หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 7 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 22 พ.ค. 2567 |
เกาหลีเหนือ
มุมมองสายตา เจ็ทโด้
กุมภาพันธ์ ค.ศ.2026
เมืองชายแดน ชินอุยจู...
“พั่บ! พั่บ! พั่บ! พั่บ!”
ท้องฟ้ารุ่งอรุณแจ่มใสแสงแดดอ่อนไล่จับสายหมอก เทือกเขาสูงห่มแพรหิมะขาวสลับซับซ้อนเป็นแถวทิว ท้องนาของชาวบ้านที่เคยเขียวขจียามนี้ปกคลุมไปด้วยสีขาว สายน้ำยาลู่ไหลคดเคี้ยวจากดินแดนเหนือสุดกั้นสองแผ่นดินไปสุดทะเลเหลือง แบ่งแยกสองอาณาจักรออกจากกัน
“พั่บ! พั่บ! พั่บ! พั่บ!” เฮลิคอปเตอร์ MI-17 บินเลียบผืนน้ำตรวจฐานยิงขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศระยะกลาง หัวจรวดแดงโผล่ปลายออกจากถ้ำและซอกเขาตามช่องเขาสูง เหล่าทหารกล้าของผมพรางตา กลมกลืนกับธรรมชาติทุกอย่างเรียบร้อยพร้อมรบ
ผมสั่งนักบิน...
“กลับกันเถอะ! ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” เครื่องเอียงกลับลำบินกลับค่ายฯ บินผ่านตลาดชินอุยจูที่เงียบเหงา ถึงแม้จะมีคนเดินให้เห็นแต่ก็ดูว้าเหว่ อาคารมากมายขาดการดูแลเริ่มขาดชีวิตชีวา
“พั่บ! พั่บ! พั่บ! พั่บ!” เครื่องบินผ่านเข้าเขตค่ายชินอุยจู รั้วลวดหนามล้อมรอบค่ายฯ ยังแข็งแรง โคมไฟกลมยอดเสายังส่องสว่าง กลุ่มทหารหนุ่มออกวิ่งเก็บกำลังกันแต่เช้า เครื่องลงจอดที่สัญลักษณ์ตัว H บนหลังอาคาร
เราสองคนเดินคุยกันเข้าสู่อาคารสรรพาวุธ...
“อาวุธเพียบเลย! ผู้นำคงซื้อพวกนี้มาจากรัสเซีย” เราเดินตรวจดูอาวุธพร้อมกระสุนของทหารในโกดังมากมาย ปืนส่วนใหญ่จะเป็นตระกูล AK
“ส่วนใหญ่ซื้อมาจากที่นั่น รัสเซียมันเผยแผ่ลัทธิก็เพื่อขายอาวุธนี่แหละค่ะ ถ้ามันเปลี่ยนจากการสู้รบเป็นกีฬาก็ดีนะคะ” จูยอนเดินอมยิ้มไปหยิบ AK12 มาขึ้นลำ...
“แกรก!”
เกาหลีเหนือมีขุมกำลังมหาศาล พอต่อกรกับกองทัพต่างชาติได้อย่างสบาย แต่เรายังขาดทหารอีกมากสัดส่วนของทหารตอนนี้เท่ากับทหาร 1 คนกับปืน 15 กระบอกอาวุธมีมากกว่าทหาร
ทหารในค่ายฯ ดีใจเมื่อเห็นเรามาเยี่ยม นายทหารสั่งเลิกแถววิ่งกรูออกมายืนรอที่สนามหญ้า นายทหารร่างสูงวิ่งเข้ามา ...
“ชุงซอง! เจ็ทโด้เซม โจ!มิน!กุก! ผู้คุมค่ายทหารชินอึยจูครับผม!” เขายืดอกทำความเคารพ ผมมองที่สนามหญ้าหน้าอาคาร…
“สหายโจ! เรามีทหารที่นี่เท่าไหร่?”
“5,080 นายครับ” เขารายงานเสียงดัง
ค่ายทหารชินอุยจูกว้างขวางแต่มีทหารแค่นี้เอง ถ้าจีนบุกจริง ๆ ก็เละคิดแล้วก็หนักใจ พวกเราไม่ได้คิดจะทำสงครามแต่ถ้าโดนรุกรานก็ไม่มีทางถอย
“สหายอยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง สุขสบายดีไหมครับ?” ผมกอดคอผู้คุมค่าย ชาวเกาหลีเหนือน่ารักมาก ใสซื่อ เป็นชนชาติที่พร้อมให้ความร่วมมือ พวกเขาได้เข้าใจในทุก ๆ เรื่องที่ผ่านมาจากการประชาสัมพันธ์อย่างจริงใจและต่อเนื่องของจูยอน
นายทหารยืดอกตอบคำถามเสียงดังฟังชัด...
“อาหารในเมืองผมยึดเข้าค่ายหมดแล้ว แจกจ่ายให้ชาวบ้านบ้าง เหลือไว้ให้พวกเรากินได้อีกนานครับ”
จูยอนหันมามอง...
“ระวังเสบียงพวกนี้ไว้ให้ดี อย่าให้ใครมาปล้นได้ เอ่อ! คลังอาวุธด้วย”เธอกล่าวเรียบ ๆ แล้วถอนหายใจเบา ๆ
“เย่!”
“สหายผู้คุมค่าย! ส่งคนไปประชาสัมพันธ์ชวนคนหนุ่มสาวมาเป็นทหารด้วย เราต้องการทหารอีก”
“เย่!” เขายืดอกรับทราบ
“บรื้น!” เสียงรถยนต์แล่นมาจากประตูค่ายฯ ด้วยความเร็วสูง
“เอี๊ยด!” รถยนต์สปอร์ตจอดเทียบหน้าอาคาร เจ้าแทนกับนาตาลีเดินยิ้มเข้ามา
“ชุงซอง!สหายผู้บัญชาการ! นินจาเซม! โจ!มิน!กุก! ผู้คุมค่ายทหารชินอึยจู” เขายืดอกทำความเคารพ นาตาลีทำความเคารพแล้วหันไปจับมือกับเขา...
“ขอบคุณที่เหน็ดเหนื่อยนะคะ” ยายนี่เก่งมากเข้ากับทหารได้เป็นอย่างดี
“เพื่อชาติ!” เขายืดอกแล้วหันมาหาจูยอน...
“สหายผู้กองครับ!เจ้าลีอองจะให้ทำอย่างไรต่อครับ ผมจับกลับมาได้แล้วตอนนี้ขังไว้” เขายิ้มกว้างยืดอก จูยอนผวาเข้าหาหน้าตาตื่นยิ้มกว้าง...
“ดีมากสหาย! เดี๋ยวฉันจะเอากลับไปเลี้ยงเอง” จูยอนยิ้มกว้างประกายตาดีใจอย่างเห็นได้ชัด ผมสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่...
“เจ้าลีอองมันคือใครเหรอ?”
“เสือโคร่งไซบีเรียเผือกค่ะ เสือสัญลักษณ์ของเกาหลีเหนือ มันเชื่องมาก ตัวก็ใหญ่หนักเกือบ 300 กิโล ยาวกว่า 3 เมตรอีกนะคะ”
“อ๋อ!” ผมถึงบางอ้อ เสือขาวชื่อลีอองนี่เอง
“จะเอากลับบ้านด้วยเหรอคะ?” นาตาลีตาโตเอามือปิดปากจ้องหน้าของเธอ
“ค่ะ! ฉันจะดูแลมันเอง น่ารักเหมือนแมวเลย” เธอยิ้มดวงตาประกาย เธอกลัวงูแต่กลับชอบเสือ
ผมหันไปหาสองหนุ่มสาว...
“แทน! มึงออกไปคุยกับทหารที่สนามด้วยให้กำลังใจพวกเขาหน่อย โน่นแน่ะ!นั่งกันหน้าสลอน กูไม่ได้เรียกมาสักหน่อย” ผมหันไปมองในสนาม เจ้าแทนสูดหายใจลึกยืดอก...
“เย่!!” เขาร้องเสียงดังก่อนจะวิ่งไปกับนาตาลี
สิ่งที่พวกเราทำดีที่สุดคือการหล่อหลอมจิตใจของพวกเขาให้รักกันเรื่องรักชาติไม่ต้องพูดถึง เกาหลีเหนือเป็นอีกประเทศที่ผมเห็นว่าเลือดรักชาติเข้มข้นกว่าหลายชาติในโลกแต่ที่ผ่านมามันเป็นการรักชาติแบบไม่คุ้มค่า ยอมเสียชีวิตปกป้องชาติแต่กลับได้รางวัลตอบแทนคือการเป็นอยู่อย่างแร้นแค้นอดอยากศักดิ์ศรีมีเพียงเป็นผู้อาศัยชาติของตน จนเกิดคำพูดปลอบใจทหารกล้ารุ่นแรกไปทั่วหล้าว่าโชคดีที่ตายก่อน แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป ชาติของพวกเขาจะหมายถึงมาตุภูมิ ผืนแผ่นดินที่พวกเขาภูมิใจใช้เลี้ยงครอบครัวและฝังร่างเมื่อสิ้นลม
ผมหันไปมองกองทหารกลางสนามอีกครั้ง อดอมยิ้มไม่ได้ที่เห็นนาตาลีคู่ปรับของผม กำลังตั้งท่าเตรียมวิ่งคู่กับสหายผู้คุมค่ายฯ เธอลงวิ่งฝึกกับทหารจนเป็นเรื่องที่พวกเราเห็นจนชินตา จากคนที่งอแงที่สุดกลับเป็นคนที่คลุกคลีกับทหารมากที่สุด
เจ้าแทนในมาดครูฝึกทหารคาบนกหวีด...
“ปรี๊ด!!”
นาตาลีออกตัววิ่งนำไป...
“ท้องทะเลท้องฟ้าเป็นของข้า ปลาและนกเป็นผู้อาศัย” ปากก็ร้องเพลงปลุกใจ ทหารทั้งกลุ่มวิ่งร้องเพลงตาม เจ้าแทนวิ่งปิดท้าย
ผมหันไปหาจูยอนยืนอมยิ้มตาหยี
“นาตาลีน่าตีจริง ๆ โน่นไปวิ่งกับทหารอีกแล้ว สุดดีเหมือนกันนะครับยายคนนี้”
“เธอก็เหมือนฉันแหละ ดื้อจะทำในสิ่งที่เชื่อ” เธอรักและเข้าใจนาตาลี แต่เธอก็ใจแข็งไม่ยอมปล่อยให้นาตาลีจากไป
“เข้าไปนั่งคุยข้างในห้องดีกว่า” ผมจับมือเธอเดิน
จูยอนท่าทางอ่อนแรงเหนื่อยล้ามาก เธอกังวลใจตลอดเวลา เพียงแต่ไม่พูดมันออกมา
“นั่งก่อนครับ สหายผู้กอง!” ผมดึงเก้าอี้ให้เธอนั่งลงมาแล้วก้มลงไปหอมแก้มเบา ๆ สงสารเธอจังเลยต้องทำงานตลอด
“คุณยังปล่อยวางไม่ได้อีกเหรอครับ? ผมไม่มีปัญหานะยังไงก็ได้” เราตกลงจะอำลาสหายกันแล้วแต่ก็มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไม่เว้นวัน สหายต้องมาให้เธอตัดสินใจทุกครั้ง
“ฉันจะปล่อยพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาไม่ยอมปล่อยฉัน คุณโกรธหรือเปล่าที่ยังไม่ได้ไปช่วยซอน ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้คุณต้องเหนื่อยไม่รู้จบ ให้พวกเขารู้จักบ้านนี่ไม่ดีเลยเนอะ? โดนตามตัวตลอด”เธอเงยหน้าขึ้นมามอง ผมยังยืนกอดคอเธอจากข้างหลังเก้าอี้
“เป้าหมายของชีวิตผมคือทำให้คุณสบายใจและมีความสุข คุณทำงานของคุณให้เต็มที่ผมจะคอยอยู่เป็นเพื่อน” ผมลูบหัวเบา ๆ แล้วบีบไหล่ให้เธอ ชีวิตของผมสมหวังแล้วมีความสุขมากได้คู่ชีวิตที่ผมเลือกเองในขณะเดียวกันเธอก็เลือกผม
“ฉันสงสารนาตาลีกับแทนต้องมาติดหนึบไปด้วย นาตาลีเป็นห่วงหมวดจางมากฉันดูออก” เธอมองไปที่สนาม ครั้งหนึ่งเธอเคยบอกว่า อยากให้นาตาลีอยู่ที่นี่ตลอดไปเพื่อจะได้ดูแลและตอบแทนบุญคุณของนาตาลี
“ผมก็ห่วงหมวดจาง วันนี้ให้เจ้าแทนข้ามไปรับไป่ไป๋มาก่อน” ผมยังเชื่อว่าซอนจะพาเมียหนีออกมาได้ ถ้ามันทำไม่ได้จริง ๆ มันต้องมาหาผม
“ฉันรักนาตาลีมากอยากให้เธอปลอดภัย ถ้าอยู่ที่นี่ฉันรับประกันความปลอดภัยให้เธอได้ แต่ถ้าออกไปไม่รู้จะเจอกับอะไรอีก จะพากันลำบากเปล่า ๆ แต่ถ้าคุณไม่เห็นด้วยฉันก็ตามใจคุณนะคะ” ดวงหน้าสดใสยิ้มใจดี ผมชื่นใจจังเลยที่เธอเป็นคนใจดีและใจกว้าง
“ถ้าเราไปตามเพื่อนของเธอมาที่นี่ได้หมด นาตาลีก็ไม่งอแงแล้ว เธอติดเพื่อนไม่มีอะไรหรอก” ผมเชื่ออย่างนั้น สิ่งที่ผมเห็นนาตาลีทำทุกอย่างเพื่อเพื่อนของเธอมาตลอด
“สหาย! ขอหอมหน่อย” จูยอนแสดงความรักกับผมบ่อย ๆ จนเคยชิน เมื่อก่อนผมไม่ยอมให้ทำอย่างนี้ ขัดสายตามากเวลานาตาลีจูบเจ้าแทนจะมีคนอยู่รอบตัวมากแค่ไหนก็ตามเธอไม่เคยสนใจ ผมพึ่งจะมาเข้าใจการแสดงความรัก มันเป็นเรื่องของเราสองคนและรู้สึกมีพลังขับเคลื่อน มีกำลังใจทำงาน
จูยอนกระซิบข้างหู...
“สหาย! ขยันหน่อยนะ ฉันอยากมีน้อง”เธอยิ้มอายหน้าแดง ผมเกาหัวเก้อ...เขินจังก็ทำอยู่ทุกวัน
“อยากมีลูกผู้หญิงหรือชายดี” ผมลูบหัวเบา ๆ
“เอาหมดเลยทั้งชาย-หญิง สักโหลนึงก็ได้ฉันเลี้ยงได้” เธอยิ้มกว้าง
“โอ้โห! แน่ใจนะ” ผมลูบหัวอย่างเอ็นดู รอยยิ้มของเธอเติมเต็มให้กับชีวิต
“บรื้น...นน!!” รถทหารแล่นเข้ามาจอดหน้าอาคาร ผมเดินแยกไปนั่งที่โซฟา
“ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!”
“เชิญค่ะ!” สิ้นเสียงของจูยอนประตูก็เปิดเข้ามา นายทหารหนุ่ม เดินเข้ามายืนตรงต่อหน้าจูยอน
“ชุงซอง! สหายผู้กอง! สหายครูฝึก” เขายืดอกเงยหน้าพูดเสียงดัง ฟังชัด จูยอนยิ้มพยักหน้า…
“มีอะไรคะเชิญบอกได้เลย?” เธอผายมือให้เขาพูด
“มีผู้หญิงกับเด็กมาแอบอ้างว่าเป็นเพื่อนกับสหายผู้กองและสหายผู้บัญชาการครับ” เขารายงานเสียงดัง
“หือ!” เธอเงยหน้ามองแล้วขมวดคิ้ว...
“ตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ?” สายตาของเธอสงสัยมาก
“สักครู่นะครับ!” เขาก้าวออกไปจากห้อง เราสองคนมองหน้ากัน เธอหันมาพูดติดตลก....
“ประเทศนี้รู้จักฉันน่ะไม่แปลกหรอก แต่รู้จักสหายผู้บัญชาการนี่สิแปลก”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะตำแหน่งนี้มันไม่มีจริง ฉันเป็นคนอุปโลกน์มันขึ้นมาเอง” เธอพูดด้วยใบหน้ายิ้ม ผมพยายามคิดว่า ใครกันนะ...คงเป็นหนึ่งในเพื่อนของเราแน่นอน แต่มันจะเป็นใครแค่นั้นเอง
“ขออนุญาตครับ!” ทหารเดินนำหน้าเด็กผู้หญิงสาวตัวสูงหน้าตามอมแมมจูงมือเด็กน้อยสวมหมวกไหมพรมไอ้โม่ง ผมพิจารณายังไงก็ไม่รู้จักเด็กสาวคนนี้ หันมองหน้าจูยอนก็ขมวดคิ้วเพ่งมองหน้า
เด็กสาวขยับตัวยืนตรงเอามือสองข้างแนบท้องแล้วค้อมศีรษะอย่างอ่อนน้อม...
“อันยองฮาชิมนิก้าอีซูมินฮัมนิดะ” ปากเธอยิ้มแต่ดวงตานั้นดูเศร้า
“..........” แต่จูยอนยังเอียงคอขมวดคิ้วมอง ถึงจะมอมแมม แต่เธอก็ดูไม่เหมือนเด็กสาวที่เกิดในเกาหลีเหนือ เสื้อผ้าบ่งชัดมาก
“อันยองฮาเซโย ชเวจูยอนอิบนิดะ”เธอยิ้มหวานตอบกลับ สายตายังคงเคลือบแคลงแปลกใจ เด็กสาวลูบอกยิ้มกว้างดีใจดวงตาเป็นประกาย...
“ได้เจอแล้ว” แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะคุยกันต่อ เสียงเด็กชายก็ดังขึ้น...
“โด้! โด้! เค้าอยู่นี่” เจ้าตัวเล็กดึงโม่งออก หัวหยิกยุ่งยิ้มฟันขาวหน้าบานแฉ่ง
“เฮ้ย! มาได้ยังไงเนี่ย?” ผมเด้งดีใจกระโดดพรวดเข้าไปหา ไอ้ตัวน้อยมาไกลขนาดนี้ได้ยังไงวะ? เด็กมหัศจรรย์นี่หว่า...
“มานี่เลย!” ผมจับเขาโยนสูง
“เอิ้ก! เอิ้ก!” เสียงหัวเราะของเขาทำให้ห้องทำงานของทหารที่ดูบึกบึนสดใสมีชีวิตชีวา ผมฟัดท้องน้องด้วยหมั่นเขี้ยว เขาดิ้นหัวเราะร่วน หันไปหาจูยอนแล้วชี้หน้าเด็ก...
“เอาอย่างนี้มั้ย? ไอ้นี่ไม่เคยร้องไห้เลย”
เธอรีบลุกเข้ามา...
“ลูกใครคะ? คุณรู้จักเหรอ? หน้าตาน่ารักเหมือนตัวการ์ตูนเลย” เธอยิ้มตาใสกระตือรือร้นขยับออกมาจากเก้าอี้
“น้องแทน! ลูกของซอนกับหมวดจางไปไงมาไงวะเนี่ย? งงไปหมดแล้ว พ่อกับแม่มันล่ะ?” ผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดีเป็นห่วงสองคนขึ้นมาทันที ส่งเจ้าตัวน้อยไปให้จูยอน...
“คุณพูดจีนหรืออังกฤษก็ได้นะ เจ้านี่มันเก่ง” ผมบอกสรรพคุณ เธอยิ้มกว้างอ้าแขน...
“น่ารักจังเลย มาให้ป้าอุ้มหน่อย”
น้องแทนโผเป็นลูกลิงไต่ต้นไม้เลย สีหน้าของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เธอคงอยากมีลูกจริง ๆ ผมต้องขยันทำการบ้านจะได้มีน้อง เธอฟัดหอมเด็กแล้วพาเดินออกนอกห้อง ผมเริ่มเครียดคิดถึงเจ้าซอน หันไปหาทหาร...
“สหาย! มีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า?” ผมพิจารณารูปร่าง ทหารคนนี้แต่งตัวสะอาดหน้าตาดี หุ่นใช้ได้แววตามุ่งมั่นดีจัง
เขาสูดลมหายใจลึกยืดอก...
“มีครับ! ทหารจีน 20 นายอาวุธครบมือ ยึดสถานีฯในตลาดครับ”เขารายงานเสียงดัง
“เอ๋!” ผมขมวดคิ้วถามตัวเองในใจ มันเข้ามาทำไมวะ?
“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“สักพักก่อนที่ผมจะมาที่นี่ครับ แต่พวกเราล้อมสถานีไว้แล้ว ตอนนี้กำลังเจรจา พวกมันบอกขอพักรอเวลาให้เพื่อนมันมารับกลับครับ ผมเลยล้อมมันไว้ไม่ให้ไปไหนครับ” เขารายงานเสียงดัง
“ดีมาก! เดี๋ยวผมจะตามไป คุณไปได้แล้วเอาทหารและอาวุธไปเพิ่ม ลงไปบอกนินจาเซมด้วย” ผมชี้ไปกลางสนาม
“เย่!!” เขายืดอกแล้วหมุนตัว
“เดี๋ยว!...สหายชื่ออะไร?” ผมร้องห้าม
“คัง! ซอ! จิน!” เขายืดอกตอบเสียงดัง หมอนี่ท่าทางฉลาด
“คังซอจิน! ไปหาข่าวเพิ่มไว้นะเดี๋ยวเจอกัน” ผมโบกมือไล่ออกไปแล้วหันมองใบหน้ามอมแมมของเด็กสาว ใบหน้ามีแต่คราบน้ำตาต้องผ่านเรื่องเลวร้ายมาแน่ ๆ
“ชื่ออะไรครับสาวน้อย?” ยังไม่ทันที่เธอจะตอบ นาตาลีก็เดินตัวเปียกเข้ามา เด็กสาวหันไปมองแล้วหันกลับ ก่อนจะสะบัดหน้าหันกลับไปอย่างเร็ว นาตาลีเดินผ่านไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ เด็กสาวตัวสั่นจ้องตามตาไม่กระพริบ สายตาของเธอดีใจมาก แกะนิ้วประหม่าทำตัวไม่ถูก
อ๋อใช่สิ! เธอบอกว่า รู้จักสหายผู้บัญชาการนี่นา นาตาลีหันมายิ้มให้เธอแล้วแหงนหน้าพิงพนักหายใจแรงไม่สนใจ เด็กสาวขยับตัวเข้าไปเกาะขอบโต๊ะ
“พัคอนนี่! จำหนูได้ไหมคะ?” เสียงเธอขาด ๆ หาย ๆ น้ำตาคลอเบ้า
นาตาลีหันมามองหน้าเธอแล้วขมวดคิ้ว ท่าทางเดียวกับจูยอน สายตาลังเล สงสัยใครกันหว่า?...
“จำไม่ได้ค่ะ แต่เอ๊ะ! รู้จักชื่อฉันได้ยังไงเราเคยรู้จักกันเหรอคะ?” นาตาลีขยับตัวนั่งตรง หันมาสนใจคู่สนทนา
“อีซูมินไงคะ? จำได้ไหมคะ?” เธอตาแดงน้ำตาไหลอาบแก้มเป็นทาง สายตาดีใจมากมือไม้หยิบจับของบนโต๊ะมั่วไปหมด นาตาลีส่ายหน้าเบา ๆ
“หนู!...อีซูมินไงคะ! เด็กขี้ขโมย! หนูกับน้องชายที่อนนี่เคยช่วยไว้จากข้างกำแพงหู่ซาน แล้วเอาไปฝากไว้ที่บ้านดวงชะตาแห่งความหวังไงคะ?”
“เฮ้ย จริงดิ?” นาตาลีเด้งจากเก้าอี้ลุกวิ่งเข้ามาจับใบหน้าแล้วลูบคลำเนื้อตัวของเด็กสาว
“โตขนาดนี้แล้วเหรอ? โตเป็นสาวแล้วสวยมาก ขอกอดหน่อย” เธอสวมกอดเด็กสาวซบไหล่สะอื้นร้องไห้โฮ
นาตาลีจับไหล่ให้เธอยืนตรงแล้วพิจารณาใบหน้ารูปร่างของเด็กสาวอย่างสนใจ เดินวนรอบตัวของเด็กสาวสีหน้าสุขใจ
“ตัวสูงเท่าฉันแล้ว ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วนี่?” เธอเข้าสวมกอดเด็กสาวแนบแน่น
ผมประทับใจอย่างบอกไม่ถูก เธอคือตัวสร้างปัญหาของผมตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกัน แต่ยายนี่ก็แอบมีมุมซึ้ง ๆ แบบนี้เยอะเหมือนกัน แอบคิดถึงน้องแหม่ม...ลูกสาวที่จากไป ผมเลี้ยงมาจนโตต้องมาจากไปเพราะเจ้าหน้าที่รัฐเลว ๆ เสียดายที่เธอยังไม่ได้ใช้ชีวิตเต็มที่เลย
เสียงอีซุมินสะอื้นตอบนาตาลี
“17 ย่าง18แล้วค่ะ” เธอเช็ดน้ำตาแล้วขยับจับแขนของนาตาลีจูงมาที่โซฟาข้างผม นาตาลีเดินตามมานั่งแบบงง ๆ
“หนูคิดมาตลอดว่า สักวันหนึ่งหนูต้องได้เจอกับพัคอนนี่อีก” พูดจบเธอก็คุกเข่าแล้วก้มหัวคำนับกับพื้นหลายครั้ง
“พัคอนนี่! คัมซามนิดะ ๆ ๆ ๆ” เธอโขกศีรษะขอบคุณถี่ยิบ จนนาตาลีต้องจับแขนเธอให้หยุด
“พอแล้วค่ะ! ขอบคุณแค่ครั้งเดียวพอแล้ว ฉันรับรู้แล้ว” เธอดึงแขนเด็กสาว
แต่..
“หนูจะขอบคุณ อนนี่ให้ครบ100 ครั้งค่ะ ไม่สิ 1,000 ครั้งเลย” เธอเงยหน้าสีหน้าของสาวน้อยมุ่งมั่นเอาจริง
“ไม่ต้อง! เธอเติบโตมาดีขนาดนี้ ฉันก็ถือว่าเป็นคำขอบคุณแล้ว เจอกับอมม่าหรือยังคะแล้วน้องชายล่ะ สบายดีมั้ย?”
“น้องชายจากไปหลายปีแล้วค่ะ ส่วนออมม่าไม่กลับมาอีกเลย” เธอบอกเบา ๆ สายตาเศร้าลง นาตาลีเข้าสวมกอด...
“ฉันขอโทษนะ” เธอลูบหลังน้อง
“หนูไม่เป็นไรแล้วค่ะ! หนูรับมันได้แล้ว หนูคิดถึงแต่คำสอนของ อนนี่ เวลาเจอสิ่งที่ลำบากใจหนูจะคิดเสมอว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป! เดี๋ยวมันก็ผ่านไป! หนูผ่านจุดนั้นมาได้แล้วค่ะ” ทั้งสองยิ้มฉ่ำให้กัน
นาตาลีเคยบอกว่า ตัวเองก็โตมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเหมือนกัน คงเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน ก็คงไม่ต่างจากผมที่เข้าใจความรู้สึกของเด็กวัดและลูกกำพร้า แค่เราถูกเลี้ยงมาจากตัวแทนของศาสนาที่แตกต่างมันเป็นความอาทรจากสวรรค์
“แล้วเธอมาที่นี่ได้ยังไง ใครพามา?” นาตาลีลูบใบหน้าเด็กสาว
“หนูมากับน้องแทนค่ะ แล้วก็..ฮือ ฮือ!” เธอทรุดลงกับพื้น สะอื้นตัวโยน
“น้องแทนไหน?” เธอเข้าไปจับไหล่เด็กสาว ผมตะโกนสวนไป…
“ลูกเจ้าซอนไง! ไอ้ตัวซนหัวยุ่งมันมาด้วย”
“จริงเหรอ?” นาตาลีตีปีกหมุนมองหา คุณนายเริงร่าหน้าบานวิ่งทั่วห้อง...
“ไหน ๆ อยู่ไหน? น้องแทน! น้องแทนอยู่ไหน? หมวดจางมาด้วยหรือเปล่า ? คิดถึงจังเลย!”
“จูยอนพาไปข้างนอก รออยู่นี่แหละ!”
ผมหันไปถามเด็กสาว...
“ร้องไห้ทำไม แล้วเธอมาที่นี่ได้ยังไง? รู้เรื่องพวกเราได้ยังไง? เจอน้องแทนที่ไหน?” ผมใจคอไม่ดีเลย นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ สังเกตสีหน้าท่าทางของเธอก็เละสะบักสะบอมพอควร เสื้อผ้าเลอะมอมแมม
“หนูมากับไป่ไป๋เจี่ยเจี้ย ฮือฮือ!!” เธอทรุดหน้าร้องไห้หนัก ไม่ใช่เล่น ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น?
“ไป่ไป๋มาด้วยเหรอ? อยู่ไหน? อยู่ไหน? แล้วร้องไห้ทำไม?” นาตาลีเขย่าตัวเธอ
“เธอ...เธอถูกยิงตกน้ำ ฮือฮือ” เด็กสาวร้องไห้ตัวโยน
“ฮ๊า...!” นาตาลีอ้าปากค้าง น้ำตากระเซ็น
“เฮ้ย!” ผมเด้งลุกขึ้นยืน ในใจผมกังวลหนักขึ้นมาอีกเรื่องชักจะยุ่งแล้ว ซอนทำงานพลาดแน่ ๆ...
“ที่ไหน เมื่อไหร่?”
“ฮือฮือ! ที่สะพานเมื่อคืน เธอเอาตัวเองป้องกันให้หนูกับน้องวิ่งหนี เธอถูกยิงตกลงไปในแม่น้ำ หนูช่วยอะไรไม่ได้เลย” เธอทุบอกตัวเองร้องไห้ปานจะขาดใจ
“ฮือฮือ! ไป่ไป๋! ฉันขอโทษ” นาตาลีวิ่งร้องไห้จ้าพรวดพราดออกไป
เรื่องร้ายเหนือการควบคุมซัดสาดนาตาลีอีกครั้ง ตราบที่ยังมีลมหายใจปัญหาก็ยังคงเข้าแถวมากวนใจตลอด คราวนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะล้อเล่นอีกแล้ว ผมเองก็รู้สึกผิดที่ตัดสินใจช้าเกินไป
..................................................................มุมมองสายตา นาตาลี
ชินอุยจู
วันเดียวกัน
ฉันวิ่งลุยทุ่งหิมะที่หนาวเหน็บแต่หัวใจร้อนรุ่ม การจากกันชั่วคราวก็ต้องใช้ความกล้ามากมาย แต่ถ้าต้องจากกันนิรันดรฉันต้องใช้ความกล้าอีกเท่าไหร่ ต้องทรมานอีกนานแค่ไหน? ฉุกคิดถึงคำพูดของแทน
“คุณจะพิการหรือเจ็บป่วยก็ได้ จะเป็นอะไรก็ได้ แต่อย่าตายก็แล้วกัน ผมไม่รู้จะตามหาคุณได้ยังไง? มองก็ไม่เห็น พูดก็ไม่ได้ยิน” ฉันเข้าใจความหมายมันชัดเจนก็วันนี้ ถ้ายังไม่ตายก็ยังมีโอกาสได้ดูแลกัน คุยกัน ทะเลาะกัน แต่ถ้าตายไปแล้วฉันจะทำยังไง?
“ทหาร! ไปเอาเรือมา” ฉันออกจากประตูใหญ่ไปที่สะพานรถไฟ วิ่งลงทางชันไปริมตลิ่งด้านล่าง
“อย่าวิ่งครับ! ซาจังนีม” ทหารวิ่งมาห้าม ฉันไม่สนอะไรอีกแล้วจะรีบไปหาน้อง เธอคงเสียใจมากที่คิดว่าเราไม่รักเธอแล้ว ฉันไม่น่าแกล้งเลย
“ไป่ไป๋! กลับมานะ! อย่าไปนะ! ฮือฮือ!” ฉันสับขาถี่ให้ทันกับใจทางชันมากจนขาหยุดไม่อยู่
“หยุดวิ่ง!” ทหารวิ่งมาตีคู่
สายน้ำไหลเชี่ยวเย็นเฉียบเกลียวคลื่นซัดเข้าฝั่ง เรือน้อยผูกโยงไว้ปลายสะพาน หัวใจสลายที่เห็นรอยคราบเลือดแห้งบนสะพาน สงสารน้องจับใจที่อุตส่าห์กลับมาหาทั้ง ๆ ที่ถูกไล่ หัวใจของเธอจะเศร้าแหลกละเอียดขนาดไหนถ้าต้องจากกันไปอย่างเข้าใจผิด
ฉันจะไปหาไป่ไป๋จะตามไปอยู่กับเธอ น้องคงจะหนาวมาก หิวข้าวหรือเปล่า? เหงามั้ย? ฉันไปอยู่เป็นเพื่อนนะรอด้วย ไม่มีสิ่งไหนสำคัญอีกแล้ว
ฉันเพ้อหัวใจสลายวิ่งจากตลิ่งลงไปด้วยความเร็วเบรกไม่อยู่ หยุดไม่ได้...
“พรวด!” ลื่นขาฉีก ลำตัวไถลไปหัวสะพาน...
“ซาจังนีม!” ทหารไถลตามมาลื่นแซงหน้าไป
“ตูม!” เกลียวกระแสน้ำแรงดูดลำตัวลงไป เย็นเฉียบอย่างนี้เดี๋ยวก็ขาดใจตาย ให้มันตาย ๆ ไปซะจะได้ทดแทนความผิด สายน้ำพัดร่างกายปลิวมือไขว่าคว้าไม่มีอะไรให้จับจนมันร่างลอยขึ้นมา
“ทหาร! อยู่นี่ มาเร็ว ๆ” ได้ยินแต่เสียงซูมิน
“ฮึบ!” ฉันกลั้นใจดำน้ำอีกครั้ง คิดในใจ...เธอถูกยิงตกลงมาในกระแสน้ำขนาดนี้ มันจะพัดพาไปถึงไหน? รออีกนิดนะ สายน้ำที่เย็นเฉียบไม่สามารถทำให้ใจของฉันหายร้อน
“บรื้น!” เรือทหารแล่นเข้ามา
“ตูม! ตูม!” ทหารเอื้อมมือมาดึงตัวฉัน ทั้งสองคนประคองขึ้นเรือ
“สหายผู้บัญชาการ! ห่มผ้าเร็วเดี๋ยวช็อก!” ทหารเอาผ้าผืนใหญ่มาห่มทับ
“รีบ ๆ มานะ!” ซูมินป้องปากตะโกนที่ชายฝั่ง แล้วชี้นิ้วกลับไปที่สะพาน
“ไม่กลับ! ไปรับซูมินมา”
ทหารหักหัวเรือเข้าฝั่ง ฉันโผเข้ากอดเธอด้วยหัวใจปวดร้าว เพิ่งดีใจที่เจอกันแต่ปวดร้าวมากที่เสียไป่ไป๋ไป
“ฮือฮือ หนูช่วยอะไรไม่ได้เลย” เธอร้องไห้โฮ ยิ่งทำให้หมดหวัง
“ทหาร!ขับเรือไปเรื่อย ๆ เผื่อว่าเธอจะหนีไปแอบริมตลิ่ง”ฉันอยากจะบินได้อยากเจอไป่ไป๋เร็ว ๆ
“มันเกิดอะไรขึ้นคะ ซูมินทำไมถึงไป่ไป๋ถูกยิง” ฉันกวาดสายตาไปทั้งสองฝั่งน้ำ สองจิตสองใจทั้งอยากให้เจอและไม่อยากให้เจอ
อยากเจอก็จะได้ยอมรับและปรับตัว ไม่อยากเจอเพราะจะได้มีความหวังว่าเธอยังอยู่ น้องเป็นคนใจดีต้องรอด
อีซูมินกอดเอวแน่นร้องไห้ สะอื้นจะฉันสะเทือน...
“พวกเขามาหาหนูที่โบสถ์ ซอนซัมชุนพาน้องมาฝาก ทหารจีนมันตามมาจับตัวเธอ หนูเลยพาหนี ฮือ ฮือ หนูไม่น่าพาหนีลงเรือเลย”
“แทนใจร้าย! ฉันบอกแล้วว่าให้ไปรับเธอทำไมเขาไม่ทำ เขาไม่รักเธอเลย ฮือฮือ!” ฉันโกรธมากไม่ให้อภัยทั้งแทนและเจ็ทโด้แน่ ๆ
“โอปป้าไปดูสิ! นั่นอะไรขาว ๆ” ซูมินชี้ไปริมตลิ่ง คนที่รอคอยความหวัง แม้จะได้รับข่าวร้ายก็ยังดีกว่าไม่ได้ข่าวอะไรเลย ฉันชะเง้อคอเห็นวัตถุสีขาวลอยติดตลิ่ง ใจคอไม่ดีภาวนาว่าอย่าใช่นะ ต้องไม่ใช่นะ.
“บรื้น...นน!” เรือชะลอความเร็วลอยเข้าไปใกล้ หัวใจก็ยิ่งสั่น
“ศพคนครับ” ทหารส่องกล้องร้องบอก
“ตึกตึก!ตึกตึก!ตึกตึก!” หัวใจเต้นรัว ตัวสั่น มือสั่น
“ทำใจดี ๆ ไว้นะครับ อาจเป็นพวกเลื่อนลอยก็ได้ พวกนั้นว่ายน้ำไม่ได้” ทหารพูดปลอบใจแล้วพุ่งลงน้ำ
“ตูม!” เขากระโดดลงไปตั้งแต่เรือยังไม่จอด อุ้มศพสาวนิรนามขึ้นริมฝั่งอย่างไม่รังเกียจ
“ศพผู้หญิงจีนถูกยิงครับ”ทหารตะโกนขึ้นมาฉันจะเป็นลม
“ฮือฮือ!เจี่ยเจี้ยกล้าหาญมาก หนูขอโทษ!” ซูมินทรุดลงกับพื้นเรือ ปิดหน้าร้องไห้โฮ
ฉันกระโดดลงจากเรือเดินเลียบตลิ่งไปที่ศพ เห็นเส้นผมยาวผิวขาวยิ่งใจสั่น ซูมินเข้ามากอดร้องไห้ จุกอก หัวใจแหลกสลาย มองลุ้นไปที่ศพผู้หญิงเสื้อขาวผมยาว หัวใจรัวระทึกทุกย่างก้าวที่เดินเข้าใกล้ ทรุดนั่งคุกเข่าค่อย ๆ แหวกเส้นผมดูใบหน้าของศพ ภาวนาในใจว่า ไม่ใช่! ไม่ใช่นะ!
“ไม่ใช่ค่ะ! ไม่ใช่คนนี้” ซูมินยิ้มทั้งน้ำตา
“เฮ้อ!!!” ฉันโล่งใจหันไปกอดอีซูมินแน่น
“ทหาร! เดี๋ยวกลับมาช่วยเผาศพให้เธอด้วยนะ เราไปกันต่อเถอะ”ฉันบอกแล้วกลับขึ้นเรือ
เรือล่องเลาะแม่น้ำจนออกทะเลจีน ในใจหนึ่งก็ดีใจที่ไม่เจอศพลอยน้ำอีกใจก็ยังคงหวาดหวั่น สายน้ำเย็นขนาดนี้ถ้าตกลงไปจะทนได้แค่ไหน แล้วบาดแผลอีกล่ะจะทำยังไง? โดนยิงจุดสำคัญหรือเปล่าก็ไม่รู้?
“หมวดจางกับซอนเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้?” ฉันไม่อยากคิดแง่ลบ เพื่อน ๆ ของฉันลำบากกันทุกคน มันเริ่มจากจีนรุกรานนั่นแหละ
เรือยังลอยลำกลางทะเลกว้าง แสงแดดกล้ามากขึ้นทุกนาทีฉันยังคงชะเง้อคอมองหาในสิ่งที่ไม่อยากเจอ แค้นใจมากสัญญากับตัวเองว่า ฉันจะไม่ฟังคำสั่งของเจ็ทโด้อีกแล้ว ฉันต้องเสียไป่ไป๋เพราะเขา
“เรากลับกันดีกว่าครับ เธออาจจะไม่ตายก็ได้” ทหารพูดพยุงใจ คำพูดเล็กน้อยก็ทำให้คนผ่านอุปสรรคยิ่งใหญ่ได้
“แต่หนูเห็นว่า เธอถูกยิงเลือดไหลนะคะ” ซูมินปิดประตูความหวัง
คำพูดของอีซูมินดูช่างมืดมนเหมือนกับชีวิตของไป่ไป๋ เธอมีโอกาสน้อยมากที่จะรอดจากสายน้ำนี้
“เมื่อเช้าน้องตื่นมาไม่เห็นหน้าก็ถามไม่หยุด หนูไม่ได้ตอบเขาโกรธหนูมาก ฮือฮือ! หนูไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้”เธอท่าทางอิดโรยดวงตาบวมแดงใบหน้ามีแต่คราบน้ำตา
“จำไว้นะ! ถ้าน้องแทนถาม ต้องตอบค่ะ” ใช่สิ! เธอไม่รู้นิสัยน้อง
“หนูไม่กล้าบอก น้องรักเธอมากนะคะ โชคดีตอนที่โดนยิงน้องหลับสนิท เมื่อเช้าเขาก็ยังถามไม่เลิก หนูสงสารน้องสงสารเจี่ยเจี้ย ฮือฮือ”
“แกรก!”
“สหายผู้บัญชาการ! สหายผู้กองเรียกกลับค่ายครับ”
ฉันไม่เหลือเพื่อนเลย ทั้งไป่ไป๋และหมวดจางเหมือนเป็นแขนขาของฉัน พวกเธอเป็นเสมือนร่างกายที่อยู่ด้วยกันมาตลอด ฉันเสียใครอีกไม่ได้แล้วฉันจะไปช่วยหมวดจางออกมาเอง
...............................................................
หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |