หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 9 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 22 ต.ค. 2567 |
กีจองดอง
มุมมองสายตา นาตาลี
กรกฏาคม ค.ศ.2026
“บรื้น...นน!!” รถยนต์ทหารลุยถนนชนบทผ่านทุ่งดอก Pink Muhly Grass ที่ห่มพื้นดินด้วยสีชมพูพาสเทลตรึงตาตรึงใจ ในที่สุดฝันของหมวดจางและจูยอนก็เป็นรูปเป็นร่าง ฝันที่จะช่วยชีวิตคนกับการรวมชาติของจูยอนต้องทำงานคู่กัน เสียงเพลงอารีรังดังเพราะพริ้งมาตามสายลมปลอบประโลมความปวดร้าว
ซอนเพิ่มความมั่นใจให้กับชนชาติเกาหลี เขานำทีมเดอะแก๊งไปเปลี่ยนธงรวมชาติที่เกาหลีใต้ ถือว่าเป็นก้าวแรกของการกลับคืนสู่อ้อมกอดของปิตุภูมิ เมื่อไม่มีการเมืองมาเกี่ยวข้องพี่น้องก็กลับมารักกัน
“บรื้น...นน!!” รถยนต์ทหารกำลังแล่นเข้าเขตหมู่บ้านกีจองดอง ธงรวมชาติพื้นสีขาวสะบัดพลิ้ว รูปคาบสมุทรเกาหลีสีฟ้าประทับกึ่งกลางโบกสะบัดบนยอดเสาสูง
“สหายคนขับ! ช่วยส่งฉันลงที่หน้าเสาธงนะคะ” ฉันหันไปบอกพลขับ หน้าอาคารพลุกพล่านไปด้วยผู้คนล้นหลาม
“ปั้ลลี่ ปั้ลลี่” เสียงเร่งเร้าทำงานดังทุกที่ถึงฉันจะไม่ผูกพันกับเกาหลีใต้ แต่ฉันก็มีสายเลือดเกาหลีเต็มตัว ขนลุกทุกครั้งเมื่อได้เห็นธงรวมชาติสีขาวปลิวไสวและซาบซึ้งใจกับทุกการกระทำของจูยอน
ไป่ไป๋ของฉันยืนกอดอกอยู่บนลานบันไดหน้าคอนโดสูง มองเด็ก ๆส่งพวกที่ช่วยเหลือตัวเองได้แล้วกลับบ้าน สาว ๆ เรดซันสวมชุดวอร์มสีแดงขลิบขาวสวยสดใสทำงานแข็งขันคู่กับทีมเดอะแก๊งสวมชุดวอร์มสีเหลืองวิ่งกันให้วุ่นไปหมด
“ปั้ลลี่!ปั้ลลี่!” บริเวณทุ่งหญ้าแถบนี้สวยสบายตาไปด้วยดอกไม้ รถบัสและรถบรรทุกทหารจากค่ายแคซ็องนับร้อยนับพันคันสลับวิ่งเข้า-ออกจากชายแดนทั้งวัน Soulless ที่ได้รับการรักษาเสร็จเรียบร้อยจะถูกนำตัวกลับไปปล่อยที่กรุงโซล
ฉันหยุดยืนแอบมองไป่ไป๋เดินตรวจงาน ดูแลความเรียบร้อย เรดซันถือแฟ้มวิ่งเข้าหา...
“เซม! 12,500 ค่ะ” เด็กสาววัยรุ่นผมสั้นรายงาน อาจุมม่า 6 - 7 คน เดินงกเงิ่นออกจากอาคารแวะเข้าไปหาไป่ไป๋...
“แม่หนู! เธอชื่ออะไร พวกเราเป็นหนี้ชีวิตพวกเธอมากเลยนะ” อาจุมม่าเส้นผมหงอกขาวลูบไล้ฝ่ามือของเธอ ไป่ไป๋ยิ้มน้ำตาคลอเสียงเพลงอารีรังเสียดแทงใจ...
“อาจุมมานีม! เด็ก ๆ ชาวเกาหลีเหนือเป็นคนที่ช่วยทุกคนไว้ ถ้าอยากขอบคุณเอาไว้ถ้าหายดีแล้วกลับมาที่นี่อีกนะคะ มาช่วยพวกหนูนะคะ” สาวน้อยของฉันจิตใจอ่อนโยน เธอยิ้มแล้วชี้มือกลับไปในอาคาร น้อง ๆ วัยรุ่นหนุ่มสาวกำลังเดินเติมน้ำ เติมอาหาร ฉีดยา เปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับผู้ประสบภัย
สายลมพัดกลีบดอกไม้สีชมพูจากท้องทุ่ง ปลิวล่องลอยมาเคล้ากับเสียงเพลงอารีรังครวญใต้ฟ้าครามอย่างเศร้าสร้อย เนื้อเพลงกำลังบ่งบอกถึงความโหยหาอาลัยกับความรักที่ลับหายไป...
“อา..รีรัง อา...รีรัง อา..รารีโย อา..รีรัง โค..แกโร นอมอกันดา นารึล พอริโก คาชินึน นีมึน” ทหารหนุ่มและทีมของเดอะแก๊งค์นับร้อยคน ทยอยเดินยิ้มใบหน้าเลอะคราบน้ำตาเข้ามา พวกเขาร่วมร้องเพลงแห่งความรักและพลัดพรากดังกึกก้องหมู่บ้านกีจองดอง สายลมสะพัดสะบัดธงรวมชาติปลิวไสว บรรยากาศเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นและซาบซึ้งใจ มีทั้งรอยยิ้มและน้ำตาเคล้ารวมกันผสมกับบทเพลงที่เปี่ยมความหมายของแผ่นดินเกิด
ฉันเองก็จุกอกอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ การพลัดพรากจากสิ่งที่รักและหวงแหนเหมือนโดนควักหัวใจออกจากอกเดินเหมือนต้องมนต์เข้าแถวไปร่วมร้องเพลงส่งพวกเขากลับบ้าน...
“ชิม...นิโด โมกาซอ พัลมยองนันดา อารีรัง อารีรัง อารารีโย” จิตใจพองฟูตื้นตันน้ำตาไหลด้วยความปลื้มปีติ ซาบซึ้งกับบรรยากาศที่แสนจะอบอุ่นที่ทางทีมงานจัดส่งพวกเขาอย่างสมเกียรติ
“อารีรัง อารีรัง อารารีโย อารีรัง โคแกโร นอมอกันดา”
“ขอให้ทุกคนโชคดี ถ้าไม่มีที่ไปให้กลับมาที่นี่นะคะ ไม่ต้องกลัวทหารเกาหลีเหนืออีกแล้ว พวกเขาเป็นลูกหลานของท่าน เราเป็นคนเกาหลีเหมือนกัน” ฉันเข้าแถวรวมกับทหารเกาหลีเหนือเข้าไปสวมกอดและจับมือเพื่อจากลา..
“ขอให้เดินทางปลอดภัย ขอให้ได้เจอกับครอบครัวนะคะ อันยองฮี คาเซโย!” น้ำตาไหลของฉันไหลไม่หยุดเลย มองภาพความสุขของผู้รับและผู้ให้จากลากัน ผู้รอดชีวิตเข้าสวมกอดขอบคุณและลาเหล่าวัยรุ่นที่คอยดูแลพวกเขา
ทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้น…
“ยอลาบูนขึ้นรถกันเถอะครับ เราต้องไปขึ้นรถไฟอีกจะได้ไม่มืดค่ำ ฝั่งใต้อาจจะมืดมน แต่ก็ยังอยู่ได้ครับ ถ้าเจอทหารเกาหลีเหนือที่นั่นไม่ต้องกลัว เขาเป็นคนคอยปกป้องให้ทุกคนนอนหลับ ถ้าลำบากมากก็เข้าไปขอให้พวกเขาช่วยเหลือนะครับ” เขาบอกแล้วประคองอาจุมม่าขึ้นรถทหาร ส่วนใหญ่ที่รอดก็แค่รุ่นป้า ส่วนรุ่นคุณปู่คุณตาตายหมดไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว
กลุ่มชายหนุ่มเกาหลีใต้ผู้โชคดี ยืนเรียงแถวกุมท้องโค้งศีรษะลาไป่ไป๋…
“คัมซามนิดะซอนเซงนีม! อันยองฮีคเยเซโย”
“อันยองฮีคาเซโยยอลาบูน! ขอให้โชคดีพบเจอสิ่งดี ๆ เช่นกันนะคะ กลับไปตามหาครอบครัวให้เจอ ถ้าคราวหน้าเจอทหารเกาหลีเหนือหรือเจอพวกเราอย่าทำร้ายกันนะคะให้ข้าวให้น้ำพวกเรากินบ้าง จากนี้ไม่มีสงครามเหนือใต้อีกแล้ว” ยายเหน่งสะอึกสะอื้นยืนเช็ดน้ำตาส่งยิ้มโบกมือให้กับผู้ที่รอดชีวิตที่กำลังจากไป...
“ถ้าสู้ไม่ไหวมารอพวกเราที่สถานีรถไฟ ทหารจะพากลับมาที่นี่ไม่ต้องกังวลนะคะ อันยองฮีคาเซโย!” เธอป้องปากตะโกนโบกมือแล้วหมุนตัวกลับเข้าอาคาร
ทุกคนต้องเดินผ่านเด็กหญิงหน้าตาน่ารัก สวมแว่นตาดำหอบดอกไม้กำใหญ่ไว้แนบอกคอยมอบให้กับทุกคน...
“อันยองฮีคาเซโย” เธอกล่าวลาเสียงใสด้วยรอยยิ้มที่น่ารักของสาวน้อยโกโจรีทำให้ทั้งแถวสะดุดลง แขกของเราก้มลงไปหอมแก้มบางคนสวมกอดด้วยความรู้สึกขอบคุณ
“บรื้น...นน!!!” รถยนต์ทหารเคลื่อนตัวออกไปพร้อมกับเสียงเพลงเหล่าเด็กวัยรุ่นชุดแดง-เหลืองวิ่งยิ้มตามไปโบกมือแสดงความจริงใจส่งแขกกลับบ้านอย่างอบอุ่น
ฉันยืนมองจนรถคันสุดท้ายไปไกลลับตา หันหลังกลับมาแล้วย่องเข้าไปหาไป่ไป๋ในอาคาร เธอกำลังจดบันทึกลงสมุดไม่ได้สนใจรอบตัว ฉันหันซ้ายหันขวาพอได้จังหวะก็สวมกอดยอดดวงใจให้หายคิดถึง...
“ปี๊ม!” บีบนมไปซะหนึ่งดอก…
“อุ๊ย!” เธอสะดุ้งโหยง
“ไป่ไป๋เซม โกพอชิบตา!” ฉันหอมแก้มนัวเนียสาวน้อยให้หายคิดถึง รักเธอมากเหลือเกิน
เธอหันมาดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ เส้นผมบนหัวตั้งเป็นเม่นแล้ว งานยุ่งจนไม่มีเวลาสนใจตัวเองคนที่ทำงานตรงนี้สะเทือนใจทุกวัน ทุกคนต่างก็เสียน้ำตา การจากลาคนที่ผูกพันมันเศร้าใจ
“อนนี่!มาได้ยังไง หนูคิดถึงทุกวันคิดถึงอนนี่ที่สุดเลย”เธอกอดแน่นตามนิสัยขี้อ้อน สายตาอ่อนล้าท่าทางโรยแรง
“เหนื่อยมั้ยคะมีปัญหาหรือเปล่า กินข้าวได้มั้ยนอนที่ไหน?”ฉันโอบเอวเดินตามเธอเข้าไปใต้อาคารคอนโดมิเนียม
“อันยองฮาชิมนิก๊า!” น้องเรดซันร้องทักทาย
“ปัญหาไม่มีแต่เหนื่อยมาก หนูหน้าแก่ขึ้นเยอะเลยไม่กล้ามองกระจกเลยตอนนี้ เส้นผมแข็งเป็นแปรงถูพื้นแล้ว”เธอปากจู๋เอามือลูบหัว
“เจอไอดอลของตัวเองหรือยังคะ เฮนรี่กับ IU เป็นไงมั่ง?” ฉันถามขำ ๆ เป้าหมายของเธอคือช่วยไอดอลชายหญิงสองคนที่เธอชอบ
สำหรับฉันแล้วเชื่อโดยไม่สงสัยเลยว่า ไอดอลคนดังเหล่านั้นกลายเป็น Soulless ไปแล้วแน่นอน เพราะพวกเขาเป็นเซเลปมีชื่อเสียงต้องได้รับการฉีดวัคซีนก่อนใคร ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปเดินเลื่อนลอยอยู่ที่ไหนแล้ว
“ยังไม่เจอเลยค่ะ สภาพดูไม่จืดกันสักคนอาจจะอยู่กับที่ค่ายโบนิฟาสในฝั่งใต้ก็ได้ บางทีพวกเขาอาจจะยังไม่ได้ข้ามมา” ดวงตาของเธอยังมีประกายความหวังยังมองโลกในแง่ดี แต่ฉันคิดในใจ...อาจจะลุยดงระเบิดตายไปแล้วก็ได้
เธอหันไปเรียกเด็กสาวท่าทางทะมัดทะแมง...
“สหายซูอา! มานี่หน่อยค่ะ” ไป่ไป๋กวักมือเรียก เด็กสาวหัวเม่นวิ่งยิ้มหน้าบานเข้ามา...
“เย่เซม!” เด็กสาววัยรุ่นหน้าตาดียิ้มกว้างเดินเข้ามาหา หัวหน้ากับลูกน้องหัวโล้นพอกัน
“อันยองฮาชิมนิก๊าซาจังนีม!” เธอโค้งศีรษะทักทาย
ฉันตื้นตันยิ้มมองไป่ไป๋ด้วยความภูมิใจ พวกเราเดินทางมาไกลมาก ระยะเวลาหล่อหลอมให้เธอโตเป็นผู้ใหญ่ใจดี กลายเป็นคุณครูของเด็ก ๆ...
“เอากลูโคสไปฉีดให้ที่ตึก10 ด้วยนะคะ แล้วไปสั่งสหายอาจุมม่าทำข้าวห่อพรุ่งนี้ 10,000ห่อ พวกเขาจะได้กลับบ้านอีกชุดแล้ว”
“อารัสซอโย!” เด็กสาวก้มหัวแล้วหมุนตัวเดิน ไป่ไป๋ฉุกคิดยกมือดักไว้...
“ชัมกันมันโย!”
“เย่เซม!”
“ไปบอกสหายเยริมให้ไปทำความสะอาดที่นอนคนป่วยด้วยเดี๋ยวชุดใหม่จะมาแล้ว ฉันเอาชุดมาให้พวกเธอด้วยอยู่ที่ห้องล็อกเกอร์ไปเลือกเอาเองนะ”
“เย่!” ซูอากระเด้งรีบวิ่งแจ้นออกไป
เธอหันมายิ้มหวาน...
“อนนี่มีอะไรจะให้หนูทำหรือเปล่าคะ?” เธอท่าทางมีงานต้องทำล้นมือ ชะเง้อคอมองกลุ่มคนไข้ตลอด
“ไม่มีค่ะ!”
“แทนล่ะคะเป็นไงบ้าง ไม่มาหาหนูเลย”
“.........” ฉันส่ายหน้าอย่างงงๆ ก็ให้เธอเป็นคนดูแลยังจะมาถามฉันอีก ต่างคนต่างทำงานตอนนี้เขาไปไหนก็ไม่รู้ //ไม่ได้บุ่มบุ๋มกันเลย //
“ไม่รู้สิ! ฉันก็ไม่ได้เจอ ได้ข่าวว่ากลับจากขนน้ำมันที่ญี่ปุ่นก็ไปตั้งเครื่องยิงต่อต้านขีปนาวุธแถว ๆ เมืองกังกายทางภาคเหนือ ซอนแจ้งมาว่าทหารจีนบุกที่อันซอง” ภาระแยกเราออกจากกันสิ้นเชิง
“หนูคิดถึงแทนมากเลยนอนคนเดียวเหงาจะตาย อนนี่ก็ไม่ยอมมาหา แทนก็ไม่มา มีแฟนไม่เห็นสนุกเลย ไม่เห็นเป็นเหมือนอย่างที่คิดเลย” น้ำเสียงน้องตัดพ้อ น้อยใจ
“ก็เรียกไปสิคะ เดี๋ยวแทนก็มา” แค่ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข ฉันก็สุขใจแล้ว อยากให้เธอท้องเร็ว ๆ จังเลยจะได้เห็นหน้าลูกซักที
“อนนี่! หนูอยากเจอแทนจังเลย แต่ไม่อยากโทรไปเดี๋ยวเขาไม่สบายใจ” ไป่ไป๋ของฉันสวยไม่มีสร่าง หัวโล้นก็ยังสวยหาตัวจับยาก
“อยากเจอเจ้างางอนล่ะจิ” ฉันจี๋เอว
“บ้า! อนนี่ทะลึ่งมากขึ้นทุกวันแล้วนะ”เธอดิ้นหลบหัวเราะเสียงใส
“ไม่ชอบเหรอ ลื่นปรื้ดลื่นปรื้ด?”
“บ้าบ้าบ้า!”เธออายหน้าแดงเข้ามากอด
“ฉันก็เป็นห่วงเขาเหมือนกันนะ จากนี้ฉันจะมานอนด้วยนะ เยวอนไม่อยู่ด้วยแล้ว” ฉันไม่อยู่เฉยหรอกเดี๋ยวก็ออกหางาน
“อนนี่!...ขอบคุณนะคะ” เธอเข้ากอดอ้อน
“ขอบคุณอะไรคะเป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องดูแล แทนไม่อยู่นี่นา”
“หนูคิดยังไงก็เหมือนฝัน ได้มาอยู่กับแทนกับอนนี่มีความสุขที่สุดเลย” ถ้าไป่ไป๋อ้อนต้องยอม น่ารักไม่มีใครเกิน
“เหนื่อยจะตายต้องทำงานทุกวัน มีความสุขจริงเหรอ ฉันพึ่งจะเข้าใจผู้หญิงก็ตอนมีผัวนี่แหละ!” ฉันลองทดสอบทัศนคติดูหน่อยว่ายังแข็งแรงอยู่หรือเปล่า?
“ยังไงคะ?”
“ผู้หญิงหลายคนอัพเลเวลด้วยการยอมเป็นเมียคนมีเงิน แม้ต้องตกอยู่ในสถานะเมียคนที่ร้อยก็ยอม เพียงเพื่อท้องอิ่มและสุขสบายชูคอกับเกียรติจอมปลอมในกลุ่มบริวารของตน เวลาเจอคนก็ยิ้มไม่เต็มหน้า”
“หนูไม่เข้าใจ”
“การต้องการชีวิตที่ดีกว่าชนะศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิง พวกเขาอาจจะไม่มีทางเลือกหรือต้องการจะเลือกแบบนั้นก็ได้ไม่ผิดหรอก แต่เราสองคนเลือกแบบนี้ เลือกที่จะเป็นคนเลือก”
“อ๋า!..สำหรับหนูแล้วเหนื่อยกายดีกว่าเหนื่อยใจ อย่างน้อยแทนก็ยังให้ความรักกับเราเสมอต้นเสมอปลาย แทนเคยบอกกับหนูเมื่อหลายปีก่อน เขาพูดถูกทุกอย่างเหมือนกับเห็นอนาคต”
“เรื่องอะไรคะ?”
“เรื่องการมีแฟน”
“ยังไง?” ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้
“ก็มีแฟนเมื่อไหร่ฝันก็สลายเมื่อนั้น ทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาเคยบอกเลย เขาเคยสอนหนูเรื่องการเลือกแฟนเมื่อหลายปีมาแล้ว”
“เรื่องนี้ฉันเข้าใจ ที่ฉันรักแทนเพราะเรื่องนี้แหละ อิสรภาพในการตัดสินใจใครอยากทำอะไรก็ไปทำ คิดถึงกันก็มาหากัน รักกันด้วยสมอง”
“ตอนแรก ๆ หนูโดนหม่าม้าด่าทุกวันเลย ท่านบอกว่าพวกเราไม่ได้รักกันหรอก อยู่กันคนละทิศคนละทางห่างเหินมากกว่าใกล้ชิด คู่ชีวิตแทบจะไม่เคยกินข้าวด้วยกันเลย”
“แล้วเธอคิดยังไงล่ะ?”
“มันก็ดูเหมือนอย่างนั้นจริงแหละถ้ามองจากคนนอก ถึงเราจะห่างกัน แต่เราไม่ได้เลิกรักกันสักหน่อย แค่ได้คิดถึงกันใจมันก็เบาสบาย ไม่คิดอะไรเลยเนอะ?” เธอยังอยู่กับร่องกับรอย
“ตอนนี้ท่านเข้าใจหรือยัง?” ฉันห่วงเรื่องความรู้สึกของคนแก่มากที่สุด
“หนูมีมือดีคอยช่วย ป่ะป๊าต้องคอยเตือนว่า คนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกันความสุขของคนจึงไม่เหมือนกัน อย่าตัวเองไปยัดใส่ลูก หนูเลยรอด”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!คุณหมอสุดยอดอยู่แล้ว” ฉันชอบท่านเป็นคนแก่ที่หัวใจวัยรุ่น รับฟังให้คำปรึกษาและเข้าใจพวกเราเป็นอย่างดี
“หนูไม่อยากให้แทนเป็นทหารเลย คนอย่างแทนต้องเป็นครูถึงจะเหมาะ เขาต้องหางานใหม่” เธอมองด้วยสายตาอย่างนี้หวังผลให้ฉันไปบอกแทนแน่ ๆ /อย่าหวังเลย/
“เขาเคยบอกแล้วว่าใครชอบอะไรก็ทำไป เขายังไม่เคยมายุ่งกับเราเลย ถ้าการทำให้เขาอึดอัดเป็นความสุขของเธอก็เอาสิ ป่ะป๊าเตือนหม่าม้าว่ายังไงคะ?”เชื้อไม่ทิ้งแถวจริง ๆ ฉันไม่ยอมพูดเรื่องนี้แน่ ถ้าไปห้ามเขาแล้วเขาห้ามกลับมาบ้างคราวนี้ซวยเลย ไม่ยุ่งเรื่องนี้ดีกว่า
“แต่งานของหนูไม่มีลูกปืนนี่คะ เวลาแทนหายไปหนูไม่อยากให้วิทยุดังเลย” นั่นไง!...เธอเป็นห่วงมากนี่เอง
“สหายโกบอกว่าจีนขยับกองทัพเข้ามาประชิดทางเหนือแล้ว เราหลีกหนีสงครามไม่ได้จริง ๆ อีกไม่นานเราก็ต้องตกอยู่ในภาวะสงคราม ทำใจยอมรับซะตั้งแต่วันนี้ นี่คือชะตากรรมของเรา”
“เฮ้อ!หนูก็ยังไม่ท้องสักทีถ้าท้องก็ยังอุ่นใจหน่อย เดี๋ยวถ้าเขากลับมาหนูต้องตั้งใจมากกว่านี้ อนนี่ด้วยมาช่วยกัน!” ยายเหน่งครวญ
“ไฟท์ติ้ง!” ฉันยุส่ง
ฉันคิดตรึกตรองเรื่องบางอย่างมาหลายวันและได้ตัดสินใจทำมันลงไปแล้วโดยไม่ได้บอกใคร ลองบอกกับไป่ไป๋ก่อนก็แล้วกัน...
“ไป่ไป๋คะ! ฉันคิดว่าเราน่าจะหยุดฉีดวัคซีนให้เกาหลีใต้ได้แล้ว” พวกเราฉีดวัคซีนให้นับแสนคนแล้ว เพียงพอแล้ว
“อนนี่จะทิ้งคนที่เหลือเหรอ อนนี่คะ! พวกเขายังเหลืออีกตั้งหลายล้านคนนะคะ?” เธอหน้ายุ่งคิ้วขมวดปากจู๋ แสดงว่าไม่ชอบใจ
“เราเลี้ยงพวกเขาไม่ได้และมันไม่ถูกต้องที่คนรอดชีวิตต้องมาลำบาก พวกเขาน่าจะสบายสิ ฉันเอาเปรียบทุกคนเกินไป”
“อนนี่ใจร้าย! แทนเคยบอกว่าคนที่อยู่สูงกว่าต้องเอื้อมมือลงไปฉุดคนที่อยู่ต่ำกว่าขึ้นมาเสมอกัน อนนี่ไม่เชื่ออย่างนั้นเหรอ?”
“เชื่อสิ! แต่เรามีวัคซีนจำกัดจะปิดโอกาสชนชาติอื่นไม่ได้สิ คนเกาหลีเหนือและเด็ก ๆ เหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสิ้นโลกจะเอามาเป็นภาระของเขาไม่ได้ คนจีนและหวังฉวนต้องรับผิดชอบเรื่องนี้”
“ไอ้หวังฉวนมันไม่มาช่วยหรอก หนูในนามของคนจีนขอทำแทนเองค่ะ อนนี่ต้องเลิกคิดอย่างนี้นะคะเราต้องช่วยทุกคน อนนี่เป็นคนคิดวัคซีน Tame26 ขึ้นมานะ รับผิดชอบด้วย!”
“เราจะเหลือทุกชนชาติไว้เพียงให้เขาดำรงเผ่าพันธุ์ ถ้าช่วยทุกคน จะมีบางชนชาติสูญพันธุ์”
“แต่หนูไม่สบายใจเลยชีวิตนะคะ อนนี่จะทิ้งให้ตายเหรอหนูไม่เห็นด้วยสักนิด”
“คัดเอาสิคะ! เลือกช่วยชีวิตผู้หญิงเข้าไว้มาก ๆ เราต้องการชีวิตใหม่ โลกใบนี้ไม่สมควรกลับมาโชคร้ายอย่างในปัจจุบัน”
“บอกกับจูยอนอนนี่หรือยังว่าจะหยุด เธอว่ายังไงบ้าง?”
“การปล่อยให้ตายเป็นความคิดของเธอตั้งแต่แรก แต่แทนของเรามาทำให้มันเสียหาย ฉันเห็นด้วยกับความคิดของเธอนะ” ฉันเริ่มเชื่อแล้วว่า การลดจำนวนมนุษย์ลงจะทำให้โลกใบนี้มีเสถียรภาพมากขึ้น การมีประชากรโลกมากไม่ได้มีประโยชน์กับโลกเลย ยิ่งพัฒนาก็ยิ่งทำลายโลกคนก็เห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกวันและไม่รู้จักคิดมากขึ้น
เธอยังหน้าตึง...
“เจี่ยเจี้ยไม่ยอมหรอก เป้าหมายของเธอคือช่วยคนนะ งานนี้ได้ทะเลาะกันใหญ่โตแน่ อนนี่อย่าคิดอย่างนี้เลยนะ หนูไม่อยากเห็นพี่ ๆ ทะเลาะกันเอง”
“หมวดจางเป็นคนฉลาด อธิบายความจำเป็นให้ฟังเดี๋ยวเธอก็ยอมรับได้ ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ช่วยแต่ฉันช่วยไม่ได้ทั้งหมด”
“ไม่รู้ล่ะ! งานนี้หนูขอโหวต!” เธอเมินหน้า
“ตอนนี้ฉันสั่งให้ซูมินส่งเดอะแก๊งไปกับสาว ๆ ที่ญี่ปุ่นแล้ว ฉันคิดว่าจะตามไปดูเหมือนกัน จะไปด้วยกันไหมล่ะ?” ฉันเดินตามเธอไปที่นอนของคนป่วยบนพื้นห้องโถง ถึงแม้ว่าเราจะมีสถานที่กว้างขวางแต่เตียงผู้ป่วยก็จำกัด
“งานหนูยุ่งมากคงไปด้วยไม่ได้หรอก แต่หนูไม่เห็นด้วยกับการจะปล่อยให้คนตายนะคะ” เธอคงโกรธแล้ว
“ฉันจะทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน” ฉันเชื่อว่าเธอจะเข้าใจสักวัน
ทันใดนั้นกลุ่มเดอะแก๊งเดินอย่างเร่งรีบไปด้านหน้าอาคาร ทุกคนต่างรีบร้อนจนผิดสังเกต…
“เราว่าไม่มีทางเป็นไปได้หรอก” เด็กชายตัวผอมสูงส่ายหัวคอแทบหัก ความเห็นแตกต่างแสดงว่าต้องมีเรื่องที่ตกลงกันไม่ได้
“เราก็เชื่อเหมือนสหาย”
“แต่เราเคยเห็นเธอชี้ใบไม้ที่ปลิวได้ด้วยนะ” เด็กทั้งกลุ่มคิดไม่ตรงกัน
“โนยุนซอมันโม้ เราพนันกับมันให้หนักเอาให้หัวบวมเลย” พวกเขาความเห็นไม่ตรงกันสงสัยงานนี้มีต่อยกันแน่ ต้องตามไปดูสักหน่อยแล้ว...
“ฉันขอตามไปดูพวกนั้นก่อนนะ เล่นอะไรกันไม่รู้” ฉันสะกิดบอกไป่ไป๋
“ค่ะ! อย่าหนีไปไหนนะ”เธอหันไปกวักมือเรียกสมุน
“เยริมมานี่หน่อยค่ะ”
ฉันรีบเดินตามกลุ่มเดอะแก๊งไปห่าง ๆ ไม่ได้รู้สึกกังวลกับไป่ไป๋หรอก ขนาดหมวดจางโหดกว่านี้ยังห้ามฉันไม่ได้เลย ไปดูเด็ก ๆ ดีกว่า
ลานทรายกว้างข้างเสาธงสูง เด็กผู้หญิงสวมแว่นตาดำคนเดิมยืนยิ้มกว้างในมือถือไม้เท้าอยู่ท้ายรถทหาร พี่เลี้ยงเสื้อเหลืองยืนเคียงข้างมองกลุ่มเพื่อนที่เดินล้อมวงเข้ามา ฉันเดินไปแอบหลังฐานเสาธงแอบดูพวกเขา
“ใครจะเป็นคนแข่งยกมือ...” เดอะแก๊งพี่เลี้ยงโยนลูกเหล็กเปตองในมือมองเพื่อนในวง เด็กวัยรุ่นชายตัวผอมสูงยกมือ...
“เราเอง!” ท่าทางเจ้านี่ดื้อไม่กลัวคนเดินกร่างเข้าหา
“กี่ที?” พี่เลี้ยงก็พอกันท่าทางเอาเรื่องไม่ยอมคนเหมือนกัน
“10”
“โคตรน้อยเลย มีใครจะพนันอีกมั้ย?” พี่เลี้ยงเย้ยแล้วยิ้มมุมปากมองเพื่อนคนอื่นที่ยืนล้อมวง พวกเขายกมือกันสลอน...
“เราเลือกข้างมินจอง 20”
“เรา30” เด็ก ๆ ค่อนข้างมั่นใจในตัวของมินจอง ยกมือแทงพนันกันสลอน
เจ้ามินจองมั่นใจราวกับนักมวยก่อนชก ยกมือ...
“เอาแค่ 100 ทีก็พอ เดี๋ยวยุนซอสมองไหล ฮ่าฮ่าฮ่า!” เขาผยองมากมั่นใจเกิ้น แต่ฉันยังไม่เข้าใจว่าพวกเขาตั้งวงการพนันอะไรกัน
“เรียบร้อยนะ” ยุนซอสรุปจบ
หลังจากที่วงพนันเงียบเสียงลง เพื่อน ๆ ช่วยกันมัดผ้าปิดตาให้กับมินจองแล้วพาไปยืนคู่กับเด็กหญิง เจ้าพี่เลี้ยงกระหยิ่มโยนลูกเหล็กขนาดกำปั้นในมืออย่างมั่นใจ...
“กติกาง่าย ๆใครเก็บลูกเหล็กนี้ได้ก่อนชนะ ตกลงมั้ย?”
“เย่! แต่เราขอเป็นฝ่ายโยนเอง” เพื่อนหัวเหน่งเดินเข้ามาแบมือขอ
“สหายเลือกโยนได้เลย ใกล้ไกลแล้วแต่ชอบ” ยุนซอส่งลูกเหล็กไปให้เพื่อน
กองเชียร์เริ่มทำงาน…
“ซ้าย! ขวา!” เพื่อน ๆ ช่วยกันลุ้นเสียงดัง
“โยนแล้วนะ!” เจ้าหัวเหน่งโยนลูกเหล็กไปทางขวาไกลในขณะเดียวกันเขาก็เหยียบเท้าขวาของมินจอง เด็กหญิงเคาะไม้เท้าเป็นจังหวะ...
“ฟุ่บ!” ลูกเปตองตกลงมุมสนามจมลงในผืนทรายเรียกเสียงฮือฮาจากกองเชียร์
“ไปเก็บได้!” พี่เลี้ยงสั่งทั้งคู่เดินไปในทิศเดียวกัน มินจองเดินแซงไปตามทิศที่ลูกเหล็กตก กองเชียร์ตะโกน...
“มินจองไปอีก ตรงไป”
มินจองเดินกางแขนไปตามเสียงเชียร์ สุดท้ายก็หยุดเงอะงะง่อนแง่นงมทิศไม่ถูก
“ขวาหน่อย!”
“ซ้ายนิด!”
“อีก 10 ก้าว!” เพื่อน ๆ ช่วยกันลุ้น
ในขณะที่เด็กสาวเดินเคาะไม้สบาย ๆ ตรงไปที่ก้อนเหล็กฝังพื้น แล้วหยิบขึ้นมาอย่างง่ายดาย ฉันมองด้วยความทึ่งเธอตาบอดเหรอ?
“หนูชนะ!” เด็กหญิงชูลูกเหล็กแล้วเดินกลับไปท้ายรถทหาร
เจ้ามินจองยังเดินเงอะงะอยู่กลางลาน ยุนซอหัวเราะลั่นเดินไปแกะผ้าปิดตา...
“สหายแพ้แล้วจ่ายมาซะดี ๆ” เขาเรียกทั้งกลุ่มไปยืนเรียงแถว...
“ลูกผู้ชายเจ็บปวดดีกว่าเสียคำพูด การเรียนรู้ต้องเสียบางอย่างเสมอจ่ายค่าเรียนมาซะ” ว่าแล้วเขาก็บรรจงดีดกะโหลกของเพื่อน…
“ป๊อก!ป๊อก!ป๊อก!” แต่ละดอกเสียงหนักแน่น คนที่โดนดีดครบนั่งกุมหน้าผากหน้าจ๋อย
หลังจากทำโทษเสร็จเขาก็บอกกับเพื่อน ๆ...
“สหาย! เราจะแสดงอะไรให้ดู แต่ต้องพนันกันอีกนะ” เขาหยิบกรวดก้อนเล็กเท่านิ้วก้อยขึ้นมาโชว์
“พนันยังไง?” มินจองหน้าผากแดก่ำเดินเข้ามา
“เราจะโยนลงผืนทรายแล้วให้น้องไปหยิบ สหายคิดว่าน้องจะหยิบได้มั้ย เธอจะหาเจอหรือไม่เจอ?” เขายิ้มมั่นใจ ส่วนฉันขยับตัวเริ่มสนใจ เด็กผู้หญิงคนนี้คงเกิดมาพร้อมความสามารถพิเศษแน่ ๆ
“ได้เอาคืนแล้ว” มินจองห้าวมาก แต่เพื่อน ๆ บางส่วนเข็ด
“เมื่อกี๊ลูกเหล็กมันหนักเสียงมันดัง จะไม่เอาคืนหรือไงสหาย?”
“หึ!” ไอ้คนที่แทง 30 ทีหน้าผากบวมเป่งส่ายหน้าไม่ปริปาก
เพื่อน ๆ ที่ยังเชื่อใจมินจองกุมหน้าผากเข้ามา...
“ขอคืนสักหน่อยเถอะเจ็บฉิบหาย เราแทงว่าหาไม่เจอ 30 ที” เพื่อนห้าวมาก
“เราเอาด้วยยังไงก็หาไม่เจอหรอก 20 ที” เพื่อนอีกคนเดินถูหัวเองเข้ามา
“แต่เราไม่มั่นใจว่าดวงตาของเธอบอดจริงหรือเปล่าให้เธอยืนหันหลังดีกว่า” การพนันคู่กับการต่อรอง ผู้แพ้เริ่มงอแงข้อแม้เยอะ
“ได้! ไม่มีปัญหา! งั้นขอเปลี่ยนกติกานิดนึง ถ้าเราชนะให้น้องเอาไม้เท้าตีหัวคนแพ้นะ” พี่เลี้ยงก็ใจป้ำรับคำท้า
วงพนันคราวนี้หายไปครึ่งหนึ่ง หลายคนยังเจ็บหัวเข็ดไม่กล้าเล่นต่อ เด็กหญิงยิ้มหน้าแป้น...
“ยุนซอโอปป้าเร็ว ๆ หน่อยนะคะ หนูต้องไปคอยรับวิทยุ” สาวน้อยน่ารักเชียวห่วงงานด้วย
“พร้อม!” นักพนันร้องขึ้นมา
เจ้าพี่เลี้ยงก็ลีลาเยอะชูก้อนกรวดเล็กไปที่เพื่อน...
“สหายจะมาโยนเองมั้ยเดี๋ยวจะหาว่ารู้กัน” เขาก็กวนตีนไม่เบาเหมือนกัน
“ได้! เราโยนเอง” มินจองเดินไปหยิบก้อนกรวดขึ้นมาพิจารณาแล้วร้องบอก...
“เฮ้ยสหาย! เบามากไม่คิดเอาคืนเหรอ?” เขาเรียกผู้แพ้มารวมกัน เมื่อทุกคนพิจารณาเข็มเย็บผ้าอันเล็กก็เห็นพ้องต้องกัน
“งั้นเราเอาด้วย 10 เรา 20” เสียงพนันมั่วขึ้นมาอีกรอบ
เล่นกันเจ็บ ๆ แบบนี้ ถ้าปล่อยไว้เดี๋ยวทะเลาะกันแน่ ฉันเดินไปเข้ากลุ่ม....
“ทำอะไรกันคะ?” ฉันถามทั้ง ๆ ที่รู้ พวกเขาหันมายืนตัวตรงตะโกนพร้อมกัน...
“อันยองฮาเซโยซาจังนีม”
“อันยองฮาเซโย สหายเล่นอะไรกันเล่นด้วยสิ!”
“เราพนันกันอยู่ครับ!” มินจองหันมาตอบ เจ้าพี่เลี้ยงกระโดดจากท้ายรถทหารเดินเข้ามายืดอก...
“โน!ยุน!ซอ!” เขารายงานตัวเสียงดัง เด็กของซอนใช้ได้ทุกคน
“สหายเป็นเจ้ามือเหรอ ฉันช่วยเป็นกรรมการให้นะ?”
“เย่!”
ฉันหันไปบอกกับกลุ่มใหญ่…
“สิ่งเดียวที่จะทำให้เราเป็นคนน่าเชื่อถือหรือไม่คือสัจจะวาจา เมื่อรับปากแล้วต้องทำตามที่พูดกันนะคะ”
“เย่!” เสียงยอมรับลั่นสนาม ฉันหันไปหายุนซอ...
“เริ่มเลยค่ะ!” สนุกฉันด้วยล่ะ! ไม่ได้เล่นกับเด็กมานานแล้ว
โนยุนซอยกมือปรามทุกคน...
“สหายเงียบก่อน!...เซคยองหันหลังหน่อยครับ” เขาอ่อนโยนกับน้องสาวแล้วหันมองมินจอง...
“เราพร้อมแล้ว”
เจ้ามินจองลีลาเหลือร้ายแกว่งแขนหลอกล่อ เด็กหญิงเริ่มกวัดแกว่งไม้เท้าเอียงหูฟังเสียง เจ้ามินจองก้มลงไปกอบทรายขึ้นมาแล้วหว่านก่อนจะเอาก้อนกรวดมาโยนบนรองเท้าของฉัน
“แปะ!” เสียงแผ่วเบามากรับรู้ได้จากแรงสะเทือนฝ่าเท้านิดเดียว ทุกคนยิ้มอย่างผู้ชนะ
“โอปป้าขี้โกง! แก๊กแก๊ก!” เด็กสาวทำให้อึ้งมาก เธอเคาะไม้เดินมาหาแล้วก้มลงคลำที่รองเท้าอย่างน่าอัศจรรย์
“..............” ทุกคนอึ้งอ้าปากค้าง
“ยุนซอโอปป้าหนูชนะอีกแล้ว! หนูต้องรีบไปทำงานขอจัดการกับมินจองโอปป้าก่อนนะ” เด็กหญิงยิ้มสดใสร่าเริงหน้าตาน่ารักเชียว แต่น่าสงสารจังที่ตาบอด
“ป๊อก!ป๊อก!ป๊อก!”เธอเอาไม้เท้าซัดหัวมินจองแล้วสอนไปด้วย...
“โอปป้านิสัยไม่ดี! โอปป้าต้องจริงใจกับน้องสิคะแพ้ชนะไม่ใช่เรื่องสำคัญสักหน่อย ไม่เห็นต้องขี้โกงเลย จำไว้นะคะ” เธอเอาไม้เท้าเคาะหัวมินจองรัว ๆ...
“ขอโทษครับจะไม่ทำอีกแล้วครับ” มินจองก็น่ารักยอมให้น้องตีหัวทั้งที่ตัวเองก็กัดฟันแน่น
“หนูไม่มีเวลาแล้วไปก่อนนะคะ” เธอไม่ได้สนุกกับการเคาะหัวสักเท่าไหร่
ฉันมองเด็กสาวด้วยความฉงน เธอเก็บของเสร็จก็ทำในสิ่งที่ฉันไม่เชื่อสายตาอีกครั้ง...
“ไปหาอนนี่ดีกว่า อนนี่มาแล้ว!” เธอชี้ไปที่ไป่ไป๋กำลังเดินออกมาที่ลานบันได
“เฮ้ยเซมมา!” วงพนันแตกฮือ
“อนนี่คะ!” เธอเดินเคาะไม้เข้าไปกอดไป่ไป๋เหมือนกับดวงตามองเห็น ถึงเสียงเดินจะแผ่วเบาขนาดนั้นแต่เธอก็จำได้ สุดยอดมากสหายของฉัน เด็กที่เกิดมาพร้อมความสามารถพิเศษเหมือนกัน
ความสุขเล็กน้อยนี้ช่วยต่อชีวิตของฉันไปอีกวัน ฉันแอบคิดถึงหมวดจางเพื่อนรักไปขับเครื่องบินเป็นยังไงบ้างนะ พอได้ขับเครื่องบินก็ทิ้งทุกอย่างเหมือนกัน หายจ๋อมไปเลย มนุษย์กลุ่มสุดท้ายของชนชาติกำลังรอคอยความช่วยเหลือ ถ้าไม่กระจายคนออกไปก็คงเก็บ The last man stand ของชนชาติไม่ได้ การออกไปช่วยประเทศละแสนคนก็คงเพียงพอ ทุกชีวิตคงหาทางรอดได้เอง ชีวิตมีทางเดินของมันเองอย่างที่เจ็ทโด้เคยบอกไว้
..................................................หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |