The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 9 ตอนที่ 2

The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 9 ตอนที่ 2
หมวดหมู่ The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 9
ราคา 0.00 บาท
สถานะสินค้า Pre-Order
อัพเดทล่าสุด 27 ก.ย. 2567
ขออภัย สินค้าหมด
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay


ซารีวอน

มุมมองสายตา ซอน

มิถุนายน ค.ศ.2026

ผมยืนบนชะง่อนผามองลงไปที่ถนนคดเคี้ยวขึ้นภูเขา ยิ่งนานวันกลุ่มเดอะแก๊งยิ่งขยายใหญ่โตสมาชิกวัยรุ่นชักชวนกันมาสร้างกองกำลังใหญ่ทัดเทียมกับกองทหาร

“แว๊น!แว๊น! วัยรุ่นชุดเหลืองจับคู่ซ้อนมอเตอร์ไซด์ร่อนเข้าโค้งเลาะหน้าผาเป็นแถวยาวขึ้นมาบนลานหินในเขตภูเขาสูง ท้องฟ้าสุกใสปลอดโปร่ง หิมะละลายพรรณไม้ผลิใบอ่อนสวยแปลกตาแตกต่างจากลาเสี้ยว รัฐฉาน บ้านของผมอย่างสิ้นเชิง

“อุงอิล! ผมยืนรอทีมอยู่กับจองอุงอิลหัวหน้าหน่วยบนลานหิมะละลายปากถ้ำคิรินคุล โถงถ้ำโบราณเถาวัลย์รกขนาดมหึมาซ่อนตัวอยู่กลางภูเขาสูงสลับซับซ้อน

“เย่เซม! จองอุงอิล หนุ่มน้อยใบหน้าสะอาดสะอ้านมารยาทดีมีจิตใจมุ่งมั่นและมีความโอบอ้อมอารีแตกต่างจากเพื่อนคนอื่น

“โดรนของเรามีพอใช้กันครบทุกคนมั้ย อุปกรณ์ขาดอะไรบ้าง?”

“ทั้งมอเตอร์ไซด์และโดรนไม่พอแล้วครับ คนสมัครเข้ามาเยอะเหลือเกิน ผมต้องสลับให้เขาฝึกโดรนคนละวันกับขับมอเตอร์ไซด์ประสานงานกับสหายซนอยู่ครับ”

“อืม! สหายจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?” สงสัยผมต้องหาโดรนเพิ่ม

“ผมอยากได้ครูคอยมาสอนโปรแกรมคำสั่ง จะได้แยกย้ายกันออกไป มีกิจกรรมมากขึ้นก็จะไม่เบื่อและไม่ต้องเสียเวลาคอยกันครับ”

“อืม! ดี สหายจัดการได้เลย ขออาสาจากเพื่อนเราขึ้นมาเป็นครู โปรแกรมเสียงสอนไม่ยากหรอก”

“คนที่จบพื้นฐานอาสาสมัครไปทำงานกับหน่วยงานที่ชอบหลายคนแล้วครับ” เขาตอบได้ฉะฉานเหมือนผ่านการคิดไว้ก่อน

“ดีมาก! สหายชวนผมมาที่นี่ทำไม ถ้าไม่ดีจริงผมโกรธนะเสียเวลาทำงาน” เขาคะยั้นคะยอให้พามา แถมยังไม่ยอมบอกเหตุผล

“ผมจะพาเซมมาดูที่หลบภัยครับ ถ้าเราเตรียมการดี ๆ ในนี้สามารถหลบได้เป็นหมื่นคนเลยครับ พักได้นานเท่าที่ต้องการเลย” จากผลพวงของการโดนลอบโจมตี เด็ก ๆ กลุ่มนี้กระตือรือร้นเตรียมพร้อมเท่าที่พวกเขาจะทำได้

“สหายรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”

“ทุกวันหยุด ผมจะติดตามสหายคุณลุงไปดูท่านทำงานด้วย ท่านมักจะสอนคนข้างๆให้มองรอบด้านและเตรียมการก่อนเกิดเหตุ พอดีเมื่อวานได้ข่าวว่าจีนบุกที่บันมุมนกัก เลยคิดว่าเราต้องเตรียมที่ปลอดภัยไว้ให้ เด็ก ผู้หญิงและคนแก่ครับ” ด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและการตัดสินใจก่อนกาลเวลาของเขา ผมรู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นผู้นำได้

“บนนี้สูงและไกลจากพยองยางพอสมควรนะ สหายจะอพยพคนขึ้นมาได้อย่างไร?” ผมจะใช้การตั้งคำถามในการสอนลูกศิษย์ คำตอบนั้นจะบอกทัศนคติและเหตุผลในใจว่า เขาคิดเองหรือไปจำใครมา

“วันข้างหน้า...ถ้าเดอะแก๊งขับรถยนต์เป็น เราจะให้เขาเป็นคนช่วยรับภารกิจภายในครับ สหายทหารจะได้ไม่ต้องกัลวลด้านหลังครับ”การมองการณ์ไกลโดยที่ผมไม่เคยสอน ยิ่งตอกย้ำว่าเจ้านี่ฉลาด

“บริเวณนี้ไม่มีคนอยู่เหรอ ดูมันเงียบเหงาจนน่าขนลุก ดูต้นไม้นั่นสิ! อย่างกับผ้าถูกบิด” ผมหมุนมองกิ่งไม้หงิกงอไร้ใบเหมือนกรงเล็บในม่านหมอกขมุกขมัว

“สมัยก่อนดินแดนแถบนี้จะถูกประกาศให้เป็นเขตหวงห้าม ท่านผู้นำไม่ให้คนเข้ามาใกล้ครับ มีเรื่องที่ถูกปกปิดไว้และมีข่าวลือแปลก ๆ เกี่ยวกับที่นี่ ผมอยากมาพิสูจน์แต่ใจยังไม่กล้าพอเลยพาเซมมาด้วยครับ  แหะ!แหะ!” ไอ้นี่ใช้ได้ทีเดียวที่รู้จักประเมินความสามารถของตนเอง

“ผู้นำปกปิดเรื่องอะไรไว้?”

แม้จูยอนจะเปิดผ้าคลุมความกลัวออกจากเกาหลีเหนือไปแล้ว แต่ดินแดนแห่งภูเขาสูงและหิมะปกคลุมแห่งนี้ยังสลับซับซ้อนซ่อนความลึกลับไว้ใต้อากาศที่หนาวเย็นอีกมากมาย

“ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินเพื่อนของฮัลมอนี่เล่าว่า ถ้าทะลุถ้ำคิรินออกไปด้านหลังจะมีถนนวนภูเขาลงไปด้านล่างครับเป็นเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมานะครับ”

“งั้น! สหายคิดเกมขึ้นมานะ เดี๋ยวให้พวกเขาแข่งกันลงไปที่นั่น ผมก็อยากเห็นเหมือนกัน” เรื่องตื่นเต้นอย่างนี้ผมคงไม่พลาดแน่

“เซมครับ! ตอนนี้ปัญหาการใช้โดรนกับมอเตอร์ไซด์ยังไม่สัมพันธ์กัน คนขับมันตะบี้ตะบันขับจนสัญญาณโดรนขาดครับ”

“อ๋อ!เข้าใจแล้ว งั้นเอาไอ้นี่แหละมาตั้งเป็นกติกา ใครลงไปถึงด้านล่างพร้อมโดรนก่อนเป็นผู้ชนะ สหายคิดว่าไง?” เข้าใจได้ไม่ยากกับวัยคะนอง หยิบจับอะไรมาเล่นเป็นต้องพังทุกอย่าง

“ตามใจเซมเลยครับ! ไอ้พวกนี้เอาอะไรมาล่อก็เล่น”

“สหายเคยไปเกาหลีใต้มั้ย?”

“เซมถามอะไร ใครจะออกไปได้ง่าย ๆ ไม่เคยหรอกครับ”

“ขอโทษทีลืมไป สหายคิดยังไงกับฝั่งใต้”

“น่าสงสารครับ พวกเขาลำบากและต้องทำงานหนักเป็นสุนัขรับใช้ให้กับทุนนิยม สังคมแตกแยกผู้หญิงทิ้งลูกในถังขยะ ลูกชายทิ้งพ่อแม่ให้อดอยากแล้วก็อยู่กันอย่างแออัดยัดเยียด อยู่แต่ในสลัมวัฒนธรรมของอเมริกา”

“สหายเข้าใจคำว่าทุนนิยมมากน้อยแค่ไหน?” ผมยังคงใช้วิธีการถามและตอบในการสอน

“ไม่เข้าใจครับ ผมฟังวิทยุเขาพูดแบบนี้บ่อย ๆ ประมาณว่าบูชาเงินและวัตถุนิยมมากว่าความสัมพันธ์ เป็นบ่อเกิดของการคอรัปชั่นในระบบราชการและแบ่งความสัมพันธ์ของพี่น้องเพื่อนฝูงตามขนาดของรายได้ใช่มั้ยครับ?” สิ่งที่เขาตอบมาก็ไม่ผิดไปจากความจริงนัก

แต่โลกของทุนนิยมเลวร้ายกว่านี้มาก ผู้คนรายได้น้อยต้องดิ้นรนหาเงินตั้งแต่ลืมตาจนกระทั่งหมดลมหายใจจากไปพร้อมกับความเดียวดาย

“อีกไม่นานพวกสหายก็จะได้รู้จักกับทุนนิยม ความโลภและเห็นแก่ตัวไม่เคยนำความสงบสุขมาให้ครอบครัว ที่นั่นมีแต่เสียงโหวกเหวกโวยวายดิ้นรนหาเงินกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางยันเที่ยงคืน เพียงเพื่อจะได้เงินน้อยนิดมาซื้อเสื้อผ้ารองเท้าแบรนด์เนมมาใส่อวดกัน คนแย่งกันกินแย่งกันอยู่และคบกันเพื่อผลประโยชน์ ไม่มีความจริงใจ”

“แบรนด์เนมคืออะไรครับ?” เขาถามดวงตาใส

“เอ่อ!..ของฟุ่มเฟือยน่ะ คนที่ฝั่งใต้วัดกันที่วัตถุมากกว่าคุณงามความดี พวกเขาทะเยอทะยานฟาดฟันทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้นและปลอบใจตัวเองว่าเป็นคนขยันทำงานหนัก เงินหมดไปกับความโก้เก๋และใช้ชีวิตอยู่กับความกลวง ที่นั่น...คนไม่มีเงินก็เท่ากับไม่มีค่า หมาบางตัวยังมีชีวิตที่ดีกว่าครอบครัวคนจนที่โดนสังคมทอดทิ้ง”

“ทำไมเขาไม่เอามาเป็นกองกลางแล้วแบ่งกันล่ะครับ แล้วคนที่หาเงินไม่เก่ง พิการหรือคนแก่จะอยู่อย่างไงครับ” แนวคิดของเด็กที่เกิดในสังคมนิยมจะวนเวียนอยู่กับครอบครัวและเพื่อนบ้าน ซึ่งจะแตกต่างจากพวกทุนนิยมที่มักจะสอนลูกหลานว่า เงินคือพระเจ้าใครมือยาวสาวได้สาวเอา คนที่อ่อนแอก็แพ้ไป

“คนอ่อนแอครอบครัวจะทอดทิ้ง ไร้เพื่อน ไร้ที่พักพิง เมื่อหนาวและหิวก็ไม่มีคนเหลียวแล สุดท้ายพวกเขาก็หมดหนทางต้องกลายเป็นโจรฉกชิงวิ่งราว เพราะสังคมผลักเขาออกไป เมื่อท้องหิวมันทรมาน”

“อ๋า! เข้าใจแล้ว สหายจูยอนเคยสอนเรื่องของการให้และช่วยเหลือผู้อื่นครับ” เจ้านี่หัวไวดีฉลาดลุ่มลึกเหมาะกับเป็นผู้วางแผน ส่วนเจ้าซนบ๊กซูเหมาะกับผู้นำทหารปะฉะดะ

“สหายบ้านอยู่ที่ไหน?”

“ผมมาจากชินอุยจูครับ”

“เฮ้ย! สหายมาไกลมากเลยนะ” ผมตกใจจริงๆ เพราะชินอุยจูเป็นชายแดนจีน ไกลจากเมืองหลวงมาก

“ครับ! ผมตามรุ่นพี่มาเขามาสมัครเป็นทหาร พอดีเซมต้องการคนที่พูดภาษาจีนได้ผมก็เลยมาสมัครกับเซมครับ”

“อย่างนี้นี่เอง แล้วสหายได้กลับบ้านบ้างมั้ยเนี่ย สหายอยู่กับใคร?”

“ผมอยู่กับฮัลมอนี่ครับ ทุกสิ้นเดือนผมขับมอเตอร์ไซด์กลับไป เอาอาหารแห้งและเสื้อผ้าใหม่ไปให้ท่าน”

“โอ้โห 3-400 กิโลเมตรเลยนะ พาฮัลมอนี่มาอยู่ที่นี่ดีมั้ยจะได้ดูแลง่ายขึ้น”

“ผมต้องกลับไปถามท่านก่อน แต่คิดว่าคงไม่มาหรอกท่านผูกพันกับที่นั่น ทุกเช้าจะต้องเอาอาหารไปหว่านลงแม่น้ำให้กับวิญญาณของฮาราบอจี้กินทุกวัน ท่านจมน้ำตายที่แม่น้ำครับ”

“อืม!” ความผูกพันของคนแก่แกะยากมาก

“แว๊น!แว๊น! กลุ่มเดอะแก๊งทยอยไต่เขาขึ้นมาเต็มลานหน้าถ้ำโบราณ

“เดอะแก๊ง!อุงอิลเรียกรวมตัว ผมนั่งมองอุงอิลยืนบอกกติกาการแข่งขันกับทีม การมีระเบียบวินัยพร้อมเพรียงเป็นคุณสมบัติพิเศษสำหรับคนที่นี่ ทุกคนนั่งตาใสฟังคำอธิบายอย่างตั้งใจ...

“เนกาเจอิลจัลนากา! กุหลาบดินไม่มีวันตาย! อุงอิลกระตุ้นเสียงดัง

“เนกาเจอิลจัลนากา! กุหลาบดินไม่มีวันตาย!! เดอะแก๊งร้องรับ

“ไป!

“แว๊น!แว๊น!แว๊น!ฝูงผึ้งแตกรังกรูเข้าถ้ำ

ตั้งแต่จูยอนขึ้นเป็นผู้นำเต็มรูปแบบ ความอดอยากของชาวบ้านก็ค่อย ๆ หมดไป เธอสั่งยกเลิกข้อยกเว้นข้อห้ามที่มัดตรึงแขนขาชาวเกาหลีมาตลอด พอได้โบยบินพวกเขาก็ได้เห็นในสิ่งเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เด็ก ๆ ตามกันมาสมัครเป็นเดอะแก๊งมืดฟ้ามัวดิน ในขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่ก็เข้าไปสมัครงานเข้าช่วยงานกับสหายคุณลุงหรือไม่ก็ไปเป็นทหารกับสหายโกมีทัก

“เซม! ขึ้นมาครับ ผมขับเอง” จองอุงอิลตบเบาะให้ซ้อนท้าย

“ฮึ่ม! ฮึ่ม!เสียงฝูงมอเตอร์ไซด์สะท้องก้องโถงถ้ำมืดคดเคี้ยว ดวงไฟวับแวบจากไฟหน้าจับไปที่หินเกล็ดแก้วย้อยระย้าลงมาดั่งโคมไฟหรู

“พวกเขามาทำทางไว้แล้วนี่นา” ผมชวนคุยในขณะที่อุงอิลกำลังบังคับรถมอเตอร์ไซด์ไปตามถนนชั่วคราวของทหาร

สายลมเย็นละอองน้ำปะทะใบหน้า ผนังถ้ำเต็มไปด้วยมอสเขียวคล้ำ ลำธารน้ำใสไหลรินบนก้อนหินกรวด ถนนลื่นจนรถมอเตอร์ไซด์ท้ายสะบัด

“โอ้โห! อุงอิลแหกปากลั่นเมื่อมาถึงโถงถ้ำใหญ่ เนินลานกว้างขนาด 4 สนามฟุตบอลเขียวขจี แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาเลี้ยงต้นไม้ใบหญ้าอุดมสมบูรณ์จากปล่องภูเขาด้านบน ที่นี่เหมาะสำหรับเป็นที่หลบภัยมาก

ภูเขาที่เกาหลีเหนือใช้วิธีเจาะอุโมงค์เพื่อทำถนน ในขณะเดียวกันมันก็เป็นบังเกอร์ชั้นดี

“ไอ๊กู่! ล้มอีกแล้ว” อุงอิลชี้ไปที่เพื่อนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า พวกเขาล้มกันทั้งทาง

“แว๊น!แว๊น! เขาขับไต่ก้อนกรวดเข้าไปหา เจ้าลิงน้อยของผมล้มกลิ้งไถลลงไปในลำธารน้ำตื้น มอเตอร์ไซด์นอนแอ้งแม้ง

“แควนจาน่า สหายเจ็บมากมั้ย?” ผมเข้าไปดึงมือขึ้นจากน้ำ อุงอิลเดินไปช่วยเพื่อนยกรถมอเตอร์ไซด์

“คัมซามนิดะอุงอิลพันจังนีม!” เจ้าสองคนลุกขึ้นหน้าหงิกแล้วเริ่มโทษกันเอง...

“ขับยังไงวะแพ้อีกแล้ว?” เพื่อนเลือดไหลที่แขนตัดพ้อ นั่งมองกลุ่มมอเตอร์ไซด์ไต่ผนังลับหายออกไปทางแสงสว่าง

“สหายนั่งไม่ดีเองนะ”เจ้าไรเดอร์ไม่บาดเจ็บพยุงมอเตอร์ไซด์หันมาโวย

“เราต้องบังคับโดรน สหายเป็นคนขับก็ต้องระวังด้วยสิ”

“สหายนั่นแหละนั่งไม่ดี”

“แข่งทีไรแพ้ทุกที แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่เซมจะจำชื่อเราได้สักทีล่ะ” เขาซัดกันเอง /แต่ผมรู้สึกไม่ถูกใจ/

อุงอิลผู้อ่อนโยนลูบแขนปลอบใจเพื่อน...

“สหายยังไม่เห็นเส้นชัย ทำไมถึงตัดสินกันเองว่าแพ้ล่ะ ลุกขึ้นมาสู้ต่อ!

“ล้มบ่อยอย่างนี้จะเอาอะไรไปชนะคนอื่นได้ล่ะครับ สหายหัวหน้า!

“สหายมองเพื่อน ๆ สิ! ไม่มีคันไหนไม่ล้มถนนอย่างนี้มันลื่น ถ้าสหายยังโทษกันเองและหาคนผิดสหายก็ไม่มีวันชนะ สหายต้องอยู่ด้วยกันไปตลอด ปรับตัวให้เข้ากันให้ได้สิ รีบลุกแล้วไปต่อ!” อุงอิลสมกับเป็นหัวหน้าที่มีทั้งดุและให้กำลังใจไปพร้อมกัน

ผมต้องเตือนบางอย่างกับเด็ก...

“สหายชื่ออะไร?”

“ยุนซอ! โนยุนซอ! เขารีบลุกยืนกุมแขนเลือดไหล ผมปัดสิ่งสกปรกจัดเสื้อผ้าและก้มลงไปผูกเชือกรองเท้าให้เขา...

“ผมจะจำชื่อสหายไว้นะโนยุนซอและจงจำไว้นะว่า อย่าทำงานเพื่อเอาหน้า ขอให้สหายทำงานเพื่อเป้าหมายของทีม ไปกันต่อเถอะ!” ผมตบไหล่เบา ๆ

“เอ่อ!..ผม.. ผมไม่ได้...” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดต่อ

“ยุนซอขึ้นรถเดี๋ยวไม่ทัน! เพื่อนดึงคอเสื้อให้ลุก ทั้งคู่ตะลุยกันไป 

“ถึงทางออกแล้ว! แสงสว่างจ้าแสบตา ออกจากถ้ำเหมือนหลุดออกไปในโลกที่ไม่รู้จัก หุบเหวลึกในม่านหมอกขาวอาจเป็นรังของมังกรในตำนาน ถนนแคบขอบเหวลึกวนรอบภูเขา ไต่ลงต่ำหายไปในม่านหมอก บรรยากาศรอบด้านอึมครึม ใบไม้ใหญ่ขนาดยืนหลบฝนได้เป็นสิบคน เถาวัลย์พันเลื้อยกอดเกี่ยวเหมือนงูยักษ์เกี้ยวกัน ดูลึกลับซับซ้อนเหมือนพาลงไปสู่โลกใต้ดิน

“แว๊น!แว๊น! ถนนกรวดฉ่ำน้ำคดเคี้ยวตลอดเส้นทาง ไรเดอร์สะบัดลื่นล้มกันเป็นกอง ทุกครั้งที่ท้ายสะบัดก้อนกรวดปลิวตกลงเหวไม่ได้ยินเสียงกระทบพื้น ลุ้นใจหายใจคว่ำกลัวจะหลุดเลยลงไป

เดอะแก๊งกำลังปีนขึ้นไปบนยอดไม้ บางทีมต้องลุยลงไปในหุบเหวเพื่อเก็บโดรนของตน แต่พวกเขาก็ยังหัวเราะกับความผิดพลาดและมุ่งมั่นต่อไป

“แว๊น!แว๊น! ทั้งกลุ่มขับเลาะหน้าผาหุบเหวหมอกลงมาตามถนนคดเคี้ยววนเวียน

จนกระทั่งลงมาสุดทางที่สระน้ำกว้างในหุบเขาหมอก ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเส้นใยขาว ศาลาสี่เสาหลังคากระเบื้องแอ่นโค้งยืนสงบนิ่งแช่น้ำเดียวดาย หมู่บ้านเล็ก ๆ ดูหงอยเหงาในซอกหุบเขาด้านซ้าย

ผมรู้สึกหนาวและเริ่มระวังตัว ยกมือส่งสัญญาณ...

“ดับเครื่องแล้วรออยู่เงียบ ๆ ที่นี่ก่อน” ตอนนี้เหมือนโดนพลังลึกลับดึงดูด อยากจะเข้าไปในหมู่บ้านนี้ใจจะขาด

“เซม!จะเอายังไงกับคนชนะครับ” อุงอิลห่วงงานเป็นอย่างแรก

“เอาไว้ก่อน! สหายเข้าไปในหมู่บ้านกับผมก่อน” ผมก้าวเดินเหมือนโดนแม่เหล็กดูด ทิ้งกลุ่มใหญ่ไว้ริมสระ

ยิ่งเดินเข้าใกล้กลิ่นอายโบราณของเกาหลีตลบอบอวล แปลกตาและน่าทึ่งกับการเก็บซ่อนอารยธรรมโบราณไว้จากโลกภายนอก แท่งหินแกะรูปม้าพยศและอักษรสลักปากทางเขาหมู่บ้าน ซานคูลรี เต็มไปด้วยไม้เลื้อยปกคลุมผ่านห้วงกาลเวลามาช้านาน

อากาศหนาวเย็นเส้นใยหมอกพรางสายตา ยิ่งเดินลึกเข้ามาอุงอิลยิ่งเบียดกอดแขนแน่น กลุ่มบ้านดินเผาสมถะหลังคากระเบื้องพื้นยกสูงปลูกเรียงกันเป็นกำแพงวงกลมหลายชั้น เด็กชายห่อตัวคลุมหัวด้วยผ้าหนาวิ่งเล่นกันบนถนน พอเขาหันมาเห็นเราก็รีบวิ่งเข้าบ้าน

ผมมองตามไปที่ชานบ้านทางซ้าย ได้เจอกับต้นตอของกลิ่นอายอารยธรรมแล้ว ไหซีอิ๊วโอ่งหมักกิมจิสารพัดขนาดตั้งรวมกลุ่มกันไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่นับร้อยนับพันใบ ถัดไปสองสาวกำลังทำงาน...

“เขากำลังทำอะไรกันเหมือนกับทอผ้าเลย?” หญิงสาวคนหนึ่งพุ่งไม้เข้าช่องเชือก อีกคนกดไม้กระแทกลงสลับกันเหมือนกี่กระตุก

“ใช่ครับ! ฮัลมอนี่ของผมก็ทำแบบนี้”

พอพวกเธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นก็รีบลุกเก็บของแล้วเดินเข้าบ้านปิดประตู

“เขาไม่ต้อนรับเราเลย กลัวอะไรนะ?” ความสงสัยเริ่มทำงาน ผมเดินผ่านเข้าสู่ลานวงกลมที่สองของหมู่บ้าน

“เดี๋ยวผมลองถามใครสักคนก็ได้ครับ” อุงอิลกวาดสายตาฝ่าสายหมอกทึบ ยิ่งเดินเข้ามาลึกยิ่งรู้สึกเกรงใจพวกเขาต้องทิ้งงานหนีไป สงสัยว่าคงไม่อยากตอบคำถามพวกเรา หรือพวกนี้ยังคงเคยชินกับกฎหมายเดิมที่บังคับห้ามคุยกับคนแปลกหน้า

“รอเดี๋ยวนะครับเซม” อุงอิลผละวิ่งเข้าไปหาเด็กชายที่โผล่หน้าแอบมองจากมุมบ้าน

“อันยองฮาเซโยนัมดงแซงขอคุยด้วยหน่อยสิ” เขาสับขาวิ่งพรวดเข้าไป

“แง!...” เด็กน้อยร้องไห้จ้า ถอยกรูดมุดใต้ถุนบ้านหนี อุงอิลก้มมุดมองตามพยายามหาทางเข้า

“อุงอิลกลับมา! ผมเกรงว่า มันจะกลายเป็นการบุกรุกไปเสียเปล่า ๆ

เราเดินต่อไปเข้าสู่ลานแกนกลางของวงกลมท่ามกลางสายหมอก เด็กหญิงวัยรุ่นในชุดประจำชาติลวดลายสวยแปลกตากำลังเก็บของหนี

“เตรียมหนีอีกแล้ว” อุงอิลโบ้ยปาก

“อันยองฮาเซโย” ผมร้องทักยิ่งทำให้เธอเร่งมือเพื่อหนี อุงอิลรีบวิ่งไปโค้งศีรษะถามอย่างสุภาพ... “บ้านของหัวหน้าราษฎรหลังไหนครับ”

เธอหันมองไปที่กำแพงดินสูงท่วมหัวแล้วผลุบเข้าบ้านปิดประตู ผมกอดคออุงอิลแล้วเดินเข้าไปที่กำแพง แหงนหน้ามองแผ่นป้ายไม้เก่าแก่ ผนังกำแพงดินกระเทาะจนเห็นเส้นฟางอัดยืนหยัดคู่กับประตูไม้ที่มั่นคง

“ดูจากทรงแล้วน่าจะเป็นของบุคคลสำคัญ บ้านนี้เป็นไข่แดง” ผมสนใจแผ่นป้ายใหญ่หน้าประตู ลิขิตฟ้าชะตาคน

“วูบ! จู่จู่...สายลมกรรโชกแรง พัดพามวลสายหมอกปลิวหาย ท้องฟ้าเปิดโล่งจนเห็นยอดเขาสูง ต้นไม้ในหุบสั่นไหวโกรธเกรี้ยวราวกับมีคนไปเขย่า ผมหยุดมองปรากฎการณ์ฉับพลันก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือไปแตะแผ่นประตูไม้

ทันใดนั้น...

“ฮี๊ ๆๆ พรึ่ด! พรึ่ด! เสียงม้าพยศร้องดังลั่นก้องไปทั้งขุนเขา

“อ๊ะ! ผมชะงักมือค้างไม่อยากลบหลู่สิ่งลึกลับ เหตุการณ์มันสัมพันธ์ต่อเนื่องกันเหมือนเป็นกลไก ผมเคยผ่านสถานการณ์เช่นนี้มาในสนามรบและไม่อาจมองข้ามอันตราย หลายสิ่งที่วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ฆ่าคนมามากแล้ว

อุงอิลหันมองล่อกแล่กขยับเข้ามากอดแขน...

“กลับเถอะครับ! เจ้าที่ไม่อนุญาตแล้ว”

“อืม! วันหลังค่อยมาใหม่ อันยองฮี คเยเซโย” ผมโค้งเคารพก่อนจาก อุงอิลเข้ามาคว้าแขน...

“รีบเลยครับเซม!” เด็กน้อยหลอนตาเหลือกรีบจ้ำ

เดินได้ไม่กี่ก้าว...

“แอ๊ด....!! เสียงประตูไม้บานใหญ่เคลื่อนตัวร้องครวญครางเหมือนคนชราขยับตัวไล่ความเมื่อยล้า

“หือ! ผมหันหลังกลับทันที

กลุ่มหญิงรับใช้หน้าตาจิ้มลิ้มมัดมวยผมแต่งตัวย้อนยุคเดินออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม...

“อันยองฮาเซโย เชิญเข้ามาข้างในก่อนค่ะ”

ผมหันมองหน้าอุงอิลอย่างชั่งใจ ไหน ๆ ก็ลงมาแล้วลุยเลยดีกว่า

“ไป!

“ฮื้อ! อุงอิลยังหวาดระแวง

“ยืดอก! ผ่าเผย! สง่างาม! ผมตบไหล่เจ้าหนุ่มน้อยที่เริ่มหงอ

“เย่! เขายืดอกทันที

ก้าวแรกที่ผ่านประตูใหญ่เข้ามาก็สัมผัสได้กับบรรยากาศลึกลับย้อนยุค กลิ่นเครื่องหอมสมุนไพรโชยหอมปกคลุมลานหินโล่ง ตัวเรือนไม้หลังใหญ่หลังคาโค้งตั้งอยู่กึ่งกลางเป็นประมุข โอบล้อมล้อมไปด้วยเรือนบริวารเหมือนบ้านขุนนางโชซอน

“หือ! พอเท้าแตะพื้นบ้านรู้สึกอุ่นขึ้นมาทันที ภายในบ้านไม้ดูหรูเรียบและลวดลายแกะสลักบังตากับนกกระเรียนเหินขลังไปตามอายุขัย เครื่องใช้ไม้สอยส่วนใหญ่เป็นเครื่องเงินแกะสลักประณีต รูปภาพวาดพู่กันทิวทัศน์ภูเขาหมึกดำบนพื้นสีน้ำตาลอ่อนแผ่นใหญ่รอบผนังห้องงดงาม ตรึงตากับม้าศึกสีขาวขนปุยกล้ามแน่นบนแท่นหินอ่อนแกะสลักกลางบ้าน

สักครู่หญิงชราใบหน้าดูอิ่มเอิบทรงภูมิแต่งตัวเหมือนซังกุง เดินสง่าออกมานั่งบนเก้าอี้ไม้แกะสลัก แววตาประกายแวววับบนใบหน้าที่ยับย่นที่ยังฉาบฉายความเมตตา...

“อันยองฮาเซโย! มาแล้วเหรอ ท่านผู้พิทักษ์?”

 “อันยองฮาชิมนิก๊า! ผมกับอุงอิลรีบลุกยืนโค้งศีรษะแล้วหันมองหน้ากัน...

“ใครวะ?”

“.......” อุงอิลส่ายหน้าก่อนจะเงยหัวขึ้นพร้อมกัน

“ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะเป็นรุ่นของฉันที่ได้พบกับบุรุษจากคำทำนายในตำนานฮยองกอน” ท่านยิ่งพูด ผมยิ่งงงเหลือบมองอุงอิลเจ้านี่ก็คอยแต่หลบสายตาเพราะกลัว

“เชิญดื่มน้ำชากันก่อน” น้ำเสียงที่แหบพร่านั้นเป็นมิตรและยังมีพลัง รอยยิ้มจริงใจบนใบหน้าสี่เหลี่ยมบ่งบอกถึงความสวยในวัยสาว

“ผมพาเด็ก ๆ มาฝึกครับ” ผมเองก็ยังคงพูดเกาหลีได้กะท่อนกะแท่น แต่พอสื่อสารกันได้มากกว่าเดิม

“เรารู้แล้ว! ขอบใจเจ้ามากที่มาเหยียบแผ่นดินเกาหลีในเวลาที่ทุกคนต้องการ” ใบหน้านั้นยิ้มแย้มตลอดเวลา อุงอิลขยับนั่งตัวตรงท่าทางมั่นใจมากขึ้นเอ่ยถาม...

“ท่านคงทราบเรื่องการเปลี่ยนแปลงของเกาหลีแล้วใช่มั้ยครับ”

“เย่!...ม้ามันร้องส่งสัญญาณการผลัดแผ่นดิน สิ้นสุดยุคสมัยของการภักดีสร้างคน ผู้นำคนใหม่เป็นคนมีบุญมาเกิดแต่จะมีโชคร้าย เจ้าต้องเป็นผู้พิทักษ์ให้เธอนะ” ท่านชี้มาที่อุงอิล

“หือ! โดนทักแบบนี้ผมรู้สึกใจไม่ดีเลย เรื่องเหนือวิทยาศาสตร์พวกนี้ดูถูกไม่ได้

“สาหัสมั้ยครับ?” ผมถามบ้าง อุงอิลยกมือ...

“เอ่อ!.ฮัลมอนีม! เซมหมายถึงโชคร้ายมากมั้ยครับ” เขาช่วยแก้ไขคำถาม

“บอกไม่ได้!

“อีกนานมั้ยครับและมีทางช่วยปัดเป่าภัยให้พ้นไปจากสหายอันเป็นที่รักของเราได้มั้ย?” อุงอิลขยับเข้าไปหา ท่านอมยิ้มลูบหัวอย่างเอ็นดู

“พานางมาที่นี่สิ เราอาจจะต้องทำพิธีด้วยกัน แต่เจ้าต้องเป็นคนพามานะ” ท่านพุ่งเป้ามาที่อุงอิล

“เย่!” เจ้าอุงอิลหันมาสบตาผมพยักหน้ารับ จิ้งจกร้องทักยังชักขานับประสาอะไรกับผู้ใหญ่เตือน

“ที่นี่สวยมาก ผมไม่รู้เลยว่ายังมีที่สวยงามเช่นนี้ซ่อนอยู่” ผมคงสำเนียงเพี้ยนทำให้ท่านอมยิ้ม...

“มันถึงเวลาสิ้นสุดคำทำนายแล้ว พวกเราไม่ต้องอยู่ที่นี่อีกแล้ว ฉันขอฝากเจ้าให้ช่วยดูแลคนของเราด้วย”

“ด้วยความยินดีครับ!” ผมโค้งศีรษะรับอย่างเต็มใจ

“เอ่อ! ฮัลมอนีมทงมู คนนี้เป็นครูของพวกผมครับ ตอนนี้ทุกบ้านมีอาหารกินครบ 3 มื้อมีไฟฟ้าใช้แล้วครับ” อุงอิลเสนอหน้ายิ้มแป้น

“เกือบ 100 ปีที่ชาวบ้านทนทรมานจากทรราช เกาหลีหมดทุกข์โศกแล้วถึงเวลาที่พวกเราจะสุขสบายแล้ว ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณผู้กล้า ขอบคุณผู้ปลดปล่อย ขอบคุณผู้พิทักษ์ โชคดีมากที่เจ้าทั้งสองเดินผ่านมาพบ ฉันหมดหน้าที่แล้ว” ท่านกระหยิ่มยิ้มตาลอย

“ที่นี่เป็นแบบไหนกัน แล้วทำไมถึงยังดำรงคงอยู่แบบนี้มาได้ ผ่านการปกครองที่โหดร้ายมาได้อย่างไรครับ?” ผมสงสัยสิ่งนี้มากที่สุด

“ฉันเป็นตระกูลที่ถูกฟ้ากำหนดมาตั้งสมัยโชซอน เป็นผู้เลี้ยงอิลกักซูให้กับกษัตริย์ทุกพระองค์”

“เอ่อ! ผมมึนตึ้บหันไปกระซิบอุงอิล

“อิลกักซูคืออะไร?”

“ม้ามีเขาครับ” /อะไรของมันวะม้ามีเขา/

“หึหึหึ!ยูนิโค่ไงล่ะ” ท่านลูบพนักเก้าอี้แกะสลักม้ามีเขาเกลียวแหลมแล้วยิ้มใจดี

อ๋อ!...ยูนิคอร์นนี่เอง...“ฮ๊า! ผมอึ้งแดกงงเป็นไก่ตาแตก ไม่จริงเป็นไปไม่ได้

ท่านยิ้มอย่างเอ็นดู...

“สมัยพระเจ้าแทโจผู้สร้างโชซอนเชื่อกันว่า ม้าสีขาวจะนำความโชคดีและความยิ่งใหญ่มาให้ผู้ที่ควบคุมมันได้ ตระกูลยูของเราเป็นผู้เลี้ยงม้าขาวสำหรับกษัตริย์ ม้าจะเลือกเจ้านายของมันเอง”

“แล้วมีเขายาวจริง ๆ เหรอครับ?” ผมใจเต้นแรงมาก ถ้าได้เห็นก่อนใคร ผมต้องกลับไปโม้ข่มนาตาลีแน่และเธอต้องแจ้นมาที่นี่แน่นอน

ฮ่าฮ่าฮ่า! ม้าของกษัตริย์ก็จะมีเครื่องแต่งกายเหมือนทหาร มันเป็นเกราะไม่ใช่เขาหรอก แต่เล่าสืบทอดกันมาจนเขามันงอกออกมานั่นแหละ เรื่องของกษัตริย์มักจะแต่งเกินจริงเสมอทำให้ดูเหมือนผู้วิเศษ”

“อ๋อ!...ดีแล้วครับที่มันไม่มีจริง” ผมกลับรู้สึกโล่งอกที่มันไม่มีจริงและอยากจะให้คำทำนายของเธอไม่เป็นจริงเช่นกัน

“คนเลี้ยงม้าให้กษัตริย์มีแต่เรื่องเดือดร้อนตลอด รบแพ้ก็โทษม้า ตกม้าก็โทษม้า คนไม่มีคุณธรรมขี่ม้าไม่ได้หรอก มันเลือกเจ้าของ”

“แล้วรอดจากเงื้อมมือผู้นำเผด็จการมาได้อย่างไร?”

“เรียกว่าไม่รอดดีกว่า เมื่อก่อนหมู่บ้านของเรามีกันมากกว่านี้ เราต่อสู้และถูกจองจำอยู่ที่นี่ ผู้นำคนแรกยังมีความเชื่อว่าอิลกักซูมีจริงเลยละเว้นพวกเราไว้ ผู้นำเกาหลีทุกรุ่นลงมาที่นี่กันหมดทุกคน แต่ม้าไม่ยอมรับสักคน” หญิงชรายิ้มอย่างเจ็บปวด

“ฮัลมอนีมทงมู! นอกจากให้พวกผมช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว มีอย่างอื่นที่ต้องการอีกมั้ยครับ?” อุงอิลขยับเข้าหาเริ่มกล้ามากขึ้น

“คูมอโย! ฉันคงทิ้งที่นี่ไปไม่ได้และคงขอตายเพื่อปิดตำนานอยู่ที่นี่ ที่เหลือเจ้าไปคุยกับพวกเขาเอง ขอให้เจ้าทำตามความประสงค์ของพวกเขา” ท่านใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา

อุงอิลสะกิดขา...

“เซม!ถ้าพวกผมว่างจะขึ้นมาเยี่ยมท่านบ่อย ๆนะ” เจ้านี่ใจดีด้วยท่านยิ้มเอียงคอมองดวงตาประกายวับ....

“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้จะดีมากเลยนะหนุ่มน้อย เจ้าชื่ออะไร” หญิงชรายิ้มให้อุงอิลอย่างพอใจ

“จองอุงอิลอิบนิดะ!

“ในวันข้างหน้าเจ้าจะเป็นใหญ่ เมื่อถึงวันนั้นแล้วก็อย่าลืมจิตใจที่งดงามเช่นนี้ การแบ่งปัน การเสียสละและให้เกียรติ เจ้าจงนำไปปฎิบัตินะ”

“เย่!

“งั้นผมขอลากลับนะครับ ผมสัญญาว่าจะเป็นผู้พิทักษ์ให้กับสหายผู้นำและไม่ยอมให้ใครมาบุกรุกที่นี่ ผมสัญญา!” ผมลุกขึ้นโค้งศีรษะลา

“ซอนเซงนีม เจ้าชื่ออะไรล่ะ?”

“ซอนอิบนิดะ!

“ฉันดีใจที่แวะมาปลดภาระให้พวกเรา ฉันจะไปส่งนะ!” ท่านลุกเดินนำหน้าบรรดาบริวารเดินตาม

ผมกระซิบอุงอิล...

“ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาดนะ มันจะวุ่นวาย”

“เย่!

เมื่อท่านผู้เฒ่าก้าวข้ามธรณีประตูเรือน เสียงม้าก็ร้องดังขึ้นมาอีกรอบ

“ฮี๊ ๆๆ คลึก! คลึก! เสียงฝีเท้าม้าควบมาจากด้านหลัง วิ่งออกมาจากข้างเรือนแล้วมาคุกเข่าต่อหน้าหญิงชรา

“อื้อหือ!... ผมทึ่งกับม้าสีขาวสะอาดตัวสูงใหญ่บึกบึน กล้ามอกเป็นมัด สูงสง่างามสมกับเป็นม้าของนักรบ

“อันเก!มาแล้วเหรอ” ท่านเข้าไปลูบหัว เจ้าหมอกทิ้งตัวนอนราบลงกับพื้นทันที

อุงอิลคิ้วขมวดหน้ายุ่งเอียงหัวมากระซิบ...

“เซม! ท่านจะให้ม้าเราเหรอ?” ในสายตาของเด็กคนนี้ไม่มีความโลภอยากได้แม้แต่น้อย

“ไม่รู้สิ! ผมยังคงมองม้ารูปงามที่อ้อนท่านผู้เฒ่าเหมือนลูกหมาตัวน้อย สักพักมันก็ลุกยืนสูงท่วมหัว

“อันเก!ไปหาเจ้านายของเจ้าสิ” ท่านลูบหัวเบา ๆ ม้าเดินมาคุกเข่าต่อหน้าอุงอิล

“เซม!ต้องทำไง ผมต้องทำยังไง?” เจ้าอุงอิลเงอะงะเสียงหลง

“ลูบหัวทักทายสิ!

“อันยองฮาเซโย! เราชื่ออุงอิลต่อไปเป็นเพื่อนกันนะ” เขายิ้มแก้มปริก้มลงไปกอดลูบแผงคอนุ่มของมัน เจ้าม้าเอียงหัวออเซาะ

“ขอขี่หลังหน่อยนะ” เขาขึ้นขี่หลังแล้วตบขาม้าเบา ๆ มันก็ลุกขึ้นยืน

“เมื่อได้เจอกันแล้วก็ตกลงกันเองนะ อันเก!เข้าใจภาษาคน คุยกับเขาได้” ท่านเดินมาลูบหน้าม้า

“สักวันผมจะกลับมาที่นี่ อันเก! อยู่ที่นี่กับฮัลมอนี่ไปก่อนนะ เราโตขึ้นจะกลับมารับไปอยู่ด้วยกัน” เขาก้มลงกอดคอใบหน้าซุกในแผงคอ มือลูบไล้ลำตัวขาวที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อและดูเหมือนกับว่า...เจ้าม้าขาวจะฟังรู้เรื่อง

“ฮี๊!... มันยกขาหน้าสูงจนอุงอิลหงายหลังเกือบตก ผมผวาเข้าไปดันหลังเขา แล้วลูบบั้นท้ายคุยกับมัน...

“ไม่มีศึกสงครามให้ต้องออกรบแล้ว อยู่ที่นี่ให้มีความสุขแพร่พันธ์ลูกหลานให้เยอะ ๆ เลยนะ ดูแลฮัลมอนี่ให้ดีผมขอตัวกลับก่อนมีงานต้องทำอีกเยอะเลย” พอผมพูดจบ...อันเกก็คุกเข่าให้อุงอิลลงมาอย่างสุดทึ่ง /อยากเอาไปให้ลูกชายขี่จังเลย/

ท่านผู้หญิงเดินมาโค้งศีรษะส่งเราที่หน้าประตู

“พบกันแล้ว ยอมรับกันแล้ว เท่ากับได้สัญญากันแล้วอย่าลืมสัญญาล่ะ กาลเวลาไม่สามารถทำลายคำสัญญาของผู้ยึดมั่นได้ ขอให้เดินทางปลอดภัย”

“ฮัลมอนีมอย่าออกมาตากลมบ่อยมันจะเป็นหวัด กินข้าวเยอะ ๆนะครับแล้วผมจะพาสหายผู้นำมาเคารพท่าน” อุงอิลเอามือแนบท้องโค้งลา

ผมกอดคอลูกศิษย์เดินกลับพร้อมด้วยหัวใจอิ่มเอม เจ้าฝูงลิงเหลืองของผมนั่งเกาะกลุ่มกันข้างศาลาริมสระน้ำ...

“อุงอิล!ตั้งใจทำงานนะ ผมอยากให้คำนายในเรื่องของสหายเป็นจริง”

“เย่!

“เซมครับ พวกเราไม่ต้องไปช่วยทหารที่บันมุนกักเหรอครับ?” ข่าวจีนบุกเข้าหมู่บ้านบันมุนจองรวดเร็วดังไฟลามทุ่ง

“เรื่องของทหารให้เขารับผิดชอบกันเอง สหายฝึกลูกน้องให้เก่ง ๆ ก่อนเถอะ วันข้างหน้าเราจะได้ไปช่วยพวกเขา” ผมไม่ได้รู้สึกกังวลกับการโจมตีสักเท่าไหร่และคิดว่าไม่น่าจะร้ายแรงเพราะเจ็ทโด้ไม่ให้ความสำคัญกับการโจมตีครั้งนี้เลย ถ้ามันสำคัญเขาต้องเรียกให้ผมไปช่วย

“สหายซนโกรธใหญ่เลยที่เซมไม่ให้มันไปบันมุนกัก”

“งานเยอะแยะจะไปทำไม ตอนนี้กี่โมงแล้วเนี่ยรีบกลับก่อนฟ้ามืดกันเถอะ?”

ร่มเงาดอยสูงทาบทับหุบเขา เราต้องไต่ขึ้นและไต่ลงอีกไกลกว่าจะถึงถนนระหว่างเมือง

ทันใดนั้น...

“ซอน!” เจ็ทโด้เรียกวิทยุ

“ครับพี่!

“มึงกลับรึยัง อยู่ใกล้โรงพยาบาลรึเปล่า? แวะไปเยี่ยมทหารหน่อยสิ!

“พวกมันไม่รู้จักผมหรอก พี่จะกลับหรือยังไปพร้อมกันดีกว่า”

“กูจะกลับพรุ่งนี้ มารับด้วยนะ”

“ได้! พี่เรียกมาก็แล้วกัน”

ผมดีใจกับคำทำนายของอุงอิลและอยากให้เขาเติบโตไปเป็นดั่งคำทำนาย แต่ก็หนักใจกับคำทายเรื่องของจูยอนได้แต่หวังในใจลึก ๆ ว่าอย่าเป็นจริงเลย แต่โลกใบนี้ของดีไม่มีฟรีได้อย่างต้องเสียอย่างเสมอ

            ........................................................

จำนวนผู้มาเยือน

หน้าที่เข้าชม12,859 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด10,975 ครั้ง
ร้านค้าอัพเดท6 ก.ย. 2568

สมาชิก

พูดคุย-สอบถาม