The last man stand วบัติ 2026 เล่มที่ 8 ตอนที่ 2

The last man stand วบัติ 2026 เล่มที่ 8 ตอนที่ 2
หมวดหมู่ The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 8
ราคา 0.00 บาท
สถานะสินค้า Pre-Order
อัพเดทล่าสุด 1 ก.ค. 2567
ขออภัย สินค้าหมด
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay

สนามบิน Middle Kala ...

มุมมองสายตา เจ็ทโด้

มีนาคม ค.ศ.2026

เมื่อคืนผมคุยกับผู้ใหญ่หลายคนที่โดนจับมาเป็นเชลย พยายามตามหาข้อมูลว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมทหารจีนถึงมีอำนาจเหนือกลุ่มเจ้าสัวแต่ก็ไม่ได้ความจริง ส่วนใหญ่เป็นเพียงการคาดเดาไปคนละทาง

“ไปได้แล้ว!” เสียงผู้คุมดังจากหน้าห้อง ผมขยับลุกนั่งเตรียมไปโดนสอบสวน คุณลุงวัย 80 ยิ้มมุมปากแล้วตบไหล่เบา ๆ

“รอดกลับมาให้ได้ ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง คุณอาจจะอยากรู้ก็ได้” อ้าว! ผมตามหาคนที่รู้เรื่องตั้งนาน นอนอยู่ข้าง ๆ กันนี่เอง

“ครับ!” ผมบอกแล้วเดินตามพวกมันออกไป ชายร่างผอมสูงเดินเข้ามาตบไหล่ สายตาข่ม

“เฮ้ย! ถ้ามึงผ่านการสอบสวนมาทำงานกับกูนะ กูชอบรูปร่างของมึงว่ะ ทำยังไงวะหุ่นถึงบึกบึนขนาดนี้?” เขาบีบแขนอย่างชื่นชม

เจ้าอ้วนดำคนเดิมเดินเข้ามากระแทกไหล่

“มึงเป็นลูกน้องของกูนะ เป็นลำดับที่ 8 ของแรมโบ้ทีม จำไว้ด้วย!

พวกเขาพามาในส่วนอาคารของกองกำลังทหารจีนไม่ไกลจากที่คุมขังนัก อีกด้านกลางลานจอดเครื่องบินกว้างใหญ่ ทหารจีนกำลังต้อนคนป่วยขึ้นรถทหารเพื่อไปขนอาหาร

“เข้าไปในห้องนี้” เขาส่งผมให้ทหารจีนที่หน้าห้อง ผมยิ้มพยักหน้าให้ทั้งสองก่อนผลักประตูเข้าไปด้านใน นายทหารจีน เจ้าสัว แรมโบ้และหญิงสาวอีกคนนั่งคนละมุมห้องมองมา

“นั่งตรงกลางห้อง!” แรมโบ้ตวาดแล้วชี้ไปที่เก้าอี้กลางห้อง หญิงสาวคนนั้นทำหน้าที่เป็นล่ามคอยแปลให้ทหารจีน

“นายทำงานกับบริษัทอะไร?” แรมโบ้ถามเมื่อผมนั่งลง

“จ้าวเจียงอีเลคโทรนิค เป็นวิศวกรไฟฟ้าสร้างเขื่อนย่อยแม่น้ำยาลู่ตอนบนครับ” ผมรู้จักเกาหลีเหนือเป็นอย่างดีและรู้ว่าชายแดนที่เชื่อมต่อกันนั้นมีการก่อสร้างมากมาย

“ได้เงินเดือนเท่าไหร่?”

ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าวิศวกรไฟฟ้ามันได้เงินเดือนเท่าไหร่กันแน่ แต่ต้องตอบให้เนียนไว้ก่อน

45,000หยวน” พอตอบไปแล้วก็ลุ้นอยู่ในใจ ทุกคำพูดของผมจะผ่านการแปลจากหญิงสาวไปสู่ผู้พันจีน

“นายเห็นใช่มั้ยว่ามีคนตายเกลื่อนไปหมด” เจ้าสัวหนุ่มถามด้วยเสียงวางอำนาจ ด้วยวัยที่ใกล้เคียงกันบวกลบไม่เกิน 5 ปี ทำให้ผมไม่ค่อยชอบพฤติกรรมของเขาสักเท่าไหร่ แต่ต้องเก็บไว้ในใจ

“ใช่ครับ!

“ทำไมนายไม่กลัว คนทั่วไปไม่มีทางทำอย่างนี้แน่?” เขาสงสัยผมตั้งแต่เมื่อวาน

“ผมเคยเป็นทหารรับจ้าง เรื่องแค่นี้สบายมาก”

“หือ!นายเคยเป็นทหารรับจ้างด้วยเหรอ?”แววตาและสีหน้าที่แปลกใจนั้นดูเป็นมิตรขึ้น

“ผมเคยอยู่ฝรั่งเศส ผมถึงมีโทรศัพท์ดาวเทียมที่ท่านยึดไปเมื่อวานไงครับ?” ผมรีบเอาตัวปัญหามาเป็นเครื่องมือในการเจรจา

“อ๋า! ถ้าอย่างนั้นผมเข้าใจได้แล้ว ถ้าคุณไม่บอกว่าเคยเป็นทหารมาก่อน ผมไม่ยอมเรื่องโทรศัพท์เครื่องนี้แน่” เขาหันไปยิ้มกับนายทหาร

ผู้พันตู้หยิบโทรศัพท์ดาวเทียมขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วหันไปพูดบางอย่างกับหญิงสาว เธอหันมาแปล...

“ผู้พันสงสัยว่าคุณได้มาจากไหน?”

“เยอะแยะไปครับ ทหารเกาหลีขโมยมาขายที่ตลาดชายแดนเมืองเหยียนเปียนวางขายแบกับดินเกลื่อนเลยของดีดีทั้งนั้น ผมก็พึ่งซื้อมาได้ราว 6 เดือนก่อนจะย้ายมาที่สำนักงานใหญ่ เอาพกไว้โก้ ๆ โชว์หญิง” ผมยิ่งพูดก็ยิ่งโกหกไปเรื่อย แต่ก็ต้องเล่านิทานต่อเนื่องจะได้ไม่ต้องตอบคำถาม ปล่อยให้ล่ามทำหน้าที่แปลไป

“บอกให้ผู้พันลองเปิดดูสิครับ บางทีก็มีคนโทรมาพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ ผมฟังไม่ออก” ผมรอจนหญิงสาวแปลเสร็จและคอยสังเกตุสีหน้าท่าทาง ผู้พันตู้พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะพูดกับล่าม

“เปิดให้หน่อยสิคะ” ล่ามหันมาสั่ง ผมรีบลุกไปที่โต๊ะแล้วเปิดโทรศัพท์ให้เขา ผู้พันหันไปกระซิบกับล่าม...

“มันโทรปรกติได้มั้ยคะ?”

“ผมลองแล้วโทรไม่ได้ครับ บางทีก็มีคนโทรเข้ามาแต่คุยกันไม่รู้เรื่อง” ไอ้โทรศัพท์พวกนี้ไม่ใช่ใครก็ใช้ได้ มันมีรหัสลับเฉพาะตัว...รับได้โทรไม่ได้

“ทำไมล่ะคะ?”

“มันพูดภาษาเกาหลีมั้งครับ ผมฟังไม่ออก” ผมอำมั่วไปก่อน

เธอหันไปพูดภาษาจีนยืดยาวกับผู้พัน ผมมองสำรวจรอบห้องในระหว่างที่รอ สายตาไปจ๊ะเอ๋กับสายตาของประธานเหมา นึกแปลกใจมาได้ยังไงวะ? แล้วใครเสือกเอาธูปไปปักให้อีก ขลังน่าดูเชียวนะ

ทันใดนั้น...

“เซม! เจ็ทโด้เซมอยู่ที่ไหนติดต่อกลับด้วย” เสียงนักบินเกาหลีเรียกมา ผมรีบเสนอหน้าไปหาเพื่อเล่นเกมเจรจาต่อ...

“นี่ไงครับ! ผมไม่รู้ว่า มันพูดอะไร? ใครฟังออกมั่ง?” ผมตอแหลหน้าตายต่อไป

ผู้พันคว้าไปฟังแล้วหันไปบอกล่าม...

“พวกเขาเรียกครูฝึกทหาร” เขาหันมาหรี่ตามองผมใจหายวาบ /เอาไงต่อดีวะ?/

“ผู้พันฟังออกเหรอครับ ถ้างั้นผมยกให้ไปเลย ผมฟังไม่ออกหรอกเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์” รีบชิงความได้เปรียบไว้ก่อน สายตาของเขาเคลือบแคลงหันไปหาล่าม

“ผู้พันสงสัยว่าคุณเป็นครูฝึกทหารของพวกมัน”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! อย่าล้อเล่นอย่างนี้สิครับ ผมต่อยสู้คนผอมกระหร่องอย่างนั้นยังไม่ได้เลย ผมจะเป็นครูฝึกทหารได้ยังไง?” ผมโบ้ยไปที่ไอ้แรมโบ้ตัวผอม

ผู้พันตู้หันไปคุยกับเจ้าสัวแล้วก้มเซ็นเอกสาร เจ้าสัวหันไปหาแรมโบ้แล้วถอนหายใจเบา ๆ

“เอามันกลับไปขังไว้ก่อน ท่านจะคอยดักฟังวิทยุแล้วจะตัดสินใจอีกครั้งตอนนี้ท่านกังวลกับการสื่อสารทหารติดต่อกันไม่ได้” พอได้ยินเขาตอบแบบนั้นผมแอบถอนหายใจ /สงสัยจะยาว/

“ไป! มึงไปนอนรอคำพิพากษาที่เก่าก่อน ถ้าอย่างไรแล้วกูจะช่วยพูดกับเจ้าสัวให้” แรมโบ้พาผมกลับมาที่ห้องนอนเดิมแล้วปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว

ในอาคารพักที่ดัดแปลงมาเป็นห้องขังชั่วคราวว่างโล่ง เพื่อนร่วมห้องออกไปทำงานกันหมดคงได้คุยกันอีกครั้งตอนเย็น ในใจของผมตอนนี้ได้แต่ลุ้นว่า อย่ามีใครโทรหาผมเลย /งานมันจะยาก/

                                              .......................................................

ผมเดินตามผู้คุมไปโรงอาหารด้านหลังในตอนเย็น เพื่อนร่วมชาติเดินถือถาดอาหารเข้าแถวรอ ในนี้มีทุกเพศทุกวัยผสมปนเปกันไป มีทั้งคนแข็งแรงและผู้ป่วย ผมเหลือบไปเห็นคุณลุงที่ทักเมื่อเช้าจึงรีบเดินไปหา

“คุณลุงนั่งตรงไหนครับ ผมถือถาดให้” ผมรับถาดอาหารมาถือแล้วเดินตาม ท่านพาออกมานั่งที่ม้าหินด้านนอกใต้ต้นไม้

“คุณลุงครับ ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วครับ?” ผมต้องรีบสานสัมพันธ์

85ปีแล้ว โชคดีที่ยังแข็งแรง” ท่านหัวเราะแล้วชกลมโชว์

“เล่าให้ผมฟังหน่อยครับ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้นครับ?” ผมรีบทวงสัญญา

“อยากรู้จริงเหรอ? คุณยืนข้างไหนล่ะถ้าผมเล่าแล้วอย่ามาโกรธกันนะ”

“ผมยืนกลางครับ” ผมมั่นใจว่าตัวเองเป็นกลางแน่นอน

“โอเค! งั้นไม่เล่าดีกว่า” ท่านปฎิเสธหน้าตาเฉย ทำเอาผมเหวอไปเลย...

“อ้าว! ผมผิดอะไรครับ?” เมื่อเช้าเสนอเองว่าจะเล่าให้ฟังนี่นา

“ตอนเลือกตั้งคุณกากบาทช่องงดออกเสียงหรือเปล่าล่ะ?”

“แหะ!แหะ! ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ในประเทศครับแล้วก็ไม่สะดวกเลือกตั้งด้วย ไม่ได้ออกเสียงเลยครับ”

“เขาก็ให้ลงคะแนนได้ที่สถานทูตนี่นา ทำไมละเลยสิ่งสำคัญแบบนี้” ท่านก็มีภูมิไม่เบาเหมือนกัน

“ผมอยู่ในถิ่นทุรกันดารต่างประเทศ ไม่สะดวกจริง ๆ ครับ”

“ไม่สะดวกกับไม่สนใจไม่เหมือนกันนะคุณ” อีตาลุงนี่คุยด้วยยากซะแล้ว ไม่ใช่ตาสีตาสาธรรมดาแน่ ๆ

“ผมเป็นทหารรับจ้างอยู่ในสนามรบ ไม่สะดวก!

“อ้าวเหรอ! ขอโทาที ฮ่าฮ่าฮ่า! แต่คนที่ชอบทำงานตามคำสั่งน่าจะนิยมฝ่ายขวาสินะ คงชอบใช้อำนาจล่ะสิ!” อะไรของแกวะ? ผมคิดถึงเจ้าแทนจังเลยช่วยมาต้อนคุณลุงคนนี้ให้หน่อย...

“ทหารรับจ้างไม่ยุ่งการเมืองครับ แต่คุณลุงอาจจะมองว่าชอบใช้กำลังก็ได้เพราะต้องรับคำสั่งไปปฎิบัติ แต่ประเทศที่เจริญแล้วไม่มีใครสั่งยิงประชาชนของตนเองหรอกครับ ถึงสั่งผมก็ไม่ทำเพราะพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ทัดเทียม ชนะก็ไม่น่าภูมิใจ”

“จริงของคุณ! ผมจะเล่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในโลกใบนี้ถึงแม้ Kala Democracy ของเราจะไม่ได้ปกครองระบอบกษัตริย์เหมือนเขมร แต่การเมืองมันคล้ายกันมีจุดกำเนิดและจุดจบไม่ต่างกัน มันเป็นเรื่องของการแย่งชิงอำนาจของตระกูลชนชั้นนำประชาชนเป็นเหยื่อมาตลอด”

“ค่อย ๆ เล่านะครับ ผมไม่ค่อยถนัดการเมือง” ผมรู้สึกอับอายมากกับเรื่องนี้ โดนจูยอนกับเจ้าแทนหลอกด่ามาเยอะเลย

“พ่อหนุ่ม รู้จักเขมร 3 ฝ่ายใช่มั้ย?”

“พอรู้บ้างครับ แต่ผมเกิดไม่ทัน”

“คุณรู้สึกอย่างไรกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของที่นั่น”

“สลดใจครับ!

“สำหรับคนนอกที่มองเข้าไปคงมีแต่เพียงคำพูดปลอบโยนหัวใจของครอบครัวผู้เสียชีวิตว่า โชคร้าย โหดร้าย เศร้า สลด เสียใจ คุณคิดว่าในเหตุการณ์นั้น...ใครผิด?”

“คนที่สั่งฆ่าต้องผิดสิครับ ขอทายว่าเขมรแดงครับ”

“ใช่มะ! ต้องคิดอย่างนั้นใช่มะ?” คุณลุงวัยรุ่นซะด้วย แต่แววตาที่แวววับนั้นทำให้ผมสงสัย

“ไม่ถูกเหรอครับ?” ผมพยายามสังเกตสีหน้าท่าทางของผู้อาวุโสท่านนี้ เขาไม่เหมือนคนแก่อื่น ๆ ที่ยอมจำนนกับโชคชะตาและสังขาร

“คนแพ้ต้องเป็นคนผิดอยู่แล้ว โอเคมั้ย?” คุณลุงตอบอย่างนี้พอจะเข้าใจได้ว่าผู้ชนะเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์บิดเบือนเข้าข้างตนเอง แต่ก่อนที่เขาจะพูดต่อขอถามคำถามสักข้อก่อน...

“ตอนนั้นคุณลุงอายุเท่าไหร่ แล้วทำงานอะไรครับ?”

“ผมเป็นกัปตันของสายการบิน Kala Airway ที่อายุน้อยที่สุดในเวลานั้น บินตรงจากพนมเปญมา Kala city ตอนนั้นผมอายุ 28 ปี” เขาตอบได้ทันที อายุขนาดนี้ความทรงจำเป็นเลิศแสดงว่าไม่ใช่แก่กะโหลกกะลา

“ครอบครัวล่ะครับ?”

“ผมโสด เคยมีคนรักแต่เธอเสียชีวิตไปก่อน ผมเลยไม่คิดจะแต่งงานและใช้ชีวิตคนเดียวมาจนถึงปัจจุบัน อีกไม่นานก็หมดเวลาของผมแล้ว ผมมีความสุขกับการมองโลกใบนี้ ผมเห็นในสิ่งที่หลายคนไม่เห็นหรือเห็นแต่ไม่กล้าพูด”

“น่าทึ่งนะครับ” ผมเจอคนที่ใจเด็ดกว่าแล้ว

“ผมจะเล่าเรื่องให้ฟังนะครับ แต่จงจำไว้ว่า อย่าเชื่อในสิ่งที่ผมพูดแต่ให้วิเคราะห์ในสิ่งที่ผมเห็นและรับรู้ก่อนที่ข่าวสารจะบิดเบือนหลังสงครามจบ สิ่งที่ผมพูดอาจเหมือนคำโกหก แต่มันเคยเกิดขึ้นจริงและยังมีหลักฐานในอีกมุมปรากฏอยู่ในข่าว” ท่าทางของท่านสบาย ๆ แตกต่างจากผู้ต้องขังคนอื่น

“เล่าเลยครับ” ด้านนอกอาคารคึกคัก นักโทษเดินเข้ามากินข้าวไม่ขาดสาย การคุ้มกันไม่ได้แน่นหนาทั้งผู้คุมและนักโทษสภาพไม่ไกลกันสักเท่าไหร่ส่วนใหญ่เป็นคนป่วย

“ช่วงนั้นเจ้าปกครองเขมรต้องต่อสู้กับแนวคิดประชาธิปไตยที่อเมริกานำเข้ามา ชาวบ้านก็เริ่มแตกคอแต่ก็ยังไม่แตกแยก ผู้ปกครองตอนนั้นไม่เห็นด้วยกับแนวคิดประชาธิปไตยเพราะมันริดรอนอำนาจของกษัตริย์ที่เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวมาตลอด เขาจึงลุกขึ้นสู้โดยส่งพระบิดาขึ้นเป็นกษัตริย์แทน แล้วตัวเองลงไปสมัครเลือกตั้งเป็นนายกเพื่อต่อสู้รักษาอำนาจ การเมืองเริ่มเพี้ยนก็ช่วงนี้แหละต่างฝ่ายต่างโจมตีด้อยค่า เขาอยู่ในตำแหน่งอีกหลายปีโดยชนะการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยข้อครหาและเริ่มด้อยค่าฝ่ายตรงข้าม”

“อ๋อ! เป็นเจ้ามันติดกติกาโน่นนี่นั่นเลยใช้อำนาจไม่ได้ใช่มั้ยครับ?”

“ถูกต้องแล้ว! เจ้าไปทำอย่างนั้นคิดเหรอว่าชาวบ้านจะไม่รู้ว่าเล่นการเมือง สุดท้ายมันก็ระเบิด อำนาจโดนท้าทาย เขาก็โดนยึดอำนาจจากพระญาติและนายทหารที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา สีหนุแพ้หนีไปอยู่จีน คิดเริ่มแผนใหม่”

“ผมไม่เคยได้ยินข่าวนี้เลย วงในรึเปล่าครับลุง?” ผมยิ้มเย้าไม่อยากจะเชื่อและดูเหมือนท่านจะรู้ทัน

“ผมบอกแล้วว่าอย่าเชื่อผม คุณลองไปหาประวัติศาสตร์มาอ่านดูแล้วเอาคำพูดของผมไปจับตาม Timeline จะเจอข้อมูลส่วนที่ขาดหายไป ประวัติศาสตร์ที่ผู้ชนะไม่กล้าเขียนไว้” ท่านยิ้มยักคิ้วชิลมาก

“ขอโทษครับ เชิญเล่าต่อ”

“ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ เมื่อผู้ใหญ่เล่นเกมประชาชนจะถูกแบ่งแยก ชนชั้นสูง พ่อค้า นายทุนและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นพวกห้อยโหนรัฐใครชนะใครมีอำนาจกูขออยู่ด้วย พอสีหนุแพ้ก็ถีบหัวส่งย้ายขบวนไปอยู่กับรัฐบาลยึดอำนาจ ในช่วงนั้นมันเกิดกระแสคนรุ่นใหม่เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปทั่วโลก นักศึกษาที่ไปเรียนฝรั่งเศสกลับมาพร้อมแนวคิดอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ได้เผยแพร่แนวคิดไปทั่วภูมิภาค”

“คอมมิวนิสต์เป็นคนรุ่นใหม่ด้วยเหรอ? ” ผมก็พึ่งรู้ แต่จูยอนเคยบอกไว้ว่าระบอบคอมมิวนิสต์ที่แท้จริงนั้นดีมากไม่ได้เลวร้ายเลย แต่ที่มันเสียก็เพราะผู้นำไปบิดเบือนเป็นลัทธิบูชาผู้นำ ทำให้ไม่เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมอย่างแท้จริงตามอุดมการณ์

“ค่อย ๆ ฟังไปนะอย่าพึ่งตัดสินเลือกข้าง ในดีมีเสียในเสียมีดี ถ้าผู้ใหญ่ใจกว้างและไม่กลัวเสียอำนาจจนเกินไป ทุกอย่างมันก็ตกลงกันได้” ท่านยิ้มใจดี ตอนนี้ผมคิดถึงเจ้าแทนจังเลย ถ้ามันอยู่ตรงนี้น่าจะเหมาะกว่าคงมีคำถามที่ดีกว่าผมแน่

“กองเชียร์รัฐที่ไหน ๆ ทั่วโลกก็เหมือนกันคือเป็นโล่ห์ป้องกันและเป็นกระบอกเสียงโจมตีฝ่ายตรงข้าม ในช่วงที่สีหนุเรืองอำนาจฝ่ายห้อยโหนก็ดูถูกและกดขี่ฝ่ายตรงข้ามไม่ให้มีที่ยืน พอฝ่ายยึดอำนาจชนะฝ่ายที่เคยสนับสนุนก็ย้ายมาสวามิภักด์และยังทำนิสัยเดิมกับผู้เห็นต่างสร้างความห่างของชนชั้น แก้กฏหมายให้ตัวเองได้ประโยชน์ กีดกันชาวบ้าน เกิดความเหลื่อมล้ำของรายได้ เกิดช่องว่างทางการศึกษา มันเป็นเพราะระบอบทุนนิยมที่อเมริกานำเข้ามาทำให้สังคมฉีกขาดในชั่วพริบตา เงินเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญของปัญหานี้ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และวิถีเรียบง่ายหายวับ กลับกลายเป็นความฟุ้งเฟ้อหรูหราด้วยค่านิยมตะวันตก อบายมุข ความโลภและการฉวยโอกาสเข้ามาแทนที่ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจก็ฉวยโอกาสกอบโกยกันในตอนนั้น เคยได้ยินคำว่า GI ใช่มั้ย?” ท่านหยุดพักหายใจ เรื่องการเมืองเหมือนกันทุกชาติจริง ๆ

“ต่อครับ! ผมตามทัน ตอนนี้ผมเข้าใจว่าผู้นำเลวก็ส่วนหนึ่ง ผู้สนับสนุนเลวก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง”

“ถูกต้อง! แต่อย่าไปว่าพวกเขาเลวเลย พวกเขามีแต่ความปรารถนาดีที่จะแก้ปัญหาให้ชาติ...แต่ปัญญาของเขาก็คิดได้เพียงแค่นั้น”

“แล้วเกิดทุ่งสังหารได้อย่างไรครับ?”

“รัฐและผู้สนับสนุนผลิตชุดวาทกรรมกดดันโจมตีคนรุ่นใหม่ซึ่งมักจะเป็นชนชั้นล่างของสังคม ยัดเยียดคดีไล่จับกุมคุมขัง สารพัดกลโกงในการเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่สองมาตรฐานและไร้ประสิทธิภาพทำตัวเป็นศัตรูกับประชาชน รอยแผลนี้มันสั่งสมทับถมยาวนาน เกิดเป็นความเครียดแค้นชิงชังเจ้าหน้าที่รัฐและอยากล้างแค้น”

“ล้างแค้นเลยเหรอ?” ผมเด้งเลย คิดถึงจูยอนขึ้นมาทันทีและพลอยไปคิดถึงความลำบากที่เจ้าแทนต้องอดทนอดกลั้น

“ใช่!..การที่ประชาชนโดนฝ่ายที่กุมอำนาจกลั่นแกล้งและเยาะเย้ยด้อยค่า เมื่อถึงเวลาเอาคืนจึงไม่มีใครห้ามได้ การใช้ตำแหน่งหน้าที่หาประโยชน์มันซึมลึกในภูมิภาคนี้ ส่วนใหญ่ผู้หญิงมักตกเป็นเหยื่อทางเพศ ในขณะเดียวกันผู้หญิงอีกกลุ่มก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นกระบอกเสียงแทนรัฐ”

“ยังไงครับ?”

“ในฝ่ายรัฐ ยศที่เหนือกว่าสามารถชี้เป็นชี้ตายผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาได้มันก็เกิดโอกาส เพื่อนของผมรับราชการในศูนย์วิทยุการบินอยู่ที่นั่น เธอเป็นคนสวยและเก่งสามารถทำตามความฝันที่อยากทำงานในสนามบินชีวิตสมบูรณ์แบบมาก แต่เพราะความสวยทำให้เธอต้องเจอกับชะตากรรมที่เจ็บปวดที่สุดและฆ่าตัวตายอย่างน่าอนาถใจ” คุณลุงหยุดนิ่งทอดสายตามองไปกลางลานบิน

“พอแล้วครับ ผมเข้าใจแล้วว่าเธอจะโดนอะไร มันเหมือนกันทั่วโลกจริง ๆ กับประเทศด้อยพัฒนา ศักดิ์ศรีมีค่าเพียงแค่เป็นคนของใคร”

“แต่ก็มีผู้หญิงอีกกลุ่มที่อยากเติบโตในตำแหน่งหน้าที่ อาสาไปนอนกับหัวหน้าเพื่อแลกกับตำแหน่ง สังเกตได้ง่าย ๆ ผู้บริหารหญิงระดับสูงของรัฐหลายคนยังใช้นางสาวอยู่เลย พวกนี้ยิ่งแก่อารมณ์ยิ่งรุนแรงฉุนเฉียว”

“ทำไมเหรอครับ?”

“ตำแหน่งใหญ่แค่ไหนก็เป็นได้แค่เมียเก็บที่ไม่กล้ามีปากเสียง นาน ๆ เขาจะมาเอาสักที พอของขาดอารมณ์ก็ไม่ดีลูกน้องก็ซวย”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! เข้าทฤษฎีข้อ3 กลัวไม่มาแทงซ้ำ

“การได้อำนาจมาอย่างผิด ๆ มันจึงรักษาอำนาจกันอย่างผิด ๆ พวกเธอเคยยอมเสียตัวเพื่อตำแหน่ง ก็ระแวงกลัวเด็กรุ่นใหม่จะมาแย่งจึงแสดงอำนาจข่มขู่เด็กสาวเป็นธรรมดา แค่ยกตัวอย่างเฉย ๆ นะ” ท่านอมยิ้มตาพราว

“ต่อครับลุงเดี๋ยวผมลืม เมื่อกี๊ถึงฝ่ายสนับสนุนไล่ต้อนฝ่ายคิดต่างให้จนมุมแล้วครับ”

“ฝ่ายคิดต่างในเวลานั้นส่วนหนึ่งก็คือ คอมมิวนิสต์ ซึ่งในวันนั้นถือว่าพวกเขาเป็นคนรุ่นใหม่มีความคิดที่ทันสมัย อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ดีนะคุณ ลองไปหาอ่านสิแล้วคุณจะเข้าใจว่า ทำไม?” ท่านยิ้มอย่างมีเลศนัย

ผมเห็นภาพของคนรุ่นใหม่ในสมัยปัจจุบันทันที สิ่งที่พวกเขาโดนไม่ต่างไปจากพวกคอมมิวนิสต์ในอดีตโดนและป้ายสีว่าเป็นคนเลว รัฐยุยงให้ฆ่าทิ้งโดยไม่มีความผิดที่แท้มันเป็นเกมการเมืองนี่เองและรัฐก็ไม่เคยเปลี่ยนวิธีในการแก้ปัญหายังคงยั่วยุยัดคดีและผลักให้เป็นศัตรูเพื่อใช้กำลังอาวุธปราบ

“พอถึงวันที่พวกเขามีอาวุธ จึงไม่ใครลังเลเลยที่จะเฆ่นฆ่าคนที่เคยด้อยค่าพวกเขาไว้ ไอ้หัวโจกที่มีเงินก็หนีออกนอกประเทศ ส่วนไอ้ขุนพลอยพยักที่ไม่มีเงิน ตายเกลื่อน...”

ถึงจะเดาเรื่องได้ แต่ผมก็ใจแป้ว...

“คุณลุงแน่ใจเหรอครับว่าที่พูดมาเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ผู้นำหรือสงครามเย็นเหรอครับที่เป็นต้นเหตุ มันโหดร้ายมากนะครับที่บอกว่าประชาชนฆ่ากันเอง”

“ผมบอกแล้วว่าอย่าเชื่อผม ไม่มีอะไรที่โหดร้ายไปกว่าคนเหมือนกันแต่ด้อยค่ากันอีกแล้วล่ะ สิ่งสำคัญที่ฝ่ายกุมอำนาจลืมไปคือศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ในวันนั้นเขมรมีประชากรประมาณ 7-8 ล้านคน มีคนโดนสังหารทั้งหมดตีไปประมาณ 2 ล้านคนเป็นตัวเลขที่บอกว่ามันเป็นคนกลุ่มน้อยและคนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ ครู พ่อค้า นายทุน แพทย์ ทหาร ตำรวจและดาราที่เคยห้อยโหนอำนาจ เขมรแดงไม่ฆ่าชาวบ้านหรอกเพราะชาวบ้านคุ้มครองพวกเขา คนรอดตายคราวนั้นตั้ง 6 ล้านกว่าคน”

“แล้วเจ้าล่ะ...ไปไหน?”

“เขาไปหนุนหลังเขมรแดงย้อนแย้งสุดขั้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!” คุณลุงหัวเราะลั่น

“เอ้า! ถ้าเจ้าไปทำอย่างนั้น อเมริกาก็กวาดกษัตริย์ไปพร้อมกับคอมมิวนิสต์เลยทีเดียวน่ะสิ!

“เพื่ออำนาจมันหน้ามืดทำได้ทุกอย่าง หูบอดตาหนวกไปพึ่งคอมมิวนิสต์จีนซึ่งเข้ากันไม่ได้กับระบอบกษัตริย์ สุดท้ายมันก็ไม่มีที่ยืนแต่ที่แสบกว่านั้นก็คืออเมริกาชี้ว่าผู้นำเขมรแดงผิดคนเดียวไม่พูดถึงกษัตริย์ที่หนุนหลังเลย ผู้นำเขมรที่เป็นฮีโร่จนถึงปัจจุบันก็เคยเป็นสมาชิกเขมรแดงมาก่อน พอเข้าใจอะไรบ้างหรือเปล่าครับ?”

“พอจะเห็นภาพครับ ต่างคนต่างช่วงชิงโอกาสเพื่อขึ้นสู่อำนาจ แต่นึกแล้วก็ขำนะ ผมคิดว่าถึงเขมรแดงชนะเจ้าก็ไม่มีที่ยืน โลกใบนี้คงไม่มีการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์โดยมีกษัตริย์เป็นประมุขหรอกมั้งครับ?” ผมคิดย้อนกลับไปหาจูยอน การกำจัดความคิดไม่ได้เริ่มต้นที่เธอเป็นคนแรก มีคนเคยคิดแต่ทำไม่สำเร็จ...เขมรแดงนี่เอง พวกเขาแพ้เลยต้องเป็นจำเลยของโลกและทำให้ภาพของคอมมิวนิสต์ดูน่ากลัว เข้าทางอเมริกาที่เป็นศัตรูเบอร์หนึ่ง

“แต่ถ้าเขมรแดงชนะก็ไม่แน่ ในโลกกว้างอาจจะไม่มีการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์โดยมีกษัตริย์เป็นประมุขหรอก แต่ในภูมิภาคนี้เอาแน่นอนกับการเมืองไม่ได้หรอก อำนาจซื้อขายต่อรองกันได้ อะไรที่ผิดกฎหมายหรือผิดจารีตพวกมันแก้เพื่อประโยชน์ของตัวเองได้หมด หึหึหึ!

ผมเคยได้ยินว่าพวกคอมมิวนิสต์อยู่กับชาวบ้านตามป่า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำร้ายชาวบ้านเพราะชาวบ้านให้ที่อยู่และเกลียดเจ้าหน้าที่รัฐเหมือนกัน เรื่องเล่านี้มีมูลให้คิดวิเคราะห์อย่างที่ท่านบอกไว้จริง ๆ

“กลุ่มคนรุ่นใหม่ของบ้านเรามองเห็นปัญหาจึงเสนอแก้กฎหมายบางมาตรา แต่โดนผู้ใหญ่ผลิตวาทกรรมด้อยค่าว่าเป็นพวกล้มล้างการปกครอง ชังชาติ ไล่ให้ไปอยู่ต่างประเทศ พวกเขาจึงไปตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาสู้ตามกติกา สุดท้ายพวกผู้ใหญ่นั่นแหละที่ประชาชนไม่ต้องการมันแพ้อย่างน่าเวทนา มันจึงเริ่มยัดคดีแล้วส่งไม้ต่อให้ฝ่ายกฏหมายยุบพรรคของพวกเขา ความแค้นที่สะสมมาจึงระเบิดขึ้น”

“ทั้งหมดเป็นเพราะความแค้นนี่เอง ผมเคยคิดว่าพวกคอมมิวนิสต์มันไม่ดีเป็นสิ่งที่เข้าใจผิดมาตลอดที่พวกเขาต้องเป็นผู้แพ้เพราะภาพของคนตายมันดูโหดร้ายและผู้ชนะต้องการหาคนรับผิดจึงขยายผล เข้าใจแล้วครับมันเป็นเกมอำนาจ” ผมเคยโกรธตอนที่โดนเจ้าหน้าที่บุกไปหาที่วัดแต่มันก็แค่อึดอัดใจนิดหน่อย แต่เมื่อเทียบกับหัวอกของจูยอนที่ร้องไห้พูดความในใจเรื่องความแค้นก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ทันที เข้าใจแล้วว่าทำไมจูยอนถึงเกลียดพวกจงรักภักดีขนาดนั้น

“นี่อาจจะเป็นเหตุผลหลักของพลพตผู้นำเขมรแดง ที่ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นผู้สั่งสังหารจนวันสุดท้ายของชีวิตก็ได้ เพราะความแค้นและสิ้นหวังล้วน ๆ ประชาชนจึงไล่ยิงคนของรัฐ เหตุการณ์นี้แทนที่รัฐและผู้สนับสนุนจะได้บทเรียน แต่พวกเขาเลือกที่จะปิดข้อมูลและป้ายความผิดให้เป็นของผู้นำเขมรแดงคนเดียว” คุณลุงยังคงยิ้มอย่างใจเย็นหลังตักข้าวคำสุดท้าย ผมรับถาดไปวางเก็บที่แล้วพาท่านเดินกลับ

“จีนเข้ามายังไงครับ?” โรงอาหารไกลจากอาคารพัก ผู้คุมไม่ได้เข้มงวด ปล่อยเดินตามสบาย 

“เดือนที่แล้วนี้แหละ ผมผ่าตัดลูกสะบ้าหัวเข่าเมายานอนหลับอยู่ในห้อง ICU พอตื่นมาก็นอนไม่หลับอีกเลย ฮ่าฮ่าฮ่า!” เห็นคุณลุงหัวเราะอารมณ์ดีขนาดนี้แอบคิดในใจว่า ถ้าผมแก่ตัวไปแล้วอยากเป็นอย่างนี้ ไม่เครียด ไม่ทุกข์ แม้ตัวเองจะตกอยู่ในสภาวะลำบาก

“ทำไมนอนไม่หลับครับ?” ผมมองไปที่สนามกอล์ฟเขียวทางด้านซ้ายมือ

“ผีดิบเต็มห้อง! กว่าจะชินกับมันก็หลายวันครับ ผมขี้เยี่ยวบนเตียงคนไข้เลยล่ะ หิวฉิบหายเลย ฮ่าฮ่าฮ่า!” ท่านอาจจะเป็นเชลยคนเดียวที่มีความสุขที่สุด

“คุณลุงไม่ได้ฉีดวัคซีนใช่มั้ย?”

“ผมไม่เชื่อใจ เลยตัดสินใจไม่ฉีดวัคซีนการเมือง”
           "การเมืองนี่เลวจริง ๆ นะครับ" ผมไม่ชอบเป็นทุนอยู่แล้ว สาปส่งไปเลย
          "ผิดแล้วล่ะพ่อหนุ่ม หึหึหึ! การเมืองใช้การเจรจาเพื่อยุติสงคราม เพื่อไกล่เกลี่ยปัญหา เพื่อลดการกระทบกระทั่งในสังคม เพื่อความเป็นชาติ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า แต่คนที่มีอำนาจมักจะเป็นคนเลว เจตนาของการเมืองเลยเปลี่ยนไป"
           "พอลุงพูดอย่างนี้ทำให้ผมสงสัย ทำไมคนเลวมักขึ้นไปอยู่ในอำนาจได้นาน"
         "ฮ่าฮ่าฮ่า! เพราะมันเลวไง คนดี ๆ มันมียางอายเข้าออกตามกติกา การเมืองแก้ปัญหาปากท้องได้สบายมาก ภาษีที่ทุกคนจ่ายไปมากพอที่จะสร้างสวัสดิการให้ทุกคนอย่างสบายถ้าไม่มีใครมาโกงมัน"
           "ฟังแล้วมืดมนนะครับ"
           "ผมบอกแล้วว่า อย่าเชื่อผม"

“ขอบคุณมากครับลุง ผมขอไปอาบน้ำก่อนนะครับ” ผมพาท่านไปนั่งแล้วโค้งศีรษะให้ด้วยความนับถือ

                                        .............................................................

แสงอาทิตย์กำลังลับยอดตึก ในรั้วอาคารด้านขวา Soulless สาวสวยหุ่นนางแบบเดินนวยนาดบนพื้นหญ้า รอรับชะตากรรมบางอย่างที่คนสวยต้องเผชิญ

เด็กสาว ๆ พวกนี้น่าสงสาร กลายเป็นผีดิบตั้งแต่อายุยังน้อย ยังไม่ได้ใช้ชีวิตคุ้มค่าเลย แค่ก! แค่ก! แค่ก! ชายชราเสียงหอบเหนื่อย

เพื่อนร่วมห้องอีก 6 คนล้วนผอมแห้ง แต่ละคนดูไร้เรี่ยวแรงไม่ต่างจาก Soulless สักเท่าไหร่ สายตาของพวกเขาเหนื่อยล้าไร้ความหวัง บางคนต้องทนทรมานกับโรคประจำตัว

ลุง! พวกนี้จะถูกส่งไปที่ไหน คัดมาอย่างงามเชียวนะ?ผมหันไปถาม

ส่งไปกองบัญชาการข้าง ๆ นี่แหละ เดินข้ามคลองน้ำเน่านี่ไปก็ถึงแล้ว แต่พวกเราเข้าไปไม่ได้นะเป็นเขตหวงห้าม เขามีอาการชักกระตุกตลอดเวลา

ไม่เข้าใจครับ ?”

ถูกส่งไปให้พวกผู้ใหญ่ เฮ้อ!” สายตาของเขาเศร้ามาก

เอาไปรักษาเหรอครับ?”

หึ!หึ!หึ!!” เพื่อนร่วมห้องคนอื่นหัวเราะอย่างแร้นแค้น

ห้องเชือด!” ผู้อาวุโสถอนหายใจ

หือ!น้อง ๆ พวกนี้ป่วยนะ ต้องช่วยกันสิผมเริ่มไม่เข้าใจ

พ่อหนุ่ม! คงไม่ได้กลับบ้านนานล่ะสิ บ้านเมืองเราแตกแยกมานานแล้ว เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าผู้ใหญ่คือใคร ?” ชายชราหอบแรงสังขารร่วงโรยตามวัย

โรคพวกนี้รักษาได้นะครับ

ผมเคยได้ยินว่า ยารักษาแพงมาก มีไม่กี่คนที่ได้รับการรักษาส่วนใหญ่จะเป็นพวกนายทุน

แล้วพวกคุณลุงทำไมถึงโดนจับมาก่อนหน้านี้ทำอะไร อยู่ที่ไหนกัน?” ผมมองชายชราร่วมห้องทีละคน

พวกเราเป็นมะเร็งกันทุกคน อยู่ก็เพื่อรอวันตายแต่กลับไม่ตาย ต่อสู้กับโรคร้ายก็แย่แล้ว โดนจับมาทำงานแย่หนักกว่าเดิมอีก ตอนที่มันฆ่ากันผมยังนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาลเลย ตายซะตั้งแต่วันนั้นก็ดี

ผู้เฒ่าอีกคนบ่นกับชะตากรรมตนเอง

ผมขาดยามาหลายวัน ขาบวมมากมันก็บังคับให้เดินไปขนอาหารมาให้เจ้านาย

ท่าทางของทุกคนสิ้นหวังเหม่อลอยในหัวใจของพวกเขาคงสลายแหลกเหลว การดูแลรักษาจากแพทย์อย่างดีโรคก็ยังไม่หาย ตอนนี้กลับถูกจับมาใช้แรงงานอีก นรกชัด ๆ ที่นี่ไม่ได้ต่างจากค่ายกักกันแรงงานของเกาหลีเหนือแม้แต่น้อย

ถ้าหนีได้ พวกลุงจะหนีมั้ยครับ?”

หนีสิ! เราไม่ได้อยากอยู่ในห้องขังแบบนี้ ทุกวันต้องออกไปขนอาหาร และจับผีดิบสาว ๆ กลับมาให้พวกมันเสวยสุขทุกวัน ผมไม่อยากทำเลยไม่อยากฆ่าลูกหลาน เพื่อนร่วมชาติก็ตายเกือบหมดแล้วความคิดผู้ใหญ่แบบนี้ไม่มีอยู่ในหัวของพวกชนชั้นนำเลย

ไปขนอาหารได้มากมั้ยครับ?”

ไม่เยอะหรอก พวกเรามีไม่กี่ร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นคนป่วย

คุณลุงมองสาว ๆ พวกนั้นเป็นลูกหลานหรือเปล่า? ถ้าช่วยได้คุณลุงจะช่วยไหมครับ?” ผมชี้ไปที่สนาม

“แค่ก!แค่ก! ชายกลางคนรูปร่างผอมเกร็ง ไอตัวโยนเดินแทรกเข้ามาดวงตาขุ่นเศร้ามองไปจุดเดียวกัน...

ลูกสาวคนเดียวของผมสวยมาก อายุ 20 ปีแล้วคงรุ่นราวคราวเดียวกับสาว ๆ พวกนี้ ตอนนี้...ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง?” มือที่สั่นกระตุกตลอดเวลายกขึ้นพนมจรดศีรษะ น้ำตาค่อย ๆ ไหล...

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยด้วย ลูกพ่ออย่าเป็นผีดิบนะถ้าเป็นก็อย่าให้พวกมันจับได้ ถ้าพ่อเจอหนูก่อนพ่อจะส่งหนูไปสวรรค์เอง พ่อจะจบชีวิตของลูกเองเขากัดกรามสะอื้นมองผีดิบสาว ดวงตาที่เปื้อนน้ำตานั้นปวดร้าว

ในนี้มีทหารจีนมากมั้ยครับ?”

ราว ๆ 250 - 300 คนประมาณนี้ ยังมีคนของพวกเจ้าสัวอีกประมาณเท่า ๆ กัน รวม ๆ ก็มีทหารประมาณ 500-600 นาย พวกทหารจีนบังคับให้พวกเจ้าสัวมาอยู่รวมกันในกองบัญชาการข้าง ๆ นี่แหละเขาชี้ข้ามหัวผีดิบสาวบนสนามทางขวา สรุปว่าหัวโจกสุมกันอยู่ในนั้น

แล้วทหารจีน มันพักที่ไหนครับ?”

อาคารสวัสดิการนักรบเลยไปอีกไม่ไกลหรอก พวกมันชอบอยู่รวมกันบนแฟลต เล่นไพ่กันเสียงดังมาก

พรึบ! พรึบ! พรึบ! พรึบ! ไฟส่องสว่างดับมืดลง

นอนเถอะ! พักเอาแรงไว้ พรุ่งนี้นายจะโดนอะไรบ้างก็ไม่รู้ อดทนไว้นะ คุณยังหนุ่มคุณลุงเตือนก่อนจะทิ้งตัวนอนเรียงกันเป็นแถวยาว

ผมทิ้งตัวนอนบนเสื่อขาด ๆ เอามือก่ายหน้าผาก สายตาเหม่อมองทะลุหน้าต่างจดจ้องที่ดวงดาวลิบ ๆ คุณลุงบอกว่าระบอบทุนนิยมฉีกสังคมขาดกระจุย เมื่อเงินคืออำนาจทุกคนจึงตั้งเป้าหมายไปที่ความรวย คนที่เดินบนเส้นทางการแข่งขันที่ถูกต้อง แทบจะไม่มีใครสักคนที่เดินไปถึงเป้าหมายนั้นเลย มันจึงเกิดทางลัดมากมายที่นำไปสู่การโกง

                                                              …………………………………….



จำนวนผู้มาเยือน

หน้าที่เข้าชม12,862 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด10,978 ครั้ง
ร้านค้าอัพเดท8 ก.ย. 2568

สมาชิก

พูดคุย-สอบถาม