
“วันนั้น! จู่ ๆ ผู้คุมก็เป็นบ้าวิ่งร้องออกไปนอกค่ายกันหมด” เขาขยับแขนขาไล่ความปวดเมื่อย ดวงตาลึกคล้ำดูอ่อนล้า แก้มตอบ ปากแห้งขาว สายตาดูอิดโรย แต่จิตใจที่เข้มแข็งพยายามยืดตัวตรง
“สหายโดนข้อหาอะไรมาคะ?” ฉันยื่นกาแฟให้แล้วเดินดูแผงควบคุมระบบเสียง แต่ละคนในที่นี้ได้รับรางวัล...คนดื้อแห่งชาติ
“ผมกำลังรอเข้าทำงานที่สายการบินโครยอ หัวหน้าราษฎรไปแจ้งทางการมาจับ เขาเห็นไม้กางเขนที่ผนังห้องน่ะครับ ผมนับถือคริสต์” เขาก้มหน้าถอนหายใจ ฉันเข้าใจดีที่นี่จะเทิดทูนบูชาใครไม่ได้ ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนใหญ่กว่าเจ้าของประเทศ
“ไปอยู่เยอรมัน ทำงานอะไรมาคะ?” ฉันเจอปุ่มเปิดเสียงลำโพง
“ผมมี 2 สัญชาติเรียนจบวิศวกรรมการบินครับ ผมขับเครื่องบินขับไล่ได้เคยเป็นทหารในกองทัพเยอรมันครับ ผมเบื่อเลยลาออกกลับมาทำงานให้กับประเทศของเราดีกว่า แต่...” เขาพยายามจะนั่งให้ตัวตรง แต่สายตายังบ่งบอกความเจ็บแค้น
ฉันสะท้อนใจ คนที่มีคุณภาพมีศักยภาพอย่างนี้กลับโดนขังทรมานอย่างไม่มีความหมาย รัฐต้องการแค่คนจงรักภักดีไม่ได้ต้องการคนเก่ง
“นักโทษที่นี่มีมากไหมคะ?”
“น่าจะประมาณ 8 - 9 แสนคนครับ กระจายกันไปด้านในอีกเยอะครับ เหมืองถ่านหินอยู่ด้านหลัง”
ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดคร่าว ๆ ให้เขาฟังและบอกให้เขาทราบถึงความต้องการความช่วยเหลือ ฉันคิดว่าพวกเชลยในค่ายกักกันที่รอความตาย น่าจะเข้าใจอะไรได้ง่ายที่สุด ฉันต้องมีเพื่อน
“กล้ามากเลยครับ”เขาพูดเบา ๆ หลังฟังจบ
ฉันขยับเปิดสวิตซ์บนแป้น แล้วคว้าไมโครโฟนกล่าวทักทายเชลยในค่าย...
“อันยองฮาเซโยยอลาบูน!! สิ้นสุดการกักขังแล้ว สหายได้รับอิสรภาพแล้ว กลับบ้านโดยด่วน”
“??????” สหายนักโทษหยุดหันมามอง พวกเขาหยุดนิ่ง ไม่มีใครแสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา สายตายังคงหวาดหวั่น
“ประเทศของเราเปลี่ยนการปกครองแล้ว พวกท่านไม่ต้องรับโทษอีกต่อไปแล้ว ขอให้ทุกท่านกลับไปอยู่กับครอบครัว เดี่ยวนี้!” ฉันยืนสังเกต พวกเขายังทำงานต่อไม่กล้าขยับออกมา สาว ๆ ยังนั่งก้มหน้าถีบจักรเย็บผ้า ผู้คุมที่นี่! คงได้ฝังความกลัวขั้นสุดไว้ให้พวกเขาอย่างสาหัส
“ท่านผู้นำสูงสุดและตระกูลคิม ไม่มีอำนาจอีกแล้ว พวกเราไม่ต้องกลัวอีกแล้ว” ฉันต้องเอาความกลัวออกจากมโนสำนึกของทุกคน
สหายโกมีทักในชุดนักโทษเดินขากะเผกออกไปโบกมือเรียกนักโทษ...
“ยอลาบูนกลับบ้านกันได้แล้ว สิ้นสุดการลงโทษแล้ว”
“??????” นักโทษทยอยจากทุกทิศทุกทาง พวกเขาหน้าตื่นหันคุยกันสายตายังระแวงภัย
“ทุกท่านที่ได้ยินเสียงนี้! มารวมกันที่ลานหน้ากองกระจายเสียง เกาหลีเหนือจะเริ่มนับหนึ่งใหม่ ไม่มีปีศาจคอยกัดกินเวลาของชีวิตอีกแล้ว ทุกท่านจะมีเสรีภาพ เป็นตัวของตัวเอง เก่งในสิ่งที่อยากเก่งและเป็นในสิ่งที่อยากเป็นโดยไม่มีสายตาอำมหิตคอยสอดส่องอีกต่อไป” ฉันประกาศลั่น
พอเริ่มต้นลงมือทำงานก็ติดขัดไปหมด แต่ฉันก็คาดหวังความร่วมมือจากคนกลุ่มนี้ ผู้โดนกระทำย่อมเข้าใจกัน การลงโทษที่เกินกว่าความผิดมันลิดรอนเวลาของชีวิตเพื่อนมนุษย์
สหายโกมีทัก เดินไปต้อนเชลยทุกคนให้มารวมกัน ฉันโบกมือผ่านกระจกในห้องแล้วโค้งศีรษะให้กับพวกเขา
“อันยองฮาเซโย ชเวจูยอนอิบนิดะ...” ฉันกล่าวทักทายอย่างเป็นทางการแล้วร่ายยาว บอกเล่าเรื่องราวของการล่มสลายของตระกูลคิม และปลุกให้ทุกคนตื่นจากฝันร้าย พวกเขาสายตายังสับสนลังเลหันมองหน้ากันไปมา
“การถูกคุมขังทำให้เราหลงลืมความจริงและความสวยงาม ถ้าสหายอยากลืมอดีตและอยากเริ่มต้นใหม่...”
ฉันใช้เวลาอยู่กับพวกเขาในราว 2 ชั่วโมงเศษ เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการก็ขอตัวลากลับ ก่อนจะก้าวขึ้นรถยนต์สหายโกมีทักเดินย่องแย่งเข้ามา...
“ผมติดต่อสหายจูยอน ได้อีกไหมครับ?” ดวงตาปูดบวม แววตาเปี่ยมประกายความหวัง
ฉันพยักหน้าเบา ๆ คิดในใจ...ดีเลยฉันต้องการเพื่อน...
“ฉันมีเรื่องต้องจัดการ คุณพักผ่อนให้แข็งแรงก่อนนะคะอีก 7 วันฉันจะกลับมารับคุณพร้อมกับทุกคน คุณบอกพวกเขาด้วยว่าฉันต้องการคนช่วยทำงาน ใครที่ไม่กลับบ้านให้รอฉันที่นี่ เราจะเข้าไปยึดพยองยางด้วยกัน”
“ผมจัดการให้ครับ ผมทำได้” เขายิ้มกว้างก้มหัวปะหลก ๆ
ฉันโบกมือให้กลุ่มนักโทษก่อนก้าวขึ้นรถ...
“ไปก่อนนะคะ อาหารในโกดังเอามากินได้หมดเลย แบ่งให้ทั่วถึง ให้คนที่กลับบ้านไปด้วย เรามีอาหารและเสื้อผ้าใหม่ให้ทุกคน” ฉันต้องเริ่มต้นจากจุดนี้ สร้างนักรบกู้ชาติจากค่ายกักกัน.
“คัมซามนิดะ!คัมซามนิดะ!คัมซามนิดะ!” เสียงตะโกนดังตามหลัง เมื่อฉันขับรถออกจากค่ายฯ
ฉันไม่ติดต่อกับพวกที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน เพราะมีความเสี่ยงสูงมากที่ พวกเขายังคงจงรักภักดีกับตระกูลคิม การโดนฝังหัวมายาวนานจนความศรัทธาตกผลึก ไม่ต่างจากพวกคลั่งศาสนายากแก่การลบเลือนในเวลาสั้น
ภายหลังจากการสิ้นอำนาจของตระกูลเหลือบที่คอยกัดกินเวลาของชาวบ้าน ท้องฟ้าเกาหลีเหนือก็ยังคงสวยงามเหมือนเดิมไม่ได้ถล่มลงมาและไม่มีไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญ ดั่งคำล้างสมองโฆษณาชวนเชื่อของทางการ ธรรมชาติไม่ได้โดนกักขังมีแต่ชาวเกาหลีเหนือที่โดนคุมขังทั้งร่างกาย ความคิดและจิตใจ
หลังจากคิดทบทวนไปมากว่าสัปดาห์ ฉันตัดสินใจจะเลี้ยงดูสหาย Soulless ร่วมชาติ มันเหงาเกินกว่าจะใช้ชีวิตลำพังคนเดียว เข้าไปเดินเที่ยวเดียวดายในห้างสรรพสินค้า เดินชงกาแฟกินเอง เข้าโรงภาพยนตร์ก็นั่งดูอยู่คนเดียวฉายเองดูเอง เดินเล่นในเมืองหลวงคนเดียวท่ามกลาง Soulless รู้สึกหดหู่วังเวงพิกล ฉันต้องหากิจกรรมทำระหว่างรอความตายไปด้วยกัน
ฉันไม่มีเป้าหมายต่อไปในชีวิต เมื่อรู้ว่าต้องตายก็ไม่รู้สึกยึดติดพรุ่งนี่คือกำไร ถ้าตายไปก็เท่าทุน
“บรื้น!..นน!” รถยนต์แล่นด้วยความเร็วสูง ผ่านทั้งขุนเขาและหุบเหว บางช่วงของถนนระหว่างเมืองโล่งยาว สบายตาไปด้วยหิมะโพลน ทิ้งค่ายกักกันหมายเลข 14 ไว้เบื้องหลัง
จากเมืองแคซอนมาทางทิศตะวันตกอีกราว 100 กิโลเมตรก็เข้าค่ายกักกันหมายเลข 16 ต็อกชาง เมืองช็องจู เมืองแห่งภูเขาและทะเล รถยนต์เคลื่อนตัวช้า ๆ ผ่านเชลยนักโทษไปที่อาคารกระจายเสียง
ในประเทศเผด็จการ โครงสร้างอาคารราชการเช่นโรงเรียนและโรงพยาบาล ค่ายต่าง ๆ จะหน้าตาเหมือน ๆ กันทั่วประเทศเพราะออกแบบมาจากส่วนกลางใช้บังคับทั้งประเทศ
ฉันขับรถยนต์วนไปรอบบริเวณเผื่อจะเจอนักโทษประหาร เมื่อเลยอาคารเย็บผ้า ทางขวาจะเป็นลานเวทีประหารที่ไร้นักโทษ ถัดไปเป็นโกดังไม้ขนาดใหญ่ นักโทษหลายคนมุงมองเข้าไปด้านในโกดัง น่าสงสัย
“ครืด!” เสียบหัวรถยนต์เข้าจอด...
“ทงมูอันยองฮาเซโย!” ฉันโบกมือเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางสบาย ๆ พวกเขาถอยกรูดสายตาหวาดระแวง
ฉันยิ้มกว้างส่งสัญญาณมือให้เขาใจเย็น...
“ไม่ต้องกลัวนะคะ! ฉันมาปลดปล่อยทุกคนค่ะ!” ยิ่งก้าวเข้าใกล้ประตูโกดังไม้ พวกเขาก็ถอยหนีลนลานกันไปหมดเลย
“อุ่บ!” รีบเอามือปดจมูก กลิ่นเหม็นเน่าฉุนแสบจมูกโชยมาจากด้านใน ฉันหันเข้าไปมอง แล้วตัดสินใจผลักประตูโกดัง
“แอ๊ด...ดดด!!!”
“อื้อหือ!!” กลิ่นเหม็นฉุนซากศพอบอวล
“พรึบ!พรึบ!” ฝูงนกบินแตกตื่นตกใจ แสงแดดสาดผ่านช่องไม้ระแนงด้านบน ด้านในมีเพียงบ่อสี่เหลี่ยมใหญ่อยู่ตรงกลาง ฉันดึงปืนทองคำมาถือไว้ ก้าวขาเดินช้า ๆ ในใจเริ่มหวั่นไหวหันมองหน้ามองหลัง
ด้วยความรู้สึกระแวงภัยหันกลับไปมองประตูด้านหลังหัวของนักโทษผลุบโผล่มาแอบดูดำพรืดยิ่งเดินใกล้ปากบ่อยิ่งเหม็นเน่า ขมคอ
“โท..วา..จู..เซ..โย”เสียงแผ่วเบาแหบพร่าของผู้ชายร้องขอความช่วยเหลือฉันหันซ้ายขวาหมุนมองไม่มีใครอยู่ในนี้รีบก้าวเท้าไปยืนที่ปากบ่อ
บ่อปูนสี่เหลี่ยมผืนผ้าเท่าสระว่ายน้ำมาตรฐาน เต็มไปด้วยกองเถ้ากระดูกและศพที่เผาไหม้ไม่หมด กระดูกขาดำเป็นตอตะโกบิดเบี้ยวหงิกงอน่าสยดสยอง
“หื้อ!” พลันสายตามองเห็นมือสั่นระริกยกขึ้นมาจากกองซากกระดูก ฉันมองจนแน่ใจว่านั่นคือคน รีบไต่บันไดลงไป
“หึ่ง!!!” ฝูงกองทัพแมลงวันแตกฮือ
“แฉะ!” รองเท้ากระทบพื้นน้ำดำผสมกลิ่นซากศพ หนอนอ้วนขาวดิ้นยั้วเยี้ยเริงร่า
“โทวาจูเซโย...” เสียงร้องขอความช่วยเหลือชัดขึ้น ฉันรีบสาวเท้าเข้าไปหาแล้วต้องเบือนหน้าหนี พักทำใจ
ร่างของเขาถูกทับจากซากศพอยู่ในกรง น้ำเป็นฟองเน่าเหม็นเลอะใบหน้า
“อึ้บ!อึ้บ!” ฉันกัดฟันดึงซากศพที่เผาไม่หมดออกจากกรง รองเท้าดิ้นพื้นเป็นเมือกลื่น ออกแรงกระชากกระดูกแขน
ทันใดนั้นเท้าของฉันลื่นหงายหลังวูบ...
“ว้าย!” ก้นจ้ำพื้น แขนของศพหลุดติดมือ
“ถุย!ถุย!ถุย!” น้ำเน่ากระเด็นเข้าปาก หนอนไต่ยั้วเยี้ย
ฉันลุกไปเปิดกรง ชายสูงวัยสวมแว่นเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของเขาไม่ต่างจากศพสักเท่าไหร่
“อาจอชี่! ทำไมถึงมาตรงนี้ ลุกไหวไหมคะ?” คันเนื้อตัวยุบยิบไปกับหนอน ฝูงแมลงวันแตกฮือกลิ่นเน่าเหม็นอบอวล หันมองขึ้นขอบบ่อ สหายนักโทษหลายคนมายืนมุง
ฉันเอาปืนกวักเรียก...
“สหาย! ลงมาช่วยกันหน่อย เอาเขาขึ้นไป”
ฉันเดินขึ้นจากบ่อรีบเดินกลับมาที่รถยนต์ คุณลุงโดนหิ้วปีกตามมา เขาขยับตัวบอกทุกคนว่า ยังไหวแล้วเดินมาขึ้นรถยนต์กลับมาที่อาคารกระจายเสียง
หลังจากอาบน้ำจัดการกับตัวเอง สวมเสื้อผ้าและรองเท้าที่หยิบมาจากห้างในเมือง เดินวนหากาแฟก็ไม่มีให้เห็น ทหารพวกนี้ชอบซ่อนของกิน เสื้อนายทหารห้อยติดผนังตัวนั้นน่าจะมีจึงเดินไปตบกระเป๋า กาแฟซองซ่อนอยู่ดังคาด
ด้วยสภาพความขัดสนของประเทศต่างคนต่างต้องซ่อน ฉันนั่งจิบกาแฟให้หายใจสั่น เหม่อมองอาคารหลังคาโค้งสีเทาทึมด้านหน้า วันนี้กลับบ้านก่อนดีกว่า
“อาจอชี่ อีก 7 วันฉันจะกลับมา พักผ่อนให้แข็งแรงนะ” ฉันลี้ออกจากค่ายด้วยความรู้สึกไม่สบายตัว หนอนน่ะไม่กลัวหรอก แต่กลิ่นไม่ไหว
.......................................................................
เจ็ดวันต่อมา...
ฉันกลับมาที่สหายคุณลุงก่อน วางแผนว่าจะไปหาสหายโกมีทัก ภายหลัง ไม่รู้ว่าเขาหนีออกจากค่ายกันไปหรือยัง? กลิ่นเหม็นซากศพยังตามมาหลอนทั้ง ๆ ที่ฉันเปลี่ยนมาใช้รถตรวจการณ์แล้ว
มานั่งรอในห้องกระจายเสียงสักพัก คุณลุงคนนั้นก็เข้ามา เขาเปลี่ยนชุดนักโทษใหม่ เดินเข้ามาหาแล้วคุกเข่าก้มหน้า
“คัมซาแฮโย”
“เฮ้ย!” ฉันผวาลุกยืนเข้าไปประคองไห้เขาลุกยืน ...
“อย่าทำอย่างนี้ค่ะ! อาจอชี่ทงมู!” ฉันจับเขานั่งบนเก้าอี้แล้วรีบเดินไปชงกาแฟ
“อาจอชี่! สบายใจเถอะนะคะ จากนี้จะไม่มีใครมาทำร้ายอีกแล้ว” ฉันยกกาแฟกลิ่นหอมควันฉุยมาวางให้ท่าน
“โคมับนิดะสหาย หอมชื่นใจจริง ๆ ผมไม่ได้กลิ่นนี้มานานมากแล้วมันเหมือนกลิ่นของเสรีภาพ” ท่านสูดกลิ่นหอมสุดปอด
“อาจอชี่! ดื่มเลยค่ะ” ฉันผายมือ
“ผมไม่ได้ดื่มกาแฟนานมากแล้ว ผมโดนจับมาตั้งแต่ประธานประเทศคนเก่า มันยัดข้อหาทำลายความมั่นคงมาให้” ท่านยกกาแฟขึ้นจิบ หลับตายิ้มสุขใจ
“อาจอชี่!ทำอะไรผิดถึงโดนข้อหานี้ล่ะคะ?” ฉันยิ้มเอียงคอ
“เมื่อก่อนผมมีครอบครัวที่อบอุ่น ใช้ชีวิตเรียบง่ายที่พยองยาง ผมทำงานในหน่วยงานกองสวัสดิการของรัฐ” เขาเอ่ยเบา ๆ พร้อมจิบกาแฟ แล้วเงยหน้าระลึกความหลัง
“วันหนึ่งในฤดูหนาวไฟฟ้ามันดับ คุณก็รู้ว่าที่เมืองหลวงไฟฟ้าดับตลอด ชาวบ้านหนีหนาวมาขอไม้ฟืนไปก่อไฟ ผมเห็นแล้วสงสารก็แอบแบ่งให้เขาไปใช้” คุณลุงขยับจะพูดต่อ ฉันยกมือขัดจังหวะแล้วลุกขึ้นยืนตรง
“ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย ชเวจูยอนอิบนิดะ อาจอชี่ชื่ออะไรคะ?” ฉันโค้งศีรษะอย่างสุภาพสุด คุยกับท่านมาตั้งนานยังไม่รู้จักชื่อเลย
เขายิ้มสายตาพึงพอใจ พยักหน้าเบา ๆ แล้วลุกขึ้นยืน...
“ขอโทษที ผมเองก็ลืมแนะนำตัว คิมจุนซองอิบนิดะ อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสระดับ 10 ผู้อำนวยการกองสวัสดิการแห่งรัฐครับ ปีนี้อายุ 55 ปีแล้วครับ” เขาท่าทางและสีหน้าดีขึ้น ขยับตัวเล่าต่อ....
“เรื่องของผมดูแล้วก็เหมือนไม่มีอะไรใช่ไหมครับ? แค่ให้ไม้ฟืน หึหึหึ” เขาแค่นหัวเราะเบา ๆ
“แต่คนที่ผมให้ไม้ฟืนไป มันเกิดไปมีเรื่องกับเพื่อนระหว่างทาง แล้วเกิดบันดาลโทสะ ใช้ไม้ตีหัวเพื่อนตาย” เขาบอกแล้วส่ายหัว
“ลูกน้องของผม มันแทงข้างหลังสร้างพยานเท็จ มันจับมือกับเจ้า นายของผมที่เป็นญาติของมัน จู่ ๆ ผมก็โดนข้อหาสมรู้ร่วมคิด จัดหาอาวุธสังหาร ผมก็ต้องสู้คดีเป็นธรรมดา” ท่านหลับตา สูดลมหายใจลึกสุดขั้วจนตัวสั่น
“แล้วเป็นอย่างไรต่อคะ?”
“จากที่โดนคดีจัดหาอาวุธสังหาร ก็เปลี่ยนเป็นข้อหากระด้างกระเดื่องต่อรัฐ ผมก็ไม่ยอมสิเพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด เขียนจดหมายอุทธรณ์ส่งไปอีกฉบับตรงถึงท่านผู้นำ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” คุณลุงหัวเราะร่วนท่าทางเหนื่อยใจ แต่แววตาประกายเหมือนสะใจกับชีวิต
“เกิดอะไรขึ้นคะ?” ฉันยิ้มอย่างเข้าใจสุด ๆ ฉันก็เคยเขียนจดหมายอุทธรณ์แบบนี้แหละ โดนแส้ฟาดหลัง ขังคุก 3 เดือน
“ได้ข้อหาทำลายความมั่นคงเพิ่มมาอีก ต้องมาอยู่ที่นี่ ตอนแรกก็คิดว่า เดี๋ยวคงได้ออกไปไม่ได้กลัวอะไร เราบริสุทธิ์ใจรับใช้ท่านผู้นำมาตลอด แต่...จากวันเป็นสัปดาห์ ผ่านมาเป็นเดือน เคลื่อนมา 8 ปี ความหวังดังตะเกียงใกล้หมดน้ำมัน แสงสว่างช่างริบหรี่เหลือเกิน แต่ผมยังรอคอยการได้กลับบ้าน” ท่านก้มหน้าพูดเสียงขาดหาย สุดท้ายท่านก็กลั้นความรู้สึกขมขื่นใจไว้ไม่ไหว สะอื้นฮั่กแล้วร้องไห้โฮออกมา
ฉันกัดกรามเข้าใจความเจ็บช้ำกล้ำกลืนนั้น ผวาเข้าไปจับมือสั่นเทาของท่าน
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร? มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว”
มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้ชายเกาหลีเหนือ ไม่มีวันที่ผู้ชายเกาหลีเหนือจะร้องไห้ การร้องไห้ต่อหน้าผู้หญิงที่ไม่รู้จัก ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่รันทดใจจริง ๆ
“ไม่เป็นไรนะคะ ถ้ามันไม่ไหวก็ร้องออกมาเถอะค่ะ ขอให้มันเป็นการร้องไห้ สำหรับชีวิตใหม่ของพวกเรานะคะ”
ความเหลื่อมล้ำ มีไปทุกหย่อมหญ้าจนเป็นเรื่องปรกติ การเล่นพรรคเล่นพวก การใช้กฎหมายเล่นงานมันเป็นเรื่องพื้นฐาน เจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งตัวเป็นใหญ่ แบ่งฝักฝ่ายพวกใครพวกมันและช่วยพวกพ้อง พวกนี้จะโหนท่านผู้นำหาประโยชน์
คุณลุงเงยหน้าน้ำตานอง...
“ลูกเมียของผมไม่รู้อยู่ที่ไหน? โดนพรากหลังจากที่ผมเข้าค่ายกักกัน ตอนนี้...ผมไม่มีครอบครัวอีกแล้ว ฮือฮือ!” ท่านร้องไห้โฮระบายความอัดอั้น
น้ำตาของฉันแตกทะลัก เราต่างเข้าใจหัวอกของกันและกัน ชีวิตของพวกเราต้องคอยหวาดระแวงกับกฎหมายของเผด็จการ ถ้าพลาดก็เป็นเช่นนี้
“อาจอชี่ทงมู! เรามีเวลาแล้ว ประเทศนี้เป็นของทุกคนแล้ว ออกไปตามหาลูกเถอะค่ะ” ฉันน้ำตารื้น บีบมือท่านเบา ๆ
“สหายจูยอน! พวกเราสูญเสียเวลาของชีวิตไปอย่างไร้ค่า อดีตของผมมีแต่ความทรงจำเรื่องการตายของเพื่อนร่วมค่ายที่นอนอยู่ด้วยกัน พวกเขาค่อย ๆ ล้มตายจากไปคืนละคน ๆ พรุ่งนี้ไม่เคยมีความหมายอะไรกับพวกเรา”
ฉันสะเทือนใจหนัก กัดฟันข่มความเจ็บปวด กะพริบตาถี่ไล่น้ำตา
“ความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวเลือนรางลงไปทุกวัน อีกอย่างผมติดคุกมานานแล้ว พวกเขาไม่เคยมาเยี่ยมเลย ผมคงไม่กลับไปแล้วครับ ผมไม่รู้จะมองหน้าลูกเมียได้อย่างไร ?” ท่านยังสะอื้นไห้ น้ำตาแห่งความอัดอั้นคับแค้นของท่านฉันเข้าใจดี
“สหายคุณลุงคะ ประเทศของเราเปลี่ยนแปลงแล้ว ข้างนอกค่ายมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก คุณลุงหยิบใช้ได้เลยนะคะ ทั้งรถยนต์และอาหาร หยิบกินหยิบใช้ได้เลย คุณลุงออกไปได้เลยนะคะ” ฉันหวังในใจว่า ท่านจะโชคดีได้เจอกับครอบครัวอีกครั้ง
“..........” ท่านส่ายหน้าอย่างคนสิ้นหวัง คนเกาหลีเหนือต่างรู้ดี คนในครอบครัวติดคุกด้วยคดีความมั่นคงจะโดนเหยียดหยามจากเพื่อนบ้านว่า เป็นคนเลว ชังชาติ เป็นเสนียดประเทศ
ลูก ๆ จะโดนกระแนะกระแหน จนไม่สามารถเรียนอยู่ที่เดิมได้ มันเป็นผลมาจากการโฆษณาชวนเชื่อจากรัฐที่ฝังหัวไว้ เพื่อปกป้องท่านผู้นำ
“ช่วยฉันเรื่องหนึ่งได้ไหมคะ?”
ท่านเงยหน้า สายตาฉงน...
“ได้เลยครับ ได้เลย สหายจูยอนจะให้ผมช่วยอะไรบอกมาได้เลย ผมช่วยทุกอย่าง”
“ช่วยเรียก สหายเชลยมารวมกันที่หน้าตึกหน่อยคะ ฉันมีเรื่องจะแจ้งให้ทุกคนทราบ”
เขาลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินไปสับคัทเอาท์จ่ายกระแสไฟฟ้านอกห้องแล้วหันกลับมา
“ทำไมสหาย! ถึงมาทำงานคนเดียว ไม่มีคนช่วยเหรอ?” ท่านคิ้วขมวด
“ค่ะ! ฉันทำคนเดียว ฉันตั้งใจจะรวมชาติเกาหลีค่ะ”
“ หือ!” ท่านยิ่งขมวดคิ้วสงสัยหนักขึ้น
“สหาย! ผมไม่รู้ว่า สหายต้องการอะไร? ผมขอซื้อความคิดนี้ให้ผมไปเป็นผู้ช่วยได้ไหมครับ? ผมขอทำงานด้วย ผมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสหาย ดี! ร้าย! ตายด้วยกัน!” ท่านจับมือไปกุม จ้องสายตาจริงจังใบหน้านิ่ง
“ได้เลยค่ะ! สหายคุณลุง เอ็นดูฉันด้วยนะคะ” ฉันยิ้มแล้วโผเข้ากอด ฉันได้ผู้ช่วยคนแรกแล้ว
คุณลุงทำงานทันที เดินเข้าไปคว้าไมโครโฟนประกาศให้ทุกคนกลับบ้าน หรือถ้าไม่มีบ้านให้กลับก็ให้มาช่วยกันทำงานกอบกู้เกาหลีขึ้นมาใหม่ หลายคนเดินออกจากค่ายด้วยรอยยิ้ม อีกหลายคนเดินเข้ามาหาสหายคุณลุง ฉันพอจะมองเห็นทางรอดแล้ว
“สหาย!” เสียงแหบพร่าของผู้หญิงเรียก ฉันหันมองไปตามเสียง คุณป้าร่างกายโทรมใบหน้าบอบช้ำยืนตัวสั่นเกาะเสาไฟฟ้าอยู่คนเดียว ฉันก้าวออกจากห้องไปหา
“อาจุมม่าเรียกฉันเหรอคะ?” ฉันพยายามสังเกตท่าทาง
“จำฉันได้ไหม? สหายจำฉันได้หรือเปล่า?” เธอพยายามจะก้าวขาแต่มือที่เกาะเสาและขาของเธอสั่นมาก
“เรารู้จักกันด้วยเหรอคะสหาย?”
“ที่สำนักงานเขตกึมกัง ฉันพัคมีแรที่โดนจับกับลูกชายไง ฮือฮือ!” เธอทรุดตัวร้องไห้โฮ
“หือ! อาจุมม่าทงมู ถูกส่งมาที่นี่เหรอ ลูกชายละคะ?”
“ฮือฮือฮือ!” ท่านตีอกชกตัวร้องไห้จ้า
“พวกมัน พวกมันฆ่าลูกชายของฉัน”
ฉันใจหายวาบผวาเข้าไปกอด...
“ฉันขอโทษ ฉันช่วยไว้ไม่ทัน” น้ำตาแห่งความเข้าใจไหลรวมกัน
ความอึดอัดใจของคนชั้นล่างไม่เคยได้รับการเยียวยาจากรัฐ พวกมันทำผิดได้เลวร้ายกว่านี้ พวกมันไม่เคยให้ราคาชีวิตของคนอื่น ฉันได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ฉันเยียวยาความเจ็บปวดให้กับผู้ที่ได้รับความอยุติธรรมแล้ว
………………………………………………หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |