หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 6 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 26 เม.ย. 2567 |
พยองยาง
มุมมองสายตา นาตาลี
มีนาคม ค.ศ.2025
จัตุรัส คิม อิล ซุง
พรรคแรงงานแห่งชาติเกาหลีเหนือ...ภายในห้องประชุมใหญ่โอ่โถงยิ่งใหญ่สมกับเป็นพรรคอันดับเดียวของชาติ ผ้าม่านสีแดงบนฝาผนังสีทองเป็นริ้วคลื่น ดั่งเสื้อคลุมของจักรพรรดิ
เวทีต่างระดับยกพื้นสำหรับเก้าอี้ผู้บริหารระดับสูง ด้านหลังเป็นรูปสัญลักษณ์จูเช ค้อน พู่กันและเคียวสีทองบนพื้นสีแดง ด้านล่างเป็นเก้าอี้เล่นระดับที่นั่งของบรรดาสมาชิกพรรคฯ
“สหายยุนจุนโด! ผมกลับมาแล้ว สหายทุกคน! พวกเรามีสหายผู้ร่วมอุดมการณ์ใหม่มาเพิ่ม” เขาโบกมือให้เพื่อนที่รวมกลุ่มกันอยู่ด้านล่างหน้าเวที
“สหายอึนซอก! พาใครมา?” กลุ่มผู้ต่อต้านจูยอนประมาณ 20 คนนั่งสุมหัวกันกินขนม
“สหายคิมมีโซ อยากจะเข้าร่วมกับพวกเรา” เขาตะโกนบอก
“กินด้วย!” สหายอีก 4 - 5 คนที่มากับเรา วิ่งกรูเข้าไปกินขนม ดูจากซากห่อขนมปังและถุงขนมขบเคี้ยวกระจายเกลื่อนพื้น พวกเขาน่าจะไปหยิบมาจากร้านค้าสำหรับนักท่องเที่ยวแน่ ๆ เครื่องดื่มน้ำดำและน้ำสีอื่น ๆ ปรกติชาวบ้านไม่มีสิทธิ์ได้กินของพวกนี้ สหายอึนซอกกำลังอธิบายเรื่องราวของพวกเราให้บรรดาสหายฟัง
“ยินดีต้อนรับ มากินขนมกัน” สหายยุนโด กวักมือเรียก
พวกเราเดินมองซ้ายขวาบนล่าง เข้าไปอย่างระมัดระวัง พื้นที่ภายในกว้างขวาง เก้าอี้เรียงลดระดับเหมือนโรงภาพยนตร์ลงไปเวทีใหญ่ด้านหน้า
พวกนี้มาอยู่กันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ และไม่มีอะไรน่ากลัว พวกเขาขาดทุกอย่างที่คนธรรมดาสมควรมี แต่ที่พวกเขามีคือความใสซื่อ โอบอ้อมอารี ความใสซื่อเช่นนี้จึงกลายเป็นเหยื่อ
เจ็ทโด้ก้มมากระซิบ...
“อย่าอยู่กับพวกมันเลย มันกู้ชาติไม่ได้หรอก” เขาอมยิ้มส่ายหัว
ฉันรู้สึกขัดใจหันไปตีแขน...
“อย่าไปดูถูกเขาสิ อย่างน้อยพวกนี้ก็รักชาติ”
นินจาสวนขวับ...
“พวกเขาเข้าใจคำว่าชาติผิดเพี้ยน การจงรักภักดีกับคนที่ไม่เคยลงมาเดินถนน ไม่ใช่รักชาติ” เขาตอบมาอย่างนี้ ฉันเงียบดีกว่า
เขาก้มลงมากระซิบ
“ผมคนเดียว พวกมันก็เอาชนะไม่ได้ จะเอาอะไรไปสู้จูยอน” เขาหัวเราะหึหึ ฉันกระทุ้งศอกไปทีเงียบกริบเลย
เราเดินมายืนต่อหน้าสหายจุนโด ชายร่างอ้วนตัวเตี้ย อายุราว 40 ปีท่าทางใจดีใบหน้ายิ้มแย้ม เขายืนหลังพิงเวที โค้งศีรษะให้…
“อันยองฮาชิมนิก๊า!”
“อันยองฮาเซโย” ฉันโค้งศีรษะตอบ
“อาหารก็หาไม่ค่อยได้แล้ว พวกมันมาขนกันไปหมด แบ่งกันกินประทังหิวไปก่อน” เขายิ้มแววตาเป็นมิตร กลุ่มนี้สนับสนุนผู้นำคนเก่า
ฉันเอื้อมมือหยิบขนมซองแล้วลงไปนั่งล้อมวงกับกลุ่มสหาย...
"ฉันไม่เกรงใจนะคะ” ฉันไม่สนใจสองหนุ่ม รู้สึกอุ่นใจท่ามกลางสหายใหม่ สหายผู้หญิงหน้าตามอมแมมสะกิดแขนแล้วยื่นถุงแครกเกอร์มาให้พร้อมยิ้มกว้างแววตาเป็นมิตร
“ทำไมสำเนียงของสหายถึงไม่เหมือนพวกเรา ทรงผมด้วย เสื้อผ้าก็แปลก ๆ” เสียงหนึ่งถามมา
ฉันเตรียมใจไว้แล้วว่า จะต้องมีคนถามเรื่องนี้ ...
“อ๋อ..ฉันทำงานระหว่างประเทศต้องประจำที่จีน สำเนียงเลยเพี้ยน ๆ ถ้าคุณต้องไปอยู่ที่อื่นนาน ๆ ก็จะเป็นอย่างนี้ เสื้อผ้านี่ก็ของถูก ๆ จากประเทศจีน ของไม่ดีหรอกสู้ของบ้านเราไม่ได้หรอก ท่านผู้นำของเราเก่ง” ฉันเข้าโหมดตอแหลได้แล้ว คราวนี้โกหกไม่มีสะดุด
“ใช่!...ลุงของผมก็ทำงานแบบนี้ พูดเพี้ยนไปหมด” เสียงทุ้มของหนุ่มในกลุ่มสวนออกมา /แอบคิดในใจ..ฉันมีคนเชื่อแล้วประเด็นนี้เลยตกไป/
ฉันไม่ปล่อยให้พวกเขาคุยกันเอง รีบชวนคุย...
“แค่นี้ยังน้อยไป เห็นผู้ชาย 2 คนที่มากับฉันไหม?” เริ่มตอแหลหนักขึ้น คลานเข่ายื่นหน้ากรอกตาหันไปมองสองหนุ่มแล้วสุมหัวกับพวกเขา
“โดนตัดลิ้นพูดไม่ได้ เขาใกล้ชิดท่านผู้นำสูงสุด จึงห้ามแพร่งพรายความลับ เขาถูกฝึกมาพิเศษ อย่าไปถูกตัวเขานะ มือเขาเป็นอาวุธฆ่าคนได้เลย” ฉันกระซิบกระซาบ
“ออม่อ!” พวกเขาตื่นเต้นตาโต ขนมค้างคาปาก
ฉันได้ทีตอแหลต่อ...
“วันนั้นนะ! งานประชุมผู้นำโลกที่จีน มีผู้ร้ายเดินข้ามเส้นมาหาท่านผู้นำสูงสุดของเรา หมายจะเข้ามาทำร้าย ถ้าเป็นสหายจะทำยังไงในสถานการณ์นั้น” ฉันส่งคำถามละลายพฤติกรรม มองหน้าทีละคน
“ผมจะเข้าไปหักคอมัน”
“ผมจะยิงมันด้วยหน้าไม้” ต่างคนต่างตอบ เพื่อท่านผู้นำพวกนี้สู้ตาย ฉันต้องเป็นพวกเดียวกันให้ได้ก่อน
“เห็นคนที่สวมหมวกมั้ย?” ฉันลุกขึ้นยืนตั้งท่า เตรียมแสดง...
“คนนั้น! กระโดดเข้าไปจับตัวของโจรไว้ อึ๊ย! ๆ ล็อคแขน ล็อคขา” ฉันแสดงท่าทางหักแขนหักขา เพื่อความสมจริง
“ออม่อ! แล้วยังไงต่อ?” พวกเขาตาวาว
“แล้วท่านผู้นำก็เดินอย่างสง่าเข้ามาช้า ๆ แล้วดีดนิ้วที่หน้าผากของผู้ร้าย” ฉันเลียนแบบท่าทางเดินอุ้ยอ้ายของผู้นำอ้วนแล้วทำท่าดีดนิ้ว พวกเขานั่งจ้องตาตื่น
“จึ๋ง!...”
“เชื่อมั้ย? ไอ้นั่นร่วงลงไป แล้วตายเลย ตายไปเลย!”เพื่อความสมจริง ฉันล้มลงชักกระตุกดิ้นกับพื้น ตาเหลือกลิ้นห้อย ตอแหลขั้นสุดเบอร์ 5
“เฮ! ท่านผู้นำสูงสุด เก่งที่สุดในโลก” เหล่าสหายปรบมือลั่น
ฉันลุกนั่งอย่างภูมิใจที่ตบตาคนได้ โกหกคนเป็นแล้ว มีคนเชื่อแล้วภูมิใจจัง
“สหาย! ก็อยู่ด้วยหรอ?” ใครสักคนถามมา
ฉันชะงัก...
“อยู่ค่ะ 2 คนนั้นเป็นลูกน้องของฉัน ต้องขอโทษไว้ก่อนนะ ถ้าเขาทำอะไรผิดพลาด ถ้าเป็นไปได้อย่าเข้าใกล้ดีที่สุด”
พวกเขาพยักหน้ามองไปหาทั้งสองคนอย่างชื่นชม ฉันเคลมเป็นหัวหน้าใหญ่ซะเอง
“เจอท่านผู้นำสูงสุดหรือยัง? มีใครเห็นบ้าง?” ฉันมีแผนในใจแล้ว ใช้ความซื่อของเขานี่แหละ
“ยังไม่เจอเลย ตอนนี้ไฟฟ้าติดมั่งดับมั่ง ส่วนมากจะติดตอนเช้าไปประมาณครึ่งวัน จนผู้หญิงนอกรีตนั่นพูดจบ ไฟฟ้าก็จะรวนไปทั้งเมือง แต่บางวันก็ติดทั้งวัน ที่บ้านเราไฟฟ้าเอาแน่นอนไม่ได้” สหายอึนซอกเดินเข้ามาตอบ
“ถ้าฉันจะไปข้างนอกจะอันตรายหรือไม่ วานสหายช่วยบอกที?”
อึนซอกขยับตัว...
“ถ้าเจอสหายคนอื่นให้บอกว่าเป็นสหายของผมจะไม่มีคนทำอันตรายสหายหรอก แต่ต้องระวังพวกที่แปรพักตร์ไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้นด้วย”
ฉันสังเกตมองไปที่กลุ่ม ในนี้มีเด็กวัยรุ่นชายหญิงหลายคน เสียดายจังที่พวกเธอเลือกมาอยู่ฝั่งความคิดโบราณ
“สหายอึนซอก! ฝ่ายแปรพักตร์ หน้าตาแตกต่างกับเราอย่างไร?” รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ฉันต้องถามเผื่อเอาไว้ก่อน
เขาทำท่าคิด...
“ไม่แตกต่างครับ!” เขาตอบแล้วเอียงคอคิด หลายประเทศก็เป็นเช่นนี้เชื้อชาติเดียวกันหน้าตาเหมือนกันรบกันเอง แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร
“สหายรู้ไหมคะว่า เธออยู่ที่ไหน? พวกเราจะได้ไปจับตัวเธอ ต้องเอาเลือดมาล้างแผ่นดินซะแล้ว” ฉันยืดตัวกัดริมฝีปาก กำหมัดแน่น //ได้ถ้วยนักแสดงยอดเยี่ยมแน่
“ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ไหน? แต่พวกแปรพักตร์อยู่รอบ ๆ ศูนย์กระจายข่าวด้านหลังโน่น พวกเรากำลังวางแผนโจมตีพวกมัน”
ฉันลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนปลุกใจ...
“สหายทุกคน จากนี้ไปเราต้องช่วยกันตามหาท่านผู้นำสูงสุด แล้วเราจะกำจัดคนนอกรีตและพวกแปรพักตร์ด้วยกัน” การกระตุ้นด้วยความรักชาติกับประเทศเผด็จการทหารไม่ใช่เรื่องยาก เสียงโห่ฮาถูกใจดังก้องห้องประชุม
“เราจะเชิญท่านผู้นำสูงสุดกลับมา” เสียงกระหึ่มห้องประชุม ถ้าฉันเดาไม่ผิด ผู้นำสูงสุดคงจะกลายเป็น Soulless ไปแล้ว
……………………………………….
ฟ้ามืดลงแล้ว...ด้านในอาคารที่พวกเขาประชุมวางแผนกัน ไฟฟ้าติด ๆ ดับ ๆ น่าเวียนหัว พวกเขาก่อกองไฟบนแผ่นสังกะสีบนพื้นพรมแดง ฉันแอบยิ้มกับกองกำลังกู้ชาติ
“ขึ้นมานั่งบนนี้สิ สหายคิมมีโซ” สหายจุนโด ผู้นำของกลุ่มต่อต้าน กวักมือเรียกให้ขึ้นไปนั่งข้างบน พวกเรานั่งล้อมวงใหญ่ประชุมวางแผนกันหน้าเวที ผู้เข้าร่วมนั่งบนเก้าอี้ด้านล่างประมาณ 200 คน
สหายจุนโดก้าวออกไปยืนกลางเวที...
“พวกเราต้องเข้าไปขโมยข้าวสารที่ไซโลด้านนอกเมือง” เขาเปิดฉากคุยกับทุกคนด้านล่าง เขาเป็นคนพูดน้อย เป็นที่เกรงใจของสหายในกลุ่มนี้
“อาวุธของพวกเราก็มีจำกัด อาหารก็หมดแล้ว หายากลงทุกที อดทนกันหน่อยนะ” เขาบอกสีหน้าเครียด
ด้านล่างขยับตัว...
“ผมคิดว่า พวกเรากลับบ้านนอก รวบรวมคนมาโจมตีมันดีกว่ามั้ยครับ?” สหายนายหนึ่งพูดขึ้น
“พวกต่างจังหวัดไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านผู้นำ พวกเราเองก็ยังสับสนต้องหาคนมาเพิ่ม” เสียงสนับสนุนไปทางเดียวกัน
“ถ้าเราไม่ขัดขวางมันตอนนี้จะไม่ทันการณ์ ใครจะอาสาไปขนข้าวสาร?” จุนโดไม่ฟังคำทัดทาน แต่ข้างล่างก็ไม่มีคนยกมือ
“พวกเลื่อนลอยนั่น อยู่ดีกินดีกว่าพวกเราอีก พวกแปรพักตร์ทำอาหารให้กินตลอด 24 ชั่วโมง” หนึ่งในนั้นบ่นเสียงดัง พวกเลื่อนลอยคงหมายถึง Soulless
“ผมไปดูมาแล้ว ข้าวสารเหลือนิดเดียว พวกมันขนเข้าเมืองมาหมดแล้วอยู่ที่ห้องแถวใต้หอกระจายข่าว อาวุธอาหารและเครื่องใช้ต่าง ๆ พวกมันขนมาเก็บไว้ที่นั่นหมด อย่าเสียเวลาไปไซโลเลย เข้าปล้นพวกมันดีกว่า” สหายผู้ชายวัยหนุ่มลุกขึ้นยืน
“ผมไปที่รถขนอาวุธสวนสนาม ปืนที่เราเห็นเป็นของปลอมทั้งหมด จรวดขีปนาวุธ ฮวารัง 8 นั่นก็เป็นพลาสติก” เขาส่ายหัว
จุนโดขยับ...
“พวกมันบีบให้พี่น้องเราอดอยาก และต้องยอมจำนนไปเรื่อย แสบนักนะนางปีศาจหน้าขาว จับได้จะฉีกให้เป็นชิ้นเลย” เขากัดฟันกรอด หมายหัวจูยอน
ฉันอมยิ้มในใจก็ขำ จูยอนเล่ห์เหลี่ยมไม่เบาเหมือนกันเก็บอาหารไว้คนเดียว
“สหายจุนโดอาวุธของเรามีมากไหม?” ฉันร้องถามพยายามมองหาสหายอึนซอก หายไปไหนกันนะ?
“มีปืนยาวอยู่ 80 กระบอก” เขาหันมาบอก ฉันคิดในใจ...เอาไปทำไม้ฟืนเถอะ กองกำลังกู้ชาติทำไมขัดสนข้นแค้นอย่างนี้วะ?
“พวกมันคุมสถานที่สำคัญไว้หมดแล้ว เราจะเริ่มจากไหนก่อน?”เสียงถามจากด้านล่าง
ฉันยกมือตอบ...
“เราต้องไปเอาอาหารก่อน ฉันขออาสาไปเอาอาหาร ฉันเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ใครจะกล้าขัดขวาง” ฉันเชื่อว่าจูยอนต้องอยู่แถวนั้นแน่
“ผมไปด้วย! ฉันไปด้วย!” มีผู้ขอติดตามไปด้วยอีก 4 - 5 คน
ฉันยกมือถามอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย…
“ฉันสงสัยว่าเราจะขึ้นไปบนหอกระจายข่าวได้ยังไง?” หันไปปรึกษาสหายจุนโด
“ข้างบนนั้น ไม่น่าจะมีอะไรหรอกครับ คุณจะขึ้นไปทำอะไร?” เขาหันมาถามกลับ
ข้างล่างมีคนยกมือ
“คิมจุนซอง! มันเฝ้าโกดังไม่ห่างไปไหน เราต้องหาวิธีจัดการกับมันก่อน” เขาเอ่ยชื่อใครสักคนที่ฉันไม่รู้จัก
ทันใดนั้น...
“สหายจุนโด!” เสียงตะโกนเรียก พวกเราทั้งหมดหันไปมองที่ประตูใหญ่ทางเข้า
สหายอึนซอกวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาอย่างเร็ว
“พวกเรา! คืนนี้ระวังตัวด้วย โกมีทัก! มันสั่งให้คนออก ลาดตระเวน” เขาละล่ำละลักหอบเหนื่อย สายตากังวลหนักมาก…
“ผมไปแอบได้ยินพวกมันคุยกัน ตอนไปขโมยอาหารที่หอฯ” เขายังหอบเหนื่อยหายใจไม่ทัน
“งั้น! พวกเราเลิกประชุมแยกย้ายกันไป อย่าออกมาเดินเพ่น พล่าน พวกมันไม่สงสัยในนี้หรอก มันเคยมาหาหลายรอบแล้ว” สหายจุนโดโบกมือไล่ สหายร่วมอุดมการณ์พร้อมใจกันลุกเดินแยกย้าย
“พรุ่งนี้! ใครที่อาสาไปช่วยสหายคิมมีโซ ก็อย่าลืมนะ” เขาตะโกนตามหลัง
“คุณก็ต้องระวังตัวนะครับ” เขาหันมาบอก
“ค่ะ!” ฉันโค้งหัวให้แล้วเดินออกมาหาสองหนุ่ม
พวกเขานั่งกินขนมไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว บนเก้าอี้กลางห้องประชุมใหญ่ ไกลจากฉันพอควร
“สองหนุ่ม นอนที่ไหน?” ฉันทักเมื่อเดินมาถึง หันไปมองรอบด้าน ตื่นเต้นกับคืนแรกของการนอนในเกาหลีเหนือ
นินจาเสนอหน้ามา...
“นอนกับคุณ คุณนอนตรงไหนผมนอนตรงนั้น” เขาพูดได้ขัดใจมาก ไม่ชอบใจเลยที่ตอบอย่างนี้ ฟังสองแง่สองง่าม ลามปามปีนเกลียว
ฉันคงดีกับเขามากไปแล้ว...
“ไม่ใช่เพื่อน! อย่ามาเล่น” ต้องเว้นระยะห่าง ตอนนี้ฉันเป็นหัวหน้า บ้าอำนาจซะหน่อย
“ผมพูดจริง” เขายังหน้ามึนตอบกวนใจกลับมา
“ถ้าไป่ไป๋อยู่ด้วย จะให้ตีให้หัวแตกเลย” ฉันจ้องหน้า
“พูดเก่ง! เดี๋ยวก็ร้องไห้อีกหรอก”
“อ่ะ!” ฉันเสียวใจ แวบคิดไปถึงเธอรีบดึงสติกลับมา /ไอ้นี่กวนตีนใหญ่แล้ว/
เจ็ทโด้ยืนหมุนตัวมองอยู่ข้าง ๆ เอ่ยเบา ๆ...
“ผ่านคืนนี้ไป หาทางไปที่อื่นเถอะ อย่ามาเสียเวลากับพวกนี้เลย ผมว่ามันไม่รู้เรื่องอะไรหรอก”
หอประชุมกว้างใหญ่ พรมแดงปูเต็มพื้นที่เก้าอี้นั่งเป็นแถวยาว แสงไฟเพดานริบหรี่ พวกกู้ชาติแยกย้ายกันไปหมดแล้ว แหงนมองขึ้นเห็นชั้นสองโล่งน่าจะนอนได้ กระแซะเข้าหาพี่ชาย...
“เจ็ทโด้! มานอนข้างฉันนะ” ฉันนอนกับพี่ชายดีกว่า อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่ฉันวางใจมากที่สุด
เขาพยักหน้าเดินกางแขนเข้ามา ฉันยิ้มรีบซุกตัวโอบเอวเดินตามขึ้นบันได เขาเดินไปกระชากธงจูเช่จากผนังลงมา แล้วลากถูลู่ถูกังออกมาระเบียงลานหินอ่อนด้านนอก
“พรึบ!” ไฟฟ้าสว่างขึ้นมาอีกครั้ง นินจาหายหัวไปไหนแล้ว สมชื่อจริง ๆ หายตัวตลอด ทำตัวเป็นนินจาแวบไปแวบมา
เราช่วยกันปูผ้านอนใต้ชายคาระเบียงนอกอาคาร บนพื้นลานหินอ่อนกว้างใหญ่
“ตรงนี้น่าจะเป็นจุดยืนปราศรัยของท่านผู้นำมั้ง?” เขาปูผ้าแดงชิดผนัง
“ตึกโน้นมั้งคะ คุ้นตามากกว่า” ฉันชี้ไปที่ห้องสมุดประชาชนทางขวามือเอาเป้วัคซีนหนุนหัว นอนทอดสายตามองออกไปยอดตึกศิลปะฝั่งตรงข้าม จอภาพLED Displayบนผนังตึกกำลังฉายภาพยนตร์เกาหลีใต้
ฉันคิดในใจว่า ก็ใช้ได้นะวิธีนี้ ภาพยนตร์ต้องห้ามพวกนี้ ถ้าในยามปรกติ ทั้งคนฉายทั้งคนดูคงโดนยิงทิ้งไปแล้ว พลิกตัวหันไปหาเจ็ทโด้ ทางซ้าย มันมีบางเรื่องที่กวนใจมาตลอด
“คุณว่า ที่อเมริกาจะมีสภาพแบบนี้ไหมคะ?” ฉันเอาผ้าม่านมาหมุนพันตัว กลมเป็นหนอนกล้วยโผล่มาแต่หัว อากาศฤดูหนาวช่างโหดร้าย
เขาหมุนพลิกตัวหันมา
“ทั้งโลกตกอยู่ในสภาพแบบนี้หมด ยกเว้นจีน” เขาเองก็อยู่ในสภาพหนอนกล้วยเหมือนกัน
“ไม่อยากจะเชื่อว่า อเมริกันจะแพ้สงคราม พวกเขามีกองทัพที่เกรียงไกร ฉันเชียร์อเมริกันนะคะ”
“สงครามสมัยใหม่ ใครมีเทคโนโลยีดีกว่าก็ชนะ ผมเชื่อว่าจีนต้องมีอาวุธที่เหนือกว่า”
“หรือว่าจะเป็นนกหวีด”
“เป็นไปได้มาก แต่ไอ้บอลลูนนั่นมันบรรทุกอะไรไปก็ไม่รู้?”
“ตึง!” เจ้านินจาผลักประตูออกมา เดินคลุมหัวตัวโย่งสูงเงาทะมึนอย่างกับปีศาจ...
“ลืม! อเมริกาไปได้แล้วครับ ไม่มีดินแดนเสรีภาพบนโลกใบนี้อีกแล้ว” รู้ไปหมด รู้ทุกเรื่อง
“คุณรู้ได้ยังไง?” ฉันขึ้นเสียงใส่ ไอ้นี่แสนรู้
“จูยอนบอกว่า บอลลูนที่ทุกคนเห็นเป็นของเธอ พวกเขาก้าวข้ามนกหวีดไปนานแล้ว”
“อะไรของคุณ?” หมั่นไส้ท่าทางไอ้หมอนี่จริง ๆ
“คุณเคยได้ยินหรือรู้จัก Golden wave มั้ยครับ?”
“อะไรเหรอ แจ็ค?” เจ็ทโด้โผล่หัวออกจากผ้า
“มันเป็นแคปซูลทองคำ ใหญ่กว่านิ้วโป้งมือนิดเดียว มันฉายภาพโฮโลแกรมกับเสียง 1 เม็ดกินพื้นที่ครึ่งกิโลเมตร บรรทุกไปบนบอลลูนนั้น”
“..........” ฉันเงียบกริบ พวกเขาก้าวข้ามนกหวีดไปแล้วจริง ๆ
“มนุษย์ถึงคราวอวสานอย่างที่จูยอนเคยบอกพวกเราไว้จริง ๆ ผมยังจำได้ เธอเคยบอกว่าถ้าเธอไม่ทำก็มีคนทำ เห็นหรือยังดอกเตอร์?” เจ็ทโด้มองหน้า ฉันได้แต่ทำตาปริบ ๆ
นินจาตัดบท...
“เลิกคิดเรื่องนอกประเทศเหอะ จูยอนจะแก้ปัญหานี้ยังไง? คนจงรักภักดีท่านผู้นำมีอีกเพียบ เด็กมัธยมบานเลย คนต่อต้านพวกนี้คงไม่ยอมง่าย ๆ” สิ่งที่ฉันสัมผัสได้ นินจารักและห่วงใยจูยอนมาก
“เธอบอกกับผมว่า จะอยู่ที่ Room 39 ที่อาคารนี่แหละ ผมขึ้นไปดูมาแล้วบ๋อแบ๋ ตอนนี้ติดต่อเธอไม่ได้แล้ว” ดูท่าเขาจะซีเรียสไปซะทุกอย่าง ฉันเอื้อมมือสะกิดเจ็ทโด้...
“พรุ่งนี้เราไปหาจูยอนกันนะ” ฉันหาคนที่คิดบวกดีกว่า
เขาขยับตัว พยักหน้ายิ้มกว้าง...
“จูยอนสวยมากเลยเนอะ? เท่มากด้วย” เขายิ้มแววตาประกายจ้า ทำตัวแปลกนะพี่ชาย ปรกติหงอยเป็นไก่ป่วยเลย
“คุณชอบจูยอนเหรอคะ?” ถามซะเลยจะได้ไม่ต้องค้างคาใจ
“ไม่ได้เหรอ? ผมคนโสด” เขายิ้มหวานมองฟ้า ตอนนี้พี่ชายของฉันเปลี่ยนไปจริง ๆ ด้วย แต่ก็ช่างเถอะไม่ใช่เรื่องด่วน ถ้าเขาชอบกันจริง ๆ ก็ดีสิ ทั้งสองคนจะได้ไม่เหงา ต่างก็เป็นเพื่อนที่ดีของฉันทั้งคู่
นินจาโพล่งผ่าวงเข้ามา...
“โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ ติดต่อเธอไม่ได้ คิดหรือยังจะทำยังไงต่อ?” เขาเสียงดุหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
ฉันเหลือบตามองเจ็ทโด้...เขาไม่สนใจนอนดูภาพยนตร์เฉย ไฟฟ้าในเมืองติด ๆ ดับ ๆ อยากรู้จัง..จูยอนคิดอะไรอยู่นะ?
“วันนี้ฉันถามสหายอึนซอกแล้ว เขาไม่รู้ว่าจูยอนเป็นใครและอยู่ที่ไหน? พวกที่เชื่อจูยอน ตอนนี้คงล้อมศูนย์กระจายข่าว เราต้องไปหาพวกนั้นนะคะ” ฉันหันไปปรึกษาเจ็ทโด้
“ตึง! ตัง! โครม! คราม!” เสียงอึกทึกดังจากด้านในห้องประชุม
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!” ใจหายวาบ เสียงปืนดังต่อเนื่องทำให้พวกเราตื่นตัว
“ฟึ่บ!” เจ็ทโด้พุ่งตัวเข้าไปด้านในอาคาร…
“อารักขา! นาตาลี!” เขาหันมาบอกนินจาแล้ววิ่งหายเข้าไปด้านใน
นินจาพาฉันเดินเลาะผนัง เข้าตัวอาคารมาแอบในซอกแคบมืด ๆ ห้องนี้น่าจะเป็นห้องเก็บของแม่บ้าน กระป๋องน้ำกับไม้ถูพื้นพิงอยู่ข้าง ๆ เราเข้าไปยืนเบียดกันในห้องแคบที่มืดมิด
ฉันแอบคิดในใจ นี่..เขาแอบวางแผนไว้ล่วงหน้าหรือเปล่าเนี่ย?..เมื่อกี๊ก็พูดสองแง่สองง่าม ตอนนี้ก็พาเข้ามาห้องเล็กนิดเดียว เรายืนหันหน้าเข้าหากัน ต่างคนก็พยายามจะถอยหลังพิงฝา
ฉันรู้สึกเหมือนมีแมลงมาไต่หยุกหยิกที่เท้ารีบยกเท้าขึ้น...
“อุ๊ย!” ตกใจร้องออกมาพร้อมยกขาซ้ายขึ้น
“อุ๊บ!” เวรของกรรม หัวเข่าของฉันกระแทกเข้าตรงเป้ากางเกง เขาตัวงอก้มหัวโขกลงมา...
“โป๊ก!” หัวเขาโขกหน้าผากฉันเต็ม ๆ
“โอ้ย! เจ็บนะ!” ฉันพยายามจะก้มเอามือปัดเท้า เบียดไปเบียดมาก็กอดกันอัตโนมัติ ใบหน้าฉันแนบหน้าอกของเขา ในใจของฉันไม่ได้คิดอะไร เขาก็ทำหน้าที่เขา /แต่ทำไมกลิ่นตัวคุ้น ๆ หรือฉันบ้าผู้ชายอีกแล้ว/
“อยู่นิ่ง ๆ สิครับ ยกขาขึ้น”
ฉันยืนเอาหลังพิงฝายกเท้าขึ้นมา เขาก้มหน้าเอื้อมมือลงไปลูบที่ขากางเกงไล่ไปปลายเท้า
“ตัวอะไรไม่รู้ไต่ที่เท้า” ฉันกระซิบ
“ไปแล้วล่ะ” เขาปล่อยขาฉันลง เสียงข้างนอกเงียบไปแล้ว เราสองคนก็เงียบจนรู้สึกอึดอัด ลองคุยกับเขาก่อนดีกว่าอย่าอยู่อย่างนี้เลย “ขอถามหน่อยสิคะ ทำไมคุณถึงไปเป็นทหารรับจ้าง”ฉันถามทำลายความเงียบ ใจจริงก็ไม่ได้อยากรู้เลย
“ผมคิดว่า กฎหมายไม่ให้ความยุติธรรม ผมเองก็เรียนจบกฎหมาย แต่ผมไม่เชื่อมันอีกแล้ว มันแก้ปัญหาไม่ได้”
“เพื่อนฉันก็เรียนจบกฎหมายจากอังกฤษ เขาเป็นนักเรียกร้องประชาธิปไตยด้วยนะ เขาใจดีมากชอบช่วยเหลือคน” ฉันแอบคิดถึงแทน อวดเขาซะหน่อย
“เหรอครับดีจัง คนที่เคยบอกว่าเหมือนกับหรือเปล่า?” เสียงของเขาตื่นเต้น ฉันไม่คุยเรื่องนี้ดีกว่า...
“เออนี่!..นินจาทงมู! ฉันรักษาแผลเป็นบนใบหน้าให้เอาไหม? หายแน่นอน ฉันรับรอง” ฉันยิ้มในความมืด เขาส่ายหน้าปฏิเสธซะงั้น
ฉันแอบคิดในใจ จะเก็บไว้ทำไม? มันน่าภูมิใจตรงไหน? หน้าตาน่ากลัวจะตาย ยิ่งตอนนี้มืด ๆ...ไม่กล้าเงยหน้าเลย
“ฟรีนะสหาย ฉันไม่เก็บเงินหรอก” ฉันเสนอตัว เขาเคยช่วยจูยอน ฉันช่วยเขาบ้างจะเป็นไรไป.
“ไม่ได้ครับสหาย”
“ทำไมคะ?” ฉันแปลกใจกับคำตอบ โอกาสมาถึงแล้วนะ ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปจะคว้าโอกาสนี้ทันที
“เดี๋ยว!หมาจำหน้าไม่ได้” เขาตอบได้กวนตีนมาก
“งั้น! ก็อยู่กับหมาไปเหอะ!”
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” ยังมีหน้ามาหัวเราะอีก
“เอาไว้คุณสบายใจ หายเศร้าแล้ว ผมจะรักษาครับ”
“ตามใจ” ฉันไม่สนหรอก อยากเป็นปีศาจก็เป็นไปเถอะ
เสียงคนวิ่งมา...
“แจ็ค! นาตาลี!” เสียงเจ็ทโด้เรียก
“ตึง!” ฉันรีบผลักประตูออก โล่งใจที่ได้ออกจากห้องแคบ
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉันชิงถามก่อน
“วิ่ง...ไปเร็ว แจ็ค!” เขาสั่งนินจา แล้วจูงมือฉันวิ่งลงบันไดลงไปหน้าอาคาร
พอเท้าแตะพื้นถนนด้านล่าง...
“หยุด! ยกมือขึ้น” เสียงดังของผู้ชายมาจากมุมมืดข้างบันไดก้าวออกมาขวางพร้อมปืนยาวในมือ
“เหวอ!” ฉันหยุดวิ่งกะทันหันจนลื่นสไลด์ ชูมือสูงเหนือหัว อะไรจะซวยขนาดนี้ หันไปหาสองหนุ่มแล้วเอื้อมมือไปดึงเขาเพื่อพยุงตัว
ฉันเป็นหัวหน้าต้องปกป้องสองคนนี้...
“มายืนใกล้ๆ ฉันจัดการพวกนี้เอง” ฉันยืดอกสู้รู้สึกมั่นใจตัวเองมาก หันไปยิ้มใจดีสู้เสือ...
“ใจเย็นสหาย! เราพวกเดียวกัน ผู้นำสูงสุดจงเจริญ อายุยืนหมื่นปี” ฉันเดินเข้าไปเริ่มเจรจาทันที
หันกลับไปยักคิ้วให้เจ็ทโด้เผื่อเขาจะได้คลายความกังวล สงสัยต้องเข้าโหมดตอแหลอีกแล้ว อิอิ!..ชักชอบ
“คุณอยู่กับใคร?” หนึ่งในชายสามคนถาม
“ฉันอยู่กับสหาย อึนซอก!” ฉันตบไหล่เขา เพื่อตีสนิท
เขาเบี่ยงตัวหลบ...
“อ้าว! พวกดักดานหรอกเหรอ? จับตัวพวกมันไป” เขาสั่งเสียงลั่น
“ห่ะ!” ฉันถอยหลังกรูด
พวกเขาโผล่มาอีกห้าคน เดินเข้ามาประกบ พวกนี้มีกันหลายคนเลยนี่นา
“ฉันเป็นเจ้าหน้าที่รัฐนะ!” ฉันควักป้ายโชว์
“จับอีเจ้าหน้าที่นี่ก่อนเลย” พวกเขากรูเข้ามาล็อคกุญแจมือ ผิดคาดไอ้พวกนี้ไม่ชอบเจ้าหน้าที่รัฐ
ฉันเดินคอตกตามมันไป เจ็ทโด้ก้มมากระซิบ..
“สหายนาตาลี! นี่แผนของคุณเหรอ?”
“No.!” ฉันขัดใจมาก โดนมัดมือไพล่หลังหน้ามุ่ยก้มหน้าเดินตาม
ไฟฟ้าดับไปนานแล้ว ท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือกรุงพยองยางมืดมิดไร้แสงดาว เงาดำทะมึนของหมู่ตึกดูดั่ง เงาของปีศาจที่ครอบงำเมือง เดินผ่านกลุ่มเลื่อนลอย สาว ๆ ยังอยู่ในชุดฮันบกยืนเบียดกันในมุมมืด
น่าแปลกที่พวกนี้ยังมีสภาพเหมือนคนปรกติ ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า ร่างกายไม่พุพอง ดวงตาปรกติ ตอนนี้คนที่เชี่ยวชาญเรื่อง Tamer30 และ Soulless น่าจะเป็นจูยอน เธอทำยังไงนะ?
พวกเขาพาเดินผ่านหลังอาคารที่ทำการพรรคแรงงานฯ เข้าตรอกเล็กซอยน้อย ข้าวของล้มระเนระนาดระเกะระกะ รูปภาพท่านผู้นำไหม้ไฟกองบนพื้นไร้ค่า
เราเดินทะลุออกมาถึงถนนวงเวียน อาคารพาณิชย์ล้อมรอบ หอกระจายข่าวเสากลมตั้งสูงเด่นเป็นศูนย์กลางอยู่ด้านใน เขาผลักฉันเข้าไปในอาคารสูงซึ่งอยู่กันคนละฝังถนนกับหอกระจายเสียง
เดินเข้ามาในอาคารมืด พวกเขาพาเข้าห้องกระจกด้านซ้าย ป้ายด้านหน้าห้องเขียนว่า ฝ่ายสินเชื่อ
“คืนนี้ อยู่ในนี้ก่อนนะ!!!” เขาผลักพวกเราเข้าในห้องแล้วเดินออกไป
แสงไฟก็สลัวมองอะไรไม่ค่อยชัด สังเกตดูจากห้องต่าง ๆ แล้วที่นี่น่าจะเป็นธนาคาร เดินไปทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นข้างโต๊ะทำงาน คิดในใจ...เริ่มซวยอีกแล้ว
นินจาเดินเอามือไขว้หลังเข้ามาแล้วก้มหน้าลงมาใกล้...
“สหายนาตาลี! bad job. ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ” เขาหัวเราะได้กวนตีนมาก แล้วนอนยืดยาวบนโต๊ะทำงานทั้ง ๆ ที่โดนมัดมือไขว้หลัง น่าเจ็บใจนักโดนไอ้ยักษ์หัวเราะใส่
อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจ ที่พวกมันไม่ได้ใช้ความรุนแรง พวกเขาเป็นชาวบ้านเหมือนกับกลุ่มแรก แต่แต่งตัวดูดีกว่ากันมาก ภาวนาในใจขอให้พวกเขาเป็นเพื่อนของจูยอนทีเถอะ ไม่ไหวจะวิ่งแล้ว//
..........................................................
หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |