The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 9 ตอนที่ 5

The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 9 ตอนที่ 5
หมวดหมู่ The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 9
ราคา 0.00 บาท
สถานะสินค้า Pre-Order
อัพเดทล่าสุด 28 ก.ย. 2567
ขออภัย สินค้าหมด
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay


เกาหลีเหนือ

มุมมองสายตา หมวดจาง แอนนา

มิถุนายน ค.ศ.2026

ศูนย์ดาราศาสตร์โชซอน...

ดอกเตอร์นาตาลีหายหัวไปจากทุกคน หมกตัวอยู่ในนี้ทั้งวันทั้งคืน ไม่รู้ว่ามาสนใจอะไรกับดวงดาวคิดอะไรก็ไม่บอกสักคำ เธอยืนคุยกับคิมเยวอนและเจ้าหน้าที่อยู่ข้างอุโมงค์ลมสำหรับฝึกกระโดดร่ม

“โย่ว! What’s up ฉันร้องทัก

“อ้าว! เจี่ยเจี้ยมาแล้วเหรอ?” นาตาลีรีบเข้ามาดึงแขน นายทหารหญิงคนสวยยืดอก...

“อันยองฮาชิมนิก๊าแอนนาอนนี่ เชิญที่ห้องดูดาวกันค่ะ” คิมเยวอนเดินตัวตรงนำไป

“ยังไง ยังไง ฮึ! ดอกเตอร์?”

“เรื่องอาราย?”

“ทิ้งกันเลยใช่มั้ย?”

“งานนั้นซูมินก็ยังทำได้เลย ฉันสนใจอันนี้มากกว่า”

“มันใช่เรื่องมั้ยล่ะ?”

“กินข้าวมารึยัง? เดี๋ยวเราไปกินบะหมี่เย็นด้วยกัน อาจุมม่าทำอร่อย” ยัยตัวแสบหนีไปโน่น

ภายในห้องโดมท้องฟ้าจำลอง ดวงดาวระยิบระยับกระจายซ้อนกันหลายมิติจนหาจุดสิ้นสุดมิได้ ความมืดมิดดูลึกล้ำน่าค้นหา เราสองคนนอนบนเก้าอี้ยาวกลางห้อง ฉันคิดในใจ...ยายดอกเตอร์ต้องคิดอะไรแผลง ๆ อีกแน่เลย ห้ามไม่ได้ซะด้วย...

“พามาดูอะไรมิทราบ?” ฉันไม่เข้าใจความคิดของเธอเลย

“ฉันจะให้คุณดูดาว ดูความมหัศจรรย์ของเอกภพ”

“ดูทำไม?”

“เออน่า!” สายตาดื้อแบบนี้ หาเรื่องเหนื่อยอีกแล้ว

“ฉันไม่น่าฉีดวัคซีนให้กับนักดาราศาสตร์พวกนี้เลย พอมีเพื่อนก็ทิ้งฉันเฉยเลย งานที่ DMZ ก็ยุ่งมาก”

ไฟในห้องหรี่ลงจนมืดมิด ความเวิ้งว้างไกลโพ้นมืดมิดขับแสงดวงดาวยิ่งดูสดใส ห้วงอวกาศสุดลึกล้ำเป็นปริศนาที่ไม่มีคำตอบ คิมเยวอนสาวสวยทำหน้าที่เป็นผู้บรรยาย...

“ถ้าเรามองออกไปนอกจักรวาล เราจะรู้ว่าโลกใบนี้ที่เราได้อาศัยอยู่นั้นเป็นเพียงละอองฝุ่นเล็กนิดเดียว ล่องลอยเวิ้งว้างอยู่อย่างถ่อมตัวในเอกภพที่ยิ่งใหญ่ มันเปราะบางมากถ้าเทียบกับดาวดวงอื่นและเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายของสิ่งมีชีวิต” เสียงดนตรีบรรเลงแผ่วเบา...

“เมื่อหลายปีก่อน นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบโลกใบใหม่ที่คาดว่าอาจจะมีสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับโลกของเรา แต่ด้วยระยะทางมากกว่า 300 ปีแสง ทำให้ไม่มีโอกาศได้จะพิสูจน์ความจริง”

“แต่นักดาราศาสตร์ก็ได้เพียรพยายามค้นหาโลกใบใหม่ และสุดท้ายก็โชคดีได้เจอสิ่งที่รอคอยอยู่ห่างจากโลกของเราเพียง 31 ปีแสงเท่านั้นเองและขนาดใหญ่กว่าโลกใบนี้เพียง1.6 เท่า อยู่ใน Habitable zoneด้วยค่ะ” เธอกำลังพูดถึงเขตอวกาศที่คาดว่าจะมีชีวิตที่อาศัยอยู่ได้ แต่สำหรับฉันมันไกลจนเป็นไปไม่ได้เลยและยังไม่มีความเชื่อเรื่องนี้...

“แค่ 1 ปีแสงคุณก็ไม่มีปัญญาเดินทางแล้ว ระยะทาง 9.5 ล้านล้านกิโลเมตร ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ยังเดินทางไม่ถึงเลย เดินทางรอบโลกแค่ 40,000 กิโลเมตรยังลำบาก จะไปนอกโลกเชียวเหรอดอกเตอร์คิดอะไรอยู่?” ฉันแย้งออกไป เยวอนยกมือ...

“ประเด็นไม่ใช่ตรงนั้นค่ะ อนนี่ต้องการจะให้ตระหนักถึงปัญหาของมัน ปัญหาภายในจิตใจมนุษย์ ความเวิ้งว้างของเอกภพยิ่งใหญ่ขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาของ Big Bangทำลายทุกอย่างลงไป แต่มนุษย์ขี้เหม็นยังคงแก่งแย่งทำร้ายทั้งโลกและเพื่อนร่วมโลกมาตลอด แทนที่จะเอื้อเฟื้อจุนเจือเมื่อได้มีโอกาสเกิดมา ทุกคนน่าจะอยู่อย่างมีความสุขในชั่วชีวิตของตน”

ภาพดวงดาวสุกสกาวสวยงามนั้นนอกจากตื่นตาตื่นใจแล้ว ถ้ามองอย่างพินิจพิเคราะห์จะเห็นว่าความยิ่งใหญ่ของเกินความทะยานอยากของมนุษย์ตัวเล็ก ๆ และโลกใบนี้ก็เดียวดายจนน่าสงสาร เยวอนพูดไม่เกินความจริง

“เปิดไฟสิ! นาตาลีสั่งแล้วลุกนั่ง...“เจี่ยเจี้ย! ได้เห็นภาพยิ่งใหญ่ของอวกาศแล้วรู้สึกปลงบ้างหรือเปล่า ในความสวยงามเวิ้งว้างนั้นให้ความรู้สึกหลุดพ้น แต่มีชีวิตบนเศษฝุ่นก้อนเล็กใช้ชีวิตด้วยการต่อสู้ดิ้นรน การเอารัดเอาเปรียบ การทำลายล้างและโรยราไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน เดี๋ยวเราก็ต้องตาย”

“ก็คิดนิดนึง ถามทำไม?” ฉันพอจะเดาได้แล้วว่าเธอจะสื่ออะไร แต่มันเกินที่ความสามารถของมนุษย์จะทำได้ ไปหาวิธีสร้างยานที่เร็วกว่าแสงให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกันใหม่

“ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่มันถูกหรือผิด Tame 26 ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทีเดียว ในอีกมุม...มันก็เป็นตัวสร้างความสมดุลให้โลก มนุษย์สร้างกฎทับซ้อนกฎของธรรมชาติมาผูกมัดและควบคุมกันเอง เอารัดเอาเปรียบ เข่นฆ่า กดขี่ทั้ง ๆที่โลกใบนี้มีทรัพยากรให้แบ่งปันกันอย่างสบาย ๆ มีทั้งความรักและความอบอุ่น แต่กลับไม่ถูกมันนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์” นาตาลีกลับมาคิดเรื่องพวกนี้อีกได้ยังไงกัน...

“ติดเชื้อจูยอนมาแล้วเหรอ หรือคุณอยากจะเป็นนักอนุรักษ์ขึ้นมา เอาน่า!...ช่วยคนให้รอดก่อน ต่อไปคุณอยากเป็นอะไรฉันจะจัดการให้เอง”

“แอนนาอนนี่! มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ นะคะ โลกใบนี้เคลื่อนตัวเข้าหาดวงอาทิตย์เร็วขึ้นอีกไม่นานก็ถูกเผา การเปลี่ยนแปลงของโลกเป็นการเตือนถึงภัยพิบัติ ไคลเมตเชนจ์ เอลนินโญ่ ลานินญ่า น้ำแข็งขั้วโลกละลาย อากาศร้อนขึ้น ทซึนามิลูกใหญ่ น้ำท่วนฉับพลัน มันคือคำเตือนและ PM2.5 เป็นคำเตือนครั้งสุดท้ายว่าอากาศกำลังเป็นพิษ” เยวอนยืนยันหนักแน่น

“การคืนชีพมนุษย์จะทำให้โลกพินาศว่างั้น?” ฉันไม่ยอมแพ้เธอแน่

ยายดอกเตอร์เสนอหน้าเข้ามา...

“จูยอนอนนี่! พูดไม่ผิดหรอกค่ะ มนุษย์เห็นแก่ตัวเอารัดเอาเปรียบ ทำร้ายแม้กระทั่งบ้านตัวเองเพื่อผลประโยชน์เล็กน้อยและชั่วคราว โลกใบนี้เสียสมดุลและเคลื่อนตัวเร็วผิดปรกติ ความวิปริตผิดแปลกนี้จะทำให้มนุษย์รุ่นต่อไปอยู่อย่างยากลำบาก ต่อไปทุกคนจะต้องซื้ออากาศหายใจ จะมีเพียงไม่กี่ตระกูลที่ได้รับผลประโยชน์จากการทำลายโลกใบนี้ สมควรแล้วที่กำจัดความคิดนั้นออกไปได้ ปล่อยให้ตายให้หมด” สงสัยต้องเหนื่อยอีกแน่ท่าทางเธอจะเอาจริง

“เฮ้อ! ฉันลุกเดินหนีออกจากห้อง ตอนนี้ทั้งลูกพี่ลูกน้องเข้าขากัน ถ้าเถียงต่อเดี๋ยวสู้ไม่ได้ รู้สึกเหนื่อยที่ต้องเถียงกับยายนี่...

“โลเล! ไม่มีความหนักแน่น! ฉันไม่เข้าใจพวกคุณเลยและจะไม่พยายามเข้าใจด้วย ฉันจะไม่เปลี่ยนใจในการช่วยเหลือมนุษย์” ฉันพอจะเข้าใจความหมายของเธอแล้ว แต่ตอนนี้ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน ช่วยชีวิตก่อน/เป้าหมายของฉันห้ามเปลี่ยน/

“เจี่ยเจี้ย! คุณคิดกว้าง ๆ สิ เราช่วยหา The last man stand อย่างที่จูยอนบอกก็พอ ให้แต่ละเผ่าพันธุ์ได้คงเหลือไว้นิดหน่อย ให้ธรรมชาติได้พักผ่อนฟื้นฟูความสมดุลดีกว่า ธรรมชาติคอยปรับปรุงตัวเองอยู่แล้วถ้าให้โอกาสโลกได้หายใจ รุ่นต่อไปจะได้อยู่อย่างไม่ทรมาน”

“ไม่สน! ฉันจะทำอย่างที่คิดก่อนและคุณก็ห้ามเปลี่ยนความคิด เป้าหมายของเราคือช่วยคน ไม่อย่างนั้นฉันต้องมาเสี่ยงตายกับคุณทำไม ฉันเป็นนายทหารจีนไม่ดีกว่าเร้อ? จากนี้ไป...คุณห้ามมาที่นี่อีก!” ฉันต้องดึงเธอกลับเข้าร่องเข้ารอย

“เราช่วยใครไม่ได้เลยถ้าจีนยังคงครองอำนาจ พวกมันพร้อมจะกำจัดมนุษย์โลกอยู่แล้วเดี๋ยวมันก็บุกมาอีก บางครั้งฉันก็คิดว่ามันก็ดีเหมือนกันนะให้หวังฉวนมันฆ่าคนให้หมดโลกไปเลย” อ้าว! ทำไมเปลี่ยนความคิดไปไกลจัง สีหน้าของเธอกังวลจริงจัง

“อย่าพึ่งคิดมากสิ เดินไปทีละก้าวถ้าจีนมีปัญหามากก็ให้จูยอนยิงนิวเคลียร์ถล่มแม่งเลย” ฉันคิดอย่างนี้จริง ๆ

“หรือเราจะปล่อยให้หวังฉวนมันฆ่าคนเกาหลีไปด้วย ให้คนจีนมันอยู่ของมันไปกลุ่มเดียวก็ดีเหมือนกันนะ” ไปกันใหญ่แล้วดอกเตอร์ของฉัน

“ตื่น! ตื่น! ฉันไม่ปล่อยให้เธอมาสนใจเรื่องไกลตัว เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า...

“เราต้องชนะสิ ถึงจะทำตามความคิดของคุณได้ หวังฉวนมันไม่มานั่งอนุรักษ์อย่างจูยอนหรอกนะ ถ้ามันชนะมันยิ่งหาประโยชน์ เชื่อฉันนะ!…เด็ก ๆ กำลังสนุกกับการฉีดวัคซีนให้กับ Soulless เกาหลีใต้ จะไม่ไปดูพวกเขาหน่อยเหรอ?” ฉันกอดคอพาเดินออก ศูนย์ดาราศาสตร์ที่นี่ยิ่งใหญ่มาก ทุกอาคารของเกาหลีเหนือต้องยอมรับว่าเป็นที่สุดไม่น้อยหน้าใครเลย

“ไปสิ! ตอนนี้เจ็ทโด้อยู่ที่ไหนคะ?”

“พาจูยอนไปสะเดาะเคราะห์ คุณเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือเปล่า?”

“ไม่เชื่อ!...โชคชะตาคือผลของการตัดสินใจในวันนี้ โชคชะตาของบ้านเมืองอยู่ที่การตัดสินใจของผู้มีอำนาจ โชคชะตาของลูกอยู่ที่การตัดสินใจของพ่อแม่ โชคชะตาของหมาอยู่ที่การตัดสินใจของเจ้าของ โชคชะตาของเราอยู่ที่เราตัดสินใจ” เออ! ช่างจะคิดนะดอกเตอร์ คนที่ไม่นับถือศาสนาก็มีวิธีคิดแบบที่ไม่โดนชี้นำ

“แล้วโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาจากอดีตชาติล่ะ เชื่อมั้ย?”

เธอสลัดผมแหงนหน้ามองดวงดาว...

“ไม่เชื่อหนักเลย! คุณลองชี้สิว่ากำหนดจากดวงไหน?” เอาเข้าไป...คนไม่เชื่อก็ดีไปอย่างไม่ต้องทุกข์

“จูยอนเชื่อเรื่องพวกนี้มาก ซอนเล่าว่าไปเจอแม่เฒ่าที่ถ้ำคิรินคุลทักว่าเธอจะโชคร้าย สองผัวเมียเลยพากันสะเดาะเคราะห์แก้กรรมอยู่ที่นั่น 3 วันแล้ว”

เยวอนเสนอหน้า

“ที่นั่นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ห้ามคนเข้าไปค่ะ สหายจูยอนท้องใหญ่แล้วเข้าไปไม่ได้แน่ ๆ”

“เธอเคยไปเหรอ?”

“ไม่มีใครกล้าเข้าไปหรอก แม้แต่ชาวบ้านยังไม่กล้าเข้าไปล่าสัตว์บริเวณนั้นเลย บ้านของฉันอยู่ที่ซารีวอนตีนเขาอีกฟากค่ะ”

“เขาเอาเครื่องบินไปย่ะ! ที่ไหนก็ลงจอดได้ทั้งนั้นแหละ ซอนให้เดอะแก๊งพาไป” ป่าโบราณแสนโหดก็ลุยกันมาแล้ว แค่นี้ไม่น่ายากสำหรับเจ็ทโด้ ยายดอกเตอร์เกาหัว...

“จูยอนอนนี่ไม่เชื่อเรื่องศาสนาเหมือนฉัน จะเชื่อเรื่องนี้ได้ยังไง งง?” จริงของเธอ

เยวอนขยับ...

“ที่นี่ศาสนากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นคนละเรื่องค่ะ มุ๊ลยอจะมีดวงจิตแข็งแก่รงติดต่อดวงวิญญาณในอดีตได้ เวลาคนไม่สบายใจก็จะไปสะเดาะเคราะห์ตามสำนักต่าง ๆ แต่ก็ต้องแอบทำเพราะผิดกฎหมายค่ะ”

“แก้ยังไง?”

“นั่งในตุ่มหมักซีอิ๊วแล้วแต่กรรมค่ะ” สายตาเธอเชื่อมั่นมาก ยายดอกเตอร์อมยิ้มก้มหน้าหนี

ฉันส่ายหัวไม่เอาด้วยแน่...“ฉันขอบายก็แล้วกัน ฉันนับถือพระเจ้าไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ ถึงว่าสิ! เธองัดข้อกับฉันเรื่องศาสนาเพราะตัวเองนับถืออะไรก็ไม่รู้”

“แทนไปไหนล่ะ ไม่กลับบ้านมา 2-3 วันแล้ว?”

อ๋าว! ฉันจะรู้ได้ยังไง เยวอนอย่าทำตัวเหมือนดอกเตอร์นะ ผัวไปไหนก็ไม่เคยรู้ วิทยุก็มีไม่เคยคิดจะคุยกันเลยรึไง?”

“ทำไมคะ?” เยวอนกระเด้งเข้ามาตาใสปิ๊ง

“ตอนยังไม่ได้ไม่โดนก็อ่อยทุกวันคันทุกเช้า พอได้แล้วก็ทิ้งขว้าง ผัวไปไหนยังไม่รู้เลย?” ฉันเผาต่อหน้า

“เสรี คุณรู้จักมั้ย? ใครชอบอะไรก็ไปทำในสิ่งที่ชอบ เราตกลงกันไว้แบบนั้น” เธอเมินหน้าไม่สนใจ เยวอนกระโดดกอดแขน

“งั้น! ฉันขอนะคะอนนี่ ไม่เป็นน้องสาวแล้วเป็นเมียโอปป้าดีกว่า” ยายทหารนี่ก็บ๊องดีเหมือนกัน

“ไม่ให้หรอก” นาตาลีผลักหน้า ฉันสะกิดเยวอน...

“เธอยังไม่มีแฟนใช่มั้ย เยวอน?” ฉันพิจารณารูปร่างหน้าตาของเธอจัดว่าดีเยี่ยมทีเดียว สาวเกาหลีเหนือผิวพรรณสวยใสโครงหน้ารูปไข่สวยตามธรรมชาติ

“ยังค่ะ! รอเหยื่ออยู่” ท่าทางของเธอก็แรง จะรอทำไม?

นาตาลีลอยหน้าเข้ามา...

“เยวอนคุยถูกตัวแล้ว ยายนี่! หาผัวเก่งให้เธอสอนสิ” อ๊ะ! เธอพูดมาอย่างนี้ก็เข้าทาง...

“อย่าให้เกียรติกันขนาดนั้นสิ เขินจัง! เรียกฉันว่า แอนนาซอนเซงนีมก่อนสิถึงจะสอนได้” ฉันได้ที ยืดอกข่มซะเลย

“แอนนาซอนเซงนีม! สอนฉันด้วยนะคะ?” ยายนี่ก็ยุง่ายดีจัง

“เธอชอบใครหรือยัง เอ่อ!..มีคนที่ชอบหรือยัง?”

“ที่ชอบสุด ๆ ก็ แทนโอปป้าแต่เขามีเจ้าของแล้ว อนนี่น่ะแหละ! ขี้โกง ด่าทุกเช้าแช่งเขาทุกค่ำปาดไปกินซะได้”

“จำไว้นะ! เธออย่าไปรอให้ผู้ชายมาจีบก่อน ถ้าชอบใครก็เดินเข้าไปลากคอมันมาแล้วขยำขยำให้สาสมใจ ถ้าไม่ถูกใจก็ทิ้งไปแล้วหาใหม่” แหม! ลูกบอลเข้าทางต้องเลื้อยโชว์สักหน่อย //ยายดอกเตอร์เหล่ตา//

“ฉันก็อยากจะทำแบบนั้นนะคะแต่กลัวว่าจะดูแรงไป ผู้ชายดี ๆ จะหนีหมด ไอ้ที่มีเมียแล้วก็มากันตรึมไม่เคยมีอะไรพอดีเลย” เธอใสซื่อเรื่องผู้ชายมากเกินไป ต้องให้วิชาติดตัวซะแล้ว

“เธอเชื่อเรื่องไสยศาสตร์มั้ยล่ะ?” ฉันเป็นคนมีของ ฉันช่วยได้ อิอิ!

นาตีลีหันขวับ...

“คุณเป็นคริสเตียนไม่ใช่เหรอ พึ่งจะบอกไปแหม็บ ๆ ว่าไม่เชื่อเรื่องสะเดาะเคราะห์” เธอเบรก แต่...ดึงหางเยวอนไม่อยู่แล้ว...

“เชื่อค่ะ! ฉันเชื่อมนต์ดำ!” อ่ะ! ลื่นไหลไปหมด

“งั้น! ฉันจะให้วิชาขี่ม้ากับเธอ”

“ห่ะ! นาตาลีกระเด้งสายตาหลอนมาก เยวอนกระดี๊กระด๊าดีใจเข้ามากอดฉันแล้วรูดตัวลงพื้น...

“แอนนาซอนเซงนีม! สอนฉันด้วยนะคะ โปรดเมตตาลูกศิษย์ผู้เบาปัญญาคนนี้ด้วยนะคะ” เธอทรุดลงคุกเข่าโขกหัวบ้าคลั่ง // ยายนี่บ๊องจริง ๆ น่ะแหละ //

“ย่าห์!!!นาตาลีหน้ายุ่งฟึดฟัดขัดใจ ดึงแขนเยวอนให้ลุกขึ้น...

“ไปกินบะหมี่เย็นกันดีกว่า เชื่อฉันเถอะ! ถ้าไม่อยากคันคออย่าไปยุ่งกับวิชานี้” นาตาลีอย่างปั่นลากแขนเยวอนเดินหนี

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ฉันไม่ได้หัวเราะลั่น ๆ มานาน เอาซะก้องห้องโถงเลย

“สอนฉันนะ ฉันไม่กลัว!” เยวอนแกะมือหันมาหาแต่ยัยดอกเตอร์ไม่ยอม

“ไป! อย่าคิดสั้น” ทั้งดึงทั้งลากออกไป

ในหัวอกของคนเดียวกันแต่คนละสถานการณ์ ในยามใบหน้าอัปลักษณ์ก็มีทุกข์ไปอย่าง พอรูปงามก็มีทุกข์ไปอีกอย่าง นี่แหละหนอคน... ไม่เคยมีความพอดีเลย

............................................................

พยองอันใต้...

2 อาทิตย์ต่อมา...จูยอนเรียกทุกคนมาทานข้าวที่บ้านของเธอ หลังจากเจ็ทโด้กลับมาจากฝึกนายทหารที่โกซอง ฉันไม่ได้เห็นหน้าลูกชายนานมากแล้วได้แต่วิทยุคุยกันทุกวัน

“ชุงซอง! ทหารเดินมาเปิดประตูรั้ว ซอนเปิดกระจกทักทาย...

“สหายมีคนมากันหรือยัง?”

“มากันตั้งแต่เช้า ครบแล้วครับ! เชิญเลยครับ”

ผมเสียบหัวรถเข้าใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วพากันเดินชมสวนไม้ดัดขึ้นไปด้านบน เสียงวิทยุชุมชนดังแว่วมา...

“อ่า!อ่า! พี่น้องฟังทางนี้ บรรดาแม่บ้านพรุ่งนี้มาขึ้นรถที่หน้าหมู่บ้านไปช่วยกันทำงานที่บันมุนจอง ถ้าเจอกับกลุ่มเด็ก ๆ ของเรา ไม่ว่าจะเป็นบลูสกาย เรดซันหรือเดอะแก๊งก็ จับอาบน้ำแล้วหาข้าวให้กินด้วย”

“สามัคคีกันดีจริง ๆ” ซอนเดินยิ้มหน้าบาน

“ป๊า! ไปช่วยยายเหน่งหน่อยสิงานโหลดไปที่เธอมาก เดี๋ยวจะผอมตายซะก่อน” ฉันสงสารน้อง ถึงแม้ว่าทีมเรดซันจะมีจำนวนมาก แต่งานดูแลคนป่วยนั้นยากกว่าทีมบลูสกายหลายขุม

“เดี๋ยวป๊าต้องไปรัสเซีย รอส่งพวกเจ้าซนไปฝั่งใต้ก่อน ของเล่นไม่พอต้องไปนำเข้ามา”

“พูดซะโก้เชียว ไปขโมยของน่ะสิ” อีตานี่มุกเยอะ

“อื้อ!รถกับโดรนไม่พอ ยังคิดไม่ออกว่าจะส่งพวกมันไปยังไง?”

“มีทางเดียวแหละให้ทหารไปส่งสิ โซลก็แค่ไม่กี่กิโลเอง ไม่งั้นก็บอกให้จูยอนส่งทหารไปกู้รางรถไฟเชื่อมต่อเหนือใต้ คราวนี้ยาวเลยสบายกันถ้วนหน้า”แต่เดิมทั้งสองฝั่งก็เตรียมรางรถไฟไว้แล้ว แต่ติดปัญหาการเมือง

“ดีเหมือนกัน เอาอย่างนี้ดีกว่า” ซอนพยักหน้าพอใจแล้วคว้าคอเดินขึ้นเนิน

บ้านฮันอกทรงเกาหลีโบราณกว้างใหญ่ดูสุขุมนุ่มลึกอยู่ใต้ตันไม้ใหญ่ หลังคากระเบื้องดินเผาโค้งอ่อนช้อยตั้งโดดเด่นบนเนินเตี้ย สนามหญ้าหน้าบ้านเขียวดอกไม้สวย กลุ่มเด็กหัวโล้นวิ่งเล่นกันเต็มสนาม

“เวฮัลมอนี่ วิ่งมาเร็ว!” เสียงน้องแทนนี่ ฉันมองหาลูกชายในกลุ่มใหญ่ เด็กชายตัวไล่เลี่ยกันหัวโล้นลานตา

“ลูกเราคนไหนวะ?” ซอนยื่นหน้ามาถาม

“หัวเหน่งเหมือนกันหมดเลย นั่นไง! น้องแทนขี่หลังเจ้าลีอองอยู่ อย่าเรียกนะ! ปล่อยให้เล่นกับเพื่อนไป” ฉันเดินขึ้นเนินไปต่อ

“ต๊องแต๊ง!ต๊องแต๊ง! เสียงเปียโนระดับมืออาชีพจากฝีมือของอีซูมินดังแว่วหวานในวันพักผ่อนสบาย ๆ เธอยิ้มโบกมือให้เมื่อเราเดินใกล้ตัวบ้าน

“ชุงซอง! ทหารอารักขายืดอกเมื่อเราเดินผ่าน

พอก้าวเข้าไปในโถงบ้าน รู้สึกชื่นใจที่ได้เห็นเจ็ทโด้ใบหน้าอิ่มเอิบนั่งข้างจูยอนบนโซฟาใหญ่ ด้านหลังโชว์แจกันโบราณหลากขนาดตั้งแต่สูงท่วมหัวไล่ระดับเล็กลงจนถึงอันเล็กจิ๋ว รูปทรงคล้ายกับของจีนแต่แตกต่างกันตรงลวดลายและรูปร่าง

“แอนนาเข้ามาก่อน!เจ็ทโด้ผายมือแล้วลากแขนซอนออกไปนั่งสุมหัวคุยกับแทนที่ซุ้มดอกไม้บนลานหน้าบ้าน

“เมื่อเช้าไม่เรียกกันเลยนะ” ฉันสบายใจที่ได้เห็นสองสาวตัวยุ่งนัวเนียกันเป็นภาพที่ชินตาคุ้นเคย นาตาลีนั่งบนพื้นให้ไป่ไป๋ถักเปีย

“ไป่ไป๋น่ะสิ! อยากมาหาน้องแทนใจจะขาด รีบแจ้นมาตั้งแต่เช้ามืดเลย” นาตาลีนอนหนุนตักสบายใจ

วันนี้พวกเราสวมชุดฮันบกคนละสีแสบตาเหมือนขนมหวาน จูยอนยิ้มหวานลูบท้องคุยกับไป่ไป๋...

“พร้อมใจกันจังเลยนะคะ สวมโกโจรีกันทุกคนเลย”

“อะไรคือโกโจรีคะ?”

“ที่เกาหลีเหนือเรียกชุดฮันบกว่า โกโจรี สีสันลวดลายของเราสวยฉูดฉาดกว่าดูย้อนยุคกลับไปสมัยโชซอน”

“หนูชอบ ใส่แล้วลมเย็นสบายดี”

“ใส่ซับในด้วยนะ เดี๋ยวน้องสาวเป็นหวัด” ฉันแหย่แล้วเดินเลยไปชมความสวยงามของแจกันที่ถูกเก็บรักษามาอย่างดีและตกทอดมาจนถึงรุ่นหลังได้อย่างสมบูรณ์

“นั่นเป็นสมบัติของตระกูลค่ะ ชเวเป็นตระกูลเก่าแก่บรรพบุรุษของฉันเคยเป็นเจ้าผู้ปกครองเกาหลี แจกันหยกเขียวพวกนั้นถ้าขายก็รวยล้นฟ้าเลยล่ะคะ” จูยอนยิ้มหวานแววตาระยิบระยับ

“คนที่นี่ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอะไรคะ?” ฉันสังเกตจากลวดลายบนแจกันมันผสมผสานกันระหว่างขงจื้อกับพุทธ

“พุทธค่ะ! ที่นี่มีทั้งสุเหร่า โบสถ์คริสต์ วัดพุทธครบทุกศาสนาแหละค่ะแต่รัฐห้ามทำพิธีทางศาสนา”

“วันนี้มีอะไรด่วนเหรอคะ?” ฉันถามหลังจากนั่งลงข้างสองสาว

“ฉันมีข่าวดีจะบอก ฉันได้คุยกับพวกที่คุณคืนชีพให้แล้ว พวกเขายอมกลับมาทำงานและจะร่วมสร้างชาติไปกับพวกเรา ฉันส่งเด็กทั้ง 3 ทีมเข้าประกบเรียนรู้งานกับทุกคนแล้วค่ะ และประกาศให้คนแก่และคนพิการเป็นบุคคล VIP แล้วนะคะ จากนี้ไปจะไม่มีคนโดนทิ้งไว้ข้างหลังแน่นอน” จูยอนเอ่ยคุยเรื่องคืนชีพให้ Soulless หลากหลายอาชีพที่สหายคุณลุงคัดส่งมาให้นับหมื่นคน

“ถ้าจะให้ดีต้องทำศูนย์ไว้พักพิงดูแลด้วย คุณคิดอย่างนี้หรือเปล่าคะ?” ฉันบอกความรู้สึกจากใจจริง ดีใจมากที่เธอได้ช่วยชีวิตคนเป็น

“ฉันคิดจะให้สวัสดิการเรื่องอาหารและที่พักเหมือนกัน แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะพาพวกเขาไปอยู่ที่ไหนดี ยังตัดสินใจไม่ได้เลย”

“สวนสนุกไงล่ะคะ Water park นั่นแหละกว้างดี จัดระเบียบแบ่งโซนดี ๆ แล้วยกให้พวกเขาไปเลย” นาตาลีนอนอยู่ตะโกนออกมา

“ดีเหรอ?”

“ดีค่ะ! ให้เขาเป็นเจ้าของบ้านและให้แขกเข้ามาเล่นเครื่องเล่นที่บ้านของเขาจะได้ไม่เหงา” ไป่ไป๋สนับสนุนอีกคน

“เอาอย่างนั้นก็ได้จะลองปรึกษากับคุณลุงดูก่อน นี่รู้มั้ย!...เด็ก ๆ คุยกันลั่นเมืองว่าทำงานที่บันมุนจองสนุกมาก ขอบคุณมากนะคะที่ทำงานหนัก” จูยอนมองนาตาลีที่พื้น

“ค่ะ! กำลังสนุก ดื้อใช้ได้กันทั้งนั้นเลย” เธอโดนฉันลากคอไปทำงานที่ DMZ ด้วย

ทั้งสามหนุ่มเดินกลับเข้ามานั่งด้วย...

“ยอโบ้ว!ไปช่วยพวกเค้ามั้ยคะ?” จูยอนหันซ้าย นาตาลีหันขวับ เบะปากยิ้มเย้ยหยันค้อนประหลับปะเหลือก          

“แหม!แหม!แหม! ยอโบ้ว แหวะ! น่ารักตายล่ะ”เธอแลบลิ้นใส่เขาแล้วหันไปตีมือกับไป่ไป๋

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ยายน้องหัวเหน่งตากลมหัวเราะชอบใจ ไป่ไป๋ถึงเธอจะดื้อบ้าระห่ำกระหน่ำเมือง แต่งานนี้เธอเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงชั้นหนึ่ง ความรับผิดชอบดีมาก คุมทีมเรดซันส่ง Soulless กลับบ้านทุกวัน 

ซอนหันมอง...              

“แปลว่าอะไรวะเห็นคนแก่เรียกกัน ไม่เคยถามสักที”

จูยอนบิดมืออายหน้าแดงเหมือนสาวแรกรุ่น...            

“แปลว่าที่รัก นี่!...ที่รักของฉัน” เธอยิ้มอายแล้วหอมแก้มสุดที่รักของเธอ เจ็ทโด้ยิ้มเก้อดูขัดเขินน่ารักดี

ฉันดีใจที่เขาได้ภรรยาแสนดีทั้งสวยทั้งเก่ง แต่น้องสาวตัวแสบสองคนของเขาดูจะกัดไม่ปล่อย ยายเด็กดื้อเข้าขากันดีจัง...

“แหวะ! อ้วก!! คนที่ความรู้สูงสุด แต่นิสัยเด็กสุดแหย่ทุกครั้ง

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! สองสาวตีมือหัวเราะชอบใจ นาตาลีไม่เคยลงให้เจ็ทโด้ แต่ฉันรู้ว่าเธอรักเขามาก จิกกัดตามแต่สถานการณ์จะอำนวย

เจ็ทโด้หันมาหา...                    

“แอนนา! ตอนเด็ก ๆ ชีวิตคุณลำบากมั้ย?” เขาถามอ่อนโยนยิ้มอบอุ่นเส้นผมยาวสลวยพอกับจูยอนแล้ว /ฉันว่าเขาเท่ดีนะ หล่อมากด้วย/

นาตาลีเงยหน้าหันมามอง...           

“เออ! ฉันก็ไม่เคยถามเลยว่าคุณลำบากมั้ย? น่าจะลำบากแหละ คุณถึงได้อิจฉาฉันมาตลอด” เธอปั่นอีกแล้วยุ่งได้ทุกเรื่องสิน่า

“คุยอะไรกัน?” พวกผู้ใหญ่พากันเดินเข้ามา น้องแทนหันไปโบกมือให้เพื่อน ๆ แยกย้ายกลับบ้าน เจ้าลีอองเดินนวยนาดมานอนแผ่กลางบ้าน ฉันคิดว่าไหน ๆ ก็ต้องเล่าแล้วเรียกมาฟังทีเดียว...                  

“น้องแทนคะ อีซูมิน มานั่งนี่เดี๋ยวจะเล่าอะไรให้ฟัง”

นาตาลีเสนอหน้าทันที...                      

“แหม!อย่างกับประวัติบุคคลสำคัญเลยนะ คุณแอนนา!” เธอจิกเป็นไก่เลย ยายนี่ถ้าถอดชุดคลุมนักวิจัยออกไปก็ดื้อไม่ต่างจากน้องแทน ฉันไม่สนใจไม่วอกแวกคุยกับเจ็ทโด้เป็นงานเป็นการดีกว่า...     

“ฉันเกิดที่ปักกิ่งค่ะ ทุกคนคงรู้จักจัตุรัสเทียนอันเหมินและพระราชวังต้องห้ามสีม่วงใช่ไหมคะ เคยสงสัยไหมว่าในสมัยอดีตพสกนิกรอาศัยอยู่ที่ไหนกัน?” ฉันมองหน้าไปทีละคนเพื่อหาคำตอบ 

ไป่ไป๋ยกมือ...              

“หูท่ง!เธอยิ้มกว้างตาใสเอามือลูบหัวเหน่ง ไป่ไป๋เป็นลูกจีนเธอคงรู้จักจากตำราเรียน                    

“เยส! หูท่งอยู่คู่กับพระราชวังต้องห้ามมาช้านาน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงบรรพบุรุษของฉันก็เป็นขุนนาง พวกคุณยังจำเรื่องขี่ม้าของนาตาลีที่หมู่บ้านกลุ่มชาติพันธ์มู่เหลาได้ไหมคะ นั่นของจริงนะคะ?” ฉันรื้อฟื้นความจำเก่า ๆ ของเพื่อน

“ห่ะ! นาตาลีเคยปล่อยไก่ตัวใหญ่ไว้ รีบมุดหน้าลงไปซบอกไป่ไป๋ ทีอย่างนี้ล่ะทำเป็นอาย เพื่อน ๆ อมยิ้มพยักหน้า

ซอนนั่งกับพื้นข้างขาเงยหน้าขึ้นมอง...            

“อ๋อ!! จุดเริ่มต้นของความแตกแยกของไป่ไป๋กับนาตาลีนี่เอง” พอให้พูดก็พาเครียด

“เพี๊ยะ!! ฉันตีแขนเบา ๆ น้องแทนหันมาส่ายหัว....

“ป๊า!น่าผิดหวัง” พูดจบเขาก็ซบหน้าลงที่ท้องของจูยอน ซอนเม้มปากตาขวางใส่ลูก...

“เฮ้ย! หลายครั้งแล้วนะ ตกลงแกเป็นลูกใคร?” เดี๋ยวจับยัดแจกันซะเลย

“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! สองสาวหัวเราะคิกคัก น้องแทนหักหลังป๊าปีนข้ามไปหาเจ็ทโด้แล้วหันมองกลับมามองเย้ย...                      

“อาบอจี้เล่นกัน บินสูง! บินสูง!” เขาได้พ่อใหม่แล้ว

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! พวกเราหัวเราะสนั่นที่น้องแทนเมินพ่อเก่าปีนขึ้นไปบนลำตัวของเจ็ทโด้

เขาลุกยืนให้ลูกเกาะแขน...

“เอ้า! หมุน! หมุน!เจ็ทโด้ค่อย ๆ หมุนตัว ร่างของเจ้าลูกชายหมุนคว้างห้อยตัวเป็นลิงไต่ราวหัวเราะชอบใจ เขาติดพ่อกับแม่ใหม่ไม่มากวนใจฉันเลย

ซอนสะบัดหน้างอน...

“เออ! จำไว้เลยนะ อยู่แต่กับอาบอจี้ไม่มาหาป๊ามั่งเลย” เขานั่งหน้าง้ำงอนลูกชาย เพื่อน ๆ นั่งอมยิ้ม

ฉันหันไปคุยกับเพื่อน ๆ เล่าเรื่องวัยเด็กให้พวกเขาฟังต่อ...        

“หูท่งเป็นเมืองโบราณ ฮ่องเต้สมัยก่อนมอบที่ดินรอบ ๆ พระราช วังให้กับเหล่าเสนาอำมาตย์ที่ทำความดีความชอบ แล้วมันค่อย ๆ ขยายเป็นเมืองเล็ก ๆ ปัจจุบันทางการจีนขึ้นทะเบียนให้เป็นหมู่บ้านโบราณและเป็น Unseenของปักกิ่งค่ะ” ฉันนึกถึงภาพในวัยเด็กที่เคยวิ่งเข้าออกพระราชวังต้องห้ามเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง                                  

“คุณอยู่ที่นั่นกี่ปี?”เจ็ทโด้ถาม              

“ตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ12 ปี พอม่าม้าเสียป่ะป๊าก็ย้ายไปอยู่ตานตงค่ะ ท่านเกรงว่าเลี้ยงลูกสาวในเมืองใหญ่คนเดียวกลัวลูกจะเสียคน ท่านมีฉันตอนอายุมากแล้ว” ฉันยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าคุณพ่อที่รัก กำลังปลื้มใจสุด ๆ แต่ต้องรีบหุบทันทีที่เห็นสายตาบาดใจของนาตาลี

“จิ๊! เธอย่นจมูกมองสายตาหยามหยัน ยายนี่! รู้ความลับของฉัน คงไม่พลาดที่จะเล่นงานแน่ ๆ...                

“น่าสงสารท่านนะ! อุตส่าห์พาลูกสาวไปอยู่นอกเมืองนึกว่าจะรอด เก็บซะหมดหมู่บ้านไปเลย” คิดไม่ผิดจริง ๆ เธอซัดทันที

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ยายเหน่งล้มกลิ้งพิรุธร่วงกราว ซอนขมวดคิ้วเงยหน้ามองมาฉันต้องรีบปั้นหน้ากลบเกลื่อน เดี๋ยวงานเข้าเรื่องตั้งแต่ชาติที่แล้ว

จูยอนโน้มตัวลงมาถามเบี่ยงความสนใจออกไป ค่อยโล่งอก....

“พาฉันไปเที่ยวบ้างสิ อยากไป”

ยายเหน่งเสนอหน้า...

“อย่าไปเลย! เมื่อยจะตายกว้างก็กว้าง ร้อนก็ร้อนเดินวันเดียวไม่ทั่วหรอกต้องเอามอเตอร์ไซด์ไปด้วย” เธอบ่นทิ้งตัวพิงโซฟา

ฉันหันไปยิ้มให้จูยอน...

“ไว้ถ้ามีโอกาสจะพาเที่ยว ฉันนี่แหละแฟนพันธ์แท้พระราชวังต้องห้ามสีม่วงเข้าไปเล่นในนั้นตั้งแต่เด็กรู้จักทุกซอกซอย ฉันชอบตำหนักของซูสีไทเฮามากที่สุดเลย” ฉันมักไปเล่นกับเพื่อน ๆ จนมืดค่ำ ภายในตำหนักซับซ้อนซ่อนประวัติยาวนาน

ไป่ไป๋โพล่งออกมาอีก

“น่ากลัวจะตายไปมีแต่เรื่องผี ๆ โดยเฉพาะตำหนักนั้นเลย เลื่องลือมากแค่คิดก็ขนหัวลุกแล้ว” ยายเหน่งพองขนสลัดตัว จริงของเธอ เรื่องราวผีดุคู่กับพระราชวังต้องห้ามมาตลอดและโดยเฉพาะเรื่องของพระนางซูสีไทเฮา

แทนนั่งเงียบอยู่นาน หัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ...

“ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ พวกคุณคงได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากพรรคคอมมิวนิสต์มุมเดียว พวกนั้นสร้างเรื่องเพื่อให้ประชาชนเกลียดกลัวอำนาจของสูสีไทเฮา”

เจ็ทโด้ หันขวับ...

“เอาอีกแล้วไอ้นักเรียกร้อง คราวนี้เข้าข้างเจ้า เว้ยเฮ้ย!

“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! เมียทั้งสองชอบใจแล้วหลบหลัง แทนยังมุ่งมั่น เขาเป็นคนใจเย็นที่ชอบอธิบาย หมอนี่สู้ตาย...

“ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เคยเชื่อเลยว่า ซูสีไทเฮาจะเลวร้ายหาความดีไม่ได้เลย คนที่ครองอำนาจมาขนาดนั้นมักจะมีเรื่องดีร้ายผสมปนเปกันไป ไม่ใช่ผิดอยู่คนเดียวหรือถูกอยู่คนเดียวมันเป็นโฆษณาชวนเชื่อมากกว่า พวกคอมมิวนิสต์ถนัดอยู่แล้วกับเรื่องการล้างสมอง” เจ้านักสู้เพื่อประชาธิปไตยผู้พ่ายแพ้ โม้หรือเปล่าวะ?

ซอนเหล่มองแทน... 

“โลกมันพังไปแล้ว กูก็ไม่อยากจะพูดเรื่องย้อนหลังหรอกนะ ทุกระบอบมันก็ล้างสมองทั้งนั้นแหละ มีระบอบไหนไม่ฆ่าคนกลางถนนบ้าง มีระบอบไหนที่ทำเพื่อชาวบ้านอย่างแท้จริงบ้าง?”

จูยอนได้ทีผสมโรง...

“นั่นแหละ คือสิ่งที่ฉันอยากจะฝังมันไว้ ความคิดในการเอาเปรียบสังคม พวกนี้มันส่งต่อได้และถูกถ่ายทอดไปในสังคมตามลำดับชั้นจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจคนรุ่นปัจจุบัน มีการแลกเปลี่ยนและจดบันทึกอย่างเป็นระบบ เพื่อถ่ายทอดให้ลูกหลานพวกมันเสวยสุขบนหัวคนต่อไป” เธอไม่เคยเปลี่ยนความคิดไปจากเดิม ยายสองคนโผล่หัวออกมาทำตาปริบ ๆ ด้านหลังของแทน

ซอนหัวเราะเบา ๆ แล้วแซวจูยอน...     

“ไปว่าบ้านเจ้าแทนมันทำไม อีกนิดเดียวหายใจดังก็ผิดแล้ว อีกนิดเดียวก็จะเหมือนเกาหลีเหนือแล้ว โชคดีที่มันล่มสลายไปก่อน” เขายักคิ้วเย้ยหยัน เจ้านักประท้วงอึกอักล่อกแล่กทุกคนก็พร้อมใจกันเมินหน้า

“อย่า!อย่า!อย่า!อย่า!อย่า! เจ็ทโด้โยกนิ้วชี้ใส่

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ถ้าเป็นฉันคงอายน่าดู อยากมุดดินแน่ ๆ จูยอนปรบมือหัวเราะชอบใจ แทนหน้าจ๋อยหันไปโต้ ...

“พูดเก่ง!..เผด็จการบ้านพี่ยังเคยมาขอความรู้จากบ้านผมเลย ใครจะเชี่ยวชาญทฤษฎีการสมรู้ร่วมคิด วางแผนยึดอำนาจเท่ากับเจ้าหน้าที่รัฐของบ้านผมมั่ง ไปหาเถอะในโลกนี้ไม่มีหรอก”

“ช่างน่าภูมิใจมาก เอ้า! พวกเราปรบมือ” ซอนยานเสียงได้กวนตีนมาก

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!

แทนหันไปหาเจ็ทโด้...

“เขาว่าพี่ด้วย”

เจ็ทโด้รีบโบกมือปฎิเสธ...       

“อย่ามายุ่งกับกู! กูเป็นคนคิดชั้นเดียว ดีมาดีกลับ เลวมาเลวกลับสองเท่า ไม่ได้คิดซับซ้อนเหมือนพวกมึง” เจ็ทโด้เสมอต้นเสมอปลายไม่ชอบการเมือง

“ลูกสาวพี่เป็นไงมั่ง?” จู่ ๆ เจ้าแทนพูดอะไรออกมา

“หือ!! ทุกคนขยับเข้าหา ไป่ไป๋จ้องหน้าแยกเขี้ยว...

“คิดไม่ผิดเลย ต้องมีเมียแอบเก็บแน่ ๆ อนนี่คะข่วนหน้ามั้ย หนูข่วนให้?” ยายตัวแสบขี้หึงเริ่มก่อนเลยหันไปชงใส่จูยอน เจ็ทโด้มองค้อนแต่ไม่สนใจแล้วเอ่ย...

“ไม่รู้สิ! แต่ก็คิดถึงบ่อย ๆ ขอให้เธอโชคดี เจ้าหล้าอยู่ด้วยคงปลอดภัย ป่านนี้สร้างบ้านกันเสร็จหรือยังก็ไม่รู้?” เขายิ่งพูดพวกเรายิ่งไม่เข้าใจ

“ใครคะ! ลูกสาวกับเมียคนไหน?” ฉันถามให้เข้าใจกันไปเลย

อ้าว! แอนนา” เจ็ทโด้ผวาวูบ...“พูดอย่างนี้ผมก็ตายสิ! น้องชื่อพอดี เด็กสาววัย 19 ที่บ้านเกิด เจ้าแทนมันไปช่วยชีวิตไว้ ผมภาวนาให้เธอปลอดภัยมีชีวิตยืนยาว” เขายิ้มอย่างภูมิใจดวงตาวาววับ

“ผมก็คิดเหมือนพี่ เธอเอาตัวรอดเก่งและได้เลือกทางเดินเองแล้ว เหมือนกับจูยอนเลย เออ! เธอบอกว่า ชอบคุณด้วยนะ” เขาหันหาจูยอน

“ทำไมไม่พามาด้วยคะ คนดี ๆ น่าจะพามารวมกัน”

เจ็ทโด้ปลื้มยิ้มภูมิใจ แสดงว่าเด็กคนนี้ต้องมีดีแน่ ๆ ทั้งสองคนถึงเก็บเอามาคิด...

“ชีวิตย่อมมีทางเดินของมันเอง เธอจะเป็นคนสืบสานวัฒนธรรมและเริ่มต้นใหม่ ผมฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เธอและผมเชื่อแล้วว่า เด็กมีหัวใจสาธารณะมากกว่า ถ้าผิดพลาดอะไรมันก็มีเวลาแก้ไข มันเป็นเพียงความผิดพลาดที่บริสุทธิ์ใจ” เขายิ้มตาลอย คงจะรักเด็กคนนั้นมาก ท่าทางเขาเชื่อมั่น...

“เธอเป็นคนแบบไหนคะ ถ้าเทียบกับพวกเราเธอเหมือนใครมากที่สุด”

“เด็ก ๆ มันลำบาก เพราะผู้ใหญ่เสือกไปเชื่อเผด็จการพูดเรื่องประชาธิปไตย เชื่อเจ้าสัวผูกขาดพูดเรื่องการค้าเสรี เชื่อนายตำรวจเกษียณที่ต้องการเป็นนักการเมืองพูดเรื่องการปฎิรูปองค์กร เชื่อตุลาการในเงาเผด็จการว่าจะให้ความเป็นธรรมกับนักกิจกรรมที่เห็นต่าง เชื่อตำรวจที่รับส่วยสัญญาว่าจะปราบการพนันออนไลน์ เชื่อนักการเมืองเจ้าของสัมปทานพูดเรื่องการยกเลิกสัมปทาน บลา!บลา!บลา! แล้วก็ลากเด็กไปติดตาข่ายความคิดนั้น”

“ว้าว!อะไรเข้าสิงเหรอคะ โอปป้า!พูดดีที่สุดตั้งแต่เรารู้จักกันมาเลยนะเนี่ย” นาตาลียกสองนิ้ว ไป่ไป๋กระโดดเข้าไปกอด

จู่ ๆ จูยอนผวาวูบ...

“อุ๊ยตาย! ลูกฉัน” เธอร้องเสียงหลง ฉันผวาไปด้วยหันมองน้อง...

Zzzz!! น้องแทนหลับปุ๋ยฟุบคาท้อง

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! หม่าม้ากับคุณหมอที่นั่งเงียบมาตลอดหัวร่อร่า รีบลุกมาอุ้มน้อง ฉันสบายใจกับทุกอากัปกริยาของทุกคนที่มีต่อลูกชาย

“ซูมินไปนอนเล่นในห้องดีกว่าดูหนังด้วยกัน เอาเจ้านี่ไปนอนด้วย สงสัยเมาหมุนมากไปหน่อย” ท่านอุ้มน้องเดินเข้าห้องข้าง ๆ

“แอนนา! ไป่ไป๋! ผมฝากคุณสองคนไปดูแลนายพลจีนด้วยดูแลให้ดีที่สุด ไปเยี่ยมบ่อย ๆ เลยนะ”

“ขอบคุณนะคะที่ให้ฉันได้ดูแล อย่างน้อยก็ยังได้ตอบแทนบุญคุณเจ้านายเก่า ในสมัยก่อนท่านดีกับฉันมากเหมือนพ่อคนที่ 2” ฉันรู้สึกว่า เขาก็ใจกว้างที่ไม่คิดจะฆ่าเชลย

ไป่ไป๋ปากจู๋หน้าหงิกบ่นอุบ...

“แต่หนูมีปัญหากับ FC อีกแล้ว คนสวยนี่ลำบากเหมือนกันนะ อยากขี้เหร่จัง” ยายเหน่งปวดหัวกับเจ้าเก้อเฉิง

“ยิงทิ้งมั้ยล่ะ เดี๋ยวสั่งทหารให้?” เจ็ทโด้อมยิ้ม

“ไม่เอา! หนูหาวิธีจัดการเองก็ได้” ยายเหน่งเด้งแหกปากโบกมือห้าม

“มันยังเก็บคลิปของเธอไว้เลย มันหลงเธอมากเลยนะ”

“เจี่ยเจี้ยไม่ต้องพูดเรื่องนี้ก็ได้นะ” ไป่ไป๋หน้าง้ำเหล่มองไปที่แทน

“ไม่ได้บอกที่รักของเธอเหรอ?” ฉันต้องแหย่ เรื่องนี้เรารู้กันแค่ 2 คน เห็นแล้วก็สงสารเก้อเฉิงชักว่าวมือเปื่อยเลย ยายนี่ก็หุ่นเหลือล้นสวยเจ็บอกใครเห็นก็อยากฟัด

ยายเหน่งส่ายหัวหนีไปหาลูกพี่ใหญ่...

“เจ็ทโด้โอปป้า! หนูมีเรื่องจะรบกวนค่ะ” เวลาเธออ้อนน่ารักที่สุด

“ว่ามา”

“ช่วยสั่งย้ายร้อยตรีหญิงคิมเยวอนไปเป็นคนดูแลเก้อเฉิงให้ด้วยค่ะ” เธออมยิ้มเหล่มาที่ฉัน...

“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! เยวอนซวยเลยยายเหน่งขี้โกง นาตาลีคิ้วขมวดอ้าปากค้างหันมอง

เจ็ทโด้หันมาขมวดคิ้วมอง

“ขำอะไร ย้ายทำไม แล้วใครจะทำงานแทนนาตาลี?”

“ช่วยทำตามที่เธอบอกด้วยนะคะ หึหึหึ” ฉันรีบเข้าช่วยเพราะเข้าใจน้องสาวดี ไป่ไป๋ก็คือไป่ไป๋...ขี้โกงตลอด แต่ก็ดีแล้ว...นาตาลีจะได้ไม่วอกแวก ไม่ต้องเข้าไปที่ศูนย์ดาราศาสตร์อีกจะได้มาดูเด็ก ๆ ทำงานเต็มเวลาสักทีและฉันก็จะได้หาผัวให้เยวอนตามที่สัญญาไว้กับเธอด้วย ยายเหน่งยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลย

ไป่ไป๋หันไปกอดคอแทน...

“ขอพูดเรื่องเก่าหน่อยนะคะ หนูสงสัยเรื่องถนนหลังเต่าที่บ้านคุณมากค่ะ ทำไมมันเยอะขนาดนั้น?”       

“ลูกระนาดมีไว้ทำอะไร?” ซอนถามแขวะ เจ้าแทนคิ้วขมวดมองอย่างอย่างระวังตัว...

“ก็..ก็ทำให้รถวิ่งช้าลงไงล่ะพี่ เครื่องมือจราจรอัจฉริยะ พี่ไม่รู้หรือไง?”

“ติดป้ายจำกัดความเร็วสิ อ่านหนังสือไม่ออกกันเหรอ?” ซอนก็กวนตีนบ้านตัวเองถนนยังไม่ลาดยางเลย ไป่ไป๋น้องสาวสุดที่รักพยักหน้ารัวสนับสนุนพี่ชายเต็มที่ /มีพิรุธนะยายนี่/

“ติดป้ายแล้ว ติดไฟเหลืองกะพริบแล้ว มันก็ไม่เคยลดความเร็ว”

“ผมเคยไปเที่ยวบ้านมัน ขับรถมอเตอร์ไซด์กินไอติมดื่มด่ำกับดวงอาทิตย์แดงฉานที่กำลังตกดิน ชนกับลูกระนาดรถล้มกระเด็น เลือดเต็มปากเลยกู”

“พ่ามพ่าม! พามพ้ามพ่าม!เสียงทีวีเพลงมิชชั่นอิมพอสสิเบิ้ลจากในห้องกระแทกเข้าจังหวะรับกันอย่างลงตัว

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!

“ก็เขาไม่ให้ขับรถเร็ว เด็กเดินบนถนนมันอันตราย” แทนไม่ยอม บางครั้งเขาก็รั้นเหมือนกัน

“ถ้าขับเร็ว กูคงไปกินไอติมต่อในนรกแล้วมั้ง? แม่ง!!ลูกระนาดก็สูงถนนเสือกเป็นหลุมอีก เหมือนกับดัก”

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ไป่ไป๋ปรบมือหัวเราะชอบใจเข้าข้างกันเหมือนมีปมในใจ

แทนได้แต่หลุกหลิก เขาก็คงไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ต้องเข้าข้างในสิ่งที่ไม่ชอบ คงอึดอัดใจเถียงข้าง ๆ คู คู เพื่อปกป้องประเทศ...

“ถนนหลังเต่า มันก็มีกันทุกประเทศแหละ”

“ใช่!กูไม่เถียง แต่ก็ไม่ได้มีทุกตรอกซอกซอย แม่งละเมิดสิทธิ์กันชัด ๆ ”

“ยังไง?”

“คนยอมเสียเงินซื้อรถราคาแพงก็เพราะมันแล่นได้เร็ว แต่ก็มาโดนกับดัก”                 

“แต่การเอาลูกระนาดขวางถนนก็เสมอภาคดีนะ ไม่ว่ารถราคาเท่าไหร่ก็ต้องชะลอ นี่แหละความเท่าเทียม!” ชุดความคิดของบ้านเขาคงเป็นเช่นนั้นมั้ง ฉันว่าเหตุผลนี้ไม่ใช่ เมียทั้ง 2 คนส่ายหน้า

ซอนยิ้มยียวนมาก...

“ถ้ากลัวว่ารถจะขับเร็วมึงจะทำถนนให้มันเรียบทำไม ปล่อยให้เป็นหลุมเป็นบ่อก็ได้”

“อย่า!อย่า!อย่า!อย่า!อย่า!อย่า!เจ็ทโด้ส่ายนิ้ว...

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!คราวนี้คนแก่หัวเราะกลิ้ง ไอ้หนุ่มนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเริ่มไปไม่เป็นหันมองหาพวก ฉันเมินก่อนเลย

“อ้าว! ก็มันเดือดร้อนชาวบ้าน เสียงก็ดัง รถก็แล่นกันเป็นจรวด ชนคนเจ็บมันไม่คุ้ม ไหนจะเด็ก ๆ อีกล่ะ” แทนเถียงแถกไปเรื่อยสีข้างแหกไปหมดแล้ว

“กูเห็นคนบ้านมึงชอบลงไปเดินบนถนนโดนรถชนก็สมควรแล้ว มีแต่บ้านมึงแหละที่เลี้ยงเด็กริมถนน พอรถชนเด็กตายก็โทษคนขับประมาท พ่อแม่มันนั่นแหละที่ประมาทและรัฐก็แก้ปัญหาปลายเหตุ มึงดูถนนที่นี่สิ ทุกอย่างเป็นสัดส่วนชัดเจน”

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!นาตาลีแอบหลังของแทนหัวเราะคิกคัก ไม่มีใครเข้าข้างแม้แต่เมียของเขา

แทนโดนต้อนจนอึกอัก ฉันคิดว่าถ้ามองในมุมของซอนก็ถูก ถ้ารัฐวางแผนการจราจรให้ดีตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเสียงบซ้ำซ้อน ถนนสาธารณะสร้างไว้สำหรับรถยนต์ แต่เอาลูกระนาดมากั้นเพราะกลัวรถขับเร็ว สิ้นคิดจริง ๆ ทั้งเบรกสึกหรอทั้งช่วงล่างพัง

แทนยังไม่ยอม...

“มอเตอร์ไซด์มันเสียงดังชาวบ้านจะหลับจะนอน” เขาตะแบงข้าง ๆ คู ๆ  หมอนี่รักชาติไม่เบาเหมือนกันนะ

โดยปกติ ซอนไม่ชอบคุยเรื่องพวกนี้ เขาเดินหนีเป็นประจำแต่วันนี้เขาใจเย็นพูดต่อ...

“แต่การเอาลูกระนาดมาพาดกลางถนน เหมือนกับเด็กเกเรคนเดียวทำผิดแต่ครูกลับลงโทษทั้งชั้น มันถูกต้องไหม?” อีตานี่ไปเกลียดอะไรบ้านของเขาขนาดนั้นนะ

“เนอะ?” ไป่ไป๋ก็น่าโดนตบดี๊ด๊าเข้ากันเหลือเกินไม่เกรงใจผัวเลย

“มึงก็รู้ว่าช่วงล่างรถยนต์มันก็มีอายุ ถ้าขับถนนเรียบ ๆ ก็ใช้กันได้ 3-5 ปี แต่มาโดนลูกระนาดถี่ยิบขนาดนั้น 1-2 ปีก็พัง แล้วใครจ่ายค่าซ่อม?”

ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! พวกรัฐมนตรีมีเอี่ยวกับบริษัทอะไหล่หรือเปล่าหรือมีเอี่ยวกับงบซ่อมสร้างถนน? นาตาลีกับไป่ไป๋ปรบมือชอบใจ ฉันคิดในใจ...อีตาบ้าซอน เบรกเจ้าแทนซะสนิทเลย เขาไม่ได้เป็นคนทำสักหน่อย

ไป่ไป๋ได้ทีโผล่หัวเหน่งมา...

“ซอน!เอาเดอะแก๊งไปฝึกขับที่นั่นสิคะ หนูนึกว่าสนามโมโตครอสนั่งรถเผลอไม่ได้เลย แม่งจุก!” เธอหัวเราะลั่น สงสัยคงมีความแค้นกับถนนหลังเต่าที่นั่น

ซอนพูดต่อ...

“ลูกระนาดเป็นตัวแทนของอภิสิทธ์ชนไม่ได้อยู่ในกฎหมาย แต่กฎหมายก็ทำอะไรไม่ได้ ทุกคนต้องมาหยุดต่อหน้ากู”

“ก็มีข้อเสียแค่อย่างเดียวแหละ!” นายแทนจะแถสู้

แต่...

“อย่า!อย่า!อย่า!อย่า!อย่า!อย่า! เจ็ทโด้ตะโกนมา หม่าม้าหัวเราะหงายท้องไปเลย

ซอนยังคงหัวเราะไม่เลิก ขยับท่าทางเล่นงานเขาต่อ...

“ทางด่วนก็ตลก บ้านมันรถโคตรติดเลย หนีไปขึ้นทางด่วนก็หวังว่าจะเร็วขึ้น แต่พอขึ้นไป...ก็ติดแหง็กอยู่ข้างบน คราวนี้ซวยเลยโดนล็อกไปไหนไม่ได้”

ยายเหน่งยิ้มดื้อตาใส เข้าคู่กับพี่ชาย...

“แล้วมันด่วนยังไงคะ?”

“ก็นั่นนะสิ!” ซอนส่ายหัวพูดต่อ“เอ้า! ไหน ๆ ก็ขึ้นมาแล้วก็ต้องทน อึดอัดขยับกระดื๊บ ๆ เป็นหนอนไปทีละนิด พอหลุดออกถนนโล่งก็จัดเต็มชดเชยเวลาที่เสียไป แม่ง! โดนจับความเร็ว พ่อง! ตาย...”

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! พวกเราฮากันครืน ย้อนแย้งจริงน่ะแหละ

นาตาลีเสนอหน้าออกมา…

“ถ้าคุณยังเชื่อว่าบ้านคุณเป็นประชาธิปไตย ก็ไม่ต่างจากเด็กเกาหลีเหนือที่เชื่อว่าท่านผู้นำสูงสุดขับเรือยอร์ชได้ตั้งแต่ 3 ขวบหรอก”

“เอ่อ...” แทนไปไม่เป็น อึกอักหันหาใครก็เมินหน้าคงลืมไปว่าเขาอยู่ท่ามกลางดงคอมมิวนิสต์

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ไป่ไป๋ตีมือกันสนุกสนาน ฉันเข้าใจหัวอกของเขาบ้านใครก็ต้องรัก

“สังคมมันต้องมีความเท่าเทียม แม้เราทำให้คนรวยเท่ากันไม่ได้แต่ก็ทำให้ทุกคนอยู่รวมกันใต้กฎหมายที่เป็นธรรมได้ตามวิถีประชาธิปไตย การมีเสรีภาพเป็นของขวัญที่ธรรมชาติส่งมอบให้กับมนุษย์ทุกคน” เจ้านี่วิชาการเข้าสายเลือดจริง ๆ ไม่แปลกเลยที่ใคร ๆก็เดินหนีเวลาคุยกับเขาเรื่องการเมือง

ซอนหันมาดึงแขนให้ลุก ...

“ม้าเราไปสนามฟุตบอลดูเด็กมันเล่นโดรนกันดีกว่า ไม่อยากคุยกับมันแล้ว มันโตแต่ตัวสมองไม่พัฒนา บ้าวิชาการที่ปฎิบัติจริงไม่ได้”

เราเข้าไปหอมแก้มลูกชายที่นอนหลับปุ๋ยข้างคุณหมอ ชื่นใจมากที่ลูกชายสามารถเข้าได้กับทุกคน มันปลดความเป็นห่วงในใจได้มากทีเดียว การเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์คือสิ่งที่ฉันอยากให้เขาเรียนรู้หลังจากชื่นใจแล้วก็เตรียมตัวกลับ

ซอนสงสัยยังไม่จบ เดินไปหาเจ้าแทน...

“แทนขอถามอะไรหน่อยสิ มึงเรียนรู้การต่อสู้แบบสันติอหิงสามาจากไหน ใครเป็นคนสอนให้มึงรู้จัก แล้วทำไมถึงคิดว่าวิธีนี้ดีกว่าวิธีอื่น” สงสัยจะไม่ได้กลับซะละมั้ง

“พี่ไปอยู่ที่ไหนมา ในตำราสอนกันทุกมหาวิทยาลัยมันเป็นการต่อสู้ทางการเมืองแบบผู้มีอารยะ ถือว่าเป็นการแสดงเจตจำนงค์โดยไม่ต้องต่อสู้ห้ำหั่นกันด้วยอาวุธ จะชนะไปทำไมถ้าบ้านเมืองพังพินาศประชาชนล้มตาย” เจ้าแทนมันบ้าประชาธิปไตยจริง ๆ

ซอนส่ายหน้ามองอย่างสมเพช...

“มึงติดกับดักทางความคิด รัฐมันกลัวว่าประชาชนจะหยิบอาวุธขึ้นสู้ ถ้าชาวบ้านแค่ถือก้อนหินคนละก้อน ช่วยกันขว้างใส่กองทัพมันก็พังไม่เป็นท่าแล้ว สันติอหิงสานั่นน่ะเป็นกับดักของความตายที่รัฐล้างสมองผ่านระบบการศึกษา ทหารมันนั่งยิ้มตั้งแต่มึงเลือกใช้วิธีนี้แล้ว มึงไม่เคยแหกตาดูมั่งเหรอ ทั้งอาหรับสปิงและตาลีบันทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว มึงมองไม่เห็นหรือไง ไอ้ฟายเอ๊ย!

ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ตายแล้วผัวฉัน ล่อเจ้าแทนซะหน้าจ๋อยเลย จูยอนหัวเราะลั่นปรบมือชอบใจ...

“ฉันเคยบอกคุณไปหมดแล้วและฉันก็ทำแล้ว อย่างไรก็ต้องตาย ชีวิตแลกด้วยชีวิตสิคะ”

 แทนตะโกนเสียงหลง...                      

“แต่หลังเต่ากับรถติดมันประชาธิปไตยนะ ต้องทำเหมือนกันหมดมันเท่าเทียม เหมือนเกาหลีใต้ผู้ชายถ้าไม่พิการต้องเป็นทหารทุกคน” อ้าว! ไม่จบ แถข้าง ๆ คู ๆกลับไปหาถนนหลังเต่ากับรถติดอีก

“นั่นสภาเขาโหวตมา และบ้านเขาอยู่ในภาวะสงคราม หลังเต่าบ้านมึงใครโหวตมาวะ ผู้รับเหมาก่อสร้างเหรอ?”

“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! เสียงหัวเราะโห่ฮาของสองสาวดังทั้งบ้าน

“อีกอย่างนะ ก่อนเกาหลีใต้จะเป็นประชาธิปไตย มึงคิดว่าแค่เขาประท้วงแล้วชนะเผด็จการเหรอ เขามีกองกำลังติดอาวุธช่วยทั้งนั้นแหละ ไม่งั้นทหารยิงตายห่าหมด หม่าม้า! ป่ะป๊า! ผมกลับก่อนนะครับ จะไปสร้างถนนหลังเต่าหน้าบ้านสักหน่อย ไอ้แทนนั่นแหละขับรถเร็วกว่าใครเลย” เขาหันไปค้อนแล้วเดินออก เสียงโห่ฮาดังสนั่น

“รอก่อน!เจ็ทโด้วิ่งตามมา

“แอนนา! มาขับเครื่องบินให้หน่อยสิ ทหารรายงานมาว่าจีนบุกอีกแล้ว” เขากอดคอซอน

“ได้ค่ะ! ฉันว่างไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว ว่างมากด้วย” ฉันรีบว่างทันที ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าได้ขับเครื่องบินอีกแล้ว

“อ้าว!แล้วม้าไม่ไปฉีดวัคซีนเหรอ?” ซอนยุ่งไม่เข้าเรื่อง

“อ๋า!เด็ก ๆ ทำกันได้ นาตาลีก็อยู่ไม่ต้องห่วงหรอก” ฉันไม่ยอมพลาดแน่.

“คราวนี้เอาอาปาเช่ไปนะ เตรียมตัวไว้ให้พร้อม” เขาพูดแล้วหมุนตัวกลับเข้าบ้าน //ฉันขาเปลี้ยเลย โอย ๆ อยากไปเดี๋ยวนี้เลย ฉันได้ขับเครื่องบินอีกแล้ว//

นานแล้วที่เราสองคนต่างก็แยกกันทำงาน ซอนกอดคอพาออกมายืนกลางลานหญ้าหน้าบ้าน เจ้าลีอองเล่นกับหมาดำที่ขอบสนามกลิ่นดอกไม้หอมอบอวล เขาทุ่มเทสร้างเดอะแก๊งขึ้นมาฉันเองก็ทุ่มเทกับการผลิตวัคซีนเพื่อล้างความผิดในใจ ทุกครั้งที่ได้ปักวัคซีนลงบนแขนของ Soulless ก็รู้สึกเบาสบายใจที่มีคนรอดเพิ่มขึ้น

“ม้าเหนื่อยมั้ย กลับไปอยู่ที่บ้านเราก็ได้นะถ้าไม่อยากทำ?” น้ำเสียงของซอนอบอุ่น แค่นี้ฉันก็หายเหนื่อยแล้ว ซอนดีกับฉันเสมอต้นเสมอปลายและเสมอมา            

เราเดินแวะไปลูบหัวเจ้าลีอองแมวยักษ์แล้วก้าวเดินลงไปที่ลานจอดรถยนต์ด้านล่าง ดอกมูกุงฮวาชมพูบานสะพรั่งดาดดื่น          

“ขอโทษนะป๊า ฉันไม่มีเวลาให้เลย” ฉันกอดคออ้อนอีกไม่นาน ฉันต้องเดินทางรอบโลกกับนาตาลียิ่งจะห่างกันมากขึ้นไปอีก

“ม้าไม่ต้องทำก็ได้ ปล่อยให้นาตาลีทำไปคนเดียว”

ฉันยิ้มขอบคุณแล้วส่ายหน้า ทิ้งให้เรื่องนี้เป็นภาระของนาตาลีคนเดียวไม่ได้ เราช่วยกันสร้างก็ต้องช่วยกันแก้ ใครผูกคนนั้นต้องแก้

“กว่าจะฉีดหมดโลก เราตายกันก่อน” ซอนบ่นไปเรื่อย เขาไม่ห้ามหรอกลูกน้องเจ็ทโด้ใจดีทุกคน

“ไปด้วย! เสียงตึงตังจากในบ้าน เราหยุดเดินหันไปมอง อีซูมินกับยายหัวเหน่งอุ้มกล่องวิ่งลงมา...

“หนูไปด้วย หนูเซียนโดรนเลยนะ นี่หนูเอาเครื่องเสียงมาด้วย” เธอยกกล่องอวด

“จะทำอะไร? ”เขาถามน้อง

“วันนี้! หนูจะจัดการแข่งขัน ใครชนะเอาเครื่องเสียงนี้ไปเลย เราแวะไปให้เสียงตามสายประกาศเรียกน้อง ๆ ของเรามาเชียร์ด้วยดีกว่าเนอะ” เธอยิ้มกว้างหันไปหาอีซูมิน

ซอนพยักหน้ารัว...

“วันไหนว่าง ๆ เราไปจัดแข่งขันร้องเพลงกันมั่งดีกว่า” อีตานี่กับไป่ไป๋คุยเข้ากันทุกเรื่อง

“โห! ซอนซัมชุนจะจัด Audition เหรอ จะไม่มีคนช่วยทำงานเอานะคะ” อีซูมินถามตาแป๋ว

“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!สองสาวถูกใจยิ้มตีมือกัน

การทำกิจกรรมร่วมกันเด็กจะรักกัน เด็ก ๆ พวกนี้ต่อไปจะเป็นกำลังสำคัญให้กับจูยอน กลุ่มฉีดวัคซีนทำงานกันรุดหน้ามากแต่ฉันเริ่มไม่สบายใจกับกองทัพจีนอีกแล้ว...

                                    ...............................................................................

จำนวนผู้มาเยือน

หน้าที่เข้าชม12,859 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด10,975 ครั้ง
ร้านค้าอัพเดท6 ก.ย. 2568

สมาชิก

พูดคุย-สอบถาม