หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 9 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 23 ต.ค. 2567 |
กรกฏาคม ค.ศ. 2026
ค่ายทหาร มันโป
มุมมองสายตา แทน
ผมนั่งเฮลิคอปเตอร์คู่กับนักบินวนดูฝูงบินเกาหลีเหนือเข้าโจมตีรถทหารและหมู่บ้านริมแม่น้ำยาลู่ฝั่งจีนกำลังมอดไหม้ ผู้นำคิดแต่อยากได้อยากชนะไม่เคยสนใจชีวิตของชาวบ้าน ไม่เข้าใจหัวอกของคนลำบาก พวกเขามักยัดเยียดการเสียสละให้เมื่อเกิดสงคราม แต่ไม่มีความรับผิดชอบกับผู้สูญเสียในการตัดสินใจที่ผิดพลาด
“ฐานเรียก นินจาเซม!” เสียงดังภายในห้องคนขับ
“เย่ !”
“ฝูงบินรบจีนขึ้นมาทางเหนือจากค่ายฉางชุน มณฑลจี้หลินครับ”
“เรียกนักบินของเรากลับทั้งหมดก่อน รอรับคำสั่งใหม่” ผมสะใจมากที่พวกมันบุกเข้ามา คราวนี้ได้สนุกกันแน่ ทหารฝึกหัดของผมจะได้ออกรบจริง ๆสักที
ผมยกวิทยุเรียก...
“คังซอจิน!”
“เย่!คัง!ซอ!จิน!”
“สหายอยู่ที่ไหน?”
“หน้าผาชั่วนิรันดร์ ภูเขาดองดัมครับ”
“สหายสั่งทหารประจำยานขีปนาวุธเตรียมตัวพร้อมประจัญบาล”
“เย่!”
“สหายนักบิน! พาผมลงไปหาคังซอจินหน่อยสิ ผมจะช่วยเขา”
“เอ่อ! เซมครับกลับค่ายดีกว่านะครับ สหายผู้นำสั่งไว้ไม่ให้เซมออกรบครับ” นักบินท้วง ผมรู้สึกอายจังแต่จะให้ผมทิ้งทหารที่ผมฝึกมากับมือไม่ได้หรอก...
“สหายนักบิน! ผมไม่ได้ออกรบสักหน่อย แค่ลงไปช่วยเขายิงปืนเฉย ๆ” ผมหน้ามึน
“ไม่เหมือนกันใช่มะ?” นักบินส่ายหน้ายิ้ม
“อื้อ! ไม่เหมือนกันหรอก พาผมไปที่หน้าผาชั่วนิรันดร์หน่อย”
“เย่!” นักบินไม่กล้าขัดคำสั่งโฉบเครื่องลงไปริมแม่น้ำ
“บรื้น!!บรื้น!!” รถยนต์หุ้มเกราะเกาหลีเหนือประชิดฝั่งแม่น้ำยาลู่ยิงปืนใหญ่ถล่มข้ามฝั่ง หมู่บ้านชายแดนของจีนโกลาหลเปลวไฟเผาผลาญชาวบ้านหอบลูกจูงหลานหนีตายจ้าละหวั่น
“ตูม! ตูม!” รถหุ้มเกราะของทหารเกาหลีเคลื่อนพลเต็มกำลังซัดจรวดข้ามแม่น้ำใส่หมู่บ้านชนบทอย่างหนักหน่วง
“พั่บ!พั่บ!พั่บ!พั่บ!” เครื่องลดระดับลงต่ำบินเรียบไปตามลำน้ำ ก่อนจะโฉบขึ้นบินเฉียดหน้าผาหินปูนแดงสูงตระหง่าน
โพลงถ้ำขนาดกลางซ่อนตัวกลางภูเขาปกคลุมไปด้วยต้นไม้และตาข่ายพลางตา ทหารกำลังลำเลียงกระสุนออกมาลานหน้าถ้ำ กระบอกปืนยิงต่อสู้อากาศยานโผล่จากหลุมซ่อนเชิดหัวตั้งเรียงรายริมหน้าผาพร้อมยิง
“พั่บ!พั่บ!พั่บ!พั่บ!” เฮลิคอปเตอร์ค่อย ๆ ลงแตะพื้นลานหน้าถ้ำ
“สหายนักบินกลับไปได้เลย!” ผมกระโดดลงเดินเข้าไปในถ้ำพร้อมทหารอีก 2 นาย
“ชุงซอง!คัง!ซอ!จิน!” นายทหารหนุ่มจากค่ายชินอุยจูวิ่งออกจากห้องสื่อสารในโถงถ้ำมาต้อนรับ
“เป็นยังไงบ้างสหาย ไม่ได้เจอกันนานเลย?” ผมตบไหล่ทักทายทหารรุ่น 1ของผม
“สบายดีครับ! จะไม่สบายก็ตอนนี้แหละไอ้พวกจีนทำเรื่องอีกแล้ว เบื่อพวกมันจริง ๆ” เขาหัวเราะเบา ๆ ไม่มีความกลัวในสายตาของทหารกล้า
“พร้อมแล้วใช่มั้ย?” ผมถามนายทหารคนโปรดของเจ็ทโด้ เขาเป็นคนหนุ่มที่คล่องแคล่ว
“พร้อมมากครับตลอดริมสายน้ำนี้ เรามีอาวุธซ่อนไว้มากมายผมจะสอยเฉิงตูสัก 10 ลำเป็นของขวัญวันชาติ”
“หือ! วันชาติเกาหลีเหนือวันไหน?” ผมไม่เคยรู้เลย
“วันที่ 9/9 ของทุกปีครับ”
“ทำไมมันไปตรงกับวันตายของเหมาเจ๋อตุงวะ แถมยังไปตรงกับวันสิ้นโลกอีกด้วย” ผมเกาหัวแปลกใจ
“อะไรนะครับ วันสิ้นโลกเหรอ?” เขาหันขวับ
“เปล่าไม่มีอะไร! ผมแค่แปลกใจเฉย ๆ” ผมไม่ต้องการให้เขารู้เรื่องนี้ นั่งอึ้งคิดถึงความเกี่ยวเนื่องกันของวันที่ 9/9/2026 ผู้สร้าง Tame 26 เกี่ยวข้องกับวันสำคัญเหล่านี้ได้อย่างไร นาตาลีรู้มั้ยนะหรือมันแค่ความบังเอิญกันแน่ ?
“ผมอยากเข้าไปเที่ยวในจีนบ้าง ไม่เคยเห็นสักทีว่ามันเป็นอย่างไร?” นายทหารมองไกลข้ามไปฝั่งจีน ผืนป่าเขียวคลึ้ม
“สหายไม่บอกผมก่อนหน้านี้ล่ะ จีนเจริญกว่าเรามาก คนก็เยอะสาว ๆ สวย ๆ ทั้งนั้นเลย”
“ผมอยากเห็นบ้านเมืองอื่นบ้าง จากที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะไปสหายจูยอนได้จุดประกายความหวังใหม่ ผมอยากไปเห็นบ้างจังเลย” เขาคงอยากไปจริง ๆ ดวงตาพราวประกายเชียว
ผมเข้าใจเพราะสิ่งเหล่านี้ไกลเกินเอื้อมของพวกเขา แม้มันจะเป็นแค่การเดินทางที่แสนจะธรรมดา แต่เสือกผิดกฎหมายซะงั้น
“สหายบ้านอยู่ที่ไหนครับ?”
“ผมอยู่ที่ชินอุยจูครับ”
“หือ!” ผมแปลกใจมาก บ้านของเขาแค่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับจีนแค่นั้นเอง
“ถ้าไม่มีอะไรรุนแรง ผมจะให้สหายไปเที่ยวจีน 5 วัน เอามั้ย?” ผมสนับสนุนให้ทุกคนเท่าเทียมอยู่แล้ว การหยิบยื่นโอกาสเป็นสิ่งที่สมควรทำ
“คัมซามนิดะ! ผมแค่อยากเห็นว่าความเจริญมันเป็นอย่างไรมันเหมือนหรือแตกต่างจากที่นี่แค่นั้นเองครับ”
“ดีแล้วครับ การเดินทางเป็นการเรียนรู้ภาคสนามของจริง ผมเองก็เดินทางทั้งชีวิตเหมือนกัน”
“ผมเคยเจอไป่ไป๋เซมใกล้ ๆแล้วครับ คนอะไรสวยโดดเด่นน่ารักมากสวยกว่าดาราที่ผมเคยชอบซะอีก” ใคร ๆ ก็หลงเสน่ห์ของเธอ ไม่แปลกเลยที่เขาจะเป็นหนึ่งในนั้น
“สหายคงจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันสินะ” ดูจากแววตาก็น่าจะใช่ เขายังดูหนุ่มแน่นและเด็กกว่าผม
“ผมอายุ 26 ครับเรียนที่มหาวิทยาลัยพยองยางแต่ไม่จบ” ทหารของผมส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่มีปัญหากับรัฐเกือบทั้งสิ้น พวกเดียวกันกับผม
“สหายเคยคุยกับซาจังนีมมั้ยล่ะ?” ผมจำได้ว่าเขาเป็นทหารรุ่นเดียวกัน
“ไม่เคยครับ! แต่เราเป็นนักเรียนทหารรุ่นเดียวกันครับ ซาจังนีมก็น่ารักเป็นนักสู้คนหนึ่งเลยนะครับ”
“หาโอกาสคุยกับเธอบ้างนะ คลังความรู้ของจริงอยากรู้อะไรก็ถามเลย เธออธิบายเรื่องยาก ๆให้เข้าใจเก่งมาก” ผมกวาดตามองจอเรดาร์เครื่องบินจีนยังไม่เข้าเขตยิง
“ไม่กล้าครับ กลัว!”
“อย่ากลัว พวกเราอยู่กันด้วยเหตุผลครับ ถ้าสหายคุยด้วยเหตผลเราก็คุยกันได้ทุกเรื่อง”
“เซมครับ! เรือหาปลาของจีนในแม่น้ำถล่มให้หมดเลยมั้ยครับ ผมเกรงว่าไอ้พวกนี้จะเป็นตัวสอดแนม?”
“อย่าครับ! เราจะไม่ทำร้ายชาวบ้าน ปล่อยให้เขาหากินไปตามปรกติ คอยจับตาไว้ก็พอ”
“ผมว่าพวกมันแปลก ๆ เหมือนกับไม่ได้ต้องการทำสงครามจริง มาปั่นกันซะมากกว่า”
“ผมก็คิดแบบนั้น แต่เราจะปั่นกลับให้หนักกว่ามันสองเท่า” ผมสังเกตว่าเครื่องบินแตะเส้นเขตยิงบนจอเรดาร์แล้ว ลุกขึ้นยืนแตะไหล่ของเขา…
“สหายเตรียมตัว”
“เย่!”
วิทยุดังขึ้น...
“นินจาเซม! เครื่องบินเข้าเขต 300 มาแล้วครับ ให้ผมสั่งนักบินขึ้นไล่เลยมั้ยครับ?”
“ไม่ต้อง! รอรับคำสั่งจากผม!” ผมหันไปสั่งทหาร...
“ซอจิน! ปล่อยให้มันเข้ามาถึงเขต 150 แล้วลงมือเลย”
“เย่!” คังซอจินยกวิทยุบัญชาการรบ...
“ทุกหน่วยเตรียมตัว!” เขาเอานิ้วเคาะโต๊ะอย่างใจเย็น สายตาจับจ้องไปที่เรดาร์บนจอ ฝูงบินจีนเข้าสู่น่านฟ้าเกาหลีและเข้าเขตรัศมีการยิงจรวดต่อต้าน
เขายกวิทยุแล้วหันมายิ้มดื้อกับผม ก่อนจะประกาศกร้าว…
“ทหาร! ส่งแซมขึ้นไปต้อนรับมันหน่อย ยิง!!!”
“ฟุ่บ!ฟุ่บ!ฟุ่บ!ฟุ่บ!” จรวดต่อต้านอากาศยานถูกปล่อยพร้อมกัน
“เซม! ไปดูกันครับ!” เขาจูงมือผมวิ่งออกไปยืนริมหน้าผา
“ฟุ่บ!ฟุ่บ!ฟุ่บ!ฟุ่บ!” จรวดยิงขึ้นจากหลุมซ่อนตัวตลอดริมสายน้ำคดเคี้ยว ควันขาวพวยพุ่งเข้าจับเส้นความร้อนจากไอพ่นเครื่องบิน
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! มึงหนีตายกันไปเถอะ!” ผมสะใจมากชี้ให้ทหารดูเครื่องบินม้วนกลับลำแล้วยกวิทยุ...
“เรียกฐาน! ส่งฝูงบินทิ้งระเบิดขับถล่มโรงงานผลิตไฟฟ้าของมัน”
“เย่!”
“สหายโกอยู่ด้วยมั้ยครับ ขอพูดด้วยหน่อย?” ผมติดต่อเพื่อนไม่ได้ แปลกใจมาก
“สหายผู้พันไปญี่ปุ่นเมื่อเช้าครับ”
“อ้าวเหรอ ญี่ปุ่นมีปัญหาอะไร?”
“ไม่มีครับ! ไปส่งสหายผู้บัญชาการครับ”
“อ้าว! ทำไมไม่มีใครบอกผมเลยปล่อยไปได้ยังไง? โอเคเลิกกัน!” ผมมึนตึ้บ ปล่อยนาตาลีออกไปคนเดียวได้ยังไง เดี๋ยวค่อยหาเวลาคุยกับจูยอนทีหลัง เรื่องตรงนี้กำลังสนุก...
“คังซอจิน!”
“เย่!”
“ลงไปข้างล่างกัน ซัดมันให้เข็ดขยาดไปเลย”
“เย่!”
“ทหารไปเอารถมา” คังซอจินหันไปสั่งลูกน้อง
“เย่”
จีนย่ามใจมากขึ้นทุกวัน พวกเขาไม่ต้องเกรงใจประเทศมหาอำนาจที่ไหนอีกแล้ว สภาพของเกาหลีเหนือตอนนี้ไม่ต่างจากหมูป่าไร้เพื่อน กินก็ไม่เต็มอิ่มนอนก็หลับตาไม่สนิท ต้องคอยระแวงเสือที่ซุ่มรอจังหวะ หวังว่าการโจมตีกลับที่รุนแรงจะหยุดการรุกคืบของเสือร้ายได้
.........................................................
ฮิโระชิมะ
มุมมองสายตา นาตาลี...
รถยนต์ทหารข้ามสะพานมาเข้าประตูสันติภาพของสวนอนุสรณ์สันติภาพฮิโระชิมะ ทหารเกาหลีเหนือเลือกสวนสาธารณะกลางเมืองเป็นสถานที่ฉีดวัคซีนมีร่มไม้เป็นหลังคาพื้นหญ้าเป็นฟูก Soulless ที่ได้รับการฉีดวัคซีนนอนรักษาตัวในอาคารหอประชุมนานาชาติฮิโระชิมะ
“ครึก!ครึก!ครึก!!!!!”เสียงรถเข็นของเด็กเกาหลีเหนือวิ่งขนอุปกรณ์การแพทย์ผ่านไป เด็กทั้งสามสีช่วยกันทำงานขยันขันแข็ง...
“เนกาเจ อิลจัลนากา!” กลุ่มนี้ช่วยกันเข็น กลุ่มนั้นช่วยกันหิ้วไปส่งให้เพื่อนบนรถยนต์ทหารจอดเรียงยาวริมถนน เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ชื่นใจทุกครั้งที่ได้เห็น
ฉันหันคุยกับเยวอน...
“ถ้าต้องใช้เวลานาน เด็กพวกนี้กลับบ้านไปอะป้าออมม่าจำหน้าไม่ได้แน่ พวกเขาโตเป็นหนุ่มสาวกันหมด การเสียสละครั้งนี้ต้องได้รับผลตอบแทนที่ควรค่า” ฉันรู้สึกเอาเปรียบพวกเขา พาทุกคนมาลำบากกันหมด
“ชุงซอง!” ทหารทุกนายหน้าตาซีดเซียวเหมือนคนตรอมใจ ไม่มีภาพให้ตื่นตาชื่นใจ ยิ่ง Soulless โดนทิ้งไว้นานสภาพร่างกายยิ่งผุพัง การคัดเลือกก็ยากมากขึ้น
ฉันยังหาวิธีจัดการกับผู้ดูแลต่อเนื่องไม่ได้ ถ้าหาคนมารับช่วงดูแลต่อไม่ได้เด็ก ๆก็กลับบ้านไม่ได้ หันไปเห็นจักรยานหยอดเหรียญจอดทิ้งหงายท้องไม่เข้าที่ คล้ายกับกระเสือกกระสนเข้าบ้าน...แต่หมดแรงไปไม่ถึง
“เดี๋ยวค่อยเข้าไปข้างในก็แล้วกัน ขอดูที่นี่หน่อย!” ฉันฉุดมือเยวอนให้หยุดเดิน
“ทหารเข้าไปพักข้างในกันก่อน” เยวอนโบกมือไล่ทหารติดตามให้เดินต่อ
ฉันดึงจักรยานขึ้นมาแล้วตบเบาะเรียกเยวอน...
“อนนี่คะ! พวกเลื่อนลอยของที่นี่น่าจะมีน้อยกว่าเมืองฟุกุยามะนะคะ” เธอขึ้นซ้อนท้าย ชะเง้อมองตามทหารเข้าไปข้างในหอประชุมกระจกใหญ่ยาว
“ประเทศที่เจริญแล้วตายหมดเกลี้ยงเลย ความกลัวทำให้ขาดสติ แม้ผู้นำที่ดีก็ยังพลาดให้กับความกลัวตาย” ฉันปั่นจักรยานย้อนกลับไปที่ทางเข้าประตูสันติภาพ เพื่อเริ่มทัวร์ภายในสวนที่มีความทรงจำเลวร้าย…
“เธอรู้จักระเบิดปรมาณูรึเปล่า?” ฉันจอดจักยานแล้วเดินไปแหงนหน้ามองรูปปั้น Mother and baby in the strom
“เคยเรียนมาค่ะ! มันคือสิ่งที่ประเทศของเราต้องมีไว้ป้องกันตัวเองและต่อรองกับประเทศมหาอำนาจ ที่เกาหลีเหนือรอดจากการเป็นทาสอเมริกาเพราะฮวารัง8ของเราไงคะ” เยวอนใบหน้านิ่งขมวดคิ้วแหงนมองก้อนหินแกะสลักรูปแม่กำลังปกป้องลูกน้อยในอ้อมอก
รูปปั้นแสดงถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ แม่ผู้ปกป้องใช้แผ่นหลังเป็นกำบังรับแรงระเบิดแทนลูกน้อยในอ้อมกอดนั้นกินใจ ครอบครัวต้องพรากจากเพราะสงครามที่พวกเธอไม่ได้ก่อ
“อเมริกามันชั่ว!” สะดุดใจกับประโยคคลาสสิคแรกจากปากสาวเกาหลีเหนือ
“ไปกันต่อเถอะ!” ฉันสงสัยเหมือนกันว่าครูเกาหลีเหนือสอนอะไรให้พวกเธอ
ปั่นจักรยานผ่านลานน้ำพุกับปฎิมากรรมหินทรงโค้งพาราโบรา เยวอนกอดเอวพูดเจื้อยแจ้ว...
“ถ้าพวกเราเกิดทันในสมัยนั้น ก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างจากคนที่นี่ บรรพบุรุษของเราต้องต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศ แต่พวกมันก็ยังเอาฝั่งใต้ของเราไปได้”
“ยังไงเหรอ?” ฉันเริ่มจะเข้าใจการบิดเบือนประวัติศาสตร์ของผู้ปกครองแล้ว
“อเมริกามันล่าอาณานิคมแถบเอเชีย ญี่ปุ่นไม่ยอมมันเลยทิ้งระเบิดใส่สุดท้ายก็ตกเป็นเมืองขึ้นของมัน ถ้ารัสเซียไม่มาช่วยเราไว้เราก็ไม่ต่างจากญี่ปุ่น”
“ไอ๊กู่...!” ฉันตกใจพวกเขาสอนได้แอดวานซ์มาก...
“พวกสหายน่าจะขอบคุณอเมริกานะคะ สงครามเกาหลี-ญี่ปุ่นปิดฉากลงได้เพราะอเมริกาทิ้งระเบิดที่นี่ แต่มีคนโลภบางกลุ่มช่วยกันบิดเบือนประวัติศาสตร์จนทำให้เกาหลีต้องแยกเป็นสองฝ่าย สหายอยู่ฝั่งเหนือฉันอยู่ฝั่งใต้”
“ฝั่งใต้ฝักไฝ่ศัตรู เราเลยต้องแยกจากกันอย่างน่าสงสาร” เธอก็เถียงได้ทุกประโยคเหมือนกัน
ฉันมาหยุดที่เสาหินสามขา รูปร่างมู่ทู่เหมือนหัวระเบิดปรมาณู เด็กหญิงตัวผอมยืนชูแขนบนยอดสุดกับโครงนกกระเรียน ระโยงระยางไปด้วยสายรุ้งธงประดับเต็มพื้นที่ ฉันอ่านประวัติที่แผ่นหินแล้วถูกดึงเข้าสู่ภวังค์ของการพลัดพราก จุกอกน้ำตาไหลหยดลงแผ่นหิน…
“อนนี่! ร้องไห้เหรอคะ?” เยวอนสีหน้าไม่เข้าใจ
“อืม! สงสารจัง” ฉันเศร้าและเหงาจับใจน้ำตาร่วงเดินเข้าไปลูบนกกระเรียนกระดาษพับหลากสีในห้องกระจกเล็ก ๆ ใต้ฐานเสาหิน
“ที่นี่มันสวนอะไรคะใหญ่เหมือนสวนมันซูแดบ้านเราเลย?” เธอพูดถึงสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางกรุงพยองยางข้างลานจัตุรัส
“สวนอนุสรณ์สันติภาพเด็กฮิโระชิมะ เก็มบะคุโนะโคะโนะโซ”
“มันคืออะไรคะ?”
“นี่เป็นผลมาจากระเบิดนิวเคลียร์ คุณดูเด็กผู้หญิงคนนั้นสิคะ...เธอชื่อซาดาโกะ ซาซากิ เป็นเด็กหญิงที่จิตใจงดงามและยิ่งใหญ่ เธอต้องมาตายจากความโลภของผู้นำ” ฉันไม่ได้สนใจความยิ่งใหญ่ของปรมาณูแม้แต่น้อย แต่ฉันสนใจชีวิตเล็ก ๆ ที่มีฝันแต่ไปไม่ถึงฝัน
“ไอ้นั่นเขียนว่ายังไงบ้างคะอนนี่?” เธอชี้มาที่คำจารึกบนแผ่นหิน
“ระเบิดนิวเคลียร์ถูกปล่อยลงมาระเบิดเหนือหัวของเรา 500 เมตรตรงที่เรายืนนี่แหละ มีผู้คนเสียชีวิตมากมายทันทีและหลังจากนั้นสารกัมมันตภาพรังสีได้แพร่กระจายปกคลุมในเมืองนี้” ฉันก้มลงจูบแผ่นหินสลักคำจารึก คิดถึงหัวอกของเด็กผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความฝันและความหวัง
ฉันก็เป็นเด็กกำพร้า เข้าใจหัวอกของคนที่ต้องจากครอบครัว...
“ซาดาโกะได้รับสารกัมมันตภาพทำให้เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวและใช้ชีวิตยากลำบากอย่างอดทน ในหัวใจดวงน้อยของเธอมีความหวังว่า สักวันเธอจะหายเป็นปรกติ” ฉันเศร้าใจจุกอกจังเลย ทุกคนต่างต้องการเดินไปตามอายุขัยปรกติ มีความรักความฝันมีครอบครัวมีลูกหลานสืบทอดเรื่องราว แต่ซาดาโกะไปไม่ถึง
“เธอเชื่อว่าถ้าพับนกกระเรียนกระดาษได้ครบ 1,000 ตัวสิ่งที่อธิษฐานจะสมหวัง แต่สุดท้าย...เธอไม่สมหวังโชคชะตาใจร้ายมาก หงึหงึ!” ฉันสะอื้นน้ำตาไหลพรากเข้าใจถึงการต่อสู้เพื่อจะขอมีชีวิตต่อ
“อนนี่คะ! ก่อนที่ฉันจะได้พบกับอนนี่ ทุกคืนก่อนนอนฉันก็ภาวนาเหมือนกัน รอให้วันพรุ่งนี้มาถึงอย่างมีความหวัง พอลืมตาตื่นสิ่งแรกที่ฉันจะทำคือลูบใบหน้าของตัวเองเพื่อดูว่าแผลเป็นได้หายไปกับคำอธิฐานก่อนนอนมั้ย ฉันผิดหวังทุกเช้าจนต้องยอมรับสภาพแต่ฉันไม่ให้อภัย” เยวอนยืนตาแดงสะเทือนใจไปกับเรื่องเล่า คนที่เคยโดนผู้ใหญ่ขโมยความฝันย่อมเข้าใจกัน
“ซาซากิใช้ชีวิตช่วงสุดท้าย ด้วยความหวังกับบาดแผลพุพองทั้งตัว เธอกัดฟันพับนกกระดาษด้วยหัวใจที่เปี่ยมความหวังไปได้ร้อยกว่าตัว เธอก็เสียชีวิตลง ฮือฮือ!” ฉันสะเทือนใจมากร้องไห้อย่างยอมจำนน เรื่องอย่างนี้ไม่สมควรเกิดกับใคร คนที่เป็นต้นเหตุไม่เคยได้รับการลงโทษ
“น่าสงสารนะคะ ฉันเข้าใจกับโชคชะตาแบบนั้น” เยวอนทรุดลงประคอง ฉันดึงสติกลับมาใหม่ ตั้งใจจะเล่าให้เธอฟังในวันข้างหน้าถ้าเธอมีอำนาจจะได้เห็นอกเห็นใจคนตัวเล็ก ๆ บ้าง...
“เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอได้ร่วมกันรณรงค์เพื่อรำลึกถึงเธอ และสร้างอนุสรณ์สำหรับเด็กทุกคนที่เป็นเหยื่อระเบิดปรมาณูไว้ที่นี่ ความปรารถนาของซาดาโกะได้รับการสานต่อ โดยเด็กนักเรียนประถมทั่วประเทศญี่ปุ่นได้แสดงสัญลักษณ์แทนความหวังของซาดาโกะด้วยนกกระเรียนกระดาษ ถ้าจักรพรรดิญี่ปุ่นไม่โลภมาก เหตุการณ์แบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้น” ฉันโค้งศีรษะอำลาแล้วเดินสะอื้นกอดคอคิมเยวอนจากไปอย่างหดหู่ใจที่สุด
“ไอ้พวกทุนนิยม ประเทศของเราถึงต้องมีนิวเคลียร์ไว้สู้กับพวกมันก็เพราะแบบนี้แหละ ฉันเกลียดอเมริกา!” เยวอนเครียดแค้นไปคนละเรื่อง แหกปากตะโกนลั่นสวนสาธารณะ
ฉันพอเข้าใจที่เธอคิดอย่างนั้นแต่พอเธอตะโกนว่า...
“รัสเซียจงเจริญ!”
ความเศร้าของฉันหายวับ...“กลับดีกว่า!” ฉันขึ้นซ้อนท้ายจักรยานกลับมาที่ศูนย์การประชุมนานาชาติฮิโระชิมะ
เยวอนยังกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันโกรธแค้นไม่หาย...
“อเมริกาเป็นศูนย์รวมความชั่วร้ายและแหล่งเสื่อมโทรมของจิตใจ บ้าเซ็กซ์ ชอบล่าอาณานิคม กดขี่ชนชาติอื่นไปเป็นทาส” เธอจูงมือเดินเข้าภายในอาคาร ฉันลูบไหล่ของเธอเบา ๆ คิดในใจอย่าไปพูดนอกประเทศนะ อายเค้า...
“เรื่องโกหกทั้งนั้นเลย ญี่ปุ่นพังลงไปเพราะระบอบกษัตริย์ขุนศึกศักดินาโลภมากโจมตีไปทั่วเอเชีย อเมริกาเป็นคนยุติสงครามผู้เสียชีวิตเหล่านี้คือเหยื่อของสงคราม”
“หือ!” เยวอนหยุดกึก มองมาด้วยสายตาไม่พอใจ ...
“อนนี่ไปเข้าข้างมันทำไม? ญี่ปุ่นกับอเมริกาเป็นศัตรูกับประเทศของเรานะคะ” เธองอนแล้ว
“ก็ใช่! แต่ไม่ถูกทั้งหมดพวกเขาบิดเบือนประวัติศาสตร์ ถ้ามีเวลาว่างก็ไปพบสหายจูยอนบ้างนะหรือคุยกับแทนโอปป้าก็ได้ เขาจะอธิบายได้ดี” ฉันเดินเข้าอาคารปล่อยให้ศัตรูของอเมริกายืนงง
กลุ่มทหารเกาหลีกำลังเดินเก็บอุปกรณ์ขึ้นรถบรรทุก ฝรั่งผมทองตัวโต 8 - 9 คนนั่งคอตก เด็ก ๆ ของเราเดินเก็บขยะเอาไปกองรวมกันเผา เยวอนวิ่งตามมาเกาะแขน...
“เพื่อน ๆ ของอนนี่เก่ง ๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ พวกเขาทำงานอะไรกันมาก่อนคะ?”
“พวกเขาเป็นทหารรับจ้างเป็นนักฆ่าอาชีพ รวมถึงสหายจูยอนด้วยโหด ๆ กันทั้งนั้น” ฉันไม่ได้ชื่นชมเลย ยิ่งมาอยู่ในที่แบบนี้ยิ่งไม่ชอบใจ
“..........” เยวอนยืนนิ่งไปพักใหญ่แล้วพึมพำเบา ๆ...
“ถึงว่าสิ! แต่ละคนฝีมือไม่ธรรมดาเลย ฉันโชคดีมากที่ได้เป็นลูกศิษย์ได้เรียนรู้วิชาจากพวกเขา แทนโอปป้าก็ใจดีใจกว้างมาก คิดถึงจัง!” เธอกลับชื่นชมซะงั้น
“เคยเรียนกับซอนเซมหรือเปล่า?” ฉันกวาดตามองภายในห้องโถงกว้างผู้ป่วยนอนเรียงกันไปตามความยาวของอาคาร เรดซันกับเดอะแก๊งเก็บผ้าไปซัก ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองได้นั่งอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ
“ไม่เคยค่ะ! ลูกชายหล่อเหมือนพ่อเลยนะคะ” เยวอนเลือดรักชาติเดือดพล่าน ฟึดฟัดหงุดหงิดตาเขียวเหล่มองทหารฝรั่งหัวทอง
“ซอนเซมเก่งกว่านินจาเซมอีก แอนนาอนนี่ก็น่ากลัว เอ่อ!ขอเตือนก่อนนะ อย่าไปล้ำเส้นเธอถ้าไม่อยากซวย” ฉันรู้จักสองผัวเมียนี้ดี พอพูดแล้วก็คิดถึงหมวดจางรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก
“แอนนาอนนี่น่ะเหรอคะน่ากลัว ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลยใจดีจะตายไป ไป่ไป๋เซมสิ! น่ากลัวกว่า”
“แสดงว่ายังไม่รู้จักตัวจริงของเธอสินะ ดีแล้วล่ะ! อย่าไปรู้จักเลย” ฉันได้แต่อมยิ้มสักวันเธอจะร้องไม่ออก ไปคุยกับพวกทหารฝรั่งดีกว่า...
“Hi! What going on?” ฉันโบกมือให้ทหารที่ยังอยู่ในอาการมึนงง
“Hi!” ฝรั่งหัวเกรียนยกมือทักทาย
“ฉันชื่อนาตาลี พัค คุณมาจากไหนและเคยทำงานอะไรกันบ้าง?”
“ผมชื่อปีเตอร์เป็นนาวิกโยธินสหรัฐมาจากเท็กซัส ผมกำลังรวบรวมความคิดว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“ใช่แล้ว! ผมมาเที่ยวญี่ปุ่นนี่นา” เพื่อนข้าง ๆ นึกออก แต่ก็หงอยลงทันที... “แล้วผมมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง?”
“คุณดูพวกเราสิ! ไม่มีใครจำอะไรได้เลย ผมจะกลับอเมริกาได้อย่างไร?” ปีเตอร์เอ่ยถาม
“ทั่วโลกล่มสลายไปแล้ว คุณไม่มีบ้านให้กลับแล้ว ถ้าชอบชีวิตเรียบง่ายคุณต้องไปอยู่เกาหลีเหนือ แต่ถ้าชอบสะดวกสบายคุณต้องไปที่จีน โลกใบนี้เหลือที่ให้คุณเลือกแค่นี้แล้ว” ฉันเข้าไปจัดปกเสื้อให้เขา
ฝรั่งผมทองอีก 2 หนุ่มนั่งมองด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสงสัย พวกเขาคอยขยับแขนขาให้เคลื่อนไหวบนลำตัวมีแต่ผ้าพันแผล...
“มันเกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมร่างกายของทุกคนถึงโทรมขนาดนี้?” นักรบพลัดถิ่นที่เพิ่งได้เกิดใหม่ยังคงสับสนและลังเล Tame 26ได้คลายตัวจากก้านสมองคืนสติกลับมาอีกครั้ง ในโลกที่คุ้นเคยแต่ไม่คุ้นตา
“คุณโชคดีแล้ว! ลืมทุกอย่างไปแล้วใช้ชีวิตให้มีความสุขนะคะ” ฉันปล่อยให้เขานั่งอยู่อย่างนั้น สายตาของพวกเขายังสับสนนั่งมองไปรอบห้องโถงที่ส่วนใหญ่เป็นชาวพื้นเมือง
นายทหารเกาหลีเดินยิ้มมาแต่ไกล เยวอนลุกวิ่งเข้าไปดักหน้า...
“ชุงซอง คิม! เย!วอน!” เธอยืนตรง นายทหารหยุดพยักหน้าแล้วเดินปรี่มาหาฉัน...
“ชุงซอง ลี! จอง! ซุก!”
“ฉีดได้ทั้งหมดกี่รายคะสหายผู้กอง?” ฉันชิงถามก่อน
“ผมเอาวัคซีนมา 350,000 โดส แบ่งกันทำ 2 เมือง พวกเขาทยอยกลับไปบ้างแล้วแต่ยังเหลืออีกเยอะครับ งานยากนิดหน่อยครับ”
“ทำไมคะ?”
“สื่อสารกันไม่รู้เรื่องใช้ภาษามือกันมั่วไปหมด ไม่มีคนรู้ทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาฝรั่งเลยสักคน” เขาอมยิ้มน่ารักเชียว
“อ้าว! ฉันลืมเรื่องนี้เลย” ฉันมาเพื่อแก้ปัญหานี้
“สหายผู้กอง! ต้องเอาพวกเขามาช่วยงานสิคะ เด็ก ๆ จะได้กลับบ้านเร็วขึ้น พามาไกลบ้านนาน ๆ ออมม่าของพวกเขาจะด่าหัวเอานะคะ”
ลีจองซุก นายทหารวัย 30 กว่า ๆ ยิ้มแหย ๆ...
“ก็เพราะคุยกันไม่รู้เรื่องนั่นแหละครับเลยต้องปล่อยไป ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไง? แต่งานเรียบร้อยแล้วทยอยเก็บของไปเรื่อย ๆ ผมจะส่งบลูสกายกลับบ้านก่อนครับ”
“ขอบคุณมากนะคะสหายผู้กองที่เหน็ดเหนื่อย เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องนี้เองบอกให้ทุกคนเตรียมกลับบ้านเถอะ”
“อ้าว! แล้วงานที่เหลือล่ะครับ?”
ฉันเล็งทหารอเมริกันพวกนั้นไว้แล้ว ให้พวกเขาอยู่และทำงานช่วยคนที่นี่ไปดีกว่าจะได้ไม่เหงา…
“ฉันจัดการเอง”
ลีจองซุกยิ้มกว้าง...“กลับบ้านได้เลยเหรอครับ” เขาดีใจดวงตาวาววับคงจะคิดถึงบ้านกันแหละ
“งานแบบนี้มันหดหู่ใจไม่มีสิ่งสวยงาม น่าเบื่อเหมือนกันนะคะ?” เห็นเขาเหนื่อยขนาดนั้นก็เกรงใจ
“เด็ก ๆ ชอบนะครับ! เจ้าลูกชายตัวแสบของผมก็มาสมัครเป็นเดอะแก๊งด้วยหายหัวไม่เจอหน้ากันเลย” เขาหมุนตัวหันมองกลับเข้าไปด้านในก่อนจะลดเสียงพูด…
“สหายผู้บัญชาการก็กลับได้แล้วครับ ผมโดนตำหนิจากสหายจูยอนแล้ว เธอสั่งให้ผมส่งกลับแต่ผมเห็นว่าสหายจะได้พักผ่อนบ้างเลยบอกไปว่า สหายไม่สบาย” เขาอมยิ้มแววตาเงาวับ
“อ้าว! จูยอนรู้แล้วเหรอว่าฉันมาที่นี่?”
“รู้หลายวันแล้วครับ! สั่งขังสหายผู้พันโกมีทัก ทหารหัวเราะกันทั้งประเทศเลย” เขาคุยสนุกยิ้มใจเย็น
“อุ๊ยตาย! เสียเกียรติหมดเลย” ฉันตบอกตกใจทำให้สหายโกอับอาย จูยอนโหดไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ที่เดินเคียงข้างกันมาได้ยังไง?
“น่ารักมากกว่า! พวกเรามองทั้งสองคนเป็นเหมือนพี่สาวกับน้องชาย การกระทำครั้งนี้เป็นการบอกกับพวกเราทุกคนว่า สหายผู้นำเป็นห่วงซาจังนีมทงมูมากนะครับ” คำพูดของเขาบีบให้ฉันรู้สึกผิด
“งั้นฉันกลับดีกว่า เดี๋ยวพาไปท่าเรือหน่อยนะคะ”
“ไปทำไม? เดี๋ยวผมเรียกเฮลิคอปเตอร์มารับนะครับ รอสักครู่!”
“ไม่ต้องค่ะ ฉันจะนั่งเรือกลับพร้อมกับเด็ก ๆ”
“เอาอย่างนั้นเหรอ? งั้นคืนนี้ผมจะทำปลาดิบให้กิน ผมเคยเป็นชาวประมงมาก่อนบ้านผมอยู่ริมทะเลนัมโพ”
“ดีเลย! ฉันชอบกินปลาดิบ” ลาภปากจริง ๆ ได้เจอของชอบ
“ได้ครับ! เดี๋ยวผมให้เด็กไปส่งที่ชายทะเลนะครับ ซาจังนีมไปนั่งเล่นที่นั่นก่อน วิวทะเลสวยมาก” เขายกวิทยุ…
“คังแทจุน! มาพบผมในอาคาร เดี๋ยวนี้!”
“ฉันขอตัวไปคุยกับทหารอเมริกันก่อนนะคะ” ฉันไปทำงานให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า
ภายในอาคารโล่งข้าวของถูกขนขึ้นรถบรรทุกเตรียมกลับ ทหารหนุ่มเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงรับของจากทีมวัยรุ่นขึ้นไปเรียง ส่วนเด็กสาวในชุดแดงที่ต้องโดนทิ้งไว้ที่นี่ยังเดินทำงานว่องไว ถ้าไม่หาคนในพื้นที่ดูแลรักษาต่อเด็กพวกนี้ไม่ได้กลับบ้านแน่
“ปีเตอร์ถ้าคุณไม่อยากเหงา ช่วยฉันทำงานอย่างหนึ่งได้มั้ยคะ?” ฉันเข้าไปประเหลาะเพื่อนใหม่
“งานอะไรครับ?”
“ดูแลคนฟื้นไข้เหล่านี้ คุณและเพื่อน ๆ ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่และช่วยรักษาให้พวกเขาแข็งแรงและฟื้นฟูที่นี่ให้กลับมาเป็นเมืองเหมือนเก่าได้มั้ยคะ?”
“แล้วพวกคุณจะไปไหนกันครับ?”
“ถึงเวลาที่เด็ก ๆ ต้องพักบ้างแล้ว ฉันจะพาพวกเขากลับเกาหลีเหนือค่ะ”
“เกาหลีเหนือเหรอ?” ทั้งหมดหน้าตาตื่น
“คุณออกมาได้ยังไง แล้วกลับเข้าไปอีกได้เหรอ?”
“โลกเปลี่ยนไปแล้วทุกอย่างจบสิ้นไปแล้วค่ะ ที่เกาหลีเหนือเป็นโอเอซิสสำหรับคนเดินทาง ถ้าคุณเหนื่อยและต้องการที่พึ่งไปหาฉันที่นั่นได้เลย เกาหลีเหนือยุคใหม่มีแต่ความโอบอ้อมอารีค่ะ”
“ผมไปได้มั้ย ผมอยู่กับคุณได้ใช่มั้ย?”
“ได้ค่ะ! แต่คุณต้องทำงานช่วยพวกเราก่อน รบกวนรับภาระนี้ให้ด้วย หากเสร็จงานแล้วก็ข้ามไปขึ้นรถไฟที่เกาหลีใต้นะคะ ทหารจะพาคุณเข้าไปพบฉันเอง”
“ได้ครับ! ผมจะรับผิดชอบงานนี้ให้เอง” เมื่อเขารับปากฉันถึงกับปล่อยลมโล่งใจ ฉันเชื่อสนิทใจว่าเขาจะผูกพันกับที่นี่แล้วไม่ไปหาหรอก
ฉันตะโกนสั่งทหารบนท้ายรถยนต์...
“ทหารทิ้งของทั้งหมดไว้ที่นี่ ไปหารถคันใหม่มาพาน้อง ๆ กลับ”
“เย่!”
“สาว ๆ จ๊ะ! ฉันให้เวลาเที่ยว 3 วันแล้วค่อยกลับบ้าน แต่ถ้าใครจะกลับก่อนก็มาด้วยกันเลย”
“เย้!!!” เด็ก ๆ วิ่งกอดกันดีใจไม่มีใครมาหาฉันสักคน เรื่องเที่ยวนี่เอกฉันท์จริง ๆ กำลังยิ้มปลื้มใจเพลินก็ต้องสะดุ้งสุดตัว...
“อันยองฮาชิมนิก๊าซาจังนีมทงมู!”
“ห่ะ!” ฉันหันกลับไปตามเสียง เด็กชายตัวอ้วนกลมกลิ้งยิ้มแก้มยุ้ยตาหยีวิ่งพุงกระเพื่อมเข้ามา ไอ้นี่น่าจะเป็น...คังแทจุน
“โกพอชิบตาซาจังนีม!” เขาเข้ามากอดแขนประจบสนิมสนม
“นี่เรารู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่?” ฉันเหล่มอง
“แหม! อย่าล้อเล่นอย่างี้สิ มีใครไม่รู้จักสหายมั่ง?” เจ้าอ้วนคว้าเอวกอดหมับ
“ตั้งแต่ฉันมาที่เกาหลีเหนือ จำได้ว่าเราไม่เคยคุยกันเลยนะคะ”
เจ้าอ้วนมุดหน้า...
“ผมเป็นลูกศิษย์ของนินจาเซมครับ ผมรักซาจังนีมเหมือนกับรักเซมทั้งสองคนของผม” เขาแสดงความรู้สึกออกทางสายตา
“ขอบใจนะ! ถ้ารักกันแล้วต้องรักตลอดไปนะคะ สหายอายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย?” ฉันลูบหัวแผ่วเบา เจ้าอ้วนใบหน้าเปื้อนยิ้มถอยออกไปแล้วหันไปกอดเยวอน…
“14แล้วครับ! นูน่าก็มาด้วยเหรอ เดี๋ยวนี้สวยใหญ่แล้วนะไปขูดหน้าออกจากที่ไหนเหรอครับ?” ดูท่าแล้วสองคนนี้จะรู้จักกันมาก่อน
“โรงเชือดสัตว์ไง มีดมันคม!” เยวอนล็อกคอน้องแล้วเขกหัว
ลีจองซุกเดินเข้ามาสั่งการ...
“แทจุน! พาสหายผู้บัญชาการไปส่งท่าเรือด้วย ให้ไปรวมกับสหายของเราที่นั่น”
“อารัสซอโย! รอสักครู่ครับ!” เจ้าอ้วนหมุนตัววิ่งออกไปนอกอาคาร
“สหายผู้กองคะ! ฉันไปรอที่ท่าเรือกับเด็ก ๆ นะคะ” ฉันกล่าวลาแล้วหมุนตัว
“ชุงซอง!”
ฉันหันไปหากลุ่มทหารฝรั่ง...
“ถ้าเสร็จเร็วก็ได้เจอกันเร็วนะคะ อาหารและยาก็หาเอาจากในรถนี่นะคะ ทุกอย่างเป็นของคุณใช้ได้เต็มที่เลยค่ะ ไปก่อนนะคะ!” ฉันโบกมือลาแล้วหมุนตัวเดินตามเจ้าอ้วนออกไป เยวอนวิ่งเข้ามาคล้องแขน...
“อนนี่พูดอะไรกับพวกมัน?” เสียงแข็งมาเลยแม่ทหารดาวแดง
“ขอความร่วมมือให้เขารับงานต่อค่ะ”
“มันรับทำมั้ย?”
“รับค่ะ!”
“เดี๋ยวมันก็หลังเรา พอเรากลับมันก็ฆ่าพวกนี้ทิ้งแล้วก็ยึดเมืองตั้งตัวเป็นศัตรูกับเรา พวกนี้สันดานไม่ดี” เธอบ่นยาว ฉันเดินหนี...
“แทจุนไปเอารถที่ไหนน้า?...” ฉันขี้เกียจเถียงด้วยชะเง้อมองถนน
“แทจุนตุ้ยนุ้ยน่ารักดีนะคะ อนนี่!” ยังดีนะที่เธอก็ไม่งอแง ฉันเปลี่ยนเรื่องเธอก็เปลี่ยนตาม
“เขาใจกล้าจริง ๆ เจ้าซนว่าแสบแล้วยังไม่กล้าถูกตัวของฉันเลย เจ้านี่กอดหน้าตาเฉย”
“น้องไม่ได้คิดอะไรหรอกเห็นสายตาก็รู้แล้ว มันรักอนนี่จากหัวใจเลยล่ะ ฉันเห็นมันตั้งแต่แบเบาะบ้านอยู่ใกล้ ๆ กัน” ถึงว่าสิ! สนิทกันมาก
เราทั้งสองก้าวออกมาจากอาคาร เดินนวยนาดรอแทจุนชมสวนไปเรื่อย พอเห็นต้นฟีนิกซ์ที่ยืนหยัดต่อสู้รอดจากนิวเคลียร์มาได้ก็สะท้อนใจกับเรื่องราวของที่นี่ ไม่มีใครไม่อยากมีชีวิตแม้กระทั่งต้นไม้ยังอดทนรอคอย ฉันพยายามจินตนาการถึงวันที่ระเบิดถูกปล่อยลงมาที่นี่ ในวันนั้นไม่มีใครหนีเพราะในวันนั้นโลกยังไม่รู้จักกับปรมาณู
“บรื้น...นน!!!” ฉันหันตามเสียงเครื่องยนต์คำรามสนั่นถนนแล่นมาจากโดมปรมาณู รถยนต์สีแดงเพลิงพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ฉันยืนขาตายหยุดมองนิ่ง
“อนนี่หลบ!” เยวอนกระตุกไหล่ในจังหวะที่รถยนต์พุ่งพรวดเข้าใส่ในระยะกระชั้นชิด...
“บรื้น...นน!!!”...
“ว้าย…ยย!” ฉันปิดหน้าขาอ่อนทรุดลงพื้น
“เอี๊ยด...ดด!!!!...” รถสไลด์มาเทียบขอบทางพร้อมประตูเปิดออก
“เชิญครับ! ซาจังนีม” เจ้าคังแทจุนยิ้มแป้น ฉันฟิวส์ขาดใครสั่งสอนให้ขับแบบนี้วะ? ฉันจะสอนแกเองเจ้าอ้วน...
“ฮึ่ม!”ฉันเดินเข้าไปกระชากประตูดึงเจ้าอ้วนลงมา
“อึกอั่ก! อึกอั่ก!” เยวอนเข้าต่อยท้อง ฉันช่วยทุบหลังยำเจ้าอ้วนจนกองพื้น
“นูน่า! ตีผมทำไม? ผมจะฟ้องออมม่า!” เขานอนตัวงอเป็นหมูถูกมัด
“โดนขนาดนี้ยังไม่รู้อีกเหรอ เอาอีกมั้ย?” เยวอนแยกเขี้ยวใส่แล้วดึงหูน้อง
“พวกเลื่อนลอยเต็มบ้านเต็มเมือง ขับรถช้า ๆ ไม่เป็นหรือไง แล้วใครเขาสั่งเขาสอนให้ขับรถอย่างนี้ ฮึ?”
“นินจาเซมสอนครับจะได้ฝึกหักหลบด้วย” เขาเอา Soulless แทนกรวยจราจรซะแล้วและฉันไม่มีวันเชื่อว่าแทนจะฆ่าคนเป็นผักปลาเช่นนี้...
“อั่ก! ฉันไม่เชื่อว่านินจาเซมจะสอนแบบนี้” ฉันทุบหลังอย่างแรง
“เขาให้เอาเสามาตั้งครับ แต่ผมเห็นว่าชนพวกเลื่อนลอยที่นี่ตายก็ไม่เป็นไรนี่ครับ”
“ผลั้วะ!” เยวอนตบหัวสั่น
“แล้วสหายมาช่วยเขาฉีดวัคซีนทำไม ฮึ? เอารถบรรทุกทับให้ตายให้หมดไปเลยสิ” เธอง้างหมัด เจ้าอ้วนวิ่งมาหลบหลังแหกปากลั่น...
“ขอโทษครับ! ไม่ทำอีกแล้วครับ!”
ฉันขึ้นนั่งเบาะหลังรถยนต์โตโยต้าซีลิกาสีแดง เจ้าอ้วนขึ้นนั่งประจำที่แล้วเรียกเยวอนซะเสียงหวานเชียว...
“ไปกันเถอะครับนูน่า ผมจะขับช้า ๆให้นั่ง วิ้งวิ้งชมวิว” ไอ้นี่ซาดิสต์โดนตบแล้วน่ารักเชียว เยวอนหย่อนตูดนั่งยังไม่ทันรัดเข็มขัดเจ้าอ้วนกดคันเร่ง...
“บรื้น...นน!!!” รถยนต์กระชากพรวด...
“ว้าย…ยย!” เยวอนหน้าหงายหัวกระแทกหมอนรองคอ ฉันรีบดึงเข็มขัดมารัดตัว สงสัยแทนถ่ายทอดวิชาให้เจ้านี่หมดแน่ ๆ ดูท่าทางของเขามั่นคงมาก
“เอี๊ยด...ดด!!!!” รถยนต์สะบัดสไลด์พุ่งเข้าใส่ป้ายโฆษณา
“เหวอ!...นี่เบาแล้วใช่มั้ย แทจุน?” ฉันล้มตัวตามแรงเหวี่ยงลงบนเบาะหลัง รอบตัวของฉันมีคนเต็มเต็งบ้างมั้ยเนี่ย?
“แทจุนยกคันเร่งเดี๋ยวนี้นะ! ไม่งั้นเจ็บตัวแน่” เยวอนใบหน้าแนบกระจกข้างตาเหลือก
“แหม!..น้ำจิ้ม แค่ออกตัวเฉย ๆ ยังไม่เอาจริงเลย” เจ้าอ้วนประคองรถยนต์ขับปรกติ กวนตีนพอกับหัวหน้าแก๊งเลย
“ลองดูดี้! ตบซะดีมั้ยเนี่ย?” เยวอนง้างหมัด เจ้าอ้วนหลบวูบคู่นี้ต้องสนิทกันมากแน่นอน ฉันเอื้อมไปแตะไหล่น้อง...
“แทจุนขับดูวิวข้างทางสิคะ เผื่อเจอคนที่ต้องการความช่วยเหลือ”
“เย่!”
“อนนี่คะ! สหายจูยอนไม่อยู่บ้านเหรอคะ?” เยวอนหันมาถาม
“รู้ได้ยังไง?”
“ก็เธอหายไปจากหน้าจอ ทุกเช้าเราจะฟังความคืบหน้าในการฟื้นฟูประเทศ ไม่เห็นหน้าหลายวันแล้วค่ะ”
“น่าจะรบกันอยู่ที่อันซองมั้งคะ เห็นสหายโกบอกอย่างนั้น”
“จีนบุกอีกแล้วเหรอ อยากกลับไปสู้กับมันจังเลย”
"เฮ้ย!" ฉันแหกปากตาค้างมองเหห็นถนนขาด รถยนต์เพิ่มความเร็วเข้า
"เบรกแทจุน!" รถยนต์เหิรลงทางลาดขี้หดตดหาย นายโดนแน่แทจุน
เกาหลีโดนโจมตีจากรอบด้าน ตามตะเข็บชายแดนเต็มไปด้วยเปลวเพลิงพิโรธ เมื่อไฟลุกขึ้นมาแล้วกว่าจะดับได้คงต้องเสียทรัพยากรกันอีกมากหลาย สงครามผลาญทรัพย์สินพรากชีวิต ยิ่งยุติช้าเท่าใดคนยิ่งตายมากเท่านั้น
………………………………………
หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |