หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 8 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 1 ก.ค. 2567 |
Kala city
มุมมองสายตา เจ็ทโด้
7 วันต่อมา...
อาคารผู้โดยสารทั้ง 5 ชั้นดังสับสน เสียงคุยกันมั่วไปหมด ผีดิบกลับคืนสู่สภาพปรกติสามารถสื่อสารและช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว สีสันของชีวิตกลับมาสดใสเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมแอบมองสาวน้อยจิตใจงามไถสเกตบอร์ดร้องเพลงเสียงดัง ร่าเริงสดใส...
“โปรดจงรู้ว่าที่ฉันทำลงไปฉันทำไปเพื่อใคร โปรดจงเห็นทุกความตั้งใจฉันพร้อมทุ่มเทขนาดไหน” น่าภูมิใจกับกับพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเด็กที่มีคุณภาพอย่างนี้จังเลย จิตใจเอื้อเฟื้อและเสียสละทำงานด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา
“พอดีจ๋า! น้ำปลาหมด” คุณป้ายิ้มชูขวดเปล่า บนหน้าผากของเธอยังมีหมึกสีน้ำเงินติ๊กถูก
“น้องนางฟ้าจ๋า! เอาน้ำปลาไปให้คุณยายนะคะ” เธอหยิบขวดส่งให้น้องน้อยวิ่งยิ้มแป้นเข้าไปให้
“พอดี! อยากกินน้ำส้ม” เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเธอร้องขอ เธอคว้าขวดน้ำส้มไหว้เจ้า โยนไปให้
“พอดี! อยากเปลี่ยนเสื้อจัง หาให้หน่อย” สาวรุ่นพี่ฟึดฟัดขัดใจกับเสื้อผ้าที่รัดติ้ว
“จัดให้ค่ะ!” เธอทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เงยหน้าหันมองหาผู้ช่วย...
“พี่หล้า! มาหาหนูหน่อย” เธอกระโดดกวักมือเรียก
“จะเอาอะไรครับ?” หล้าวิ่งสไลด์เข้ามา
“พี่! ขับรถออกจากสนามบินไปทางขวาจะเจอห้างสรรพสินค้า พี่รวบเสื้อผ้ามาให้หมดห้างเลยนะ พาคนไปช่วยกันขนมามาก ๆ”
“ได้! เดี๋ยวจัดให้” หล้าหันหลังเดินออกไป
“อะไรที่มีประโยชน์ขนมาเลยค่ะ! เหมา ๆ”
“โอเช!” หล้าวิ่งไปตบไหล่เพื่อนให้วิ่งตามกันไป
“พี่พอดี! หนูอยากเล่นเกม” วัยรุ่นสาวงอแง
“วัยรุ่นจ๋า!หนูโตพอที่จะทำงานได้แล้วนะคะ มาช่วยพี่ทำงานดีกว่ามั้ย?” เธอยิ้มใจดี
“ไม่เอา! หนูยังไม่อยากทำงาน ยังมึนหัวอยู่” น้องหน้าง้ำ
“ไม่ทำก็ไม่ทำ งั้น!เล่นกับน้องไปก่อนนะ พี่จะไปพูดขอความช่วยเหลือกับพวกเรา ก่อนที่คุณลุงจะกลับ” เธอปล่อยให้น้องนางฟ้าอยู่กับเด็กวัยรุ่น แล้วหมุนตัวร้องเพลง
“โปรดจงรู้ว่าที่ฉันทำลงไปฉันทำไปเพื่อใคร โปรดจงเห็นทุกความตั้งใจฉันพร้อมทุ่มเทขนาดไหน”
ถ้าโลกใบนี้ไม่มีเงิน การช่วยเหลือลงแขกก็เป็นวิธีที่เสริมสร้างความสามัคคี หรือว่าเงินจะเป็นตัวปัญหาอย่างที่คุณลุงเคยบอกไว้ ทุนนิยมมันสามานต์จริงเหรอ? แต่พอคิดอีกมุม ถึงแม้จะมีเงินก็สามารถลงแขกช่วยงานกันได้ ถ้านั่นเป็นเสียงส่วนใหญ่ของสังคม เงินก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ทั้งหมดมาจากคนที่ทำให้มันเป็นเช่นนั้น ผมไถสเก็ตแยกไปอีกทาง
...................................................................
อาคารผู้โดยสารขาออก...
ผมยืนแอบมองเข้าไปในห้องกระจก ภายในมีชายต่างวัยสองคนนั่งอยู่คนละมุมห้อง บรรยากาศภายในห้องอึมครึมวังเวง
“แกหายไปไหนมาตั้งหลายปี?” ผู้เป็นพ่อถามลูกชาย
“สนใจผมด้วยเหรอครับ?”เสียงเจ้าแทนขวาง ๆ แข็ง ๆ ซึ่งผมเข้าใจได้
“สนใจสิ! พ่อก็ไม่ได้สบายใจนักหรอกนะ ที่ไม่ได้ข่าวแกเลย” ชายในวัย 60 ยังถือว่าแข็งแรงพูดด้วยเสียงประหม่า
“ผมเดินทางไปหาความหมายของชีวิต ไปโดยไม่มีจุดหมาย” เจ้าแทนงอนปากจู๋ ผมไม่เคยเห็นมันงอแงมาก่อนยังแอบยิ้ม
“เจอหรือยัง?”
“เจอแล้วครับ!ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาชั่วคราว เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-แล้วก็ดับไปในสักวัน ช้าหรือเร็วแล้วแต่โครงสร้าง ไม่มีสิ่งใดอยู่ค้ำฟ้า”
“แกยังโกรธพ่ออยู่อีกเหรอ?”
“โกรธสิ!..มากด้วย”
“พ่อต้องทำยังไง แกถึงจะหายโกรธ?”
“พ่อครับ!ในเวลาที่ผมต้องการ พ่อกลับทำเหมือนผมเป็นคนอื่น ผมไม่รู้ว่าจะพึ่งพาพ่อได้หรือเปล่า? สำหรับพ่อแล้วผมคือตัวอะไร?” เจ้าแทนน้ำเสียงยังตึง จ้องดวงตาของพ่อ
“..........” ผู้เป็นพ่อหลบสายตานั่งก้มหน้าเงียบ
“ผมไม่กล้ากลับบ้าน เพราะไม่อยากเห็นสายตาระแวงของคนในบ้าน พ่อไม่เคยปกป้องผมเลย” น้ำเสียงของแทนเริ่มเปลี่ยนเป็นน้อยใจ
“พ่อผิดเอง แต่...”
“พ่อไม่ต้องอธิบายครับ ผมเป็นลูกติดเป็นธรรมดาที่จะไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวใหม่ของพ่อ แต่พ่อเกรงใจเธอจนผมหมดค่า ผมไม่เคยก้าวร้าว พ่อไม่รู้จักผมเลย”
“เอ่อ...!”
“น้าเอื้องไม่เคยทิ้งผม เธออยู่กับผมจนวันสุดท้ายของชีวิต” สุดท้ายน้ำตาของเจ้าแทนก็ไหล มันรักน้าเอื้องมากผมรู้อยู่แก่ใจ
“เอ่อ! พ่อขอโทษ เอื้องเสียแล้วเหรอแล้วคุณตาล่ะ?”
“ทุกคนไปรอผมอยู่บนสวรรค์แล้ว สักวันผมก็คงได้เจอ”
“แทน! อย่าพูดอย่างนี้สิ!” พ่อได้แต่อึดอัดใจ
“ผมอยากชดใช้คืนที่พ่อให้โอกาสผมมีชีวิต ผมคืนโอกาสนั้นให้พ่อได้มีชีวิตบ้าง ตอนนี้...พ่อไม่มีเพื่อนหรือญาติพี่น้องอีกแล้ว พ่อเหลือผมคนเดียว ถ้าพ่อไม่คิดว่าผมเป็นลูกก็ไม่เป็นไร ผมอยู่ได้แล้วและเราก็หายกันแล้ว”
“แทน! ทำไมพูดกับพ่อแบบนี้ล่ะ ลูกเกิดมาจากความรักนะ พ่อรักแม่ของแกมาก แต่...”
“ผมโตพอที่รับรู้ได้ว่าเรื่องบางเรื่องก็อธิบายไม่ได้ มันเป็นชะตากรรมของพ่อและมันก็กระทบชะตากรรมของผม” น้ำเสียงน้อยใจน้ำตาแตกนองหน้าชายหนุ่ม
“แทน! พ่อขอโทษ” เขาก้มหน้านิ่ง
“พ่อรู้มั้ยครับผมคิดถึงพ่อมากแค่ไหน อยากให้พ่อกอดผมบ้าง ผมไม่ได้อยากออกไปจากบ้าน ผมไม่รู้จะหันไปหาใคร ผมไม่มีที่พึ่ง ผมกลัว!” แทนสะอื้นน้ำตาไหลอาบสองแก้ม
เวลาที่ผ่านการละเลยเมินเฉย การเข้าใจผิดทับถมพอกพูนในใจ แม้จะเป็นลูกชายแต่ก็ยังมีช่องว่าง การจะหาคำพูดมาตอบมันช่างยากเย็น เหตุการณ์ในอดีตมันก็ผ่านจนลืมไปแล้ว ชายสูงวัยลุกจากเก้าอี้สวมกอดลูกชาย...
“การมีชีวิตมันไม่ง่ายเลยนะลูก ในสิ่งที่ลูกเห็นบางอย่างมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ลูกคิด ชีวิตของเราพัวพันกับคนอื่นเสมอ แยกกันไม่ออก พ่อขอโทษ! พ่อภูมิใจในตัวแกนะ ถ้าวันนั้นแกติดคุกชีวิตก็คงไร้ค่า กฎหมายที่ชี้ว่าแกผิดนั้น มันแค่หยดหมึกที่ล้อมรอบขนมหวานของผู้มีอำนาจเท่านั้นเอง พ่อผิดเองที่กลัวและไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องลูก” เขาดึงลูกชายเข้ามากอดแล้วน้ำตาไหลพราก
“พ่อ! ผมรักพ่อ ผมคิดถึง ผมขอโทษนะครับที่ทำให้ไม่สบายใจ ขอโทษที่พูดไม่ดี” แทนน้ำตาอาบแก้ม
“พ่อก็รักแกนะ ให้อภัยพ่อด้วย” สองพ่อลูกกอดกันร้องไห้
“ผมไม่โกรธแล้ว แค่พ่อยอมรับผมเป็นลูกก็เพียงพอแล้ว”
“เฮ้อ!” ผมโล่งอก ไถสเกตบอร์ดผ่านห้องนั้นด้วยรอยยิ้ม น้องชายผู้อ่อนโยนของผมโหยหาความรักจากพ่อมานานแสนนาน ได้ขูดเศษแก้วปักใจออกไปเสียที จากนี้ไปขอให้มีความสุขมาก ๆ นะไอ้น้องชาย
.................................................................
ผมไถสเกตบอร์ดไปอีกด้านของสนามบิน ห้องโถงกลางในอดีตเคยเป็นช่องตรวจหนังสือเดินทาง อื้ออึงไปด้วยเสียงคุยกันสร้างความสงสัย ผมถีบสเก็ตเข้าไปยืนมองสายตาสบกับคุณลุงเขมรของผมอีกครั้ง
“สวัสดีครับ ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก” ผมเข้าไปจับมือกับท่าน
“ผมเห็นว่าคนช่วยคุณทำงานน้อยมาก และที่นี่น่าจะมีเรื่องสนุกให้ดูมากกว่า ถ้ากลับไปบ้านหลอนตายห่า!”ท่านกระฉับกระเฉงคึกคัก
“ขอบคุณมากเลยครับ พวกนี้ทำอะไรกัน?” ผมหันมองไปที่กลุ่มคนกลางลานที่เริ่มขยับตัว
“ไม่รู้เหมือนกันครับเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นเรียกผมก็เลยมายืนดู นั่นไงคนรุ่นใหม่ที่ผมภูมิใจ มีความรู้ หัวใจสะอาด มีจิตสาธารณะ” เขาชี้ไปกลางลาน
น้องพอดียิ้มยืดอกถือโทรโข่ง ตะปีนขึ้นไปยืนบนโต๊ะด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม อยากรู้จักเธอจะทำอะไรอีก?
“เด็กรุ่นใหม่พวกนี้ไม่เหมือนคนรุ่นก่อน เข้าใจสังคมมากขึ้นและรู้เรื่องของโลกกว้าง แต่ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ต้องการให้คนในชาติฉลาด จึงทำลายระบบการศึกษาเพื่อแย่งชิงมวลชน”
“ยังไงครับ?”
“มันบิดเบือนตำราเรียนให้เป็นวิชาบูชาตัวบุคคล ความคิดแบบวิทยาศาสตร์ไม่ถูกนำมาพัฒนา ดีนะที่พวกเธอเป็นกบฎไม่ยอมไหลรวมกับคลื่นความคิดที่ถูกผู้ใหญ่จูงจมูก ช่างกล้าหาญมาก” ยิ่งท่านพูดผมก็ยิ่งเห็นภาพ
พอดีป้องปากตะโกนใส่กลุ่ม...
“ทุกท่านคะ! รบกวนฟังหนูด้วยค่ะ”
“...........” กลุ่มชาวบ้านที่นั่งกับพื้นหันมองสายตาสงสัย
“มีอะไรอีกหรือเปล่า?...” ใครบางคนเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ
“พี่น้องคะ! พวกท่านได้ฟื้นคืนชีพกลับมามีจิตวิญาณอีกครั้งอย่างปาฏิหาริย์ เพราะได้รับโอกาสที่คนอื่นหยิบยื่นให้ เรารู้สึกดีใจและขอบคุณพวกเขา...”
“เธอจะพูดอะไร ฉันจะนอนให้มันเร็ว ๆ หน่อย” คุณน้าหน้าหงิกตะโกนแทรก
“เอ่อ! หนูรบกวนนิดเดียวนะคะ”
“เออ! รีบพูดมาจะนอน” คุณป้าในแก๊งเดียวกันสมทบเสียงเขียว
“หนูพูดตรง ๆ เลยก็แล้วกัน เราในที่นี้ทุกคนได้เกิดใหม่อีกครั้ง คนกลุ่มสุดท้ายของชาติที่ยังมีชีวิตอยู่คือทุกท่าน ด้านนอกยังมีคนที่รอคอยโอกาส รอคนยื่นมือเข้าไปช่วย พวกเราไป...”
“หาเรื่องมาให้เหนื่อยอีกล่ะสิ!” ไม่เคยมีผู้ใหญ่ที่ไว้หน้าเด็กในประเทศนี้ พอดีชะงักแล้วตัดสินใจพูดต่อ...
“ทุกท่านคะ! หนูอยากจะชวนทุกท่านช่วยกันพาคนที่เป็นผีดิบอยู่ข้างนอกเข้ามารักษากันเถอะค่ะ ถือว่าช่วยพี่น้องร่วมชาติในยามทุกข์ยาก” สายตาของเธอมุ่งมั่น ในท่าทางที่มั่นคงมาก
“จบรึยัง?” เสียงผู้ชายห้วนไม่พอใจสวนขึ้นมา
“ด้านนอกมีแต่ศพ บ้านเรือนรกร้างมากมาย พวกเราช่วยกันพัฒนาซ่อมแซมมันให้กลับมา...” เธอพูดยังไม่จบประโยค
“ไม่เอา!” เสียงตวาดเด็ดขาดวางอำนาจใหญ่โต
“สวยงามเหมือนเดิมได้...” เธอเสียงอ่อนลงยืนก้มหน้านิ่ง ผมสงสารเมล็ดพันธ์ชั้นดีของสังคมกำลังโดนศัตรูพืชกัดกิน
“พวกเราจะกลับบ้าน! ให้เรากลับบ้านได้หรือยัง?” เสียงไม่พอใจของชายหนุ่มตะโกนสวนมา
“ทุกท่านคะ! ไม่คิดจะไปมอบความดีใจอย่างที่เราได้รับให้กับคนอื่นบ้างเหรอคะ ยังมีอีกหลายชีวิตรอคอยอยู่นะคะ ถ้ายิ่งช้าหมายความว่าพวกเขาจะหิวและต้องตายลงทุกวันนะคะ” เธอยังใจสู้เงยหน้ามองกลุ่มคนด้วยสายตาอ้อนวอน
ชายวัยเลย 30ไปไกล ตะโกนสวนขึ้นมา...
“เออ! ถ้าผมออกไปได้ ผมจะแวะไปดูให้ ถ้าไม่ใช่ญาติ ผมไม่สนนะ!” ไม่มีแม้คำขอบคุณ ไม่มีแม้คำให้กำลังใจและไม่มีแม้การให้โอกาสผู้อื่น
ชายท้วมวัยกลางคนเดินเข้ามาสมทบแล้วชี้หน้าพูดเสียงดัง...
“เธอได้ผลประโยชน์ล่ะสิถึงมาทำแบบนี้ อย่าคิดว่าพวกเราโง่ผมคุยกับคนของเจ้าสัวแล้ว มันบอกว่าเจ้านายจ้างพวกพม่ามาฉีดวัคซีนให้เรา พวกเราคงไม่ต้องสำนึกบุญคุณลูกจ้าง พวกนั้นมั้ง?” ท่าทางหยิ่งยะโสเหยียดหยามคุ้นตาเริ่มปลุกม็อบสร้างความเห็นต่าง ผมสงสารน้องจับใจความตั้งใจดีโดนกัดกร่อนไปทีละนิด
“เห้อ!” พอดี ถอนหายใจเบา ๆ เอามือจับหน้าอก…
“ไม่เป็นไรค่ะ! ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร แต่หนู...” เธอยังพูดไม่จบ
“เฮ้ย! ถ้ามีผลประโยชน์ทับซ้อนก็พอเถอะ เธอคงได้กินหรูอยู่สบายคนเดียวน่ะสิ อย่ามาหลอกเลย ลูกน้องเจ้าสัวบอกเราหมดแล้วว่าพวกเธอได้ค่าหัวคิว”
“ฮือฮา!”เสียงกลุ่มคนความคิดแตกแยก พอดีหน้าเสียสับสนหมุนซ้ายขวาทำตัวไม่ถูกที่โดนตราหน้า ผมขยับจะเดินออกไปช่วยแต่คุณลุงคว้าแขนแล้วชี้มือ...
“หยุดก่อนทุกคน!” หล้าเดินถือโทรโข่งเข้าไป ฝูงชนหันหลังกลับมา
“คุยกันหน่อยนะครับ ผมอาจจะพูดสำเนียงแปร่งหู แต่รับรองว่าพูดรู้เรื่อง" หล้าปีนขึ้นไปยืนข้างพอดี /ผมชื่นชมลูกน้องของเจ้าซอนทุกคนพวกเขากล้าบ้าบิ่น แต่จิตใจงดงาม/
“ยืดอก! เชิดหน้าไว้ เราไม่ได้ทำผิด!” เขาดึงไหล่น้องเข้าหา
“ไอ้พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาแล้ว แม่ง! พูดไม่ชัดเหมือนกันหมด เดี๋ยวนี้มันพัฒนารับจ้างฉีดวัคซีนแล้วเร้อ! ฮ่าฮ่าฮ่า!” เสียงสบประมาทต้อนรับแทนคำขอบคุณ
หล้ายืนมองสำรวจไปที่กลุ่มคนช้า ๆ แล้วถอนหายใจยาว…
“พวกเราเคยได้รับโอกาสแบบนี้มาก่อนจึงสมัครใจมามอบโอกาสช่วยพวกท่าน ในที่นี้...เพื่อนของผมทุกคนมาด้วยหัวใจบริสุทธิ์ไม่มีใครได้รับค่าจ้าง พวกท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าเงินไม่มีความหมายกับโลกใบนี้อีกแล้ว” เขาโอบไหล่พอดี
“ผู้หญิงคนนี้! มีน้ำใจมาช่วยพวกท่านและไม่ได้รับค่าจ้างเช่นกัน พ่อแม่ของเธอก็หายไปญาติพี่น้องไม่มีอีกแล้ว แต่ด้วยหัวใจที่ใสสะอาดเธอยังสละตัวเองมาช่วยโดยไม่คิดหนีเอาตัวรอด อย่าตำหนิหรือคิดร้ายกับผู้หญิงคนนี้อีกเลย”
“ฉันกลับบ้านได้เลยใช่ไหม?” คุณป้าไม่สนโลกร้องถาม
“ทุกท่านครับ!โอกาสคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ เมื่อท่านได้รับโอกาสนั้นแล้วได้โปรดเอาไปมอบให้กับคนที่รอคอย คนที่ยังต้องการมีชีวิต คนที่ยังต้องการกลับมาหาครอบครัว เราต้องตามหาพวกเขา มาช่วยกันเถอะครับ”
“เราเข้าใจ! แต่ไม่ใช่หน้าที่ของพวกนายที่จะมาบงการพวกเรา”
“ใช่! แค่บอกมาว่า เราจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่ก็พอ”
“เขาจ้างมาแค่ไหนก็ทำแค่นั้นเถอะ เรื่องของบ้านเราพวกเราตัดสินใจเองเรามีผู้ใหญ่คอยนำทาง อยากจะให้ขอบคุณหรือไง ต้องให้กราบมั้ย?”
หล้าใบหน้าหมอง ยิ้มเก้อ...
“ในเมื่อไม่มีใครอาสาก็ไม่เป็นไร แต่ผมจะขอร้องว่า อย่าทำร้ายจิตใจน้องผู้หญิงคนนี้อีกเลย ถ้าทุกท่านไม่ถูกใจใด ๆ ก็ตามขอให้โทษมาที่พวกผม เชิญทุกท่านพักผ่อนได้แล้วครับ” เขากระโดดลงแล้วเดินมา พอดีดวงตาแดงวิ่งตามมาเกาะแขนของเขา...
“ขอบคุณมากนะคะพี่หล้า” พอได้เห็นดวงตาที่ผิดหวังอย่างแรงของเธอ ผมอยากจะร้องไห้นี่หรือคือรางวัลของผู้ใหญ่ที่มอบให้ สังคมแบบนี้ไม่น่าอยู่เลย
เจ้าหล้าก็อึดอัดใจ ได้แต่ส่ายหน้า...
“ผมเสียใจจังเลย ทำไมตีค่าคนต่ำขนาดนี้ ความเอื้อเฟื้อความผูกพันกับเพื่อนร่วมชาติไม่มีในใจเลยหรือไง? การหยิบยื่นความปรารถนาดีให้กับคนอื่น ให้ความเป็นมิตรมันยากมากเลยหรือ?”
“หนูก็เสียใจ สิ่งที่หนูกลัวค่อย ๆ เริ่มขึ้นแล้ว ผู้ใหญ่ของประเทศนี้เอาตัวรอดก่อนเสมอ คอยสอพลออำนาจและผลักเด็กให้ตกเหว” สายตาผิดหวังของพอดีหันมองกลับไปที่กลุ่มผู้คน
“เฮ้อ...!!” ทั้งคู่ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนคนจนปัญญาผมหลบข้างหลังคุณลุงให้ทั้งสองเดินผ่านไป สงสารที่น้องทั้งสองโดนดูถูกความตั้งใจจริง...
“เฮ้อ...!!” ผมมองตามหลังทั้งสองคนแล้วหลับตาถอนหายใจอีกคน
คุณลุงตบไหล่เบา ๆ...
“พ่อหนุ่มอย่าถอดใจจงมองไปที่เป้าหมายของตัวเอง สังคมมันร้าวจนยากจะเยียวยาความตายยังกระตุ้นจิตสำนึกไม่ได้เลย คนเหล่านี้เหมือนไก่ในกรงที่เขาจะเอาไปเชือดแต่ยังจิกกัดกันเองโดยไม่สนสี่สนแปด ใครจะสร้างความเป็นปึกแผ่นกับสังคมนี้ได้ มืดมนจริง ๆ” ท่านยังคงยิ้มใจดี
“คุณลุงดูจะไม่เดือดร้อนกับเหตุการณ์เหล่านี้เลยนะครับ?”
“ผมเฝ้ามองดูบ้านเมืองนี้มานานและรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นแน่ๆนี่คือความเลวร้ายของระบบทุนนิยมที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของคนในประเทศทุนนิยมสังคมจะเห็นแก่ตัวไร้น้ำใจและเนรคุณ ถ้าหากคุณลำบากและร้องขอความช่วยเหลือจะไม่มีคนช่วย มีแต่มาซ้ำเติมด้วยความปรารถนาดี แต่ถ้ามันเป็นกระแสคนจะหลั่งไหลมาช่วยเพราะรู้สึกว่าช่วยแล้วเขาได้บางอย่างกลับมา ในโลกของทุนนิยมทุกคนทำเพื่อหวังผลทั้งสิ้น”
“มีทางแก้ไขได้ไหมครับ?”
“อย่าโกรธพวกเขาเลยนะครับ! พวกเขาเป็นเหยื่อของระบอบทุนนิยมสามานต์โดนล้างสมองให้เทิดทูนสิ่งหรูหราฟุ่มเฟือยโก้เก๋ ฝังความคิดและพฤติกรรมไว้ที่เปลือกของวัฒนธรรมผ่านระบบการศึกษาและแก้ไขที่ปลายเหตุไม่ได้ ถ้าเปรียบคนรุ่นใหม่ของบ้านเราเสมือนดอกกุหลาบแสนสวยและออกดอกสวยงามได้ด้วยแสงอาทิตย์แห่งเสรีภาพ พวกเขาจะไม่มีวันออกดอกสวยงามให้เราได้ชื่นชมเลยถ้ายังคงอยู่ใต้หลังคา 2 ชั้นที่มืดมน ประเทศที่มีกฎหมายสองมาตรฐานมันก็เป็นเช่นนี้แหละท้องไส้แตกเพราะกินพวกเดียวกันเอง เราไม่สามารถซ่อมแซมความคิดเห็นแก่ตัวได้ในชั่วข้ามคืนหรอก แต่เริ่มต้นใหม่ได้กับคนรุ่นต่อไป...Under the same sun!” สุดท้ายคำตอบที่ได้จากท่านก็เหมือนกับความคิดของจูยอน /ผมยังจำคำเตือนของเธอได้ดีว่า...การสร้างใหม่ดีกว่าเสียเวลาไปซ่อม ผมเริ่มเข้าใจความแค้นและความสิ้นหวังเข้าไปทุกขณะ/แต่ยังไม่เข้าใจทุนนิยมสักที/
“ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ” ผมไถสเก็ตลงไปลานจอดเครื่องบินด้านล่าง เปลี่ยนไปขับมอเตอร์ไซด์ออกไปอีกมุมของลานกว้างมุ่งหน้าไปหาสหายนักบินเกาหลีที่หอคอยวิทยุการบินด้วยหัวใจเพียงครึ่งดวง
………………………………………………………..
ด้านบนของหอควบคุมเส้นทางการบิน จอเรดาร์เปิดใช้งานรอจับสัญญาณผู้บุกรุก นักบินหันมาเห็นผมก็ยืดอกทันที...
“ชุงซอง!” นักบินเกาหลีทั้ง 5 สวมเสื้อม่อฮ่อมเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่หน้าตามันฟ้องมาก
“เหตุการณ์ปรกติครับ” คิมซองบกยืดอก
“พวกสหายนอนที่นี่เหรอ?” ผมหมุนมองรอบอาคารกระจกกลม เห็นร่องรอยที่พวกเขาซุกหัวนอนใต้โต๊ะ
“เย่!”
“คิดถึงบ้านไหม?”
“ยังครับ! ยังตื่นเต้นกับที่นี่ ได้มาไกลบ้านครั้งแรกตื่นเต้นมาก พออยู่ใกล้น้องแป้งแล้วหัวใจผมเต้นรัวขึ้นไปอีก อยากพากลับไปด้วยจังเลย” เจ้าเสือน้อยแบ็คตูยิ้มกริ่ม
“เดี๋ยวนี้พวกสหายเก่งมากแล้วรู้มั้ย กล้าคุยกับคนแปลกหน้าด้วย” คนเกาหลีเหนือโดนกดขี่หนักถึงขนาดห้ามพูดกับคนต่างชาติ เพียงเพื่อปกปิดความลับของผู้นำ
“ผมรู้ทุกอย่างแล้วว่า สหายจูยอนของเราไม่เคยโกหกแม้แต่คำเดียว ยิ่งได้ออกมาเห็นกับตาของตัวเองก็ไม่มีอะไรเคลือบแครงสงสัยในตัวเธอเลย แต่เสียดายมากที่เธอไม่ยอมเป็นผู้นำ” เขายิ่งพูดผมยิ่งภูมิใจ
“ให้ผู้ชายเป็นเถอะ เกาหลีเป็นถิ่นของผู้ชายเป็นใหญ่” ผมจำได้ว่าจูยอนเคยให้เหตุผลไว้แบบนี้
“ก็จริง! แต่ใครล่ะจะทำเพื่อมวลชน คงหาผู้ชายแบบนี้ไม่ได้หรอกเพราะถ้ามีจริงมันต้องทำเพื่อชาวบ้านตั้งนานแล้ว อย่าไปพูดถึงพวกมันอีกเลย ผมสาปส่งไปแล้ว”
“ทำไมถึงยอมรับสหายจูยอน ทำไมพวกสหายไม่ต่อต้าน” ผมคาใจมานานแสนนาน พวกเขาหันมองหน้ากันก่อนที่คิมซองบกจะเป็นคนตอบ...
“นักบินส่วนใหญ่เป็นเพื่อนของผม เราเสียเพื่อนรักไปเพราะกฏหมายบ้า ๆ ผมแค้นใจครับ” เขาสีหน้าเศร้าลงทันทีจะต้องเคยเกิดเรื่องร้ายแรงกับพวกเขาแน่ ๆ
นาจองรียื่นหน้าเข้ามา...
“ผมกับซองบกมาจากหมู่บ้านทางตอนเหนือเชิงเขาแบ็คตู บ้านของเราเป็นจุดพักนักเดินทางทำให้ผมและซองบกคุ้นเคยกับคนต่างชาติต่างภาษาและเราสองคนเป็นเด็กที่เรียนเก่งจึงได้ถูกคัดมาเรียนต่อที่ศูนย์การศึกษาฮัมฮึงทางชายทะเลตะวันออก”
“โอ้โห! สหายถูกส่งจากเหนือลงใต้เลยเหรอ?” ผมพลอยตื่นเต้นไปกับเขา
“นั่นไม่ใช่ปัญหาครับ เกาหลีเหนือคือบ้านของเราอยู่มี่ไหนมันก็เหมือนกันเพราะอยู่ใต้ร่มบารมีของท่านผู้นำ” นาจองรีพูดดวงตาใส
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”
“ตอนนั้นผมเรียนวิศวกรรมพลศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮันกยองปี 3 ผมกับจองรีถูกคัดให้มาเป็นนักบินรบฝึกหัด เพื่อนคนอื่นยังเรียนในมหาวิทยาลัยปรกติเราก็ติดต่อกันในวันหยุด จนกระทั่งวันหนึ่ง...” นาจองรีถอนหายใจยาวหันมองหน้าซองบก
“พวกเราพึ่งเลยวัยรุ่นมาไม่ไกล ยังอยู่ในวัยสนุกสิ่งที่พวกเราสนใจก็เป็นเรื่องเดียวกันคือ K-pop เราไม่ได้ชื่นชอบวัฒนธรรมของฝั่งใต้ แต่เราชอบการแสดงของเขา เพื่อนของเราจึงตั้งชมรมขึ้นมาอย่างลับ ๆ”
“โดนจับได้น่ะสิ!” ผมอมยิ้ม
“เจ้าหน้าที่เอาเพื่อนของผมไปประจานออกสื่อกล่าวหาในโทษรุนแรงและส่งไปทำเหมือง 12 ปี พวกเราแค้นใจกันมากแต่ก็ไม่มีใครกล้าสู้กับกฎหมายความมั่นคง จนวันที่ทุกอย่างมันพังลงไป...วันนั้นผมเห็นสหายจูยอนมากับนินจาเซมแค่ 2 คน จัดการกับกองทัพที่เกรียงไกรอยู่หมัดในเวลาแค่พริบตา”
“สหายไม่โกรธเหรอ?”
“ทุกอารมณ์เลยครับ ทั้งโกรธ งง สับสน แต่ก็กลัวสหายจูยอนมากกว่าเลยแอบซ่อนกันซะส่วนใหญ่ ได้แต่แอบฟังเรื่องราวของเธอผ่านจอภาพทุกวันและคำพูดของเธอหลายอย่างที่ทำให้พวกเราตาสว่าง ไม่มีรัฐใดทำร้ายประชาชนของตนเอง ไม่มีรัฐใดที่มีเจ้าของผูกขาด รัฐที่ทำร้ายจับกุมคุมขังนักศึกษาและมีเด็กเสียชีวิตจากการจำคุก มันไม่ใช่รัฐมันคือแก๊งตบทรัพย์ที่ถูกกฎหมายต้องกำจัดมันออกไป”
“แล้วพวกสหายมาเป็นนักบินได้ยังไง?”
“สหายผู้พันโกมีทักไปเจอที่ซ่อนของพวกเราในมหาวิทยาลัยครับ เขาได้เล่าเรื่องของตัวเองให้พวกเราฟังและไม่ได้บังคับให้เชื่อ ไม่จับกุมรุมทำร้ายและปล่อยพวกเราไว้ในที่ซ่อน เขาบอกให้พวกเราประชุมกันเองและถ้าพร้อมจะกำหนดเส้นทางชีวิตของตัวเองเมื่อไหร่ให้ออกมา ทหารรุ่นแรกส่วนใหญ่เป็นเพื่อนนักศึกษาของพวกเราเกือบทั้งหมดครับ ผมยังเคยเห็นสหายผู้บัญชาการไปวิ่งกับพวกผมเลยครับ”
“คนอื่นก็เหมือน ๆ กันเหรอ?” ผมหันไปหาสหายนักบิน
พวกเขายิ้มแล้วพยักหน้ารับ....
“คำพูดของสหายจูยอนกระชากให้พวกเรากล้าออกจากที่ซ่อน และเชื่อว่าเธอจะนำสิ่งดี ๆ มาให้จากเรื่องเล่าของเธอ จนวันที่เซมเดินทางมาถึงและเริ่มฝึกทหาร พวกเราเริ่มมีความหวังตั้งแต่วันนั้นมาและทุกอย่างก็ดีขึ้นครับ”
นาจองรียื่นหน้ายิ้มหวาน...
“เซม! ถ้ากลับไปบ้าน รบกวนบอกให้เธอกลับมาทำงานด้วยกันเถอะครับ พวกผมกล้ามากขึ้นเพราะเธอ ฟังเธอพูดแล้วมีความหวังเห็นทางสว่าง ชาวบ้านก็มีความสุขดีนะครับ”
“อยากให้เธอกลับมาเหรอ?” ผมแอบดีใจที่ทหารพวกนี้รักจูยอน
“เซมรู้มั้ยครับ? วันที่เธออำลาพวกผมร้องไห้หนักมาก ผมและทุกคนคิดเหมือนกันมาทำงานเพราะอยากช่วยเธอ แต่เหมือนโดนหักหลัง”
“หือ! สหายคิดกันขนาดนั้นเลยเหรอ?” ผมใจหายวาบ
“ผมคิด...แต่ไม่กล้าคิดกันเสียงดังหรอกได้แต่แอบเสียใจ การเป็นผู้นำไม่ได้โลภสักหน่อย พวกเราต้องการให้เธออยู่ตรงนั้นนาน ๆ ” นาจองรีหน้าจ๋อย
“ผมรับปากว่าจะพูดกับเธอให้นะ แต่ผมไม่สัญญาว่าจะสำเร็จนะ”
“ผมมีวิธีทำให้เธอกลับมาทำงานแล้วครับ” เจ้าซองบกยิ้มอย่างมีปริศนา
“สหาย! พูดถึงบ้านของตัวเองให้ฟังหน่อยสิ”
“พวกเราเป็นสังคมครอบครัวใหญ่มีอะไรก็แบ่งกันช่วยกันอยู่กันอย่างอบอุ่นและสามัคคี เสียอย่างเดียวคือไม่ค่อยมีอาหารกินเพราะรัฐเอาผลผลิตไปเป็นกองกลางและไม่แบ่งกลับมา แต่หลังจากที่สหายจูยอนขึ้นเป็นผู้นำพวกเราไม่เคยขาดอาหารอีกเลยและเรายังได้อยู่ในสังคมที่อบอุ่นเหมือนเดิม” เขายิ้มภูมิใจซึ่งผมก็เห็นภาพความสามัคคีของชนชาติ
“คนมีความรู้อย่างสหายน่าจะได้รับเงินเดือนสูง ไม่รู้สึกเสียเปรียบหรือเสียโอกาสเหรอที่ได้เงินเดือนนิดเดียวต้องแบ่งให้คนอื่นหมด” ผมอยากรู้ทัศนคติของพวกเขา
“ผมยินดีมากครับ ผมมีโอกาสได้เรียนสูงกว่าต้องหาสิ่งดี ๆ ได้มากกว่าแล้วนำไปให้พี่น้องห่างไกลได้ใช้ชีวิตสะดวกขึ้น สหายคุณลุงคิมจุนซองได้ทำให้ทุกคนเห็นแล้วว่าความเท่าเทียมมีจริง ทุกคนอิ่มท้องมีเสื้อผ้ากันหนาวมีบ้านอบอุ่นให้นอนที่เกาหลีเรื่องกินมาก่อนครับ” นี่สิคือสิ่งที่สังคมต้องการ หยิบยื่นให้กับผู้ที่เอื้อมไม่ถึง
“ถ้าไม่มีเงิน สหายก็มีความสุขเหรอ?”
“แค่ผมเดินเข้าหมู่บ้านแล้วพวกเด็ก ๆ วิ่งเข้ามากอดขา ผมก็สุขใจแล้วครับ เดินเข้าบ้านไหนก็มีข้าวให้กิน ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งมีแต่ความสุขพวกเราหาอาหารได้อิสระมากขึ้นได้กินมากขึ้น เซมลองถามสหายผู้บัญชาการสิครับ เธอแอบไปเมาเหล้าต้มกับชาวบ้านบ่อย ๆ ตัวตึงเลยล่ะ”
“อืม!” ผมมองเห็นบางอย่าง ไอ้ประเทศที่กฎหมายโหดชาวบ้านรักกันดี แต่ประเทศที่ปล่อยเละเทะชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นแก่ตัว
“แต่ก็คล้ายกับบ้านของน้องแป้งนะครับ ชุมชนช่วยกันสนุกดี” เจ้าซองบกตาเชื่อม
“สหายชอบน้องแป้งเหรอ?” คุยเรื่องที่มันไม่เครียดดีกว่า
“ชอบ! ชอบมากถึงมากที่สุด ยิ้มสวยจะตายคนอะไรก็ไม่รู้” เรื่องนี้ไม่เครียดจริง ๆ หนุ่มเกาหลีขยับเข้ามาล้อมวงเลย
“บอกชอบเธอไปหรือยัง?” ไอ้พวกนี้ยังไม่ได้ทฤษฎี 4 แทงของผมไป สักวันจะหาเวลาสอนสักหน่อย
“ผมเสือปืนไวอยู่แล้วครับ บอกซารางเฮโยไปแล้ว” นักบินหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” จู่ ๆ เพื่อน ๆ ก็หัวเราะอย่างน่าสงสัย
“แป้งว่ายังไง?” ผมถามต่อ
“เธอยิ้มให้ด้วย เท่ากับรับรักแล้ว” อย่างนี้มันโมเมเอานี่หว่า
“เซมครับ! ไอ้นี่มันโม้” นาจองรีเอาปากกาขว้างหัวเพื่อนแล้วหัวเราะลั่น ผมยิ่งไม่เข้าใจ...
“ยังไงวะ?”
“เธอฟังไม่ออกก็ยิ้ม ใครพูดกับพวกเรายิ้มกันทุกคนแหละ พูดกันไม่เคยรู้เรื่อง อุ่บ!” เขายังพูดไม่จบเจ้าเสือน้อยพุ่งมาปิดปากเพื่อน
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!”
“ทำไมไม่พูดภาษาอังกฤษล่ะ น้องแป้งพูดได้สบายเมื่อก่อนแฟนของนินจาเซมเป็นครูสอนให้พวกเขา” เฮ้อ! พูดแล้วก็คิดถึงไป่ไป๋
“แหะ!แหะ! พวกผมพูดไม่ได้ แต่อ่านออกครับ”
“เวร!เหมือนกันหลายอย่างแล้วนะ”ผมคิดถึงตัวเองสมัยเป็นเด็กนักเรียน ครูสอนภาษาอังกฤษแต่พูดไม่ได้ เลยสอนพวกแกรมม่าไวยากรณ์มั่วไปหมด เด็กสอบผ่านแต่พูดภาษาไม่ได้สักคน
“เซม! ช่วยผมหน่อยสิ!” เจ้าเสือน้อยแบ็คตูอ้อนประจบ
“ไม่เอา!” ผมรู้ว่าเขาจะขออะไร
“น่า! ครั้งเดียวนะ เซม!”
“ไม่ได้หรอกสหายอยู่ไกล ตอนคิดถึงกันเหนื่อยฉิบหายเลย เชื่อผมเถอะแค่ปลื้มกันก็พอ อย่าทรมานใจด้วยกันทั้งสองคนเพราะความรักทางไกลเลย”
“ถ้าเซมช่วย! ผมจะตั้งชื่อลูกคนแรกว่า เจ็ทโด้ เพื่อเป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูล” เจ้าซองบกติดสินบน
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เพื่อน ๆ หัวเราะครืน
“สหายได้เจอกับแม่ใหญ่หรือยัง?”
“ใครครับแม่ใหญ่?”
“ผู้หญิงที่โดนจับพร้อมกับผู้ชายที่เราช่วยไว้ที่ชินอุยจูน่ะ”
“อ๋า! ผมยังไม่เจอแต่เคยได้ยินเพื่อน ๆ คุยกัน”
“แม่ใหญ่เป็นที่รักของทุกคน ไม่ต่างจากสหายจูยอนของเราหรอก สหายกลับไปแล้วบอกให้เธอสั่งสิ น้องแป้งได้ไปเกาหลีเหนือแน่นอน”
“จริงเหรอครับ?” ทั้งกลุ่มเด้งทันที ทุกคนดวงตาวาววับมีความหวัง
“ให้อาซาไปด้วยได้มั้ยครับ?” แสดงว่าหนุ่ม ๆ ติดใจสาวดอยของเราซะแล้ว หนุ่ม ๆ พวกนี้วางใจได้ ความซื่อและวิถีชีวิตเรียบง่ายของพวกเขาจะเป็นตัวการันตีว่า เขาไม่ทิ้งครอบครัวแน่นอน
“ผมช่วยสหายได้แค่นี้นะและห้ามบอกใครด้วยว่า ผมเป็นคนบอก”
“เย่!” เสียงดังฟังชัดเชียวนะมึง
นาจองรีชี้ไปที่ลานจอดเครื่องบินรบในกองทัพอากาศ...
“เซม! ที่นี่แต่เครื่องบินรบเก่า ๆ บินได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
“แต่ผมเห็นมี F-16 อยู่หลายลำนะ” ผมมองตามมือของเขาไปที่กลุ่มเครื่องบินรบ
“F-16 จะไปสู้อะไรกับ J -10 ความเร็วมันผิดกันครับ”
“เราไม่ได้มาทำสงครามจะสนทำไม สหายจะทำอะไรก็รีบทำนะ อีกไม่กี่วันก็กลับเกาหลีแล้ว คืนนี้ผมจะมานอนด้วย” ผมแค่มาฉีดวัคซีนไม่ได้วางแผนมารบ ทำงานกับชาวบ้านชนเผ่าสนุกมาก ไม่แปลกใจเลยทำไมกลุ่มของเจ้าซอนมันถึงรักใคร่กันขนาดนี้
“เซม!เราลงไปกินเหล้ากันก่อนนอนดีกว่าเนอะ อยากเห็นหน้าน้องแป้งด้วย” สหายเกาหลีของผมทุกคน ถ้าว่างเป็นอันว่าต้องชวนกินเหล้าทุกทีมันเป็นวัฒนธรรมของชาติล่ะมั้ง?
“เอาสิสหาย! ไหน ๆ ก็ได้ออกมาเที่ยวแล้ว เอาให้สุด!”
“ไปเลยมั้ยล่ะ เอาเลยมั้ย?” เจ้าเสือน้อยแบ็คตูยิ้มร่า
“ผมไปก่อนล่ะ อยากเห็นหน้าน้องอาซา” นาจองรีวิ่งลงบันไดคนแรก
ทางเดินในเมืองถ้าพื้นเรียบถือว่าเป็นเรื่องปรกติ แต่ทางเดินในป่า ถ้าพื้นเรียบถือว่าเป็นกับดัก ทางเดินของพวกเราจะเป็นเช่นไรยากจะคาดเดา ความฉ้อฉลในใจคนอื่นเราจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อ...มันลงมือ
........................................................หน้าที่เข้าชม | 12,861 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,977 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 7 ก.ย. 2568 |