The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 6 ตอนที่ 13

The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 6 ตอนที่ 13
หมวดหมู่ The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 6
ราคา 0.00 บาท
สถานะสินค้า Pre-Order
อัพเดทล่าสุด 27 เม.ย. 2567
ขออภัย สินค้าหมด
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay


เกาหลีเหนือ

มุมมองสายตา นาตาลี

มีนาคม ค.ศ.2025

ชินอึยจู

ริมแม่น้ำยาลู่ เส้นกั้นพรมแดนธรรมชาติเกาหลีเหนือ - จีน นินจาวิ่งลุยหายไปในความมืดทันทีเมื่อเรือเทียบฝั่งน้ำเกาหลีเหนือ เจ็ทโด้ดึงมือและช่วยประคองเดินลงเรืออย่างทุลักทุเล ฉันยังไม่อยู่ในอารมณ์ปรกติ จะจับหมุนไปทางไหน ฉันก็ตามโดยไม่ปริปากบ่นเหมือนคนไร้วิญญาณ

สะพานข้ามแม่น้ำทางซ้ายโค้งไกลออกไปราว 200 เมตร ฉันเคยมานั่งตรงนั้นกับหมวดจางเมื่อหลายปีก่อน ไม่เคยคิดฝันว่า สุดท้ายแล้วก็ต้องมาข้ามแม่น้ำตรงนี้ และกลายเป็นผู้ลี้ภัยเสียเอง ชีวิตของคนถึงแม้จะไม่ได้ทำตัวแหลกเหลวมันก็ตกต่ำได้ ถ้าสติไม่อยู่กับตัว

เมืองชายแดนแห่งนี้เงียบเหมือนเมืองร้าง เพ่งตามองฝ่าความมืดวิ่งตามเจ็ทโด้ เพื่อเข้าไปที่อาคารด้านในตลาด เงาวูบวาบในความมืดของ Soulless เหมือนซอมบี้ ทำให้สะดุ้งตกใจบ่อย ๆ               

ฉันวิ่งตามมาทัน เมื่อเขาหยุดริมถนนร้างความมืดปกคลุมทั้งเมือง แสงจากดวงดาวพอเห็นรูปร่างของอาคารสูงต่าง ๆ เป็นเพียงเงาดำทะมึน หิมะปกคลุมขาวไปทั้งเมือง

ฉันหันถามเจ็ทโด้...

“นินจาไปไหนคะ?” สิ้นเสียงเขาก็เดินจ้ำอ้าวรุดหน้าไปอีก

เมืองนี้ช่างเงียบสงัด หันมองหน้ามองหลังตลอดเวลา สายตาระวังภัย ใจเต้นแรง โคตรตื่นเต้นกับบรรยากาศวังเวง เสียงสายลมหวีดหวิวชวนขนหัวลุก

“บรื้น...นน!!! เสียงรถยนต์แล่นมาด้วยความเร็วสูง              

“มาแล้วมั้งน่ะ?” เขาชี้ไปที่แสงไฟจากรถยนต์ที่กำลังห้อทะยานฝ่าความมืดเข้ามา                

“บรื้น! บรื้น! บรื้น! รถวิ่งฝ่าความมืดตรงมาอย่างเร็ว

 “เอี๊ยด! ฟรืด!!! รถสไลด์ด้านข้างเข้ามา

“ว้าย! ฉันกระโดดหลบ หัวร้อนวืดขึ้นมาทันที ในใจโกรธมาก ขับดี ๆ ไม่ได้หรือไง? /แต่ความคิดแวบเข้ามาไอ้นี่ขับรถฝีมือนี่นา จอดเทียบข้างขาพอดีเป๊ะ...ท่านี้แทนเคยสอนฉันเคยทำได้
            กระจกรถยนต์ค่อย ๆ ลดลง...                

“ขึ้นมา!! นินจากวักมือตะโกนเรียก

เจ็ทโด้ขยับเข้าไปเปิดประตูหลังแล้วเรียก...                

“นาตาลีนั่งหลัง!”  เขาบอกแล้วกระโดดไปขึ้นด้านหน้า           

“พรึ่ด! เสียงล้อตะกุยก้อนกรวดก่อนจะทะยานพรวด

“เหวอ!!!ฉันหงายหลังหัวกระแทกเบาะ ตื่นจากความเศร้าเป็นรู้สึกโกรธ มันจะมากไปแล้วนะ! 2 ครั้งแล้วนะ!  อีตาบ้านี่! จะรีบไปไหน

รถยนต์สะบัดโยกหวาดเสียว...                       

“เบา ๆ หน่อยสิคุณ! ฉันโวยลั่น

“ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ็ทโด้หัวเราะชอบใจ คิดถูกหรือคิดผิดกันแน่เนี่ยที่ตามพวกเขามา.         

“บรื้น!รถยนต์ส่วนตัวกระชากพรวดพุ่งเข้าซอยแคบ กะระยะด้วยสายตาว่า รูแค่นั้นไม่น่าเข้าไปได้...

“เหวอ! ไม่พ้น! ไม่พ้น! ฉันงอขาตาเหลือก แต่เขายังดันซะมิด
            “ว้าย!
          “วูบ! รถวิ่งด้วยความเร็วสูง แสงไฟจับไปที่ผนังซอยแคบสองข้างทางที่เหมือนกำลังบีบเข้าหากัน เสาไฟด้านซ้ายล้ำเข้ามาบีบให้ซอยแคบลงไปอีก

“บรื้น!เขาใส่ไม่ยั้ง                

“เสาไฟ ฟ ฟ ฟ ฟ ฟ!ฉันร้องเสียงหลง                

“เปี๊ยะ!กระจกมองข้างหักกระเด็น                

“โอ้ย!!! ฉันเสียวเกร็งตูดกัดฟันแน่น แขนขาเกร็งแข็งนิ้วหงิก รูแค่นี้เขาใช้ความเร็วเป็นร้อย มองข้างทางแทบไม่ทัน ความเศร้าของฉันปลิวหายไปจากสมองแบบปลิดทิ้ง เหลือแต่ไฟโกรธที่สุมหัวอยากจะเผาเจ้านินจาให้มอดไหม้          

“เราจะไปไหน?” เจ็ทโด้มือซ้ายโหนที่จับราวบนหัว ถามเขาหน้าตาเฉย ไม่ได้กลัวกับความเร็วของรถยนต์เลย                        

“ไปพยองยาง จูยอนอยู่ที่โน่น” เขาตอบโดยไม่มองหน้า สายตาจับจ้องไปที่ถนน              

“บรื้น...นน!!! รถยนต์พุ่งออกจากซอยสไลด์ท้ายปัด ก่อนจะตั้งลำพุ่งต่อขึ้นไปบนถนนใหญ่

สภาพถนนเป็นหลุมเล็ก ๆ ไม่ค่อยดีเลย โดนเขาโยกหลบซ้ายขวาจนเครื่องในรวน...

“บรื้น...นน!!! รถยนต์เหินข้ามสะพาน             

“จ๊าก!!! จะรีบไปไหน? เบา ๆ หน่อยสิ ฉันกลัว!ฉันแหกปากลั่น เสียวหน้าท้องแวบ ยังดีที่เขายกคันเร่ง

“เฮ่อ…!” ฉันถอนหายใจยาว อีตานี่! ทำอะไรหลายอย่างยิ่งเหมือนแทนเข้าไปทุกที น้ำเสียง คำพูด ท่าทาง นี่มาเรื่องขับรถยนต์อีก

“ขับแค่ 120 พอนะคะ! ทำได้มั้ย?  ถ้าไม่ได้ลงไป! ฉันขับเอง!ฉันหัวร้อนตาจี๋ อยากจกตาเขา

“ฟรืด!!!  เจ้านินจาเลี้ยวจอดข้างทาง ทำเอาฉันแปลกใจ 

เขาหันมา...                 

“ขอบคุณครับ” อ้าว! จะขอบคุณทำไม? ฉันประชด

“ผลั้วะ! เขาลงมาเปิดประตูหลังขึ้นมานั่งคู่กันแล้วมองหน้า

มองทำไมมองอะไร? นี่! เท่ากับไล่ให้ลงไปขับจริงเหรอ ? ฉันเป็นผู้หญิงที่ช้ำใจอยู่นะ อีตาบ้า !            

ไม่เอา! ฉันขับไม่ได้ ฉันไม่เคยขับรถที่เกาหลีเหนือ เจ็ทโด้ขับสิคะ” 

เขาหันมายิ้มแก้มป่อง...             

“ผมก็ไม่เคย มันเคยคนเดียว คุณจะเอายังไงให้มันขับหรือคุณจะขับเอง?” เขาเมินออกไปด้านนอก 

“เฮ้อ! ฉันยอมจำนนลงไปขับเองดีกว่า เกร็งตูดเจ็บหูรูดไปหมดแล้ว              

“บอกทางด้วยนะคะ ถ้าหลงอย่ามาว่าทีหลังก็แล้วกัน” แกล้งกันชัด ๆ  นินจา!...นายจำไว้นะ             

“คุณขับตรงไปอย่างเดียวแค่ 300 กว่ากิโลเมตรก็ถึงแล้ว ผมจะนั่งเป็นเพื่อนคุณเอง” เขาบอกแล้วล้มตัวลงนอนยาวบนเบาะหลัง เจ็ทโด้โงหัวขึ้นมาหัวเราะเมื่อเห็นฉันนั่งขับรถหลังตรง แล้วขดตัวหันหลังให้เฉยเลย

“ห้ามหลับนะคะ ฉันไม่ยอมจริง ๆ ด้วย” ฉันรู้สึกเคืองมาก ขับรถหน้ามุ่ย คิดผิดหรือเปล่าวะเนี่ย? เริ่มเหยียบแผ่นดินก็ซวยแล้ว     
                                  ............................................................................................         
  
      รายการวิทยุในรถมีแต่เสียงซ่าไร้สัญญาณคลื่นเสียงเปิดกระจกรถรับสายลมเย็นอากาศที่เกาหลีเหนือสุดแสนจะบริสุทธิ์สูดอากาศลึกสุดใจ สองฝากฝั่งถนนหนทางมีแต่ความมืดมิดและความเย็น ทางลาดลุยขึ้นภูลงห้วยเข้าป่าทึบ ขับวนเวียนกลางหุบเหวและขุนเขาท่ามกลางหิมะ ฉันนั่งเกร็งหลังตรงเหลือบไปเห็นป้ายห้อยคอ คล้องที่กระจกส่องหลัง หยิบออกมาส่องดู             

คิมมีโซ! เจ้าหน้าที่ระดับ 8 หน่วยควบคุมสัตว์ชายแดนเมือง ชิน อึยจู” ฉันอ่านออกเสียงเบาๆ

“ครอก!! Zzzz!”  สุดแสนจะหมั่นไส้ สองชายหนุ่มหลับกรนสนั่น ไม่มีคนสนใจฉันเลย ..นี่ฉันเป็นผู้หญิงนะ อกหักมาด้วย...             

5 ชั่วโมงผ่านไป ท่ามกลางแสงดาวสุกสกาวบนฟากฟ้า ฉันเลือกมองกลุ่มดาวหมีใหญ่ให้นำทาง จนกระทั่งกลุ่มดาวน้อยหล่นหายไปจากฟากฟ้า สองชายผู้ใจดำยังนอนหลับลึก แข่งกันกรนเสียงคนละคีย์เข้ากันเป็นดนตรีจากความฝัน

มองแล้วก็ขำ อย่างน้อยเสียงกรนมันก็ทำให้ยังระลึกได้ว่าฉันยังมีเพื่อนอยู่ หัวสมองเริ่มหายมึนไปบ้างเพราะทั้งสองคนสลับกันแกล้งจนลืมเรื่องหนักที่แบกไว้

แสงฟ้าส้มอมเหลืองแยงขึ้นหลังภูเขาสูง ก่อนดวงอาทิตย์จะเคลื่อนตัวขึ้นมาส่องแสงกล้าฉาบทาท้องฟ้า อรุณรุ่งเมื่อล้อรถยนต์แตะเข้าเขตพยองยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ

ฝูงนกกระเรียนปีกขาวทยอยบินตามกันเป็นเงาดำ พาดผ่านขอบฟ้า ทิวทัศน์สองข้างทางค่อย ๆ ปรากฏสีสัน บ้านหลังเล็กข้างทางหนาตามากขึ้น เงาทะมึนของหมู่ตึกในเมืองหลวงสูงใหญ่ ดุจดั่งป้อมปราการ เหล่า Soulless เริ่มปรากฏกายเดินประปรายริมถนนชนบท

“ถึงไหนแล้วครับ?” จู่จู่! นินจาก็งัวเงียจากเบาะหลังโผล่หน้ามาถาม เขาก้มหัวมองออกไปด้านนอก     

รถแล่นมาจากถนนชนบท 2 เลนกลายเป็นถนนซูเปอร์ไฮเวย์ 8 เลนกว้างใหญ่หรูหราตาตื่น ต้นสนสูงลิ่วลู่ลมเรียงแถวทิวขนาบสองฝั่งถนนดูเป็นระเบียบ อาคารทันสมัยแทงเบียดเสียดขึ้นฟ้า รถยนต์จอดทิ้งข้างทาง ระเกะระกะไร้เจ้าของ

“ปักกิ่ง! พึ่งเลยที่พระราชวังต้องห้ามมาสักครู่” ฉันนิ่งหน้าตาย ขอแกล้งคืนบ้างเถอะ             

“ฮ๋า!!!..แย่แล้ว ๆ ”เขาก้มมองออกไปด้านนอกหันมองซ้ายขวา

“หึหึหึ!” แอบยิ้มมุมปากที่ได้เอาคืน กดคันเร่งรถเร็วขึ้น             

“เจ็ทโด้!! ตื่น!! เขาเขย่าตัวหัวหน้า

เจ็ทโด้สะดุ้งขยี้ตาหันมอง นินจาท่าทางวิตกหันมองล่อกแล่กแล้วบอก             

“นาตาลีขับรถ กลับมาปักกิ่ง” พอได้ยินอย่างนั้นเขาเด้งลุกตาเหลือก

“เฮ้ย! หันมองสองข้างทาง หลังจากที่เขาพิจารณาสักพัก...          

Soulless มันมากผิดปรกตินะ นี่มันชุดทหารเกาหลีนี่นา นั่นไง! ธงชาติเกาหลีเหนือ” เขาชี้ไปข้างทางธงชาติบนยอดเสาของโรงเรียนโบกไสว Soullessนายทหารบกยศพลตรีห้อยเหรียญกล้าหาญชาญสมรเป็นแผงยาวเหมือนฉลากจับเบอร์ที่หน้าอกเดินโซซัดโซเซไร้จุดหมาย
           นินจาก้มมอง...
            “ดอกเตอร์หลอกเหรอ?” เสียงกลั้วหัวเราะข้างหูอารมณ์ดี
           “เยส! ฉันหัวเราะเยาะ เอาคืนมั่งชอบแกล้งดีนัก

รถยนต์กำลังแล่นรอดผ่านอนุสาวรีย์รวมชาติ ฉันรู้สึกอิ่มใจที่ได้เห็นรูปปั้นสองสาวพี่น้องร่วมสายเลือดเกาหลีเหนือใต้กำลังยื่นช่อดอกมูกุงฮวาให้กัน ถ้าไม่มีอุดมการณ์การปกครองบ้าบอเข้ามาเกี่ยวข้อง พี่น้องคงไม่ต้องพรากจากกันตลอดกาลเช่นนี้
           ยิ่งเข้ามาลึก Soulless ยิ่งหนาแน่น เดินปิดถนนหนทาง นินจาขยับมานั่งระหว่างกลางรถ...
         “ผมจำได้แล้ว คุณขับขึ้นไปบนเนินมันซูแดฮิลล์ครับ”เขาชี้ไปเนินทางขวา หลังจากขับรถยนต์ผ่านสนามฟุตบอลเมย์เดย์สเตเดียมมาได้สักพัก
       “นั่นกองอะไร เหมือนรูปปั้นคน” เจ็ทโด้ชี้เมื่อรถยนต์ผ่านขึ้นเนินลูกย่อมกลางเมือง อาคารพิพิธภัณฑ์ปฏิวัติเกาหลีใหญ่โตมโหฬาร 

นินจาขยับยื่นหน้ามา...             

“รูปปั้นของคุณปู่กับคุณพ่อของท่านผู้นำคนปัจจุบัน จูยอนสั่งให้พวก Tamer30ล้มมันเมื่อคราวก่อนเราใกล้ถึงที่จูยอนใช้เป็นฐานบัญชาการแล้วครับ” เขาชะเง้อมองรูปปั้นทองแดงที่ล้มนอนเท้งเต้งยิ้มกับพื้น   Soulless เดินข้ามไปมา ตำแหน่งบนผนังที่เคยวางรูปภาพของสองผู้นำตอนนี้มีเพียงกรอบสี่เหลี่ยมสีขาวว่างเปล่า สัญลักษณ์แห่งการกดขี่ถูกทำลายลง
         
เมืองหลวงเต็มไปด้วยตึกสูงโอ่อ่าเข้มขลัง ผ่านโรงภาพยนตร์ประชาชน สวนสาธารณะประชาชน ทุกอย่างใช้ชื่อว่าประชาชน ฉันต้องชะลอรถอีกครั้ง เมื่อท้องถนนด้านนี้ก็เต็มไปด้วย Soulless ที่นี่มันเมืองผีดิบหรือไง?  ฉันค่อย ๆ ขับไปอย่างช้า ๆ คิดในใจ...จูยอนยังอยู่หรือเปล่าหรืออาจจะตายไปแล้วมั้ง?            

“ปี๊น!! ฉันบีบแตรไล่อย่างไร้ผลมาตลอดทาง หาทางหลบเข้าซอกซอย ตรงไหนว่างก็ขับเข้าไปสุดท้ายมาโผล่ถนนเลียบแม่น้ำ

“นั่นอนุสาวรีย์อะไรน่ะ? ทำไมมันพังหมดเลยล่ะ?” เจ็ทโด้เจ้าเดิมเอ่ยถาม ชี้มือข้ามแม่น้ำไปทางซ้าย

“อนุสาวรีย์จูเช ปรัชญาการปกรองของที่นี่ เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตของชาวเกาหลีเหนือ” นินจาตอบไป

เจ็ทโด้ชี้มาทางขวา...             

“แล้วนี่ลานอะไรกว้างจังเลย? แล้วทำไมรถทหารเต็มลานเลยล่ะ?” เขาทำตัวเหมือนหนูน้อยขี้สงสัย ชี้มาที่ลานกว้างด้านขวา ตรงกันข้ามคนละฝั่งแม่น้ำกับอนุสาวรีย์จูเช             

“จัตุรัส คิม อิล ซุง รถพวกนั้นเป็นขบวนพาเหรดเธอลงมือวันสวนสนามครับ ผมก็อยู่ด้วย” นินจาตอบฉะฉานเหมือนบ้านของตนเอง ฉันแอบมองกระจกส่องหลัง ไอ้น้ำเสียงและท่าทางขี้โม้มั่นใจนี่...มันแทนของฉันชัด ๆ

จู่ ๆ เขาก็สะกิดไหล่ซะแรงเลย             

“ถึงแล้ว ๆ”

“เอี๊ยด! ฉันเหยียบเบรกทันที หันมองซากรถขีปนาวุธบนลานหิมะสี่เหลี่ยมขนาดมหึมาขนาบด้วยอาคารสำนักงานของราชการ 3 ด้าน

เจ็ทโด้ยกขาสองข้างขึ้นมากอด ใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา หันมองชี้โน่นนี่ เหมือนเด็กน้อยมาจากชนบทห่างไกล สถาปัตยกรรมบางอย่างของที่นี่ ดูย้อนยุคมีความขลังและยิ่งใหญ่อลังการ             

“อาคารข้างหน้าคืออะไรเหรอยิ่งใหญ่จัง?” เขาชี้ถามไปเรื่อย นินจาก็ตอบไปเรื่อยตามที่ตัวเองรู้ แต่ถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ฉันคุ้นตากับไอ้ท่ากอดอกลูบคาง เวลาเขาทำท่าครุ่นคิด...นี่มันท่าของแทนชัด ๆ

นินจาสะกิดหัวไหล่...             

“ผมอ่านภาษาเกาหลีไม่ออก ดอกเตอร์ครับ! ไอ้นั่นมันอ่านว่าอะไรครับ” เขาชี้ไปที่ด้านขวาอาคารสี่เหลี่ยมทรงรัสเซียขนาดใหญ่ล้อมรอบลานจัตุรัส ไว้ 3 ด้าน             

“อ๋อ! อันนั้น..ด้านขวามือนั่นเป็นพิพิธภัณฑ์ปฏิวัติเกาหลีและถัดไปเป็นที่ทำการพรรคแรงงานแห่งชาติ ส่วนอาคารด้านซ้ายเป็นหอศิลปะแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติเกาหลีค่ะ ส่วนอาคารตรงหน้าของเราที่อยู่หลังสุดโน้น เป็นหอสมุดการศึกษาประชาชนที่ยิ่งใหญ่ค่ะ คุณพูดเป็นต่อยหอยนึกว่าเก่งซะอีก โม้รึเปล่า?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! สองหนุ่มหัวเราะลั่น          

แสงแดดสะท้อนแม่น้ำระยิบระยับทางด้านซ้าย ฉันรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจมากขึ้น ความเจ็บปวดในใจคลายตัวลง ไม่บีบรัดดังวันวาน เจ็ทโด้ยังคงนั่งยิ้มชี้ไปนอกรถยนต์             

บนผนังอาคารใหญ่และตึกสูง จอภาพ LED ขนาดใหญ่กำลังมีการเคลื่อนไหว หญิงสาวในชุดฮันบกสีแดงกระโปรงขาว นั่งตัวตรงยิ้มใจดี กำลังจะทำอะไรสักอย่าง  

ทันใดนั้นเอง...

“วี๊ด...ดด!! เสียงนกหวีดนี้อีกแล้ว มันดังพลิ้วไหวมาจากไหนกัน?

Messiah! Messiah! Messiah! Messiah! กระจกรถยนต์สะเทือน เมืองหลวงถูกปลุกจากหลับใหล เสียงตะโกนดังก้องสะท้อนทั่วเมืองเหล่า Soulless คืนชีพเป็น Tamer 30 เริ่มวิ่งกันวุ่นวาย ฉันใจสั่นตาเหลือกกลัว คิดผิดจริง ๆ ด้วย ไม่น่ามาที่นี่เลยฉันกลัวไอ้นี่มากที่สุด        

“อยู่นิ่ง ๆ ก่อนนะ พวกนี้อันตราย อย่าให้พวกมันโกรธนะ”  ฉันหันไปกระซิบ

พวกเรานั่งกันนิ่งเพ่งสายตามองไปยอดตึก จอภาพโฆษณาต่างถ่ายทอดสดพร้อมกันไปทั่วเมือง ฉันรู้สึกคุ้นกับท่าทางกับเธอคนนั้น

“นั่น!!!...จูยอนอนนี่!  จูยอนจริง ๆ ด้วย” ฉันลืมตัวดีใจตีแขนเจ็ทโด้รัว ๆ ชี้ขึ้นไปบนจอ LED Display บนผนังหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติเกาหลี  เหลือบดูเวลา 07.00 น. พอดี              

“ใช่เหรอ? เออ!!..ใช่จริงด้วย!” เขาเด้งนั่งตรงยิ้มกว้างมองจูยอนแววตาเป็นประกายจนรถยนต์สะเทือน

“เฮ้ย! เบา ๆ เดี๋ยวซวยหรอก! เจ้านินจาตวาด เราค้างตัวแข็งค่อย ๆ หันมองบนจอ          

บนจอภาพยอดตึกทั่วเมืองฉายภาพจูยอนในชุดฮันบก เสื้อสีแดงสดขลิบเงินขับผิวขาวสะดุดตา ทรงผมรวบมวยเรียบร้อยประดับดอกไม้เล็ก ๆ สีขาวเสียบปิ่นทองปักผม เธอสวยเหมือนองค์หญิงในซีรี่ย์เกาหลี
           
“เก่งจริง ๆ เก่งมากเลย” ฉันดีใจมากที่ได้เจอกับผู้หญิงแกร่งคนนี้อีกครั้ง สูดลมหายใจลึกสบายใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่า...เธอรอด

เธอยิ้มกว้างใจดีนั่งตัวตรงพูดอย่างใจเย็น ช่างสวยตราตรึงสง่างาม เจ็ทโด้ยิ้มอายสะกิดแขน...            

“จูยอนพูดอะไร? ฟังไม่ออกเลยเป็นล่ามให้ด้วย” เขาเสียงอ่อนเสียงหวาน ดวงตาเชื่อมมีความสุข ยิ้มสุขใจมองไปที่จอสูงที่ผนังตึก             

“งั้น! คุณสองคนนั่งเงียบ ๆ ดูไปเฉย ๆ นะ เดี๋ยวฉันสรุปให้ฟัง” ฉันบอกแล้วตั้งใจฟัง เธอยิ้มไปพูดไป           

ฉันแอบมอง...เจ็ทโด้นั่งกอดขาตัวเอง ยิ้มปลื้มมองอย่างมีความสุข ตั้งแต่รู้จักกันมาฉันไม่เคยเห็นเขาสุขสุด ๆ แบบนี้เลย วันนี้สายตาของเขาสมหวังมาก นาฬิกาเตือนเหลือเวลา 15 นาที

“ตั้งแถว! เสียงสั่งจากลำโพงรอบอาคาร

 Tamer 30 ด้านล่างปรับขบวนตั้งแถว ทุกคนหน้าชื่นตาบานกระฉับกระเฉง จูยอนจะทำอะไรกัน จู่ ๆ เธอก็กระโดดตบ

“ฮานา! ทุล! เซ็ท!  เธอนำพวกเขาออกกำลังกายทั้งชุดฮันบก

“ฮุ!ฮุ! ฮุ! ฉันปิดปากเกาหัวขำหนักมาก นี่! เธอจะบ้าแล้วหรือไง? ทำบ้าอะไรของเธอ           

เหลือ 5 นาทีสุดท้าย จู่ ๆ ทุกคนกระจายอย่างรวดเร็ว วิ่งแย่งกันกรูเข้าอาคาร

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ฉันตบเข่าหัวเราะท้องแข็ง จะบ้าใหญ่แล้วพี่สาวฉัน

“ขำอะไร ขนาดนั้น?” ทั้งสองถามพร้อมกัน

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ฉันยังขำไม่หาย จูยอนถึงทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง เธอต้องต่อสู้เพียงลำพังคนเดียว คิดคนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว จิตใจทำด้วยอะไรกัน ฉันชื่นชมยอดหญิงนักสู้คนนี้
                                     ......................................................................................

30 นาทีผ่านไป...ทุกอย่างก็กลับคืนสภาพเดิม เหล่า Tamer 30 ผู้ห้าวหาญน่ากลัวกลับกลายไปเป็น Soulless ผู้เหี่ยวเฉา จูยอนยังคงพูดอธบายเรื่องราวต่อไปเรื่อย ๆ             

“คราวก่อนผมโยนคนลงแม่น้ำตรงนี้” นินจาหันชี้ไปที่แม่น้ำด้านหลัง แต่ไม่มีใครสนใจเรื่องของเขา

เราทั้งสามก้าวลงจากรถยนต์แล้วเดินลุยฝ่าSoullessท่ามกลางกองหิมะ มุดใต้ท้องรถจรวดขีปนาวุธยาว 60 ล้อ เดินหลบรถถังร้างไปที่แผ่นหินแกะสลักรูปปั้นม้าศึกหน้าพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ สายตาของเรายังคงแหงนมองจูยอนบนผนังอาคารตรงข้ามตลอดเวลา หลังจากเธอพูดจบภาพบนจอเปลี่ยนไปเป็นสารคดีของต่างประเทศ การใช้ชีวิต ความเจริญและไลฟ์สไตล์ของพี่น้องเกาหลีใต้
            ฉันหยุดเดินที่หน้าประตูทางเข้าอาคาร
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ แล้วหันไปคุยกับสองหนุ่ม...             

“ฉันสรุปให้ฟังดีกว่านะ เธอเล่าเรื่องของต่างประเทศเรื่องของเสรีภาพ โลกใบนี้มีอะไรบ้างที่บ้านเธอไม่มี ผู้นำโกหกอะไรไว้บ้าง การบิดเบือนประวัติศาสตร์ของผู้นำ การเอารัดเอาเปรียบของโครงสร้างประเทศ การผูกขาดอำนาจของกลุ่มผู้นำ”

“แล้วคุณหัวเราะอะไร?” นินจาถามเสียงดุ 

ฉันหันขวับ...            

“ฉันก็แค่ขำที่เธอสั่งทุกคนไปอาบน้ำ ทำไมขำไม่ได้หรือไง?” ฉันหมั่นไส้เขาจริง ๆ  อย่ามาดุฉันนะ ฉันไม่ยอมนายแน่      

เหล่า Tamer 30 กลายเป็น Soulless ไปแล้ว เมืองหลวงเงียบสงบลงอีกครั้ง เจ็ทโด้สะกิดแขนแล้วยิ้มตาลอย...            

“เก่งเนอะ! สวย...สวยมากด้วย” เขาคึกคักเสียอาการอย่างเห็นได้ชัด ปรกติเขาไม่สนใจสิ่งนี้ ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเป็นติ่งของเธอไปแล้ว ฉันเองก็ชื่นชอบ ท่าทางไม่ต่างกัน ดีใจมากอยากเจอ อยากคุย         

 “สวยเหมือนวีรสตรีกู้ชาติเลยเนอะ?” ฉันกะดี๊กะด๊า ตีมือกับเจ็ทโด้

นินจาหันมองหน้าเราสองคน...   

“มันใช่เรื่องไหมพี่เป็นเอามากเลยนะนั่นน่ะ!  Soulless เต็มเมืองจะทำยังไงคิดบ้างเถอะ?” เขาโวย

“หึหึหึ! ฉันขำเมื่อเขากล้าตำหนิหัวหน้า เจ็ทโด้หันมาค้อนซะงั้น! ฉันไม่เคยเห็นท่าทางน่ารักแบบนี้ของเขา

เจ้านินจาบ่นต่อ...

“ดูก็รู้ว่าเธอกำลังลำบาก ผู้หญิงตัวคนเดียว สร้างเกราะป้องกันตัวเองได้ขนาดนี้ ถือว่าเก่งมากแล้ว หาทางช่วยเธอสิ! เขาเสียงเครียด คิดมากไปหรือเปล่า? ทำท่าทางครุ่นคิดเกาคาง กวนใจอีกแล้ว หมั่นไส้จัง

“ยังไงคะ? เธอก็สบายดี ไม่เห็นมีอะไรลำบากเลย เนอะ?”

เจ็ทโด้ก็ไม่ได้สนใจฟัง สายตายังมองไปจุดเดิมยืนยิ้มปลื้มปริ่ม ฉันคิดว่าเขาต้องชอบจูยอนแน่ ๆ ท่าทางแบบนี้ใช่เลย สายตาซื่อสัตย์เหมือนสุนัขมองเจ้าของ 

ไอ้นินจาพล่ามต่อ...             

“ถ้าชาวเกาหลีเหนือเป็น Soulless ทั้งหมด เธอไม่มีความจำเป็น ต้องมานั่งอธิบายเรื่องพวกนี้  นี่แสดงว่าเธอเปลี่ยนใจจากเดิมที่เคยคิดจะล้างเผ่าพันธุ์ของผู้จงรักภักดี เธอคิดจะทำอะไรกันนะ?”

“แล้วยังไงคะ?”      

“ถ้าเป็นอย่างนี้ เธอต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อหักล้างความเชื่อเดิม การจะแก้ไขความเชื่อที่โดนปลูกฝังมารุ่นสู่รุ่นนั้นยากมาก ต้องมีคนที่ไม่ได้เป็น Soulless ฟังเธอพูดด้วยแน่ ๆ เธออาจจะหวังผลไปถึงพวกนั้นก็ได้เพื่อลดการต่อต้าน” 

เจ้านินจาวิเคราะห์ไปเรื่อย...

“เราต้องหาทางช่วยเธอ คนยากจนในหมู่บ้านตามชนบทและคนจนเมืองที่ไม่ได้รับวัคซีนยังมีอีกมาก วันที่ผมมาเป่านกหวีดกับเธอ คนที่กลายเป็น Tamer 30 ในวันนั้นส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และพวกชนชั้นปกครอง ชาวบ้านน้อยมากที่กลายเป็น Tamer 30” เขามองไปรอบบริเวณ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ  Soulless เจ้าหน้าที่ยังอยู่ในชุดทำงาน และส่วนใหญ่ยังอยู่ในเครื่องแบบราชการ

เจ็ทโด้ส่ายหัว หันมองหน้านินจาอย่างระอาใจ...

“กูเคยบอกมึงไปแล้วนะว่า กูไม่ได้อยากเป็นฮีโร่ มึงจะช่วยใครมึงทำเลยนะ กูไม่เกี่ยว ถ้ากูไม่ช่วยก็อย่ามาโกรธกูนะ” เขาหันไปดุลูกน้อง

ฉันเดินเข้าหานินจา...          

“อยากเจอจูยอนแล้ว นินจาพาฉันไปหาหน่อยนะ” ฉันลืมตัวเกาะแขนเดินตาม

“เธอบอกว่าจะอยู่ที่ Room39 บนที่ทำการพรรคแรงงาน ตึกข้างหน้านี่แหละครับ” เขาหันซ้ายขวาชะเง้อมองไปทั่วบริเวณ เจ็ทโด้เดินยิ้มค้างตามมาไม่ละสายตาจากจอภาพ เราเดินผ่านกองรถยนต์ทหารและกองธงตรงเลาะลานมาถึงด้านหน้าของที่ทำการพรรคแรงงานฯ อาคารยิ่งใหญ่เกินจินตนาการ

ทันใด...            

“หยุด!!!  ยกมือขึ้น” จู่ ๆ ชายร่างผอมถือปืนโผล่พรวดออกมาจากมุมบันไดใหญ่

“หยึย!ฉันสะดุ้งยกมือขึ้นอัตโนมัติ

“หือ!สองหนุ่มหันไปตามเสียงแล้วมองหน้าฉันอย่างไม่เข้าใจ /ใช่สิ!...เขาฟังภาษาเกาหลีไม่ออกนี่นา /

ชายตัวผอมเสื้อผ้าเก่าสีมอ 5 คนอาวุธครบมือ เดินออกมาจากแผ่นหินอ่อนแกะสลัก ด้านหลังของรูปปั้นม้าศึก

“ยกมือสิ! เดี๋ยวมันก็ยิงไส้แตกหรอก” ฉันกระทุ้งเอวนินจา ทั้งคู่ยอมยกมือแต่โดยดี เจ็ทโด้หันมามองแวบเดียวแล้วเงยหน้ายิ้มมองจูยอนบนจอข้างกำแพง ไม่เกรงใจปืนเลย

“พวกแกเป็นใคร?” ชายหนุ่มวัยกลางคนร่างผอมเกร็ง ถือปืนยาวสาวเท้าเข้ามาถามไปที่เจ็ทโด้ เขาก้มมองปืนแล้วหันมองหน้าฉันทั้งสองคนยืนนิ่งเป็นใบ้ไปแล้ว
           ฉันรีบแทรกตัวเข้าไปแก้สถานการณ์...
           "
อันยองฮาเซโย! ใจเย็น ๆ สหาย ฉันพึ่งมาจากชินอึยจู ฉันเป็นเจ้าหน้าที่รัฐชื่อ คิมมีโซ” ฉันยื่นบัตรประจำตัวที่เก็บจากในรถยนต์

เขาขมวดคิ้วลดปืนลงเดินเข้ามาดู ดูท่าทางเขามึน ๆ งง ๆ อาจจะอ่านหนังสือไม่ออกด้วยซ้ำไป เขาหยิบไปพลิกดูแล้วส่งกลับ ท่าทางผ่อนคลายลง...             

“อันยองฮาเซโย! สหายจะไปไหนครับ?”เขาถามสุภาพมากขึ้น สายตายังระแวงมองนินจาไม่วางตา              

“พวกเราพึ่งกลับจากจีนไปราชการมา มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่คะ?” ฉันเนียนไปกับเขา ท่าทางซื่อ ๆ เสื้อผ้ามอมแมม น่าจะมาจากชนบท
           “ผมไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ บ้านเมืองก็กลายเป็นแบบนี้ แล้วผู้หญิงนอกรีตคนนั้น ก็โจมตีท่านผู้นำสูงสุดทุกวัน” เขาชี้ไปที่จอ

“อ้าว! ปล่อยไว้ไม่ได้ ทำไมไม่จับตัวล่ะ พวกเรามีเยอะหรือเปล่า? เข้าไปจับตัวเธอกัน” ฉันเปลี่ยนสีหน้าเป็นโกรธ เข้าโหมดตอแหล ต้องเอาตัวรอดก่อน

สหายใหม่ขยับตัว...        

“พวกเรามีมากแต่กระจัดกระจายไปทั่ว ผมกำลังรวมพล ยายปีศาจนั่นโฆษณาชวนเชื่อ ขโมยพวกเราไปได้เยอะแล้ว ถ้าจับตัวได้จะฉีกให้เป็นชิ้นเลย” สีหน้าและน้ำเสียงของเขาโกรธมาก แต่ดูจากท่าทางของเขาไม่น่ากลัวเลย น่าจะใช้อาวุธไม่เก่งด้วย  ท่าทางราวกับชาวบ้านดี ๆ นี่เอง ถือปืนดูเก้ ๆ กัง ๆ

“ฉันเข้าร่วมด้วยสิสหาย สองคนนี้เป็นทหารอารักขาไปประจำ การอยู่ที่จีน คอยอารักขาผู้นำระดับสูง สองคนนี้จะช่วยเราได้มาก ฐานบัญชาการอยู่ที่ไหนสหาย? พาฉันไปที” ฉันเดินเข้าหาอย่างมั่นใจขึ้น เขายิ้มก้มหัวท่าทางนอบน้อม

จูยอนเคยเล่าให้ฟังว่า คนในประเทศเผด็จการ พอบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ก็กลายเป็นเทวดาน้อยทันที ได้รับเกียรติจากชาวบ้านอย่างสูง ฉันคงต้องเป็นคนช่วยทั้งสองให้รอดจากสถานการณ์นี้           

“พวกเราอาศัยในที่ทำการพรรคแรงงาน สหายของเราอยู่ในนั้น” เขาเดินนำหน้าผ่านประติมากรรมที่ล้มระเนระนาด    

ฉันแอบแปลกใจ...ก็นินจาบอกว่า จูยอนอยู่ที่ Room 39 บนนั้นนี่นา เธอจะอยู่ในนี้ได้ยังไง? ฉันรีบก้าวขาตามไป ท่าทางไม่ดีแล้ว             

รูปค้อน เคียว พู่กันสีทองของธงจูเชบนพื้นสีแดงที่ยอดตึกทรงสี่เหลี่ยมของที่ทำการพรรคแรงงานฯ ดูมั่นคงเข้มขลัง ธงชาติดาวแดง ยาวพาดจากยอดตึกลงมาถึงพื้นถนนด้านล่าง ประกบรูปของท่านผู้นำตลอดกาลที่ใบหน้านิ่งสายตาใจดี 

นินจาหันมายกนิ้วโป้งให้...         

“สหายนาตาลี Good job!

“แหงอยู่แล้ว ฉันเก่ง!” ฉันยืดอกยิ้มเดินโยกหัวอย่างสบายอารมณ์ ก้าวขึ้นบันไดตามสหายทั้ง 5 ไป

การได้เดินทางมาแปลกถิ่น ก็เหมือนกับการได้เกิดใหม่ในสถานที่ไม่คุ้นตา ทุกอย่างรอบตัวน่าตื่นเต้นตื่นตา และยิ่งเจอปืนยิ่งระทึก มันกลับเป็นสิ่งที่เบียดความรู้สึกเศร้า หายไปจากใจ

                                                   …………………….…………………

จำนวนผู้มาเยือน

หน้าที่เข้าชม12,859 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด10,975 ครั้ง
ร้านค้าอัพเดท6 ก.ย. 2568

สมาชิก

พูดคุย-สอบถาม