หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 7 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 21 พ.ค. 2567 |
ไฮซาน
มุมมองสายตา ชเว จูยอน
พฤศจิกายน ค.ศ.2025
ค่ายกักกันหมายเลข 18 ฮวาซอง...
ทิศตะวันออกของเกาหลีเหนือ กองกำลังต่อต้านเริ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ ไฟสงครามเริ่มก่อตัวภายในกลุ่มผู้จงรักภักดีท่านผู้นำสูงสุดในชนบทอยู่ไกลเกินกว่าจะได้รับข่าวสาร ค่ายกักกันเชลยถูกจัดตั้งเป็นกองกำลังกู้ชาติ ฉันไม่อยากที่จะใช้กำลังกับพวกเขาเลย ส่งทหารมานัดผู้นำราษฎรฝ่ายต่อต้านให้ออกมาเจรจากัน ปรึกษากับเจ็ทโด้ไว้ว่าจะใช้ไม้นวมต้องใช้การเจรจาเพื่อจะได้ไม่ต้องปะทะกัน
หัวหน้ากลุ่มผู้ชราภาพเดินองอาจนำหน้าเหล่าผู้กล้าก้าวเข้ามาในสำนักงาน พรรคพวกของเขาตั้งแถวเต็มพื้นสนามหน้าอาคาร ฉันลุกยืนโค้งศีรษะให้กับสหายผู้ต่อต้าน...
“อันยองฮาเซโยยอลาบูน ชเวจูยอนอิบนิดะ ขอจงรับความเคารพจากฉันด้วย” ทั้งหมดเข้านั่งประจันหน้าฝ่ายละ 4 คนในห้องกระจายเสียงของค่ายกักกันหมายเลข18 ฮวาซอง
พวกเขาหน้าตาถมึงทึงตัวตึงพร้อมบวก สายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ซึ่งต่างฝั่งเราที่มีแต่รอยยิ้มและไม่มีความรู้สึกเกรงกลัว
หัวหน้าราษฎรชรายืนยืดอก...
“คิมนาฮง หัวหน้าราษฎรฮวาซองโด” เขาแนะนำตัวเองแบบทื่อ ๆ แล้วเมินหน้ามองไปที่กองหนุนของตัวเองที่สนาม คงมั่นใจตัวเองมากที่พวกเยอะ สมุนอีก 4 คนเมินเฉย
ฉันยังคงยิ้มให้พวกเขา...
“ทงมู! ถ้าไม่อยากรู้จักกัน ไม่ต้องแนะนำตัวก็ได้ค่ะ” คุยกับมนุษย์ลุงต้องใจเย็นๆ...
“อาจอชี่ทงมู! พวกเรามาเพื่อขอเจรจาป้องกันการเข้าใจผิด ฉันในฐานะตัวแทนของพยองยาง ยินดีตกลงตามเงื่อนไขที่ท่านเสนอ เพื่อความเป็นชาติเกาหลีใหม่” ส่งยิ้มกับผู้ต่อต้านทั้ง 4 คน
“มันเกิดอะไรขึ้นที่พยองยาง?” ผู้อาวุโสท่าทางข่มขู่เกรี้ยวกราด
“สายลมแห่งความหนาวเหน็บได้พัดเลยผ่านประเทศของเราไปแล้ว ตอนนี้สายลมแห่งความอบอุ่นของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงกำลังโอบรัดพวกเราไว้ ข้อเสนอของสหายคืออะไรคะเชิญว่ามา?” ฉันผายมือไปที่ผู้อาวุโส
“ข้านั่งดูสวนสนามในวันนั้นที่สถานีตำรวจฯ เห็นเจ้าขึ้นไปเป่านกหวีดคนเป็นบ้ากันไปหมด สหายตำรวจในสถานีวันนั้นก็เป็นบ้าไปด้วยไล่ทุบตีชาวบ้านและสหายข้าราชการทั้งเมืองก็กลายเป็นคนเลื่อนลอย” สงสัยเจองานยาก...น่าจะเหนื่อยอีกแล้ว...
“เกาหลีเหนือถึงช่วงเวลาของการเบ่งบานต้องการความร่วมมือของพี่น้องเพื่อสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่ คุณลุงมาช่วยกันสิคะมาช่วยกันวางรากฐานให้กับคนรุ่นต่อไป เราจะอยู่กันอย่างมีความสุขใต้ผืนฟ้าที่คุ้นเคย โดยปราศจากความกลัวจากกฎหมายความมั่นคง”
เขาจ้องหน้า...
“ด้วยจิตวิญญาณของเกาหลีเหนือ เราจะนำท่านผู้นำสูงสุดกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ประเทศเกาหลีต้องอยู่ภายใต้ร่มบารมีของตระกูลคิมเท่านั้น พวกเราเป็นหนี้บุญคุณเจ้าของแผ่นดิน ข้าไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง”
“ครอบครัวของท่านร่ำรวยสุขสบายกันทุกคนใช่ไหมคะ? ทำงานมาทั้งชีวิตได้เป็นเจ้าของรถยนต์สักคันไหม?”
“เอ่อ!!” เขากรอกสายตาหลุกหลิก สวนกลับ...
“เจ้ามันพวกบูชาวัตถุไม่มีรถยนต์ข้าก็เดินได้ พระเจ้าสร้างขามาให้ไว้เดินไม่เดินจะเป็นง่อย”
“อาจอชี่ทงมู! ได้เข้าวัดสวดมนต์ทำบุญให้บรรพบุรุษอย่างที่ใจปรารถนาหรือเปล่า?”
“ถึงจะไม่มีวัดแต่พระก็อยู่ในใจ การเคารพท่านผู้นำก็ไม่ต่างจากไหว้พระหรอก ได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงกว่าด้วย” ข้อแก้ตัวพวกนี้ถูกคิดมาเป็นชุดสำเร็จรูปเพื่อปกป้องอคติในใจ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาโดนจำกัดสิทธิในการถือครองทรัพย์สิน ถูกลิดรอนความเชื่อ และฯลฯ
“การยอมจำนนอย่างนั้น ไม่ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงนะคะ”
“เจ้าเห็นการจงรักภักดีเป็นเรื่องยอมจำนนอย่างนั้นเหรอ?” เขากล่าวเสียงกร้าว
“อืม!” พรรคพวกพยักหน้าเห็นด้วย IO ของทางรัฐหยั่งรากฝังลึกมากและยังคงทำหน้าที่ในใจพวกเขาอย่างแข็งขัน
ฉันเลิกคิ้วสูงเอามือเท้าคาง การที่จะบอกกกับคนที่กลัวผีว่าผีไม่มีจริง มันเป็นไปไม่ได้เลย...
“อาจอชี่ทงมู! ถ้าโกรธเกลียดฉันก็ไม่เป็นไรนะคะอีกไม่นานสหายคุณลุงคิมจุนซองก็จะจัดการเลือกตั้งผู้นำแล้วค่ะ ไปช่วยกันคิดและลงสมัครให้ชาวบ้านได้เลือกผู้นำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน คุณลุงก็สามารถจะเป็นผู้นำสูงสุดได้นะคะ” ฉันอธิบายอย่างใจเย็น
“อุ๊ย!ล้มล้างการปกครอง” ลูกน้องของเขาขมวดคิ้ว
ลูกน้องอีกคนที่นั่งข้าง ๆ ทนไม่ไหวลุกพรวดชี้หน้าฉัน...
“ชนชั้นต่ำอย่างเธออย่าเอาตัวไปเทียบกับท่านผู้นำ หัดเจียมเนื้อเจียมตัวกันด้วย ตำแหน่งนั้นเลือกไม่ได้เป็นสิทธิ์ขาดของตระกูลคิมเท่านั้น”
อีกคนลุกขึ้นท่าทางสู้ตาย...
“จะมากไปแล้ว! เธอจะมาจัดการเลือกตั้งตามใจโดยที่ท่านผู้นำไม่อนุญาตไม่ได้ ผมไม่ยอม! ข้ามศพผมไปก่อนเถอะพวกสหายไม่เคยสำนึกในความรักความกรุณาของท่านผู้นำสูงสุดเลยสินะ”
สหายชายชราขยับพูด...
“ข้าไม่เชื่อเจ้าสักนิด ข้าไม่เห็นด้วยกับเจ้าเลย ถ้าจะเปลี่ยนผู้นำก็ต้องเป็นน้องสาวของท่านไม่ใช่เลือกจากคนชั้นต่ำและไม่ใช่เจ้าแน่ ๆ เจ้าไม่ได้มาจากตระกูลคิม เราต้องการผู้สืบสายเลือดจากเทพสวรรค์” เขามองด้วยสายตาหยามเหยียด ดวงตาคู่นั้นไม่มีความปรานีเลย //งานยากซะแล้ว//
ฉันสูดลมหายใจหันมองหน้าสหายโกสหายอึนซอกและสหายคุณลุงที่มองอย่างให้กำลังใจฉันต้องผ่านบททดสอบนี้ต่อหน้าพวกเขา
“ท่านผู้นำสูงสุดจะไม่ยุ่งกับการเมืองอีกแล้ว ท่านให้ฉันมาเป็นตัวแทนในการเจรจา อาจอชี่! มาทำงานด้วยกันสิคะ ฉันต้องการคนที่รักชาติและนำพาประเทศเดินต่อไป ดีกว่าจะหยุดยึดโยงกับอดีตนะคะ” ฉันพยายามหาทางออก สื่อสารอย่างใจเย็น
“กว่าตระกูลของท่านผู้นำจะรวบรวมชาติและต่อสู้จากการรุกรานของอเมริกาต้องใช้เวลานานขนาดไหน บรรพบุรุษของท่านผู้นำเสียสละเพื่อชาติมาอย่างไร เจ้าไม่เคยเรียนประวัติศาสตร์บ้างหรือไง? เราต้องเสียฝั่งใต้เพราะใคร?”
“ตอนนี้ฝั่งใต้ล่มสลายไปแล้วค่ะ เรามาช่วยกันรวมชาติดีกว่ามั้ยคะ? เป็นโอกาสดีที่เราจะได้นำพี่น้องที่พลัดพรากกลับมา ชื่อของคุณลุงจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติในฐานะวีรบุรุษ” ฉันสื่อความหมายไปเพื่อต้องการความช่วยเหลือ แต่พวกเขากลับคิดไปอีกอย่างดีใจจนออกนอกหน้า ระริกระรี้รื่นเริง...
“ฝั่งใต้ล่มสลายแล้วเหรอ? สมน้ำหน้าพวกมันไอ้หมารับใช้อเมริกา ขายวิญญาณเป็นทาสรับใช้คนต่างชาติ ไอ้พวกทุนนิยม ท่านผู้นำส่งจิตไปถล่มมันน่ะสิ บอกแล้วว่าอย่าให้เหลืออดท่านผู้นำสูงสุดจงเจริญ!!!” พวกเขาปลื้มปริ่ม น้ำตาแตกซะงั้น
ชายชราหันมา...
“เจ้าเอาท่านผู้นำไปไว้ที่ไหน?พาข้าไปเจอกับท่านก่อน”คุณลุงตาขวางเกรี้ยวกราดพร้อมบวกพวกเขาหยั่งรากฝังลึกเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ฉันยังไม่ละความพยายาม...
“สหายทุกคนก็รู้ว่าในยามปรกติ ชาวบ้านเข้าพบท่านผู้นำไม่ได้ นอกจากท่านจะมาหาเอง อยากตายเหรอคะ?” ฉันจี้ใจ
“เอ่อ!!” พวกเขาอึกอัก ความรักในดงหนามขยับตัวแรงก็เจ็บ พวกเขาต่างก็รู้ว่าไม่มีสิทธิ์เฉียดกรายเข้าใกล้ท่านผู้นำสูงสุด นอกจากคนที่ถูกคัดเลือกแล้วส่งเข้าไปเพื่อสร้างคอนเทนต์ในการโฆษณาชวนเชื่อ
“ตอนนี้...พวกเราจะเปิดประเทศเพื่อให้พี่น้องได้โบยบินอย่างเสรีในโลกกว้าง แต่ยังคงรักษาวัฒนธรรมและวิถีแบบเรียบง่ายดั้งเดิมของเราต่อไปด้วย มาช่วยกันนะคะ”
“ไม่เอา! จะเอาท่านผู้นำสูงสุดคนเดียว” คุณลุงยืนยัน
“ฉันถามใหม่นะคะ พวกคุณเคยลืมติดเข็มกลัดท่านผู้นำบ้างไหมคะ?”
“หือ! ถามอะไรบ้า ๆ” พวกเขาขมวดคิ้ว...
“มันเรื่องปรกติใคร ๆ ก็ลืม พวกเราก็เคยโดนมาแล้วทุกคน ติดคุกแค่ 15 วันเองไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” ชายหนุ่มตอบหน้าตาเฉย พวกเขาโดนกดขี่จนเคยชินเวลาไม่ได้มีความสำคัญกับชีวิตเรียบง่ายของที่นี่
“เคยสงสัยมั้ยคะแค่ไม่ติดเข็มกลัด ผิดกฎหมายความมั่นคงได้ยังไง?”
“มั่นคงในจิตใจไง คนอย่างเธอจิตใจหยาบจะรับรู้ได้อย่างไร? ไม่สามารถสัมผัสความรักที่ท่านผู้นำเมตตามอบให้ เนรคุณชาติ” โดนมันตอกทุกดอกเลยวุ้ย จะคุยยังไงกับพวกนี้ดี...
“ถ้าไม่มีกฎหมายแบบนี้จะดีกว่าหรือเปล่าคะ? แค่ลืม..ไม่เห็นจะต้องเสียเวลาไปติดคุกกับเรื่องไร้สาระเลย”
“อุ๊ย! ลบหลู่!” เจ้าตัวผอมหันมองคุณลุง
“ยกเลิกไม่ได้แก้ไขก็ไม่ได้ ห้ามลบหลู่ท่านผู้นำ ห้ามจาบจ้วง เราต้องบูชาไว้เหนือหัว อย่าเห็นความศรัทธาเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้ายังมีสหายตำรวจ ข้าแจ้งจับเจ้าไปแล้ว” คุณลุงอารมณ์ขึ้น โบกมือปฏิเสธ
ฉันมองไปที่ผู้ติดตาม...
“พวกสหายเป็นทหารกันจริง ๆ เหรอ?” พวกเขาสวมชุดทหารเก่า ๆ ขาด ๆ ท่าทางไม่ใช่ทหารจริง ๆ
“เอ่อ!” ทั้งหมดอึกอัก
ฉันจ้องหน้าเจ้าผอม แล้วขู่...
“พวกนายไม่ได้เป็นทหาร ชุดทหารห้ามใส่สหายเอามาใส่ทำไม ไปขโมยชุดของใครมา? ฮึ!”
“เอ่อ..!!” พวกเขาชักจะไปไม่เป็น หันหน้ามองกันล่อกแล่ก
ชายชราพูดสวนมา…
“เราต้องป้องกันหมู่บ้าน มันต้องมีทหาร เราทำเพื่อท่านผู้นำ ไม่ผิด!” สูตรสำเร็จของการโหน แค่อ้างว่าทำเพื่อผู้นำก็ฆ่าคนได้เป็นคนดีทันที
“สหายไม่รู้เหรอ ทำอย่างนี้เป็นภัยความมั่นคงนะคะ ท่านผู้นำสูงสุดไม่ปลื้ม”
“พวกเราบริสุทธิ์ใจปกป้องท่านผู้นำจะมีความผิดได้ยังไง? พวกเจ้าต่างหากที่ไม่จงรักภักดี”
“ทงมูอาจอชี่! เรามาช่วยกันสร้างประเทศและรวมชาติเกาหลีเหนือใต้ให้กลับมาเหมือนเดิมเถอะค่ะ ถึงจะไม่มีท่านผู้นำสูงสุดพวกเราก็สามารถรวมประเทศได้ ดวงอาทิตย์ยังคงส่องสว่าง ฟ้าก็ไม่ได้ทะลายลงมาดั่งคำสาปแช่งหรอกค่ะ” ฉันยังใจเย็นพอที่พูดกับคุณลุง
“..............” ในที่ประชุมนิ่งเงียบกริบ
พวกเขาหันมองกันสีหน้าเครียด สหายโกมีทักนั่งตัวตรงคู่กับสหายคุณลุงคิมจุนซอง สหายอึนซอกนั่งติดกับฉัน ส่วนเจ็ทโด้ของฉันยืนอารักขาด้านนอกห้อง
“ตอนนี้ท่านผู้นำสูงสุดอยู่ที่ไหน? ข้าเห็นเจ้าเป็นคนจับท่านไป” เขาหรี่ตามอง อีตาลุงนี่กัดไม่ปล่อย
“ท่านก็ยังอยู่ สบายดีไม่ได้ไปไหน? ผู้นำของเราเก่งทุกเรื่องอยู่แล้ว ใช้พลังจิตถล่มเกาหลีใต้ได้ ดวงอาทิตย์ก็ไปเหยียบมาแล้วนี่นาไม่ตายง่ายหรอก ท่านวางมือจากอำนาจแล้ว ท่านเบื่อทางโลกกำลังออกบวช อย่ารบกวนท่านเลยค่ะ ท่านให้ฉันมาหาผู้นำคนใหม่แทนท่าน”
“อุ๊ย! จาบจ้วง” มันเอาอีกแล้ว
“เจ้าเป็นกาลกิณี ชั่ว! เลว! เนรคุณแผ่นดิน! ไปตายซะ! คนอย่างเธอมันเป็นกบฏ ข้าไม่เสียเวลาคุยกับชนชั้นต่ำอย่างเจ้าหรอก” เขาชี้มาที่ฉันโดยตรง มันจี๊ดมากหัวใจเหมือนน้ำเดือดจะระเบิดอยากจะข่วนหน้าสักที...
“สหาย! คิดถึงหลักความจริงสิ เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปเราต้องเปลี่ยนตามเพื่อความอยู่รอด ตอนนี้ท่านผู้นำไม่กลับมาเป็นศูนย์รวมจิตใจแล้ว พวกท่านในฐานะผู้ใหญ่มาวางแนวทางให้กับลูกหลานเถอะ”
“ข้าจะขัดขวางเจ้าทุกทาง เจ้ามันกาลกิณีเนรคุณท่านผู้นำ เจ้าต้องศึกษาประวัติศาสตร์บุญคุณท่านผู้นำล้นหัว นังคนสารเลว!”
“ปัง!” ฉันเหลืออดทุบโต๊ะ ยืดอกจ้องหน้า...
“แล้วยังไงต่อคะ! สหายพูดให้ดีดีนะ” ฉันเริ่มเดือดแล้ว
“.............” พวกเขาอึ้ง หลบสายตา
“เรามาเจรจาเพื่อหาทางประนีประนอมเพื่ออยู่ด้วยกัน หรือพวกท่านจะมาเจรจาเพื่อเปิดสงคราม อยากยิงกันมากใช่มั้ย?” ไฟท่วมหัวแล้ว พวกมันไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลย นอกจากความเชื่องมงาย
“จะเจรจาเรื่องอะไรเจ้ายอมถอยออกไปทุกอย่างก็จบ เจ้าไม่มีสิทธิ์ตั้งแต่ต้นประเทศนี้มีเจ้าของ ตระกูลคิมเป็นผู้รวบรวมแผ่นดิน” เขายังดื้อด้าน
“โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าเราไม่เปลี่ยนเพื่อตั้งรับจะโดนบังคับให้เปลี่ยน มันเจ็บปวดกว่านะคะ”
“เจ้าจะเอาอะไรมาเปลี่ยนข้า ชีวิตนี้มอบให้ผู้นำสูงสุด” คนพวกนี้แหละที่เป็นไม้ค้ำยันให้ระบอบการปกครองเลวร้าย คนพวกนี้แหละที่ทำให้ผู้นำสูงสุดเหลิงอำนาจ
ฉันไม่อยากพูดดีด้วยแล้ว...เดี๋ยวถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องจริง ๆ จะยิงหัวให้หมดเลย เหลืออดแล้วโว้ยไม่น่าเจรจาให้เสียอารมณ์ตั้งแต่ต้น
“ถ้ายังไม่เห็นท่านผู้นำสูงสุด ก็ไม่มีการเจรจา” เขาเสียงกร้าวลุกยืนประจันหน้าส่งสายตาเอาเรื่อง…
“เจ้าต้องสำเหนียกในบุญคุณของบรรพบุรุษ อย่ามาด้อยค่าท่านผู้นำ บ้านเมืองนี้เจริญกว่าทุกชาติได้ด้วยบารมีความรัก พวกเจ้าจะมีมากแค่ไหนก็ห้ามแก้ไข ห้ามเปลี่ยนแปลง ห้ามแตะต้อง”
“อาจอชี่! ท่านผู้นำสูงสุดเรียนจบจากที่ไหนมาเหรอ? ถ้าต่างประเทศมันเลวร้ายจริง ทำไมเขาต้องไปเรียนที่ต่างประเทศ ถ้าอเมริกาเลวร้ายจริง ทำไมเขาถึงมีเพื่อนเป็นนักบาสเกตบอล NBA”
“อุ๊ย! จาบจ้วง! สหาย!..เธอจาบจ้วงผู้นำสูงสุดอีกแล้ว” เจ้าตัวผอมชงอีกแล้ว ฉันอยากเดินไปตบบ้องหูไอ้คนที่พูดจริง ๆ...
“สหายต้องการอย่างนั้นใช่ไหม? เราคงเป็นน้ำกับน้ำมันสินะไม่มีวันเข้ากันได้แล้วใช่มั้ย? ที่พูดมาทั้งหมดสหายต้องรับผิดชอบ สหายพาคนอื่นมาตายเพียงเพราะสหายอยากเอาชนะ การตัดสินใจของสหายทำให้ทหารข้างนอกต้องตายทั้งหมด ครอบครัวของทุกคนจะสูญสิ้นเพราะการตัดสินใจในครั้งนี้ของสหาย” ฉันมองจิกไปที่พวกเขา /ไม่ชอบพวกนี้เป็นทุนอยู่แล้ว อึดอัดใจมาก/
พวกเขาหลบสายตา ยกเว้นสหายชราที่ยังสู้...
“คนเนรคุณอย่างเจ้าพูดไปก็คงไม่เกิดผล สูดอากาศหายใจเข้าไปเท่าไหร่แล้ว? กินอาหารไปเท่าไหร่แล้ว? ไม่รู้จักสำนึกเจ้าของแผ่นดิน ข้าจะคืนประเทศนี้ให้กับท่านผู้นำ ถ้าเจ้าไม่ส่งตัวท่านผู้นำสูงสุดมา เราคงไม่มีทางเลือก ข้ายอมตาย!”
“ได้! สหายเป็นคนเลือกเองนะคะ!” อยากตายนักใช่มั้ย? ฉันฉิวไฟท่วมหัวก้าวพรวด ๆ ออกไปนอกห้อง
“เฮ้อ!” ปล่อยลมหสยใจยาวโคตรอึดอัดใจ วิ่งไปหาเจ็ทโด้ที่ยืนเอามือไขว้หลังมองทหารที่สนาม...
“โอปป้า! สั่งทหารยิงแม่งทิ้งให้หมด ฉันเกลียดไอ้พวกนี้ยังไงมันก็เกลียดฉันอยู่แล้ว ฉันไม่สนพวกมันแล้ว” ฉันโกรธหูอื้อจะไม่ยอมเสียเวลากับคนพวกนี้อีกแล้ว
“มันไม่ยอมเหรอ?”
“อือ! เข้าสายเลือดเลยแหละ”
“แน่ใจนะว่า จะให้ผมยิงพี่น้องเกาหลีทิ้งจริง ๆ? ”
“พวกนี้คุยกันไม่ได้แล้วไม่มีจุดที่จะเจรจา ถ้าพวกมันเถียงเรื่องการปกครองเถียงเรื่องการพัฒนาประเทศหรือไม่ชอบแนวคิดฉันจะไม่โกรธเลย พูดแล้วขึ้นว่ะโอปป้า! ฉันยังไม่ได้อธิบายอะไรให้มันฟังเลย” ฉันกำหมัดชกมือตัวเอง
“โอ้วจูยอน! ใจเย็น ๆ หึ!หึ!” เขาลูบหลังอย่างอ่อนโยน
“คนทั้งชาติมันมองไม่เห็น มันมองเห็นแค่คนตระกูลเดียวที่ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับชาวบ้านเลย” ฉันโกรธเห็นช้างตัวเท่ามดแล้ว
“ใจเย็น ๆ หายใจลึก ๆ คุณเป็นผู้นำนะ สหายของเรามองอยู่”
“ฉันใจเย็นแล้วถึงเดินออกมานี่ไง? ไม่งั้น!ฉันยิงหัวมันต่อหน้าสหายโกไปแล้ว โอปป้าถ้ามันบอกว่าไม่ชอบขี้หน้าฉันแล้วขอแยกไปปกครองกันเองจะไม่โกรธเลยสักนิด อย่างน้อยมันยังมีจิตใจเสรี” ฉันยังเดือดปุดปุด
“ตอบคำถามผมมาคำเดียว ทำไมถึงเกลียดพวกนี้”
“มันคอยแจ้งจับคนเห็นต่างส่งให้รัฐ ในขณะที่มีอีกหลายชีวิตที่ต่อสู้เพื่อปากท้อง ต่อสู้เพื่อลูก เพื่อครอบครัว เพื่อเพื่อน เพื่ออนาคต ปกป้องความฝันให้เด็ก แต่กลับโดนไอ้พวกนี้รวมหัวกันทำร้ายสร้างหลักฐานปลอม พวกมันอำมหิตมากเพื่อแลกกับรางวัลนำจับ”
“ผมจะทำตามใจคุณแต่ขอพูดอะไรหน่อยนะ ในสถานการณ์ของเกาหลีเหนือตอนนี้ เราต้องการความสามัคคี เราต้องการคนมาช่วยงาน ถ้าเราเอาสีดำในใจของเราไปป้ายกับสีดำของคนอื่น มันไม่มีทางได้สีขาวแน่นอน สีที่คุณต้องการจริง ๆ คือสีอะไรครับ?”
“เออะ! เอ่อ!..”
เขายกวิทยุ... “ทหาร!”
“เย่!”
ฉันแย่งวิทยุ...
“เดี๋ยวค่ะ!”
เขาหันมายิ้มมองตาฉ่ำอบอุ่นมาก ดวงตาจริงใจใสบริสุทธิ์...
“เราพาผู้นำสูงสุดมาเพื่อแก้ปัญหานี้ไม่ใช่เหรอ? ใช้เขาสิครับ!”
“ไอ๊กู่...!!ลืมไปเลย” ขอบคุณมากจริง ๆ ที่เตือนสติ ฉันโกรธจนเกือบจะสิ้นคิด
“โอปป้า! ไปเอาท่านผู้นำมาให้หน่อยนะ”
“ไม่ว่าเราจะให้มากแค่ไหน เชื่อเถอะว่ายังไงก็มีคนไม่พอใจ” เขายีหัวอย่างเอ็นดูแล้วหันหลังวิ่งออกไป
“บรื้น!...” สักพักรถตู้คันใหญ่ก็มาเทียบข้างสำนักงาน สายตาของกลุ่มผู้ต่อต้านกลางสนามประมาณ 3,000 คนมองมาอย่างโกรธเกลียด
ฉันก้าวขึ้นไปท้ายรถตู้จัดการกับท่านผู้นำแล้วพาลงเดินมาด้วยกัน เสียงกลุ่มทหารต่อต้านในสนามฮือฮาแตกตื่น น้ำหูน้ำตาไหล...
“อันยองฮาชิมนิก๊า สหายผู้นำสูงสุด!!!!”
“อันยองฮาเซโย!” ผู้นำจิตวิญญาณเดินอุ้ยอ้ายยิ้มกว้าง โบกมือทักทายเคียงคู่ฉันเข้าห้องประชุม
“ชุงซอง!” ทุกคนภายในห้องลุกยืนยืดอกทำความเคารพกันหมด
ฉันต้องใช้ 30 นาทีนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดพาเขาเข้าห้องมานั่งยิ้มหวานแก้มยุ้ยเป็นประธานที่โซฟายาวริมผนัง เขายิ้มแก้มป่องหันมองตามฉันทุกย่างก้าว
“............” ภายในห้องเงียบสนิท โจทย์ทั้ง 5 คนสายตาล่อกแล่ก
ฉันดึงปืนทองคำจากเอวจ่อหน้าผากสหายคุณลุง...
“สหาย! จะกล่าวหาอะไรอีกว่ามา พูดต่อหน้าเขานี่แหละ!”
“อ่ะ!” สหายชราตาเหลือกขาวปากสั่นเข่าอ่อนทรุดลงพื้น พวกที่เหลือรีบลนลานทำตามตัวสั่น
ฉันเข้าใจคนที่ศรัทธาและบูชาภูตผีปีศาจ เข้าใจคนที่ศรัทธาศาสนา สิ่งเหล่านั้นไม่เคยทำร้ายครอบครัวใคร แต่คนที่ศรัทธาบูชาคนที่สั่งฆ่าคนใต้ปกครองและอยู่กับความรักข้างเดียวแบบนั้นมาตลอดชีวิต ฉันไม่เข้าใจ ยืนมองด้วยสายตาหดหู่คนที่ยืนตรงหน้าของเขาเป็นมัจจุราชหรือเทวดากันแน่? พวกเขารักหรือกลัวอำนาจกันแน่ วันนี้จะได้พิสูจน์กัน?
“อาจอชี่ทงมู! กล่าวหาฉันจะแก้ตัวยังไง?” ฉันกระดิกปืนจ้องหน้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า! จะแก้ตัวยังไง?” ท่านผู้นำหัวเราะร่าปรบมือชอบใจ
“สหายคิมคะ! จะจัดการกับพวกกบฏนี่ยังไงดี? เขากล้าขัดคำสั่ง ฉันโกรธ ดูสิ! มือสั่นเลย” ฉันฟ้องเสียงสอง
“โอ๋!โอ๋! มันทำให้คุณโกรธเหรอ? ยิงหัวมันเลย Messiah!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เจ็ทโด้หัวเราะซะงั้น ฉันอมยิ้มแก้มปริ ดูซิ! เจอไม้นี้เข้าไปจะทำยังไงกัน?
“มีอันฮัมนิดะ!!” พวกเขาโขกหัวรัวรัว
“ท่านผู้นำสูงสุดไว้ชีวิตผมเถอะ ผมจงรักภักดีกับท่านนะครับ”
ท่านผู้นำเล่นบทโหด...
“Messiah! ฆ่าเลย ๆ อุตส่าห์เหลือปากไว้ให้กินข้าวยังกล้าเถียง ฆ่าทิ้งไปเลยอย่าเก็บไว้เป็นเยี่ยงอย่าง” เขาหันมายิ้มแก้มยุ้ย ฉันยกนิ้วโป้งให้รางวัล
สหายชราดวงตาเหลือกลานกลัวสุดขีดคลานเข้าไปเกาะขา...
“สหายผู้นำสูงสุด! ให้อภัยผมด้วย ผมรู้เท่าไม่ถึงการณ์”
“ปล่อย!” เขาถีบชายชราหงายท้อง...
“อย่าจับเดี๋ยวขากางเกงยับ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เจ็ทโด้หัวเราะขึ้นมาอีก
“หือ!” ท่านผู้นำขมวดคิ้วมองไปที่หน้าห้อง...
“ไอ้นั่นใคร? ยิงแม่งเลย” โห! โหดจัดสั่งยิงอย่างเดียวเลย
“ใจเย็น ๆ สหาย นั่นพวกเรา” ฉันลูบหลังเขาแล้วหันหน้าแอบยิ้ม หลังจากปรับสีหน้าได้ก็ขู่ต่อ...
“เชื่อหรือยัง? พร้อมจะรับคำสั่งหรือยัง?” ฉันจ้องตาชายชรา
“เย่! สหายสั่งพวกเราได้เลย ” เขาละล่ำละลักลนลาน
“มีทหารกี่คน มีอาวุธในมือเท่าไหร่? พรุ่งนี้ขนมากองรวมกันที่นี่ให้หมด เลิกต่อต้านโง่ ๆ แล้วกลับไปใช้ชีวิตดูแลลูกเมียให้ดี กลับไปจับจองที่ดินที่ว่างแล้วช่วยกันทำมาหากินใช้ชีวิตเงียบ ๆ ไม่ต้องมายุ่งกับการเมืองอีก เข้าใจไหม?” ฉันชี้หน้าชายชรา
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ท่านผู้นำก็เป็นงานหัวเราะปรบมือซะงั้น เข้าทางไปหมด
“อภัยให้เราด้วย” พวกเขายังก้มหน้าคุกเข่า
“ลุกขึ้น!!” ฉันสั่งพวกเขารีบลุก
“ใครเป็นรองผู้อาวุโสท่านนี้?” ฉันจ้องหน้าถาม ชายวัย 40 สวมชุดทหารขาด ๆ ยกมือยืนขึ้นยืดอกทำความเคารพ
“อีจองอัก อิบนิดะ เป็นรองหัวหน้าราษฎร” ไอ้นี่เอง...เมื่อสักครู่หาว่าฉันจาบจ้วง
“ต่อไปคุณเป็นหัวหน้า รายงานทุกอย่างให้กับสหายผู้พันโกมีทักโดยตรงเข้าใจไหม?” ฉันกำชับแล้วถือโอกาสปลดคุณลุงซะเลย
“สหายคิมนาฮง! กลับไปอยู่บ้านเลี้ยงหลานจากนี้ไปอย่าเข้ามายุ่งกับคนของฉันอีก ถ้าฉันรู้ว่ามาปลุกระดม ตายทั้งตระกูล”
“เย่!” เขายืดอกตอบเสียงดัง
ฉันชี้ไปที่ทหารหนุ่มข้างตัวเขา...
“นายรับผิดชอบในการคืนอาวุธทั้งหมด นายชื่ออะไร?”
“พัคมูยองอิบนิดะ”
ฉันเหลือบตามอง สหายโกจดมือเป็นประวิง สหายคุณลุงของฉันนั่งอมยิ้ม
“ดี! รายงานตรงกับสหาย อีจองอัก” ฉันชี้นิ้วไปที่ชาย 2 อีกคน ที่ยังตัวสั่น...
“สหายสองคน! ออกมานี่”
ทั้งคู่เดินลนลานเข้ามา
“ฮันแดชิก อิบนิดะ!”
“ลียองกุก อิบนิดะ” เขาหน้าซีด ยืดอกตัวสั่น
“นายทั้งคู่รับผิดชอบตั้งกลุ่มขึ้นมา แล้วไปประชาสัมพันธ์กลุ่มที่ต่อต้านทั้งหมดให้วางอาวุธภายใน 1 เดือน”
“เย่!”
“สหาย! มีซนจอนฮวามั้ย?”
อีจองอักเดินไปล้วงกระเป๋าเสื้อชายชรา หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
“งั้น! สหายถ่ายคลิปไปเผยแพร่ สหายคิมมานี่หน่อยค่ะ” ฉันหันไปกวักมือเรียก ท่านผู้นำสูงสุด
“สหายคิม! คุยกับประชาชนหน่อย ท่านจะต้องไปสวดมนต์ในถ้ำบำเพ็ญเพียรเพื่อจะไปเกิดเป็นชอนซาและจะไม่กลับมาอีกแล้ว สั่งให้ทุกคนเชื่อฟังฉันด้วยนะคะ” ฉันสั่งเสร็จสหายโกกับสหายคุณลุงลุกจัดการสถานที่เตรียมถ่ายคลิปแถลงการณ์
ฉันกำชับอีกครั้ง ก่อนแถลงการณ์...
“สหายคิมบอกพวกเขาให้ชัดเจนว่าจะวางมือทางการเมือง และจะเข้าถ้ำบำเพ็ญศีลภาวนาเพื่อขึ้นสวรรค์ไปเป็นเซียน แล้วให้ฉันเป็นผู้นำคนต่อไป พวกเขาจะได้เลิกต่อต้าน Messiah!”
“Messiah!”
ฉันปล่อยให้ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวลากับประชาชนของเขาครั้งสุดท้าย การกดขี่ให้เกิดความกลัวและบังคับให้รักก็เหมือนกับเอาหมาแมวมาเลี้ยงให้อด ๆ อยาก ๆ ยามที่พวกมันวิ่งเข้าหา เจ้าของจะแยกแยะได้อย่างไรว่า มันทำเพราะหิวหรือรักกันแน่
หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย ก็ถึงเวลาปิดงาน...
“อีจองอัก! เก็บอาวุธเสร็จเรียบร้อยแล้วไปรายงานกับสหายโกมีทัก อีก 1 เดือนพวกนายเข้าไปหาฉันที่ค่ายโชซอนเพื่อฝึกวินัยทหาร อ้อ! อีกเรื่อง พวกนายพาลูกน้องไปเคลียร์รางรถไฟให้ด้วยจะได้มีรถไฟเข้าเมืองหลวง”
“เย่!!!”
ฉันโบกมือไล่แล้วถอนหายใจยาว พวกเขาพากันเดินตัวตรงออกไป
“เฮ้อ...!!” ฉันต้องถอนหายใจอีกครั้งที่หลอกสำเร็จ หันมองผ่านกระจกไปที่สนาม พวกเขาเข้าไปพูดคุยกัน
สักพักกลุ่มทหารชาวบ้านก็วางอาวุธแล้วเดินออกไป สหายคุณลุงคิมจุนซองยิ้มร่าปรบมือ...
“เก่งมากสหายผู้กอง!ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อแถมยังได้คนมาช่วยงานด้วย ในสงครามการโกหกก็มีประโยชน์สหายทำถูกแล้ว”
สหายโกมีทัก เข้ามาจับมือ...
“ผมใจเต้นแรงมาก คิดว่าสหายผู้กองจะยิงซะแล้ว ไม่เคยเห็นโกรธขนาดนี้ ดุจริง ๆ”
“ฉันไม่ชอบคุยกับพวกนี้ มันพูดแต่เรื่องนามธรรมจับต้องไม่ได้ ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมสักอย่าง กวนใจมาก”
“ดีแล้ว!สหายทำดีมาก เป็นผู้ใหญ่แล้วที่ยับยั้งชั่งใจได้” สหายคุณลุงยังคงอมยิ้ม สายตาของท่านใจดีกับฉันเสมอ
“รบกวนทุกคนด้วยนะคะ สหายคุณลุงฝากสหายผู้นำสูงสุดกลับไปพยองยางไปก่อนนะคะ พวกเราจะไปที่อื่นต่อ”
ฉันยังคงตะลอนไปเยี่ยมทหารและทำงานไปด้วย หวังว่าสุดท้ายแล้วคงจะไม่มีใครมายึดอำนาจไปจากประชาชนผู้น่าสงสารเหล่านี้อีก ปรกติแล้วมันจะมีคนอยู่จำพวกเดียวที่คิดแบบนั้น ซึ่งเราสามารถเห็นพฤติกรรมและแนวคิดของพวกเขาตั้งแต่เยาว์วัย ถ้ามีการปลูกฝังดี ๆ คนกลุ่มนี้จะนำพาทุกคนไปสู่ความสบาย แต่ถ้าปล่อยให้พวกขี้โกงเอาไปใช้งานคนกลุ่มนี้จะเป็นคนสร้างความยากลำบากอย่างแสนทุกข์ทน คนกลุ่มนั้นคือผู้จงรักภักดี
หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |