หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 7 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 25 พ.ค. 2567 |
รัฐฉาน
มุมมองสายตา แทน
มีนาคม ค.ศ. 2026
หมู่บ้าน มงยัง …
“พั่บ! พั่บ! พั่บ! พั่บ!”
เฮลิคอปเตอร์ MI-26P2V ลัดฟ้าจากเกาหลีเหนือหลบหลีกแผ่นดินจีนบินฝ่าออกกลางทะเลเหลือง มุ่งสู่ทะเลจีนใต้เข้าอ่าวตังเกี๋ยขึ้นเวียตนาม บินเหนือผืนป่าหลวงพระบางร่อนลงที่รัฐฉานตะวันออก
“โครม! คราม!” กิ่งก้ามปูหักกระแทกพื้น บ้านไม้ไหวเอนจากแรงลม
“พั่บ! พั่บ! พั่บ! พั่บ!” เจ้าแมงปอยักษ์ค่อย ๆ ลงจอดกลางลานสนามเด็กเล่นฝั่งตรงข้ามหน้าบ้านของซอน
“แอ๊ด!!!” ทุกอย่างเป็นไปตามนัดหมายประตูเล็กในรั้วใหญ่แง้มออกก่อนชายหนุ่มกลุ่มใหญ่จะวิ่งออกมา
“ใหม่สุงข้า!” หลงซันยกมือไหว้นอบน้อม
“ใหม่สุงข้าหัวหน้าหลงเป็นไงมั่ง? ลูก ๆ สบายดีมั้ย?” เจ็ทโด้ตบไหล่อย่างคุ้นเคย
“สบายดีครับ เข้าไปข้างในบ้านก่อน” เขาพาเดินเข้าบ้าน เมื่อลอดหัวผ่านประตูเข้าไป ผมถึงกับตะลึง...
“โอ้โห!” ผมอุทานเมื่อเห็นชายหนุ่มรุ่นกระทงอีกเป็นร้อยคน อยู่ด้านใน
หลงซันหันมาบอก…
“พวกนี้มาช่วยกันเก็บของให้ดอกเตอร์”เขาชี้ไปที่กลุ่มชายหนุ่มที่อาคารวิจัยหลังสระน้ำแล้วมองเข้าไปตัวบ้านกลุ่มหญิงสาวกำลังง่วนทำงานบ้าน....
“สาว ๆ เอ้ย! ยกอาหารออกมา” หลงซันตะโกนบอกลูกน้องแล้วพาพวกเรามานั่งในเรือนกระจกใต้ต้นไม้หน้าบ้าน ดูจากสภาพบ้านที่สะอาดเรียบร้อยเหมือนมีคนอยู่อาศัย พวกเขาคงเทียวมาดูแลไม่ปล่อยทิ้งร้าง
สักพักกลุ่มเด็กสาวหน้าตาดีในชุดชนเผ่าคะฉิ่น ก็ยกถาดอาหารมาให้
“มีอะไรกินบ้าง น้องแป้ง?” เจ็ทโด้ยิ้มทักอย่างสนิทสนม สาวน้อยชาวดอยยิ้มหวานจริงใจ...
“มีเนื้อลุง! ผักกาดจอและผักกาดส้มค่ะ!”เธอวางหม้อแกงจืดลง พวกคนไทใหญ่สื่อสารกับเราได้สบายคุยกันรู้เรื่อง สำเนียงอาจจะเพี้ยนหูนิดหน่อยเท่านั้น
“น้องแป้งไปเอาน้ำฝนมาด้วย มาไกลกินน้ำเย็น ๆ ชื่นใจ” หลงซันกุลีกุจอตักข้าวส่งมาให้...
“คงคิดถึงอาหารบ้าน ๆ อย่างนี้กันมั่งล่ะ? ไปอยู่เมืองอื่นนาน ๆ กินให้เต็มที่เลยนะครับ” เขาอัธยาศัยไมตรีสุดยอดเป็นเจ้าของบ้านที่ดี
“............” ส่วนผมกับเจ็ทโด้เงยหน้าสบตากัน แม้ไม่ได้พูดออกมา ก็สื่อให้เข้าใจกันได้ พวกเราไม่ใช่คนไทใหญ่ไม่มีอะไรที่จะถูกปากหรอก
“มาแล้ว! มาแล้ว!” ทีมสาว ๆ ยกอาหารเรียงแถวกันมา น้องแป้งเป็นคนจัดการเรียงอาหารบนโต๊ะ นักบินเกาหลีของเรายิ้มมองน้องแป้งไม่วางตา
“อ้าย! กินนี่ก่อนสิคะ ดอกเตอร์ชอบมากเลย” เธอวางอาหารลง
“หือ!” ผมหันออโต้ นาตาลีชอบกินอะไรเหรอไม่เคยรู้เลย?
เธอตักผักกวางตุ้งตุ๋นกับกระดูกหมู มะเขือเทศผ่าซีกสีฉูดฉาด ควันฉุยกลิ่นหอมน่ากิน
“มันคืออะไรครับ?” ผมถามด้วยความสงสัย
“ผักกาดจอค่ะ”
“ไหน? ไม่เห็นมีผักกาดเลย” ผมเอาช้อนตักผักกวางตุ้งขึ้นมา สหายนักบินเกาหลีฟังไม่ออกนั่งขมวดคิ้วยิ้มมองเราโต้ตอบกัน
เจ็ทโด้เฉลย...
“ที่นี่เรียกผักกวางตุ้งว่าผักกาด ส่วนจอแปลว่าต้มหรือตุ๋น” ผมตักน้ำแกงขึ้นซด รสชาติเปรี้ยวมะขามหวานมะเขือเทศอร่อยดี
“แล้วเนื้อลุงล่ะคืออะไร?” ผมถามซ้ำอีกครั้ง เขาหยิบก้อนเนื้อผสมสมุนไพรปั้นกลมทอดสุกเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ท่าทางจะฟินมาก
น้องแป้งส่งยิ้มมา...
“ส่วนเนื้อลุงแม่ใหญ่ชอบมากค่ะ! เดี๋ยวตอนอ้ายกลับหนูจะทำไปฝากแม่ใหญ่กับดอกเตอร์นะคะ” เด็กสาวยืนยิ้มมอง
“แล้วมันคืออะไรล่ะ?”
“ลุงหมายถึงทำให้เป็นก้อน ใช้เนื้อวัวหรือเนื้อหมูก็ได้เอามาสับแล้วผสมกระเทียม หอมแดง น้ำขิง พริกป่นคั่ว ไม้ค่ำและสิ่งที่ขาดไม่ได้ของชาวไทใหญ่คือมะเขือเทศค่ะ” สาวน้อยช่างเจรจา อธิบายอย่างคล่องแคล่ว
เด็กสาวคนสุดท้ายวางถาดเหมือนขนมชั้นลง...
“ส่วนอันนี้เรียกว่าข้าวแรมฟืน เหล่าซือไป่ไป๋ชอบมาก เธอบอกว่าเหมือนกับอาหารจีนที่สิบสองปันนา หนูเตรียมไว้แล้วฝากไปให้เธอด้วยนะคะ”
ผมกับเจ็ทโด้สะอึกสบตากัน หัวใจเศร้าลงคิดถึงใบหน้าของเธอขึ้นมา แน่นหน้าอกทุกครั้งที่ใครถามถึงเธอ ผมยังคงรู้สึกผิดในใจเสมอมา
“แถ่นแท้น!” หลงซันยื่นถ้วยของตัวเองเข้ามาในวง กลิ่นสลายปอดโชยมาก่อนเลย...
“นี่เลย! ถั่วเน่าจี่ถ่านของบ้านเรา กินเยอะ ๆ กินให้หายอยาก น้องแป้งปรุงไว้กำลังดี” เขากระตือรือร้นตักมาใส่ชาม
“โอ้วขอบคุณครับ พอแล้ว!” กลิ่นของมันต้องยอม ผมมองกับข้าวท้องถิ่นที่หลงซันนำเสนอแล้วรู้สึกพะอืดพะอม เสือกใจดีตักมาให้ซะเยอะเลย กินของน้องแป้งชัวร์กว่าเยอะ
“ขอบใจนะหลง! ไอ้นี่เอาไว้ก่อนไม่ค่อยคิดถึงมันสักเท่าไหร่หรอก” เจ็ทโด้เสียงอ่อยยกมือห้าม หลงซันยังใจดีตักใส่ชามทหารเกาหลี
“นาน ๆ กลับบ้านทีมันต้องถั่วเน่า สุดสุดอ่ะ!” เขาคึกคักมากลุกเดินออกไป ผมก้มหน้าอมยิ้มค่อย ๆ เขี่ยถั่วเน่าออกไปริมจาน
เจ้าพยัคฆ์น้อยยื่นจานผักกาดส้มเข้ามา...
“อันนี้อะไรอร่อยมาก เหมือนกิมจิเลย”
“กิมจิไทใหญ่” เจ็ทโด้ยิ้มตอบแล้วมองมาที่ผม...
“แทน! มึงประทับใจอาหารเกาหลีเหนือบ้างหรือเปล่า?”
“พวกปิ้ง ๆ ย่าง ๆ อร่อยดี แต่พวกแกงแล้วใส่กิมจิ ผมกินไม่ค่อยได้ ผมไม่ชอบกิมจิไม่ชินสักที”
“มึงยังไม่เจออาหารถิ่นดั้งเดิมของเกาหลีเหนือขั้นสุดล่ะสิ กูโดนมาแล้วพูดไม่ออกเลย กระเดือกตั้งนานกว่าจะลงคอ” เขาอมยิ้มตาพราว
“อะไรเหรอพี่?”
“ขนมปังจิ้มซีอิ้ว”
“ฮ๊า!”
“อืม! กูโดนเต็ม ๆ”
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! นาตาลีเคยบอกว่า คนเราแตกต่างกันที่ประสบการณ์ สงสัยจะจริงว่ะ”
...........................................................................................................
หลังจากกินอาหารเสร็จ หลงซัน หล้าและเพื่อน ๆ เดินเข้ามานั่งล้อมวงคุยด้วย ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส
“บอสกับแม่ใหญ่ของผมสบายดีนะครับ” หัวหน้าหลงถามนำ
“มันโทรมาคุยแล้วไม่ใช่เหรอ?” เจ็ทโด้หันไปตอบ
“ผมอยากจะได้รับคำยืนยันอีกครั้งครับ ครั้งสุดท้ายก็บอกเลิกนัดผมกลางทางซะงั้นได้แต่รถเหลืองกลับมาแทน” ทั้งสายตาและท่าทางบ่งบอกว่าเขาเป็นห่วงจากใจ เจ้าขนมปังยืนแอบยิ้มด้านหลังของหล้า
“ทุกคนสบายดี พวกนายไปเยี่ยมก็ได้นะ เข้าเกาหลีเหนือแล้วบอกกับทหารว่า มาหาสหายจูยอน ผมการันตีว่าปลอดภัยและอบอุ่น”
“ผมไม่ชอบใจเลย ไม่อยากให้บอสไปไกลตาคิดถึงว่ะ จริง ๆ นะ!ผมยอมให้แม่ใหญ่สั่งขังหรือลงโทษพวกเรายังสบายใจกว่านี้” เขาบ่นอุบ
ผมแอบคิดในใจ...ลูกน้องพี่ซอนสุดยอดทุกคน ดวงตาที่แข็งกร้านโลกแฝงความอ่อนโยนเมื่อพูดถึงเจ้านายของเขา
“แล้วพวกนายอยู่กันยังไง?”
“ตอนนี้กลับมาอยู่บ้านกันหมดแล้ว ลำบากหน่อยแต่ก็สบายใจ”
“ที่ลาวบ้านสวย ๆ เยอะแยะ ทำไมไม่ไปเลือกเอา อยากอยู่หลังไหนก็ได้จะมาทนลำบากในป่ากันทำไม?” เจ็ทโด้ชวนคุยไปเรื่อย
“ที่นี่สบายที่สุดแล้ว แม่ใหญ่กับดอกเตอร์สร้างสังคมสร้างชุมชนไว้ให้พวกเรา พวกผมไม่เหงาหรอกขึ้นไปกินเหล้าต้มกับชนเผ่าสนุกดี สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนใหญ่ก็ไปขนมาจากบ้านของพี่นั่นแหละ ไม่ได้ลำบากอะไร?”
เจ้าหล้าแทรกขึ้นมา...
“ตอนแรกผมคิดว่า Kala Democracyน่าจะรอด เพราะรอบด้านโดนจัดการไปหมดแล้ว แต่การเมืองภายในมัวแต่แย่งยื้ออำนาจกัน สุดท้ายพากันตายหมดเลย น่าเศร้ามาก ตะเกียงดวงสุดท้ายของภูมิภาคดับลงแล้ว”
“ผมเสียดายมากหมดที่เที่ยวเลย ผมเข้าไปเที่ยวบ่อย” เจ้าปังยิ้มแห้ง ผมฟังแล้วอึ้งจุกอกรัฐมีเวลาและอาวุธมากพอที่จะกำจัดคนขวางอำนาจภายใน แต่พอมีภัยต่างชาติกลับไม่ได้ลุกขึ้นสู้...
“พวกนายได้เข้าไปถึงมหานครมั่งหรือเปล่า?”
“เมื่อก่อนพวกผมเข้าไปเที่ยวบ่อยมาก แต่หลังจากจีนถล่มไปผมก็เข้าไปขโมยพวกเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแถบเมืองเหนือกลับมา ชาวบ้านที่นั่นน่าจะเป็น Soulless100%” หล้าหนุ่มหล่อ ยืดอกท่าทางมั่นใจตัวเอง
“มีทหารจีนอยู่มากมั้ย?” เจ็ทโด้ถามกลับ
“มีไปทั่วเลยครับ ส่วนใหญ่จะอยู่ในค่ายทหารพวกมันไม่ออกจากค่ายหรอก” หล้ายักไหล่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“พรุ่งนี้พาไปดูลาดเลาหน่อย” เจ็ทโด้เม้มปากกระพริบตาถี่ ด้วยความที่ผมรู้จักเขามานาน ท่าทางแบบนี้เขาเอาจริงแล้ว
“เริ่มจากที่ไหนก่อนดีครับ?” ผมรีบถาม
“ไล่จากเหนือลงไป พรุ่งนี้เข้าตีภาคเหนือก่อน” เจ็ทโด้พูดเรียบ ๆ ผมรู้สึกโกรธที่ทหารจีนเข้ามายึดแผ่นดินแม่ ถึงผมจะจากไปด้วยความเกลียด แต่ลึก ๆ แล้วผมก็รักและหวงแหนแผ่นดินเกิดผืนนี้
“พรุ่งนี้ จะใช้กี่คนครับ?” หลงซันถาม
“เอาคนที่ยิงปืนระยะไกลแม่น ๆ ไป 5 คนก็พอ จะเข้าไปยึดเครื่องบินของมันก่อน จะเอามาขนพวกนายเข้า มหานคร Kala city”
“งั้น!ผมขอไปเตรียมตัวก่อนนะครับ” หลงซันกับหล้าลุกเดินออกไป
“พรุ่งนี้เจอกันตี 5” เจ็ทโด้ตะโกนตามหลัง
ผมลุกเดินไปหาเจ้าพยัคฆ์น้อยแบ็กตูและเพื่อนนักบินที่นั่งสูบยาเส้นกินเหล้าต้ม สาว ๆ มานั่งล้อมวงคุยด้วย ดูท่าแล้วน่าจะเมื่อยมือ
“คิมซองบก!”
“เย่!คิมซองบก!” เขาหันมายิ้มเหมือนเด็ก
“สหายรออยู่ที่นี่นะ ผมจะไปทำงานกันเอง”
“เซม! ให้ผมไปช่วยก็ได้นะครับ ผมยินดี!”
“สหายพูดกับพวกเขาไม่รู้เรื่องหรอกพักผ่อนเถอะ สหายมีแฟนรึยัง?”
“ยังครับ”
“ดีแล้ว!...จะได้ไม่ร้องงอแงกลับบ้าน น้องแป้งสวยมั้ยสนใจมั้ยหนุ่ม ๆ ?” ผมตบไหล่เขาเบา ๆ เข้าใจชายหนุ่ม
“ผมใจละลายไปแล้ว สวยเรียบร้อยมากสดใสเหมือนดอกชบา” คิมซองบกคึกคัก
“เซม! ทำไมต้องใช้นักบินหลายคนครับ?” นาจองรีเพื่อนซี้ของเขาถามแทรกเข้ามา
“พาสหายมาขโมยเครื่องบิน รอคำสั่งอยู่ที่นี่แหละไม่เหงาหรอก เดี๋ยวจะสั่งให้น้อง ๆ พาเที่ยว สหายจะได้เห็นชีวิตจริงนอกเกาหลีเหนือ สหายจะได้เห็นสิ่งที่สหายจูยอนเล่าให้ทุกคนฟังว่าโลกใบนี้สวยงามและยิ่งใหญ่แค่ไหน อิสระเสรีมันเป็นอยางไร?” ถึงแม้จะสายไป ผมและจูยอนก็ยังได้ปลดปล่อยชีวิตในกรงอำนาจ สู่อิสรภาพมากมาย
“เซมคัมซามนิดะ! นี่เป็นครั้งแรกของชีวิตที่ผมได้ออกนอกประเทศ ได้รู้จักคนต่างภาษาได้เห็นชีวิตที่แตกต่างตื่นเต้นมากครับ” คิมซองบกเจ้านักบินเด็กดื้อของผมยิ้มหน้าบ้าน
“ชอบที่นี่ไหม? ที่นี่ไม่หนาวไม่มีหิมะ ผืนป่าสมบูรณ์หากินได้ทั้งปี มีอิสระในการเลือกใช้ชีวิต มีเสรีภาพในการพูด”
“ชอบมาก! สหายผู้กองเคยเล่าให้ฟังถึงดินแดนแห่งทุ่งหญ้าสีเขียวและป่าไม้เขียวครึ้มไม่มีหิมะ ที่นี่เองสินะ!”
“ยังมีที่แปลก ๆ อีกมาก บางแห่งไม่มีหิมะและไม่มีพื้นดิน มีแต่ผืนทรายร้อนแล้งฝนไม่ตกเลยทั้งชีวิตก็มี โลกใบนี้กว้างใหญ่มากสหายจูยอน เดินทางมาแล้วรอบโลก เธอสุดยอดมาก!” ผมตอกย้ำความศรัทธา
“แทน!” เจ็ทโด้เดินมาโฉบกอดคอ พาเดินห่างออกมาจากทุกคน…
“กูแปลกใจว่ะ กลุ่มลุงฉุนอยู่ต่อมาได้ยังไง?”
“อ้าว! เกิดสภาวะแบบนี้มันก็ถือโอกาสปิดประเทศสิครับ พวกมันจ้องมาตั้งนานแล้วที่จะล้อมคอกชาวบ้าน ตราบที่มันยังเก็บภาษีได้มันไม่สนคนระดับล่างหรอก”
“แล้วทำไมถึงรอดแค่ 2 ประเทศวะ?” เขาเกาหัว สายตาสุดสงสัย
“แหมทำเป็นงง! จูยอนไปขู่จะยิงนิวเคลียร์ใส่มันใครจะกล้ายุ่งกับเธอ เมียพี่ไม่ใช่คนธรรมดานะ เห็นยิ้มหวานอย่างนั้นน่ะ..โคตรโหดเลย”
“จะว่าไปแล้ว กูออกรบมามากมายแต่ก็เป็นได้แค่หมากในกระดาน จูยอนทำครั้งเดียวเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์โลกไปเลย” เขายิ้มดวงตาประกาย
“ผมก็มีส่วนนะพี่ ชมผมด้วย!” ผมไม่ยอมหรอก วันนั้นผมลุ้นเกือบตาย
“แล้วบ้านเราล่ะ? นิวเคลียร์ก็ไม่มีทำไมถึงรอด?"
“บ้านเราอย่าว่าแต่ไม่มีนิวเคลียร์เลย เรือดำน้ำยังไม่มีเครื่องยนต์เลย ฝีมือกลุ่มลุงฉุนทั้งนั้น จ่ายงวดแรกก็พอ ”
“หมายความว่ายังไง จ่ายงวดแรกก็พอ?”
“ก็งวดแรกมันมีเงินทอน หลังจากนั้นใครจะยกเลิกหรือแก้ไขพวกมันก็ไม่สนหรอก สุดท้ายก็ต้องเอาไว้โชว์งานวันเด็กของอย่างนั้นไม่ต้องมีเครื่องยนต์ก็ได้”
เขาขมวดคิ้วมองแล้วส่ายหน้าไม่เชื่อ....
“เรื่องแค่นี้! จีนมันไม่เอามาเป็นบุญคุณหรอก ต้องมีเหตุผลอื่นสิ?”
“ครั้งสุดท้ายที่ผมดูข่าวของบ้านเรากับจูยอน คนจีนเข้ามาตั้งรกรากมากกว่าครึ่งแล้ว คนจีนเยอะมากเรียกได้ว่าเป็นรัฐนอกอาณาเขตของจีนก็ว่าได้ นโยบายของลุงฉุนเปิดประตูให้จีนเต็มที่เพราะอยากได้ภาษี แอบให้สิทธิพิเศษกับคนจีนมากมาย”
“มันเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่รู้ กูไม่ได้สนใจเลย”
“พี่ตุ๋ยเลิกเชียร์ลุงแล้วเหรอ? เขาชนะมาตลอดเลยนะ เก่งโคตร”
“กูหมดกำลังใจไปนานแล้ว แม่ง! ทำงานเหมือนพวกฝ่ายสินไหมประกันภัย”
“ยังไงวะพี่?”
“เชิงมันเยอะ! ทำเหมือนจะให้บริการ แต่แท้ที่จริงแล้วมันกำลังสอบสวน จับผิดเราอยู่ ”
“เหมือนลุงฉุนยังไง?” ผมแปลกใจที่ Fc ของลุงฉุนแปรพักตร์
“คิดโครงการมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ทุกคนลงทะเบียน แต่แอบส่องข้อมูลประชาชน แล้วส่งลูกน้องมาไล่เก็บภาษีย้อนหลัง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เดี๋ยวนี้บังอาจตำหนิลุงฉุนด้วยนะ”
“ถ้าใครชมนี่สิ น่าสงสัย” เขาหัวเราะเบา ๆ ซึ่งผมเองก็คิดเช่นนั้น กลุ่มผู้ยึดอำนาจปากพูดว่าทำเพื่อประชาชน แต่พอชาวบ้านมีปัญหาก็โบ้ยไปโทษรัฐบาลก่อนหรือถ้าตอบไม่ได้ก็โหวกเหวกโวยวายตวาดไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ไม่เว้นแม้ผู้สื่อข่าวผู้น่าสงสารที่เป็นเหมือนกระโถนให้เขาถ่มถุยความกักขฬะใส่ทุกวันแต่ก็ยังต้องชื่นชม เขาทำลายศักดิ์ศรีเพื่อนร่วมชาติได้อย่างไม่ต้องอายใคร
“พี่! งานนี้เพื่อมนุษยธรรมอย่าไปสนการเมือง ทุกอย่างมันจบสิ้นไปแล้ว ช่วยคนให้รอดสักกลุ่มก็พอเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ชาติเอาไว้ คิดแค่นั้นก็พอ” ผมไม่สนใจเรื่องเก่า ช่วยคนเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในเวลานี้อย่างน้อยก็ทำเพื่อใหนาตาลีสบายใจ
“อือ! กูตั้งใจจะทำบุญไถ่บาปให้จูยอนด้วย เธอฆ่าคนมามากมายนอนกลางคืนยังละเมอเลย ส่วนลึกในใจของเธอคงไม่มีความสุขหรอก ถ้าเธอเป็นคนโลภมากสักนิดคงจะไม่รู้สึกผิดในใจและนอนหลับลึกกว่านี้”
“ไม่เข้าใจครับอธิบายเพิ่มด้วย” ผมไม่เคยรู้ว่าจูยอนทุกข์ใจกับสิ่งที่ทำลงไป
“ถ้าเธอทำเพราะอยากเป็นใหญ่ เพราะโลภหรืออยากมีอำนาจ เธอจะไม่รู้สึกผิดและไม่คิดลงจากตำแหน่งแต่ที่เธอทำเพราะความแค้น และมันมีคนที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงตายไปด้วย ลึก ๆ เธอก็เสียใจ”
“แต่คนเกาหลีก็เข้าใจและไม่ต่อต้านนี่ครับ ผมว่าเธอเหมาะสมกับผู้นำมากที่สุด ทั้งสวย ทั้งสง่า ฉลาดแหลมคม” ผมชื่นชมจากใจและเสียดายที่เธอวางมือ
“เรื่องนั้นถือว่าโชคดีของเธอ แต่มึงเชื่อกูเถอะ! พอพวกมันตั้งหลักได้ก็จะมีคนโหนผู้นำคนเดิมกลับมาเล่นงานเธอ เหมือนพวกทาร์ซานโหนเถาวัลย์ของบ้านเรา”
“ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เธอคิด สิ่งที่เธอเคยบอกไว้ก็ถูกทั้งหมด การกำจัดมนุษย์คือการกำจัดแนวคิด เริ่มเผ่าพันธุ์ใหม่” ผมเริ่มเข้าใจความคิดของจูยอนมากขึ้น
“เพราะมึงน่ะแหละไปเป่าหูเธอให้ไว้ชีวิตคนอื่นเรื่องมันถึงวุ่นวาย ต้องดูแลชาวบ้าน ต้องสร้างกองทหาร เหนื่อยกันไปหมด” เขาจิ้มหัวของผมซะแรงเลย //ตกลงที่เธอต่อว่าผมมาตลอด เป็นเรื่องจริงสินะ//
“หรือเราจะปล่อยให้ตายให้หมดจะได้ไม่ต้องเอาความคิดปัจจุบันติดไปด้วย ให้มันจบไปกับรุ่นเรา” ผมไม่อยากสร้างปัญหาต่อก่อปัญหาใหม่
เขายกมือห้าม...
“เพื่อมนุษยธรรมช่วยไปเถอะ” แหม!น่ารักเชียวนะพี่ชาย
“แต่ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะดูแล Soullessบ้านเราอย่างไร ใครจะคอยให้อาหารพวกมันล่ะ?” ผมหันไปปรึกษาถ้าไม่มีคนช่วยก็แย่เหมือนกันลำพังแค่ฉีดวัคซีนก็สาหัสแล้ว
“คงรบกวนพวกหลงซันนี่แหละ เดี๋ยวให้พวกมันไปตามพวกชนเผ่าชาติพันธ์เข้าไปช่วย หน้าที่ของเราต้องหาเครื่องบินให้ได้ก่อน” เขาทำให้โล่งใจมีทางออกแล้ว
“มึงไปนอนไป พรุ่งนี้เดินทางตี 5”
“ครับ!”
............................................................................
ผมลุกเดินจากหน้าบ้านเลาะข้างบ่อน้ำมาที่ห้องวิจัยของนาตาลี วันนี้ภายในรั้วบ้านเต็มไปด้วยผู้คนเดินกันพลุกพล่าน กลุ่มชายหนุ่มกำลังบรรจุวัคซีนลงกล่องใหญ่ทยอยขึ้นไปใส่ตู้คอนเทนเนอร์ เด็กสาวรวมกลุ่มช่วยกันลงครัวเตรียมอาหาร แอบคิดเลยเถิดไปถึงไป่ไป๋สมัยยังมีชีวิตอยู่เธอคงเดินวนเวียนอยู่แถวนี้ ทุกย่างก้าวที่เดินอาจจะทับรอยเท้าจาง ๆ ที่เธอทิ้งไว้
“แอ๊ด...ดด!!” เปิดประตูเข้าห้องทำงานเก่าของนาตาลีแล้วใจหายสิ่งของทุกอย่างถูกเก็บเรียบร้อย สะดุดตากับรูปถ่ายคู่ของไป่ไป๋กับนาตาลีที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์บนผนัง ผมจุกอกน้ำตาซึมคิดถึงรอยยิ้มจริงใจและความซุกซนชอบอ้อนของเธอ
“แทนคะดูนี่สิ!”
“แทนคะหิวน้ำ!”
“แทนคะขอขี่คอหน่อย” ภาพวันเก่าลอยเข้ามาในหัวเสียงหัวเราะสดใสท่าทะเล้นของเธอยังติดตา ผมเจ็บปวดกับการสูญเสียเข็ดกับการลาจากไม่อยากสูญเสียใครไปอีก ปลดรูปลงมากอดร้องไห้โฮ...
“ฮือฮือ! ผมขอโทษมาเข้าฝันผมบ้างนะ ผมยังรักคุณนะ ยังอยากเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคณเสมอ”
เธอมั่นคงกับความรักเดินตามรอยชีวิตของผมจากเรื่องเล่าในป่าและคงจำได้ว่าผมเรียนที่อังกฤษจึงตามไปจนถึงที่นั่น ได้เห็นรอยยิ้มสดใสของไป่ไป๋แล้วน้ำตาไหลอาบ หัวใจปวดร้าวที่เป็นสาเหตุให้เธอต้องจากไป
“ไป่ไป๋ผมรักคุณนะ คิดถึงมากด้วย ถ้าลำบากกลับมาหาผมนะ ผมไม่รู้ว่าจะไปตามหาคุณที่ไหน ผมไม่รู้ว่าจะตามหาคุณได้อย่างไร? ผมขอโทษ” ผมทิ้งตัวลงนอนกับพื้นห้อง กอดรูปของสองสาวไว้แนบอกหลับไปโดยหวังว่าจะเจอเธอในฝันอีกสักครั้ง
การจากไปไม่มีวันกลับคือสิ่งที่ผมกลัวที่สุด ชีวิตของผมอยู่ได้เพราะความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าสักวันจะได้กลับมาเจอกับเธอ แต่สุดท้ายเมื่อได้เจอ ผมกลับเป็นคนที่ทำให้เธอจากไปไม่มีวันกลับมา
...................................................................
เช้าในต่อมา....
พวกเราลุกกันตั้งแต่ตี 4 ผมยิ้มกว้างเมื่อได้เจอเพื่อนเก่า เจ้าแฮมเมอร์สีเหลืองคู่ใจของซอนจอดรอเตรียมพร้อม มันได้ออกเดินทางร่วมกับพวกเราอีกครั้ง
“บรื้น!!!” รถยนต์ตะลุยถนนลูกรังขึ้นยอดดอยสูง ผ่านลำธารในผืนป่าเข้าสู่รอยต่อระหว่างประเทศ
“บรื้น….นน!!!” แล่นข้ามสะพานผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่เงียบร้าง ไร้สัญญาณสิ่งมีชีวิต
“เซ็งเลย!” ใจหายวาบที่ธงชาติจีนถูกชักขึ้นเหนือเสาปลิวไสว หัวใจห่อเหี่ยวตั้งแต่เหยียบย่างก้าวแรกเข้าสู่แผ่นดินบ้านเกิด สภาพศพจากการทำร้ายกันเองบาดแผลเหวอะหวะ สยดสยองเหมือนพวกเขาเพิ่งผ่านสงครามมา
“แม่งเอ๊ย!!! เด็ก ๆ ก็ตายหมดเลยเหรอ?” ผมโคตรสลดใจกับเด็กน้อยนอนตายเกลื่อน ชีวิตที่ยังเยาว์สิ้นใจไปพร้อมคราบน้ำตาแห้งเลอะแก้ม เอื้อมมือไขว่คว้า ปากร้องเรียกหาคนช่วย คงกลัวมากเลยสินะ.
ท้องถนนบางช่วงที่ใกล้เขตชุมชนเต็มไปด้วยซากศพ อืดอ้วน กลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวลขมคอ ฝูงนกกาปากแหลมรุมแย่งจิกไส้ขึ้นมากิน สัตว์กินซากเริงร่าอิ่มหมีพีมันถ้วนหน้า
“สงครามล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ชัด ๆ บอสเคยเปรยให้ฟังเหมือนกันว่า เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นทั้งโลก” หลงซันมองซากศพแล้วส่ายหน้าหันไปสั่งลูกน้อง...
“เฮ้ย! มึงลงไปเคลียร์ทางให้ด้วย กูไม่อยากทับศพว่ะ!” เขาจอดรถริมถนนในเขตชุมชนของตลาดท่าขี้เลื่อย หันไปสั่งลูกน้อง
“เอางั้นเลยเหรอลูกพี่?” เจ้าปังหน้าเสียเบ้ปาก เจ้าฮักยิ้มเข้ามากอดคอแล้วลากแขนเพื่อน…
“มึงไปกับกูไม่ต้องกลัว กูลูกสัปเหร่อ” มันลากกันลงรถไป ผมกับเพื่อนกระโดดตาม
“สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ มันจะได้ไม่เหม็น” เจ้าฮักลูกสัปเหร่อบอกเคล็ดลับ เข้าไปจับขาศพผู้ชายอืดพุงบวมเปล่ง
“หึ่ง!!!!!!” ฝูงแมลงวันแตกฮือ
“ฮึบ!!!” ทันทีที่เจ้าฮักออกแรงดึง...
“โบ๊ละ!!!” ท้องศพระเบิดน้ำหนองเน่ากระเซ็น...เหม็นหึ่ง
“ว๊าก!!” เจ้าปังกระโดดตัวลอย
“แหวะ! ถุย! เชี่ย! แม่งเข้าปาก” มันเอาหัวไหล่เช็ดปาก
“อุบ!!” พวกเราปิดจมูก กระโดดไปคนละทาง
“ตัวเหี้ยสบายเลย ดูสิ! มันพาลูก ๆ มุดเข้าไปในท้องศพ เลือกกินอย่างสบายใจอ้วนพุงเปล่งกันหมด” ผมชี้ไปที่ศพผู้ชาย ลำตัวอืดอีกคน
“วิ้ววิ้ว…!!” สายลมพัดอ่อนใบไม้ปลิวม้วนไปตามถนน บรรยากาศรอบตัวหดหู่ใจ สภาพศพดิ้นรนก่อนตายน่าอเนจอนาถ พวกเขาคงกลัวสุดขีดก่อนสิ้นใจ ความกลัวเป็นต้นกำเนิดความพินาศในครั้งนี้ ความกลัวคือเครื่องมือในการควบคุมมนุษย์
“ศพทุกรายไร้ญาติคาดว่าจะไม่มีคนรอด ไม่มีใครช่วยกำจัดศพเราช่วยกันลากออกให้พ้นทาง พอรถวิ่งได้ก็พอ” ผมบอกพร้อมปิดจมูก
“แทน! ข้างหน้ามีวัดเอาไปเผากันมั้ย?” หลงซันชี้ไปด้านขวาของถนนมีประตูเข้าวัด
“ผมไม่มีเวลามากขนาดนั้น เป้าหมายของเราต้องช่วยคนที่รอดชีวิตก่อน ดูนั่นสิ!” ผมชี้
ศพภิกษุนั่งสมาธิพิงประตูวัดสิ้นลม ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล มีดปักอกท่านเดินกลับไม่ถึงกุฏิ จากลักษณะบาดแผลและนั่งนิ่งตอนตายแสดงว่าท่านไม่ได้ฉีดวัคซีน ถัดไปศพหญิงสาวถือแกงถุงนอนพาดสะพานไม้น่าอนาถใจ ทุกคนจากกันโดยไม่มีโอกาสร่ำราครอบครัว
หลงซันเดินคอตกไปดึงแขนศพหญิงสาวใบหน้าเละลงข้างทาง...
“ช่วงแรก ๆ เสียงปืนดังทั้งวันทั้งคืน ทหารจีนคงเดินไล่ยิงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วย” เขาเอากระดาษมาปิดหน้าศพไว้
“สงครามไม่มีปรานีจริง ๆ” เจ้าปังเอาผ้าคลุมให้ศพ
กว่าจะถึงค่ายทหารก็ผ่านเลยเที่ยงวัน พวกเราเดินบ้างขับรถบ้าง ลงเคลียร์ถนนมาตลอดทาง พอเข้าใกล้เขตทหารถนนหน้าค่ายฯ ปลอดโปร่งไร้ซากศพ
“โฮ้ว! หายใจสะดวกหน่อย” พวกเรากระโดดลงจากรถเหลืองเมื่อหลงซันพาเข้ามาหลบในวัดศรัทธาโรย ข้างค่ายทหารใหญ่
“ทุกคนสวมหูฟัง เปิดวิทยุดาวเทียม” เจ็ทโด้สั่ง...
“ตั้งเวลา!” พวกเราเอาหูฟังเสียบหูแล้วปรับเวลาให้เท่ากัน
“ตามผมมา!”เขาหมุนตัวเดิน หลงซันขยับปืนยาวเดินตามพาลัดลานวัดออกหลังอุโบสถผ่านป่าช้า ย่องมุดรั้วลวดหนามวิ่งลัดเลาะบ้านพักนายทหารด้านข้างของค่ายไปที่ประตูด้านหน้า
“ลูกพี่กับแทนไปด้านหน้านะ” เขาสั่งแล้ววิ่งแยกกันไป ค่ายทหารจอมโลกันต์กองกำลังทางภาคเหนือ พื้นที่กว้างใหญ่อาคารที่ทำงานตั้งรวมกันอยู่ด้านหน้าค่าย
ผมเดินหลบไปปีนขึ้นป้อมยาม ส่องกล้องเข้าไปที่อาคารยาวหลังคาแดง ทหารจีนประมาณ 50 นายกระจายอยู่ทั้งสองชั้น
“พวกมันไม่ได้ทำงานหรอกพี่ มันนั่งเล่นหมากรุกซะส่วนใหญ่” ผมไล่ระดับสายตาลงถนนด้านล่าง วงเวียนรูปปั้นนักรบโบราณถือดาบอยู่กลางถนนท่าทางยังคงดุดันน่าเกรงขาม แท่นบูชาเต็มไปด้วยดอกไม้แห้งกรอบของผู้ศรัทธาบนถนนหน้าอาคารสีเหลืองอ่อน Soullessในเครื่องแบบทหาร 4-5 คนเดินสวนกันไปมา นายพลทหารบกติดเหรียญเกียรติยศเต็มหน้าอกก็ไม่รอด ผิวหนังไหม้เกรียมจากแดดเผาร่างกายผอมโซ รอบตาคล้ำเดินไร้เรี่ยวแรงก้มหน้าเก็บพวงมาลัยขึ้นใส่ปากเคี้ยว
“ปัง!” ร่างของเขากระเด็นล้มลง
ผมพูดผ่านวิทยุ...
“พวกมันเอา Soullessเป็นเป้าซ้อมยิง จัดการไอ้พวกทหารจีนก่อน” ผมค่อย ๆ ไล่ส่องกล้องไปตามระเบียงไม้ที่ชั้น 2 ตามห้องของอาคาร
“อ๊ะ! มีคนที่รอดอยู่กับทหารจีนด้วย” หญิงสาวหลายคนถือถาดน้ำชาเข้าไปเสิร์ฟให้กลุ่มทหารที่นั่งเล่นหมากรุก
เจ็ทโด้ปีนขึ้นมา...
“ไหน? ขอกล้องหน่อยสิ!” เขาคว้ากล้องไปส่อง...
“มันอยู่ทั้ง 2 ชั้นแหละพี่”
“พวกเธอคงกลัวตายเลยต้องยอมเป็นของเล่นทหารจีน มึงจะเอายังไง?” เขาหันมาสบตา ผมนั่งนิ่งคิดหาทางเข้าช่วย
ยังไม่ทันจะคิดได้ เจ็ทโด้ขยับล้วงกระเป๋า...
“ถ้ามึงคิดไม่ออก มึงเอาไอ้นี่ไปโยนใส่มันเลยก็แล้วกัน ไม่ต้องยิงให้เสียเวลา เดี๋ยวขโมยเครื่องบินได้งานก็ง่ายขึ้นแล้ว ใช้เวลาถล่มค่ายละ 45 นาที ไม่กี่วันก็เข้ามหานครได้แล้ว” เขาส่ง Golden wave มาให้
“จูยอน! ออกคำสั่งว่าอะไรครับ?”
“คำสั่งเดียวกับหวังฉวน”
“แล้วเธอสั่งว่าอะไรล่ะครับผมจะได้ระวังตัวถูก”
“Messiah!! ฉันต้องการคนดื่มน้ำชาด้วย 1 คน ขอคนที่แข็งแกร่งที่สุดนะคะ” เขาทำเสียงผู้หญิงท่าตุ้งติ้ง
“พี่ดัดเสียงทำไม?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เดี๋ยวโดนเตะ”
“แต่กูสงสัยอย่างนึงว่ะ?”
“สงสัยอะไรเหรอลูกพี่?”
“กูสงสัยว่าพวกมันฟังภาษาต่างชาติออกได้ยังไง? จูยอนพูดเป็นภาษาเกาหลีแต่คนจีนก็ฟังออก แล้วหวังฉวนก็พูดจีนแต่ทำไมฝรั่งฟังออก”
“ผมรู้เรื่องนี้! จูยอนเคยอธิบายว่าคนที่เป็น Tamer 30เท่านั้นที่ฟังออก เป็นสิทธิพิเศษสำหรับคนที่ได้รับวัคซีน มันแบ่งกันด้วยนะนกหวีดของใครก็สั่งได้เฉพาะของตัวเอง ของคนอื่นปลุกได้ แต่สั่งไม่ได้”
“อ๋อ! กูก็งงอยู่ตั้งนาน”
“ถ้าเธอออกคำสั่งอย่างนี้เราก็ต้องซ่อนตัว โดนพวกมันฆ่าแน่มันต้องแย่งกันเป็นที่ 1 เพื่อไปกินน้ำชา”
“มึงซ่อนตัวก่อนขว้างนะ เสียงของมันกินพื้นที่รัศมีวงกลมประมาณครึ่งกิโลเมตร มึงย่องไปใกล้ ๆ โยนไปที่รูปปั้นนั่นก็พอ”เขาแนะนำ ผมอมยิ้มพยักหน้าผมรู้จักไอ้นี่ก่อนเขาซะอีก หันมองหาเพื่อน ๆ
“อ้าว! ไอ้ 5 คนนั้นไปไหนแล้ว?” ผมถามถึงหลงซันและเพื่อน
“มันเข้าประจำตำแหน่งแล้ว”
“งั้น! ผมขอไปทำงานก่อนนะ จะไปบอกให้เธอหนีไปไกล ๆ”
“เสี่ยงไปหรือเปล่ามึง?” เขาเตือน
“ปัง!” Soulless ทหารล้มลงอีกคน
“สงสารว่ะ! อย่างน้อยเธอก็จะได้มีลูกหลานดำรงเชื้อชาติต่อไป ไม่งั้นหมดประเทศนะพี่”
“รีบ ๆ นะ ระวังตัวด้วย” เขาตบไหล่ ผมกระโดดลงแล้ววิ่งหลบข้างแปลงดอกไม้ก้มหลังวิ่งเข้าบังอาคาร หัวใจเริ่มเต้นเร็วเมื่อเข้าโหมดจารกรรม
“แทน!..สไนเปอร์อยู่ที่10 นาฬิกา บนแท็งก์น้ำ” เสียงวิทยุเตือน
“รับทราบ”
“วิ่งอ้อมไปด้านหลังอาคาร 1ไปดักมุมอาคาร 2 มีผู้หญิงเดินลงมาแล้ว” เขาแจ้งวิทยุ
ผมวิ่งมาแอบข้างอาคารพยายามคาดเดาว่าเธอจะไปทางไหน มองตามไม่วางตา
วิทยุดัง…
“เธอน่าจะไปเข้าห้องน้ำ ไปดักรอมุมอาคารข้างหน้า”
ผมก้มหลังวิ่งไปที่ริมอาคาร 2 สายตามองสำรวจไปตามห้อง ทหารจีนส่วนใหญ่นั่งคุยกัน มีผู้หญิงอีกหลายคนเดินอยู่บนนั้น
“แก่รก!” ประตูห้องน้ำเปิดออก ผมมองจนแน่ใจว่าเธอไม่ใช่คนจีน หญิงสาวผิวขาวชาวเหนืออายุราว 30 ปลายเดินฉับ ๆ ผ่านมา
“พี่สาวครับ!” ผมเรียกเบา ๆ
“หือ!” เธอหันมาตามเสียงขมวดคิ้วมองหา
“สวัสดีครับพี่สาว!” ผมชะโงกหน้าออกจากมุมอาคาร
“ห่ะ!” เธอชะงักตาค้างหยุดนิ่งก่อนจะชักสีหน้าไม่พอใจ มองหัวจรดเท้า...
“รอดตายเหมือนกันเหรอ? ออกไปจากที่นี่ซะไม่มีอาหารให้หรอก” เสียงขึ้นจมูก
“บ้านพี่สาวอยู่ที่ไหนครับ?”
“อยู่ในตลาด!” เสียงห้วนสุด
“มันเกิดอะไรขึ้นครับ?” ผมชะเง้อมองไปอาคาร
“เกิดสงครามโลก ทหารจีนไม่พอใจที่พวกส้มหันไปสนับสนุนอเมริกา” เธอหน้าตึงตาขวาง
“หือ! มีอย่างนี้ด้วยเหรอ แล้วที่มหานครเป็นยังไงบ้างครับ?” ผมคิดในใจ...อเมริกาล่มสลายไปก่อนตั้งนานแล้ว
“ไอ้พวกส้มเน่าทาสอเมริกามันไม่รักชาติ ไม่ยอมรับคำตัดสินของตุลาการลุกฮือขึ้นมาประท้วง ลุงนายกเลยไม่มีเวลาป้องกันประเทศ มหานครคงพินาศไปหมดแล้วล่ะ จู่ ๆ จอทีวีก็ดับ” สีหน้าฟ้องมาก ปากกับตาและท่าทางแบบนี้เคยเห็นในละคร ผมได้มาเจอ FC ลุงฉุนพอดี
“มีคนรอดตายเยอะมั้ยครับ?”
“รอดยาก! ทหารจีนมันออกกวาดล้างตลอด ทุกวันนี้ก็ยังตามยิงอยู่เลย อย่าถามมากเลยนายรีบออกไปก่อนที่พวกมันจะเห็น ฉันไม่อยากเดือดร้อนไปด้วย” ท่าทางเธออึดอัดใจ ไม่อยากคุยด้วย
ผมตื้อต่อ...
“ผมเห็นมีผู้หญิงหลายคนในนี้ ผมจะช่วยพวกเธอได้ยังไงผมอยากช่วย?”
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ รีบออกไปเลย ไป!” เธอตัดไมตรีไล่ส่ง แล้วจะหมุนตัวกลับ
“ผมรบกวนพี่ไปบอกเพื่อนให้หลบในห้อง แล้วแกล้ง...” ผมยังพูดไม่จบเลย เธอพูดสวนมาทันที...
“ฉันไม่หนีหรอก! อยู่กับพวกนี้ก็มีอาหารกิน ออกไปไม่รู้จะเอาอะไรกิน ผัวคนก่อนของฉันก็เป็นทหารอยู่โน่นไง เดินอยู่ข้างรูปปั้นโน่น!”
ผมคิดผิดเต็ม ๆ …
“อ้าว! พี่สาวไม่คิด...จะช่วยเขาเหรอ?”
“นายมากันกี่คน? กลับไปเถอะ! ที่นี่มีทหาร 70 คน ฉันเห็นว่าเป็นคนชาติเดียวกันหรอกนะถึงเตือน อย่ารนหาที่ดีกว่าไม่เจียมตัวเลยนะ” เธอขยับจะเดินหนีท่าเดียว
“มีคนรอดกี่คนครับ” ผมส่งสายตาขอร้อง
“เรื่องมากจริง! มีผู้หญิง 5 คน กะเทย 1 คนมีอะไรอีก?”
“6 คนนั้นคิดเหมือนพี่ทุกคนเลยใช่มั้ยผมจะได้กลับ พวกเธออยู่ตรงไหนครับ?”
“ใครจะคิดยังไงก็ช่างมันสิ! พวกเธอกระจายกันไปทั่วบนอาคารนั่นแหละ พอใจรึยัง?” สีหน้าของเธอออกชัดมากว่า รำคาญเต็มทีแล้ว
“โอเค! งั้นผมไปก่อนนะ พี่อย่าบอกทหารจีนนะ”
“เดี๋ยว! แล้วนายมากี่คน” สายตาของเธอไม่เป็นมิตรเลย
“มาคนเดียวครับ” ผมตอบอย่างนอบน้อม
“คนเดียวนี่นะจะมาช่วยคนอื่น เชอะ! รีบออกไปเลย ไป!” เธอเชือดเฉือนแล้วไล่ส่ง สะบัดหน้าเดินหนีไป
ผมหลบเข้าหลังอาคาร คิดในใจ...เธอไม่ให้ความร่วมมือต้องหาทางล่อทหารออกมาจากอาคารเพื่อความปลอดภัยของผู้หญิง ล้วงมือหยิบกล่อง Golden wave ขึ้นมาถือไว้เตรียมพร้อม
เสียงวิทยุดัง...
“แทน! หนีจากจุดนั้นก่อน ท่าทางมันน่าจะหักหลัง” เจ็ทโด้เตือน
ผมย่องเข้าแอบในห้องชะเง้อมองตามพี่สาวเมื่อครู่ เธอกำลังกระซิบทหารบนอาคารแล้วชี้มา
“เฮ้อ!” ผมถอนหายใจแล้วส่ายหน้า มือกำ Golden wave ไว้แน่นไม่อยากตัดสินใจเลย
นายทหารจีนหันไปตะโกนบอกเพื่อน กลุ่มทหารหมากรุกคว้าอาวุธวิ่งกรูลงมาจากอาคาร
ผมสั่งการผ่านวิทยุ…
“คนไกลสุดยิงล่อให้มันไปทางคุณด้วย” ผมมองกลับไปหน้าค่าย
“ปัง!” สิ้นเสียงปืนนายทหารจีนคนแรกก็ล้มคว่ำ
“ปัง!” เสียงปืนดังจากทางด้านขวาของค่าย ดึงความสนใจให้ทหารชุดที่ 2 วิ่งจากอาคารแยกตามไป
ผมตัดสินใจขว้าง Golden wave ไปกลางถนน มันกลิ้งไปหยุดหน้ารูปปั้น....
“วี๊ด...ดด!” เสียงพลิ้วแว่วหวานจาก Golden wave ดังกังวาน ภาพเคลื่อนไหวเสมือนจริงของจูยอนนั่งยิ้มหวาน
“Messiah!! Messiah!! Messiah!!” ทหารจีนสะดุ้งเฮือกวิ่งย้อนกลับ
“Messiah!! ฉันต้องการคนดื่มน้ำชาด้วย 1 คน ขอคนที่แข็งแกร่งที่สุดนะคะ”
“Messiah!! Messiah!! Messiah!!” ทั้ง Soulless และทหารจีนกลายร่างเป็น Tamer 30ที่โหดร้าย หันกระบอกปืนซัดกันเอง..
“กูจะไปกินน้ำชา พวกมึงไม่เกี่ยว”
“ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด!” เสียงปืนสนั่นค่ายฯ ทหารกลุ่มแรกหันกระบอกปืนซัดกลุ่มที่ 2 ยิงใส่กันเอง Soulless คืนสติ คว้าไม้ไล่ตีกันเอง
เสียงวิทยุเจ็ทโด้ร้องบอก...
“แทน! ผู้หญิงคนนั้นหนีไปทางมึงแล้ว?”
ผมมองไปจุดสุดท้ายที่เห็นเธอวิ่งก้มหลังหลบหลีกอย่างชำนาญทาง Tamer 30 ทหารจีน 2 นายวิ่งไล่กวดยิงไม่ลดละ
“ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด!”
“ช่วยด้วย! ช่วยพี่ด้วย!” เธอกำลังวิ่งตาเหลือกมาที่อาคาร ผมหมุนตัวเข้าห้องหลบวิถีกระสุน ชะโงกหน้าออกไปมอง
“ปัง!” Tamer 30 ทหารจีนคนหน้า ร่างสะบัดล้มลง
“ช่วยด้วย!” เธอกระโจนพรวดมาดึงประตูในขณะที่อีกคนวิ่งไล่ตามมา...
“ขอพี่เข้าไปด้วย!” สายตากลัวสุดขีด เธอหันหลังมองทหารจีนที่ใกล้เข้ามา
“ขอโทษนะครับพี่สาวอยากอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ?” ผมยิ้มแล้วปิดประตูอย่างเลือดเย็น
“อย่า! ช่วยฉันด้วย เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
“ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!” เธอทุบอย่างขาดสติ ประตูสะเทือน
“ปัง! ปัง! ปัง!” เลือดอาบพื้นไหลลอดช่องประตูเข้ามา ผมทำตามคำขอของเธออย่างดีที่สุด โชคดีนะพี่สาวได้อยู่กับทหารจีนที่นี่ตลอดไปอย่างที่ต้องการ ผมเดินไปแอบมองผ่านหน้าต่างไปที่ถนนหน้ารูปปั้น
“ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด!” คมกระสุนฉีกร่างกายพวกเดียวกันจนพรุน แขนไปทาง หัวไปทาง ล้มตายเกลื่อนเลือดแดงถนน
หนุ่มจีนในเครื่องแบบมาล้มลงไกลบ้าน พวกเขาได้สั่งลาครอบครัวหรือเปล่า? มีคนรอคอยพวกเขากลับไปไหม? เพื่อหน้าที่ทุกคนต่างพลีชีพเพื่อเป้าหมายของเจ้านาย ตายอย่างสมเกียรติ
ฝูงผีเสื้อป่าสีเหลืองตัวเท่าฝ่ามือ สะบัดปีกบางโบยบินล้อลม หลบห่ากระสุนเฉียดเฉี่ยว โฉบลงไปที่ร่างโชกเลือด ดูดกินเลือดจนอิ่มท้อง ก่อนโบยบินต่อไป หรือว่าจะถึงวันสิ้นมวลมนุษยชาติอย่างที่จูยอนเคยทำนายไว้
ผมนั่งเงียบ...มองผู้คนล้มตายอย่างหดหู่ใจ การกระทำนี้ไม่มีวันยุติจนกว่าจีนจะได้รับชัยชนะ การกลืนกินชาติยังไม่สิ้นสุด
“Mission complete” เสียงเจ็ทโด้ยุติการรบ
“แทน! เก็บของแล้วกลับมา” เสียงวิทยุสั่งการ ผมวิ่งไปเก็บ Golden wave ใส่กล่องแล้วเดินไปรวมตัวกันที่รูปปั้น
หล้ายิ้มหน้าบานเข้ามา...
“โคตรล้ำเลยมันคืออะไร ผู้หญิงคนนี้เป็นใครโคตรเท่เลย?” ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของเขาทึ่งมาก เจ้าฮักกับเจ้าปังสะพายปืนยาวเดินกอดคอกันมา...
“เจ๊คนนี้สวยมากอยากได้เป็นเมียเลย ผมว่าเธอต้องสุดยอดมาก” เจ้าปังเสริมอย่างคะนองปาก
“มึงถามกูรึยัง ปัง? เรียงตามความหล่อสิ!” เจ้าฮักร้องแซว
เจ็ทโด้หันขวับ...
“เมียกู! เดี๋ยวใครพูดอีกที มึงโดน!” เขาห้วนใส่ เจ้าสองหนุ่มคะนองมุดหัวหลบหลังหล้า
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” หล้ายิ้มกว้าง...
“บอสเคยเล่าให้ผมฟัง คนนี้เองเหรอ อึ้งมาก? ผมชื่นชม”หล้ายังคงตื่นเต้นในน้ำเสียง
ผมแอบคิด...ไอ้พวกนี้มันนักรบอาชีพ ถ้าได้เจออาวุธอย่างนี้มีเหรอจะไม่ชอบ ผมยังหลงใหลมันเลย
“แทน! เรียบร้อยแล้วไปดูเครื่องบินให้ด้วย หารถสวย ๆ สักคันเอากลับบ้านไปด้วย หล้าและทุกคนขับรถกลับบ้านคนละคันด้วย” เจ็ทโด้หันมาสั่ง
“ครับ!” ทุกคนตอบรับแล้วกระจายกันเดินหารถยนต์ที่ถูกใจ
“พี่! ศพพวกนี้ล่ะ?” ผมเดินคู่กับเขา
“ไม่ไหวหรอก! ให้พวกเขาคืนสู่ธรรมชาติในแบบของเขาเถอะ เกิดมาก็กินชีวิตอื่นเป็นอาหารมามากแล้วกลับไปเป็นอาหารบ้างก็ดี เผาไปก็เปล่าประโยชน์” เขาเมินหน้าไม่ให้ราคา
“พี่! ถ้าผมตายต้องเผานะ เปล่าประโยชน์ก็ไม่เป็นไร” ผมหนาวใจ อีตานี่ ยิ่งเดาใจยากอยู่ด้วย
“ฮ่าฮ่าฮ่า! กูคิดว่าจะโยนให้จระเข้กินสักหน่อย” เขาขึ้นรถเก๋งเล็กสีดำ
“พี่ตุ๋ย! ผมว่าไปเอาแอร์บัสที่สนามบินดีกว่า เครื่องบินทหารไม่พอหรอก”
“อื้ม...!” เขายิ้มเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้...
“ไปสิ! พวกเราไปสนามบินกัน” ว่าแล้วเขาก็ขับรถนำขบวนออกไป ผมยืนมองตามหลังรถคันสุดท้ายก่อนจะลับหาย ขยับเปิดประตูเตรียมขับตามไป
ทันใดนั้น...เด็กสาวรูปร่างบอบบางวิ่งแหกปากร้องหน้าตาตื่นเข้ามา ใบหน้าซีดขาวหัวกระเซอะกระเซิงสภาพมอมแมมสุด
“พี่! พี่ชาย! ช่วยด้วย ช่วยหนูด้วย”
“เฮ้อ!” ผมเหนื่อยหน่ายไม่ดีใจเหมือนครั้งแรก ผมไม่มีความไว้ใจหลงเหลือกับคนบ้านเดียวกันอีกแล้ว แต่ด้วยความที่เป็นผมก็หยุดยืนรอให้โอกาส
“พี่! หนูขอตามไปด้วย หนูไม่อยากอยู่ที่นี่ หนูกลัว ฮือฮือ!” เขาร้องไห้ทิ้งตัวลงพื้น ผมมองอย่างพิจารณา...เด็กผู้หญิงนี่หว่าหรือกะเทยแน่วะไอ้พวกนี้สวยจนแยกไม่ออก?
ผมหันกลับไปมองบนถนนหน้าค่าย ขบวนรถของเพื่อน ๆ เคลื่อนตัวเข้าเมืองหายลับไปแล้ว
“บอกเหตุผลมาหน่อยครับ ทำไมผมต้องช่วยคุณ?” ความตั้งใจดีของผมโดนกัดเซาะลงไปเรื่อย ผมผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เข็ดขยาด
“เพื่อเพื่อนมนุษย์ไงคะ? หนูขอสัญญาถ้าช่วยหนู หนูจะช่วยคนอื่น”
“หือ!” ผมสะดุดใจ พูดอย่างนี้น่าช่วย
“ขึ้นรถ! ไปด้วยกันมีเพื่อนอีกไหม?” ผมถามแล้วมองเข้าอาคาร
“ข้างในไม่เหลือใครแล้วค่ะ” เธอก้าวขึ้นนั่งน้ำตานอง
ผมขับรถยนต์ออกจากค่ายจอมโลกันต์ทิ้งซากศพไว้ให้เป็นอาหารของสัตว์ หันไปแอบพิจารณาใบหน้าหวานของเธอ ผิวพรรณรูปร่างน่าจะเป็นคนมีความรู้มีการศึกษา
“ผมชื่อแทน บ้านอยู่มหานครอายุ 31ปี คุณล่ะ?” เพื่อให้เธอคลายความกังวลลองชวนคุยหาข้อมูล
“หนูชื่อพอดีค่ะ อายุ 19 ปี บ้านหนูก็อยู่มหานคร”
“ผู้หญิงหรือกะเทย?”
“ผู้หญิงค่ะ”
“คุณรู้ไหม ทำไมคุณถึงไม่เป็นเหมือนพวกเขา?”
“หนูไม่รู้! ก้อนทองคำนั่นมันต้องสั่งให้คนฆ่ากันได้ แต่หนูฟังมันพูดไม่ออก”
“คุณไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดใช่ไหม?”
“เอ๊ะ! พี่รู้ได้ยังไง? หนูไม่ยอมรับวัคซีนเพราะหนูไม่เชื่อ ลุงฉุนทำให้ระแวงหนูเลยไม่กล้าฉีด คนที่ฉีดก็ตายกันเยอะเลย”
“คุณรอดเพราะไม่ฉีด แต่ว่า...คุณไม่กลัวโควิดเหรอ?”
“กลัวสิ! แต่หนูใช้วิธีระวังตัวเอาเองและติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด สุดท้ายก็แค่ไข้หวัดธรรมดาก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่คะ แต่ที่น่ากลัวคือคนค่ะ พวกเขากดดันคนอื่นให้ทำเหมือน ๆ กัน”
“แล้วรอดจากการบังคับฉีดได้ยังไง? คุณไม่โดนล่าแม่มดเหรอ?”
“หนูไม่ได้ทำงานใครจะมาบังคับ มีหลายคนที่คิดอย่างหนูแสดงว่า พวกเขาจะรอดใช่มั้ยคะ?” สายตาของเธอเปี่ยมประกายความหวัง
“ใช่ครับ! คนรอดมีมากมั้ยผมอยากเจอกับพวกเขา”
“หนูไม่แน่ใจค่ะ เพียงแต่หนูเคยเห็นเขาแชร์ความคิดแบบนี้ในเฟสบุ๊คแสดงว่ามีคนคิดเหมือนกัน แต่ทัวร์ลงหนักจนต้องปิดเฟสหนี พวกเราไม่ได้รวมตัวกันหรอกค่ะ ตำรวจมันไล่จับด้วยเลยเงียบ ๆ กันไป”
“อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่ามีคนรอด ยินดีด้วยนะครับ” ผมใจชื้นขึ้น
“แล้วพวกพี่เป็นใคร พี่เองก็พูดไม่ค่อยชัดเป็นคนพม่าเหรอคะ?”เธอมองผมด้วยสายตาใสซื่อ สาววัยสดใสหน้าตามอมแมมสวมเสื้อผ้าเหมือนผู้ชายสไตล์ทอมบอย
“บรื้น...!!” รถยนต์แล่นผ่านตลาดสดที่เงียบหงอย แผงผักเหี่ยว หัวหมูเน่าแมลงวันตอมหึ่ง
“บอกแล้วไงว่าบ้านอยู่มหานครไม่ได้ฟังเลยเร้อ! ผมอยากมาช่วยคน คุณพร้อมจะช่วยพวกเขาไหม โอกาสที่จะได้ทำความดีมาถึงแล้ว”
“หนูไม่อยากได้ยินคำว่าความดี ทำดีเลยค่ะ หนูไม่อยากเป็นคนดี”
“งั้น!...ช่วยเพื่อมนุษยธรรม ตกลงมั้ย?”
“เอาสิคะ! หนูจะช่วยพวกพี่เอง ขอให้หนูไปด้วยก็พอ” รอยยิ้มแรกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
“คุณโดนจับมาหรือสมัครใจเข้าค่ายนี้” ผมยังเสียวเรื่องนี้ไม่หาย
“หนูเป็นนักโทษการเมืองโดนคดียอดฮิตสำหรับยุคสมัย ในขณะที่หนูกำลังนั่งคิดถึงอนาคตที่มืดมนอยู่ในคอกจำเลยบนศาลหลังโดนคำพิพากษาสั่งจำคุก 30 ปี จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงพลิ้วเหมือนขลุ่ยผิวดังขึ้น ผู้พิพากษากับทนายวิ่งรัวหมัดเข้าใส่กัน หนูไม่รู้จะทำยังไงเลยนอนแกล้งตาย”
“หึหึหึ! ฉลาดนี่หว่า” ผมชอบใจมากกับการเอาตัวรอดที่แสนฉลาด
“หนูกลัวมากถึงมากที่สุด รอบตัวของหนูมีแต่ผีดิบหลอนมากเลย คืนวันแรกหนูแทบบ้า พี่ลองคิดดูสิ! หนูอยู่ท่ามกลางศพกราดเกลื่อนและคนแปลกหน้าที่สื่อสารกันไม่ได้มีแต่เสียงในลำคอ ฮือฮือทั้งคืน”
“แล้วยังไงต่อ?”
“หนูคิดไม่ออกตัดสินใจไม่ถูกซ่อนตัวจนหิวโซ พอเห็นทหารมันเอาปืนไล่ยิงผีดิบหนูก็ดีใจเข้าไปขอความช่วยเหลือ...ซวยเลยโดนจับ!”
“มันจับพวกเธอไปทำอะไร ทำไมมันไม่ยิงทิ้ง?” ผมรู้อยู่แก่ใจว่า มันจะจับไปทำไม?
“มันคงเอามาระบายความใคร่ของพวกมันแหละ” เธอหน้าหงิก
“เสียใจด้วยนะ ลืม ๆ มันไปซะ” ผมแอบเห็นใจคนที่โดนรังแก
“หนูไม่โดน” เธอหันมาจ้องหน้า
“หือ! รอดเหรอดีใจด้วยนะ!” ผมยิ้มอ่อนและเข้าใจว่าเธอคงอาย ไม่มีใครอยากพูดเรื่องที่ร้าวใจแบบนั้นหรอก
แต่...
“พี่ไม่เชื่อใช่มั้ย?” เธอดึงแขนเสื้อจ้องมองตาแป๋ว
“เชื่อสิ!”
“สายตาของพี่ไม่เชื่อนี่” เธอไม่ยอมดึงแขนจ้องตา
“เล่ารายละเอียดมา อยากให้คิดยังไงก็เล่ามา” ผมไม่รู้จะทำยังไงในใจไม่คิดลบหลู่
“พอหนูรู้ว่ามันเป็นคนจีนและรู้โดยสัญชาติญาณว่า ต้องโดนข่มขืนแน่ เลยคิดทบทวนว่าคนจีนมันชอบอะไรและไม่ชอบอะไรบ้าง คิด! คิด! คิด! แล้วหนูก็เจอทางออก” เธอนั่งตัวตรงเล่าอย่างออกรส
“ว่าไป!” ผมอมยิ้มตั้งใจขับรถยนต์ ไม่ได้ใส่ใจกับเธอ
“พี่ไม่เชื่อ! เนี่ย! ท่าทางของคนไม่เชื่อ” เธองอนหยุดพูด
“อย่าพึ่งหยุดเล่าสิ เล่าให้จบก่อนจะได้บอกว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ พี่ยังไม่ได้ข้อมูลจากเธอเลยนะ ว่ามา...รอดได้ยังไง?”
“หนูเอาผู้ช่วยมาใส่ไว้ในเป้ากางเกง พี่จะจับมั้ย? นี่ยังอยู่เลยเหี่ยวหมดแล้ว ถ้าพี่ไม่ช่วยไว้ยังคิดไม่ออกว่าจะเอาที่ไหนมาเปลี่ยน” เธอไม่พูดเปล่าควักมะเขือยาวออกจากเป้ากางเกง
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เอาวะ! คนอย่างนี้ก็มีด้วย” ผมสุดกลั้นจริง ๆ ในใจไม่ได้ดูถูก แต่ทึ่งในความฉลาดของเธอ
“เออ! มันหลอนเลยแหละ! พี่คงไม่รู้ว่าคนจีนมันทั้งเกลียดทั้งกลัวกะเทย และมันมีความเชื่อผิด ๆ ว่าผู้หญิงสาวสวยบ้านเราเป็นกะเทยทุกคน พวกมันเหยียดเพศอยู่แล้วหนูเลยรอดเพราะไอ้นี่ช่วยหนูไว้” เธอแกว่งมะเขือยาวคอพับในมือ
“บ้ามาก! แต่ก็ขอชมว่า ฉลาดสุดสุด” ผมชื่นชมจากใจ
“มันมาลูบเป้าหนู เจอผู้ช่วยเข้าไปกระโดดคนละทาง หนูสัญญาว่าจะไม่กินมันอีกเลย มันเป็นผู้มีพระคุณ” เธอเล่าขึงขังยกมะเขือยาวท่วมหัว แต่ผมสิ...ต้องพยายามกัดฟันกลั้นหัวเราะแทบแย่ ยายนี่ใช้ได้ ฉลาดกว่าผมอีก ผมชอบ...
“เออ! พี่ก็จะไม่กินด้วย ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” ผมหายเศร้าไปเลย ไม่เสียแรงที่รับเธอมาด้วย
“ไม่เชื่อใช่มั้ยเนี่ย หัวเราะอย่างเนี้ย?” เธอขยับหันมาจ้องตาเขม็ง
“เชื่อแล้ว! ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!”
“นั่นไง! ไม่เชื่อ!” สาวน้อยสะบัดหน้างอนตุ้บป่องหันมองไปด้านนอก ผมชอบวิธีคิดของเธออย่างน้อยก็เอาตัวรอดจากความตายมาได้ /เก่งกว่ากูอีก/
รถยนต์ของเพื่อน ๆ จอดรอหน้าอาคารขาออกของสนามบิน The North Kala ผมขับรถเข้าไปเทียบแล้วกระโดดลงเดินไปหากลุ่ม...
“เอาไงต่อครับลูกพี่?” ผมถามเจ็ทโด้
“กูไปดูมาแล้ว มีแอร์บัสหลายลำสบายเลยที่นี้” เขาหันไป...
“หลงซัน! ส่งคนไปรวบรวมคนชนเผ่าชาติพันธุ์มาสัก 1,000 คน เอามาขึ้นเครื่องเข้ามหานครที่นี่”
เจ้าหล้ายกมือ...
“ผมเสนอตัวครับ ในระหว่างที่เตรียมคนเดินทางผมขออาสาไปกับเจ้าฮักและขอนักบินพาไปส่งตามค่ายทหาร ผมจะไล่ถล่มพวกมันเอง” หล้าเดินกอดคอเจ้าฮักเข้าหาเจ็ทโด้อย่างมั่นใจ
“เฮ้ย! 2 คนทำได้เหรอ ไม่เอาเสี่ยงไป” เจ็ทโด้ส่ายหน้า
“ช้าก่อนลูกพี่!” หลงซันยกมือห้ามเดินเข้าหาเจ็ทโด้แล้วเอ่ยการันตีลูกน้องคนสนิท
“ผมรับประกันครับ หล้าทำได้สบายมากแต่ผมจะไปด้วย” เขาพูดหนักแน่น เจ็ทโด้บ่นเบา ๆ…
“เสียดายมี Golden wave มาอันเดียว”
เจ้าหล้าหันบอกอย่างมั่นใจ...
“เจอกันที่มหานครอีก 2 สัปดาห์ อันเดียวนี่แหละเหลือเฟือ”
“ได้! หลงซันนายรับผิดชอบเรื่องนี้ ตั้งทีมแล้วไปด้วยกัน”
“ครับผม!” เจ้าหล้าตีปีกดีใจ
“ผมไปด้วย!” เจ้าปังเสนอหน้า
“มึงไปหาน้องแป้ง ช่วยกันไปหาอาสาสมัคร” หล้าเบรก
“งั้น! พวกเรากลับบ้านกันก่อน ไปเตรียมตัวกัน” เจ็ทโด้หมุนตัวขึ้นรถยนต์
"บรื้น!..." ขบวนรถยนต์ของเราวิ่งย้อนกลับเข้าป่าขึ้นดอย ผมคิดสภาพเมืองหลวงไม่ออกเลยมันจะเละขนาดไหนกันนะ ในใจลึก ๆ ของผมยังมีอีกคนที่ต้องตามหา คนที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของผมทั้งชีวิต…
“พี่ตุ๋ย!เราต้องจัดการให้เร็วที่สุดและออกจากจีนก่อนที่มันจะรู้ตัว” ผมคุยกันผ่านวิทยุ
“พวกมันมาแน่! กูก็กำลังคิดอยู่ว่าจะหนีมันได้ยังไง? เดี๋ยวกลับไปสั่งงานแล้วมึงกับกู 2 คนเข้ามหานครกันก่อน!”
“3 คนแล้วพี่!” ผมสวนกลับ
“หือ! ใครวะ?”
“พอดี!”
“อะไรของมึง พอดี?”
“น้องมันชื่อพอดี เด็กผู้หญิงจากค่ายทหารผมพามาด้วย บ้านเธออยู่มหานคร”
“หึ! หึ! ตัวจริงเสียงจริงเลยนะมึงหาเรื่องอีกแล้ว พาไปอยู่กับน้องแป้งก็แล้วกัน” เขาคงจะเบื่อผมเหมือนกันที่ชอบช่วยคนอื่น
“พาไปด้วยน่ะดีแล้วเราจะได้มีคนนำทาง แล้วจะได้รู้ด้วยว่าที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้น?” ผมหันมองเด็กสาวจากข้างถนนหลับคอพับคออ่อนไปแล้ว …
“เฮ้อ! โชคเข้าข้างเธอแล้วล่ะสาวน้อย จากนี้ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว”
ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม ชีวิตจะหาทางรอดได้เสมอถ้าใช้สติและการตัดสินใจที่แน่วแน่ ปัญหาอุปสรรคมักเดินเคียงคู่กับโชค เพียงแต่ว่า ใครจะมองเหตุการณ์นั้นเป็นวิกฤติหรือโอกาสและแก้ปัญหาได้ตรงจุดกว่ากัน
…………………………………..หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |