หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 9 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 10 พ.ย. 2567 |
พยองยาง
สิงหาคม ค.ศ.2026
มุมมองสายตา ซอน
รถยนต์จอดใต้ต้นไม้หน้าบ้านพักของเก้อเฉิงภายในค่ายโชซอนอินมินกุน ไป่ไป๋กับหมวดจางลงจากรถยนต์ก็เดินลั้ลลาไปบ้านของนายพลห่าวอู๋ห่างไปอีก 4 ห้อง ผมไม่ถูกชะตากับเขาสักเท่าไหร่เดินเลี้ยวตามเยวอนเข้าไปหาเก้อเฉิง
เยวอนสีหน้ากังวลหยุดยืนข้างต้นโป๊ยเซียนหน้าบ้านถามเบา ๆ
“สหายแอนนาตัดสินใจเรื่องเชลยยังไงคะ?”
“เธอโหดจะตายไป ไอ้เชลยตายแน่!” ผมตอบตามจริงและไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ถึงเวลาก็จัดการ แต่เธอดูจะทุกข์ใจมากหงุดหงิดตลอด...
“เซมบอกได้มั้ยคะ?” เธอจะไปกังวลกับมันทำไมแค่เชลยไม่มีความหมาย
“อยู่ที่มันนั่นแหละ! กวนตีนมากก็ตายเร็ว!” ผมไม่ได้ใส่ใจไม่มีใครคิดจะยิงเป้ามันสักหน่อย
“เซมน่ะ! พูดอะไรก็ไม่รู้” เธอสะบัดหน้าเข้าบ้าน แน่ะ! มางอนผมทำไม? /คดีจับแมวยังไม่ได้คิดบัญชีเลยเล่นใหญ่ซะเชื่อสนิทใจ มากดดันเรื่องนี้อีกไม่ชอบใจเลย/
ไอ้เชลยนี่! ผมมาเยี่ยมกับไป่ไป๋หลายครั้งจนเริ่มสนิทกันมากขึ้น เขาเปลี่ยนไปมากเป็นมิตรและเสือกขี้อ้อนซะด้วย เป็นคนตรงไปตรงมาคิดอะไรก็พูดอย่างนั้น
“หนีห่าวมะผู้กอง! มึงเป็นยังบ้างกินข้าวรึยัง?” ผมโผล่หน้าไปร้องทักชายที่นอนเหยียดขาอ่านหนังสือบนโซฟา
เขาเด้งลุกยืนโค้งศีรษะอย่างอ่อนน้อม...
“อ้าว! เก่อเก้อซอน หนีห่าว!” ยิ่งนานวันก็ยิ่งอ่อนโยนเป็นมิตร เปิดใจคุยมากขึ้นโดยเฉพาะกับผม มันคุยน้ำลายฟูมปากจนต้องเดินหนี
“สบายดีครับ เก้อล่ะ?”
“อือ!สบายดี นายคงไม่ได้กลับบ้านแล้วนะ อยากคุยอะไรกับห่าวอู๋ไหมล่ะมีอะไรจะสั่งเสียหรือเปล่า? ผมจะพาไปร่ำลากัน!” ผมก็พูดด้วยดี ๆ แต่เยวอนดึงแขนกระฟัดกระเฟียด หน้าบูดบึ้งเหมือนจะร้องไห้ เธอเป็นอะไรมากรึเปล่าวะ?
“เซม! อย่าพูดอย่างนี้สิ” เอ๊ายัยนี่! ตกลงกูพูดอะไรไม่ได้เลยเหรอ?
“ถึงเวลาแล้วเหรอ?...เฮ้อ!” เขาถอนหายใจแล้วสงสายตาอาวรณ์ไปที่หญิงสาว
“ไม่หรอก! ยังมีโอกาส! ยังมีโอกาส!” เธอลนลานอย่างน่าสงสัย/ถึงเวลาอะไรของมันวะ?/
“ผมคงเกิดมาพร้อมกับดวงเดียวดาย เป็นททหารก็ต้องออกรบไกลจากผู้คน ก่อนตายยังไร้คนเคียงข้าง” ไอ้บ้านี่เป็นอะไรไปอีกคน ดูละครมากไปรึเปล่า? พูดเพ้อเหมือนจะโดนฆ่าอย่างนั้นแหละ สงสัยคงจะเครียดมาก ปลอบใจมันหน่อยก็แล้วกัน...
“ผมก็เคยเป็นเชลย ไปรบที่ซีเรียโดน Isis จับตัวได้ ไอ้ชุดเชลยสีส้มของมันผมเคยใส่มาแล้ว แม่ง! เอาผมไปแก้ผ้าขึงพืดนอนตากแดดกลางทะเลทรายร้อนตูดฉิบหาย ถ้าพี่ชายไม่ไปช่วยก็ตายไปแล้ว! นายยังโชคดีที่เขาส่งสาวสวยมาดูแล อาหารก็ดีที่พักก็ดีจะเครียดอะไรนักหนาวะ?”
“ถึงอย่างไรผมก็เป็นเชลย”
“เอ๊า! ก็มึงเป็นศัตรูนี่หว่า!” กวนตีนซะแล้ว
“ผมไม่ได้อยากเป็นศัตรู เก้อก็รู้ว่าผมไม่คิดอย่างนั้นแล้ว” ตอนนี้มันไม่ต่างจากน้องชายที่ไร้เพื่อน เริ่มอ้อนอีกแล้ว
“มึงกลัวตายเหรอ?”
“เปล่าเลย! หัวว่างมาก! ผมเปลี่ยนใจไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลย” มันมองไปที่เยวอนอีกแล้ว
“ศักดิ์ศรีเยอะเหลือเกินนะมึง จูยอนไม่ได้มองว่ามึงเป็นเชลย แต่มึงเสือกมองว่าเธอเป็นศัตรู คนดี ๆ มึงกลับมองว่าเลว แต่คนเลวมึงกลับทำงานถวายชีวิต กูไม่เคยเข้าใจ” ผมเดินไปนั่งข้าง ๆ
เยวอนหงุดหงิดงุ่นง่านเดินมาเหลือบมอง ก้มหยิบหนังสือไปเรียงเข้าชั้นอาการเหมือนคนอยากจะพูด แต่ไม่กล้า
“ผมไม่ได้คิดแบบเดิมแล้ว แต่ผู้นำเกาหลีคงไม่เชื่อใจผมหรอก” เขาเหลือบมองเยวอนสายตาหมดอาลัยตายอยาก
จู่จู่...
“ตึง!ตึง!ตึง!” เยวอนกระทืบเท้าจ้องหน้าเจ้าเก้อเฉิงอย่างขัดใจ โวยใส่หน้า...
“ขอให้ช่วยไม่เป็นหรือไง ขอร้องซอนเซมสิ เขาช่วยได้?” เอ๊ะ! มันยังไงกัน? ท่าทางเยวอนก็แปลก ๆ มาพักใหญ่แล้ว
“มีอะไรกันเหรอเยวอน?” ผมถามให้หายสงสัย ยายนี่ต้องมีอะไรในใจกับเก้อเฉิงแน่ เธอทำงานกับผมเหมือนคนไร้วิญญาณใบหน้าไม่มีความสุขเลย
“เซม! ช่วยยกเลิกคำสั่งของสหายแอนนาด้วยสิคะ” เธอเดินเข้ามายืนตรง
“หือ!..เรื่องอะไร?” ผมหันมองเธอแล้วหันมองเก้อเฉิงอย่างระแวง...อย่าหาเรื่องมาให้กูโดนเมียตบนะ กูต่อยจริง ๆ นะ
“ขอร้องสิ! คุกเข่าสิ!” เยวอนดูอึดอัดใจ เก้อเฉิงก็ดูไม่สบายใจแต่เขาก็ต้องพูดเพราะเยวอนยืนบังคับ…
“เก่อเก้อ!ผมสับสนกับตัวเองมาก ใจนึงก็ยังไม่อยากตาย แต่...ผมก็ทำใจลำบากที่จะอยู่ต่อ ผมเป็นทหารนะครับ!” มันพูดอะไรของมันวะ? //สงสัย...เมียผมคงวางยาไอ้สองคนนี้ไว้แน่//
“ปีนี้นายอายุเท่าไหร่แล้วเล่าประวัติให้ฟังหน่อยสิ?” ผมชวนคุยหาสาเหตุก่อนไม่อยากผลีผลาม
“ผม 30 แล้วครับจบวิศวไฟฟ้า รุ่นน้องผู้หมวด 3 ปีมาเป็นทหารตอนผู้หมวดเพิ่งติดยศร้อยตรีใหม่ ๆ และการไปทำงานกับท่านนายพลซีชานไม่เคยได้อยู่สบายเลย พวกเรานอนกลางดินกินกลางทรายเดินทางรอบโลกเพื่อเอา Golden wave ไปปล่อย เอาง่าย ๆ ว่าผู้หญิงที่ผมเจอเป็น Soulless เกือบทั้งหมด”
“อือ! เข้าใจได้ งานทหารมันเหนื่อยและลำบากแล้วยังไงต่อ?”
“พอได้เจอนางฟ้ากลางป่าอย่างไป่ไป๋ ผมก็หลงรักหลุดโลกเลย มันเป็นรักแรกพบโดนกระชากหัวใจอย่างแรง ตัดใจยากมากแต่ก็แพ้ความจริง”
“ความจริงอะไร?”
“ผมควรให้เกียรติคนที่รักมากกว่านี้ ผมต้องทำให้คนที่ผมรักมีความสุขถึงจะถูก การที่เธอไม่รังเกียจและคบเป็นเพื่อนนั่นคือเกียรติที่เธอมอบให้ ไป่ไป๋รักสามีมากยอมลำบากทิ้งทุกอย่างเพื่อขอให้ได้อยู่ใกล้กัน น่าอิจฉามาก” เขาก็ยังมีคุณสมบัติของคนดีอยู่บ้าง
เยวอนขยับค้อนตาเขียวตวาดใส่เขา…
“พูดให้มันตรงประเด็นได้มั้ย?” เธอหันมามองหน้าสายตาอ้อนวอน....
“เซมคะ! ฉันขอร้องนะคะ ช่วยสั่งขังเขาได้ไหมคะไม่ต้องฆ่าเขาหรอก”
เยวอนสีหน้าไม่ดีเลยใบหน้าขาวสวยแต่หมองมากจนอมทุกข์ แต่นายทหารจะมาซิกแซกอย่างนี้ไม่ได้ เธอไม่เคยอดทนกับอะไรเลยกดดันคนรอบข้างไปหมด...
“เยวอนพูดอย่างนี้ไม่ได้นะครับ!” ผมหันไปดุไม่เล่นด้วย /อย่าหาเรื่องมาให้กูถูกตบ/
เก้อเฉิงคว้าแขน...
“อย่าลงโทษเธอเลยนะครับ ผมยอมรับการลงโทษ ผมยินดี!” ถึงขั้นนี้แล้ว ผมมั่นใจแล้วว่ามันโดนวางยาจริง ๆ/ ตามน้ำไปก็แล้วกัน/
“นายเป็นคนไปโปรย Golden waveใช่มั้ย?”
“ครับ!”
“มีคนรอดตายบ้างหรือเปล่า?”
“มีทุกประเทศครับ! แต่เราตามกวาดล้างอีกรอบ รอดก็น้อยครับ”
“หลังเสร็จงานแล้วนายเก็บ Golden wave ไว้ที่ไหน?” ผมลองหยั่งเชิง
“ค่ายฉางชุน! ที่นั่นเป็นฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ด้วย” เขาทำให้ผมอึ้ง ขมวดคิ้วมองหน้าให้แน่ใจ...
“ผมถามเล่น ๆ ไม่ได้คิดว่าจะตอบ เกิดอะไรขึ้น?” ผมแปลกใจมาก ปรกติแล้วความลับทางทหารไม่มีทางบอกกันง่าย ๆ หรือมันเปลี่ยนใจจริง ๆ
“ผมอยากแสดงความบริสุทธิ์ใจ อะไรที่ช่วยได้ผมยินดีช่วยอยากให้หนักเป็นเบา ถ้าสงครามเกิดมีความเป็นไปได้สูงว่าที่นี่จะโดนนิวเคลียร์ คุณหมอ คุณป้า ไป่ไป๋และทุกคน...เฮ้อ!...” สายตาเขาหมองเศร้าก้มหน้าลงท่าทางหนักใจ ผมสะดุดกับคำว่าโดนนิวเคลียร์นี่แหละ...
“เยวอน! ไปตามสหายแอนนามานี่หน่อย”
“เย่!!”
ผมหันไปมองตามตูดเยวอนแล้วหันกลับมองหน้าเก้อเฉิง รู้สึกว่าไอ้สองคนนี้มันทะแม่ง ๆ…
“หวังฉวนมีแผนยังไงบ้าง?”
“ทหารจีนกระจายกำลังไปยึดทุกประเทศแล้ว แค่รอเวลาประกาศ One China One dreamในวันที่ 9 เดือนหน้านี้ คนจีนก็จะทะลักออกไป สิ้นสุดทุกอารยธรรมเริ่มต้นนับหนึ่งอาณาจักรจีน”
“อีกไม่กี่วันแล้วสินะ!”
“สงครามเกิดแน่ ใครจะหยุดยั้งกองทัพจีนได้?”
สามสาวสวยเดินเรียงกันมา หมวดจางยิ้มเดินแฉลบเข้ามาหาแล้วกอดคอมันหน้าตาเฉย...
“เก้อเฉิง!ถึงเวลาแล้วนะ”
“ถึงเวลาเก็บกวาดแล้วใช่มั้ยครับ ลงมือเลยครับ!” จิตใจของเขาแน่มาก ถ้าเป็นคนทั่วไปคงจะโวยวายร้องขอชีวิต
“ฉันจะส่งนายพลกลับบ้าน” เธอยิ้มมุมปาก
“อ้าว! ไม่ได้จะยิงเป้าผมเหรอ?”เขาหันขวับ
“ฉันพูดเมื่อไหร่ ใครบอก?”เธอหันไปมองเยวอนก้มหน้าหลบสายตา/ผมเข้าใจทะลุปรุโปร่งเลย/
“เอ่อ!...”เขาอึกอักล่อกแล่กก่อนจะเอ่ย...“ผู้หมวดอย่าส่งท่านกลับนะครับ!”
“ทำไม?”
“มันผิดปรกติมาก จนป่านนี้ยังไม่มีใครติดต่อมาเลย กลับไปท่านนายพลก็ไม่มีที่นั่งแล้วโดนยึดไปหมดแล้ว”
“นายคิดไปเองหรือเปล่า?” หมวดจางเอียงคอเหล่มอง
“ใช่! คิดเองเรื่องแค่นี้คิดได้อยู่แล้ว ถึงผมจะเป็นเด็กก็รับรู้ภาษากายบางอย่างของท่านประธานาธิบดี ท่านนายพลซื่อสัตย์มากและเป็นคนทำงานจริงจัง”
“ฉันตอบแทนบุญคุณท่านได้แค่นี้”
“ถ้าอยากตอบแทนก็อย่าส่งท่านกลับสิครับ ผมขอร้อง” ไอ้นี่มันก็รักนายพลไม่เบาเหมือนกัน แต่หมวดจางไม่สนใจคำขอ...
“นายไม่มีสิทธิ์ต่อรอง สิ่งที่พวกนายทำลงไปแม้จะชดใช้ด้วยชีวิตก็ไม่อาจชดเชยได้ นายเคยสนใจชีวิตของคนอื่นบ้างมั้ย จนถึงวันนี้แล้วนายยังจะห่วงแต่พรรคพวกเหรอ?”
“ไป่ไป๋ไม่น่าช่วยผมไว้เลยน่าจะโดนยิงตายไปซะ ไม่น่ามาเจอกับผู้หมวด ผมอึดอัดใจทำตัวไม่ถูก”
หมวดจางยิ้มมุมปาก มองเขาด้วยหางตา...
“เรื่องอะไร?”
“ผู้หมวดทำยังไงถึงไม่ห่วงชาติ ไม่ห่วงเพื่อนร่วมชาติทั้ง ๆที่ผู้หมวดก็เป็นทหารจีนแต่กลับทำงานให้กับเกาหลี” เขาไม่ได้ก้าวร้าวจากสายตาและน้ำเสียงของเขาที่เอ่ยออกมานั้นเหมือนคนสิ้นหนทาง
“นายก็รู้ว่าคนจีนอยู่ในอุ้งมือของหวังฉวน มันเป่านกหวีดวันไหนคนจีนทั้งประเทศก็ตายทั้งหมด ในนามทหารของชาติจีน นายปฎิญาณตนปกป้องประชาชนหรือปกป้องผู้นำเลว นายเห็นผู้นำทำผิดมหันต์ยังคงสนับสนุนต่อไปได้หรือ ถ้านายไม่ช่วยพี่น้องชาวจีนก็ตกอยู่ในอันตราย”
“ผมจะช่วยอะไรได้ มองไม่เห็นทางเลย”
“นายเกี่ยวข้องยังไงกับฐานยิงขีปนาวุธที่ฉางชุน?”
“ผมมาทำงานครั้งแรกก็ประจำอยู่ที่นั่น ผมรู้ระบบการทำงานของมัน ทุกวันผมต้องปีนขึ้นไปบนยอดเพื่อประกอบชิป แต่คนที่รู้มากกว่าคือท่านนายพล”
“โอเค! เรายังมีเวลาคุยกันอีกนาน ฉันกลับก่อนนะ!” เธอหมุนตัวเดินหนีซะอย่างนั้น แต่ผมรู้ว่านี่คือเชิงการเจรจาของเธอ
“อ้าวผู้หมวด!” มันร้องเสียงหลง
“ทำไม?”
“ถามแค่เนี้ยเหรอ?” เก้อเฉิงคิ้วชนกัน
“ฉันไปก่อนนะหัวหน้าเรียกแล้ว” เธอหมุนตัว เยวอนยืนจ้องอยู่เดินเข้ามาถาม...
“อนนี่ไม่ยิงเป้าเขาแล้วใช่มั้ยคะ?” ท่าทางเธอดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่
“หือ!” ไป่ไป๋อุทานคิ้วขมวด ผมส่ายหน้ากับพฤติกรรมนี้ ทำไมเธอไม่รอให้ออกไปก่อนแล้วค่อยถาม...
“เยวอน!...” ผมกระตุกเบา ๆ
หมวดจางหันมองหน้าเธอแล้วหมุนเดินต่อ แต่เยวอนยังดื้อเดินตามแล้วถามซ้ำ...
“ยังไงคะอนนี่ ไม่ยิงแล้วใช่มั้ย?” เธอดึงแขนไว้.../งานเข้าแน่ เธอทำเกินไปแล้ว/
หมวดจางหยุดเดินแล้วถอนหายใจ หันมองรอบห้อง...
“เธอไปหยิบเก้าอี้ตัวนั้นมาซิ!” เธอชี้ไปที่เก้าอี้กลมไม่มีพนักพิง เยวอนอารมณ์ดีลั้ลลาเดินไปหยิบมาวางกลางห้อง
“นั่งลง!”
“ฉันเหรอคะ?”
“เธอนั่งตรงนี้คิดทบทวนดี ๆว่าตัวเองทำอะไรผิดไปบ้าง ครบ 3 ชั่วโมงเรียกวิทยุไปหาด้วยฉันจะรอคำตอบ ห้ามลุกไปไหนจะขี้เยี่ยวโทรไปรายงานด้วย ทหารมาเฝ้าไว้!”
“ฉันทำอะไรผิดคะ?” เยวอนนั่งลงอย่างไม่เข้าใจ
“นั่นคือสิ่งที่เธอต้องหาให้เจอ ถ้าไม่เจอเธอก็ต้องนั่งไปจนกว่าเก้าอี้จะหัก” หมวดจางหันเดินออกไปทิ้งไออำมหิตคละคลุ้ง ไป่ไป๋ขยับลุกเดินตาม เก้อเฉิงเรียก...
“เดี๋ยวครับ!”
“ลืมอะไรอีกคะ?” ยายเหน่งหันไปยิ้ม
“ไป่ไป๋!ช่วยเรื่องนี้ได้มั้ย?” เขามองไปที่เยวอน
“ได้สิ! แต่คุณรู้มั้ยว่าเธอทำอะไรผิด?”
“รู้สิ!”
“งั้นก็ช่วยคุยกับเธอด้วยว่าเธอบกพร่องตรงไหน แก้ให้ตรงจุดแล้ววิทยุเรียกไปหาผู้หมวดแอนนาซะ” เธอเดินออกไป ผมขยับจะเดินตาม
“เก่อเก้อ!” มันแวะมาแล้ว
“ไงล่ะมึง! ผู้กอง? ถ้ามาขอเรื่องเยวอน เราจบกัน”
“ไม่ใช่ครับ! ผมจะคุยความในใจให้เก้อฟัง” เขาลุกมากุมมือผมแล้วชวนคุย...
“ทำไมมึงไม่คุยกับแอนนา?”
“ผมอยากแสดงความจริงใจผ่านคำพูด แต่ผู้หมวดไม่ยอมฟังนี่นา” ท่าทางของเขาเปิดใจหมดแล้ว ตอนนี้สายตาที่มองมาเหมือนกับสายตาลูกชายของผมเลย อยากอวด แต่...ผมจะกลับบ้านแล้ว เมียรออยู่เดี๋ยวโดนโบกไม่อยากคุยด้วยแล้ว...
“ไม่อยากรู้ว่ะ ไปล่ะนะ!” ผมแกะมือแล้วหมุนตัว มันคว้าแขนหมับ...
“ใจเย็นก่อนเก้อ! ผมอยากให้ได้สัมผัสความจริงใจของลูกผู้ชายแดนมังกร ตอนนี้หัวใจร้อนรุ่มมาก” ไอ้นี่เพ้อเจ้อเหมือนเยวอน ดีแล้วล่ะที่รักชอบกันล้น ๆ ยังไงก็ไม่รู้
ผมสะบัดตัวหนี...ไอ้บ้าอย่าดึงแขน กูรีบ…
“เออรู้แล้ว ไปก่อนนะ!” ผมเดินหนีท่าเดียว
“ฮื้อ! จะรีบไปไหนยังไม่ได้ฟังรายละเอียดเลย ผมจะค่อย ๆเล่าให้ฟังช้า ๆ ” ไอ้นี่หาเรื่องให้กูโดนเมียตบแท้ ๆ /รีบปล่อยมือกูเดี๋ยวนี้นะ/
“ผู้กอง! มึงคุยกับเยวอนให้รู้เรื่องก่อน ไม่อย่างนั้นเยวอนอาจจะต้องนั่งตรงนี้เป็นเดือนเลยนะมึง”
“ก็ดีสิ!” มันหน้าทะเล้นใส่ซะงั้น เยวอนนั่งหน้าหงิกชี้หน้า...
“ปล่อยเซมเดี๋ยวนี้!”
“..........” มันยืนตัวแข็งไปเลย ผมรีบเผ่นมาขึ้นรถยนต์
เรื่องของเก้อเฉิงถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ต้องใช้เวลาในการติดตาม คงไม่มีใครโง่ให้มันถือปืนแล้วออกไปทำงานด้วยกันแน่ ผมอยากได้ Golden wave มันจะเป็นตัวยุติสงคราม และเชื่อว่าจีนยังมีจุดอ่อนให้โจมตี ความใหญ่โตของประเทศนั่นแหละคือจุดอ่อนของมัน
.................................................................
รถแล่นช้า ๆ เลาะริมสนามฟุตบอล ผ่านอาคารปฎิบัติการของโกมีทัก ออกประตูค่ายฯ หมวดจางนั่งด้านหลังเอ่ยขึ้น...
“ยายเหน่ง! ถ้าฉันจะเก็บเก้อเฉิง เธอจะว่ายังไง?” อะไรของเธออีกเนี่ย ไป่ไป๋หันกลับไปโวยใส่...“เขาก็ยอมมอบตัวแล้วเจี่ยเจี้ยจะโหดเอาถ้วยรึไง? เก้อเฉิงเป็นเพื่อนหนูนะ! หม่าม้ากับป่ะป๊าก็รักเขาจะตาย จริง ๆแล้วเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเลย”
“เธอเชื่อที่มันพูดเหรอ?” ป่วนอะไรอีกแล้ว ยุ่งกับยายเหน่งมากเดี๋ยวก็ได้เฮกันอีกหรอก
“หนูยังจำรอยยิ้มแรกหลังจากลืมตารอดตายได้เลย รอยยิ้มของเขาดีใจมากที่หนูไม่ตาย หนูจะทนเห็นเขาตายได้ยังไง?” เธอหันหน้าเมินกลับไม่สนใจพี่สาว
“ความรักชาติกับความรักของหนุ่มสาวไม่เหมือนกัน ไม่เคยดูหนังเหรอ?” เธอเริ่มตั้งคำถามเตรียมตัวต้อน
“มันล้างสมองทั้งนั้นแหละ ไอ้พวกนายพลนั่งขาสั่นในห้องแอร์หลอกให้คนหนุ่มสาวไปตายแทน หนูคุยเรื่องนี้กับเขาเป็นร้อยรอบแล้ว” เถียงกับไป่ไป๋ไม่มีวันชนะหรอกยายนี่มันนักโต้วาที ผมหันไปถาม...
“แล้วม้าจะจัดการยังไงกับเยวอน?”
“ฉันจะรอคำตอบ ถ้ายังสำนึกไม่ได้ก็นั่งจนตูดด้านไปเลย”
“อนนี่โหดว่ะ! ให้คนสำนึกผิดเองโดยไม่บอกความผิด ถ้าเธอรู้ตัวก็คงไม่ทำหรอก เยวอนเป็นคนแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”
“เมื่อกี๊เธอก็เห็นนี่! เพราะพวกเธอไม่สอนเยวอนถึงเป็นอย่างนี้ไง ตอนนี้เริ่มไม่เกรงใจซอนแล้ว อีกไม่นานคงไปขี่คอจูยอนแน่”
“เจี่ยเจี้ยต้องบอกความผิดแล้วลงโทษสิคะ”
“เพื่อนของดอกเตอร์ฉันไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวไปฟ้องกันฉันขี้เกียจต้องมาทะเลาะด้วยอีก”
“แต่มันยากนะคะ”
“คิดดี ๆ สิ พวกเราแต่ละคนกว่าจะสนิทรู้ใจกันก็เกือบฆ่ากันเชียวนะ ถ้าเรื่องแค่นี้เยวอนไม่ผ่าน ฉันไม่ให้มาเดินข้าง ๆ หรอกขี้เกียจอธิบายคำสั่งของตัวเอง”
“เธอไม่ได้โง่ขนาดนั้นสักหน่อยนี่คะ?”
“ยายเหน่ง! จะเถียงอีกนานมั้ย?”
“หยุดทันทีเลยค่ะ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
บางครั้งผมก็คิดว่าหมวดจางก็บ้า ถ้าเธอเล่นงานใครคนนั้นโคตรซวยอยู่ไม่เป็นสุขหรอก ไป่ไป๋ นาตาลีโดนมาแล้วทั้งนั้น แต่ก็แลกกับมันด้วยความตื่นเต้นและผลลัพธ์งดงามความสัมพันธ์ยืนยาว
“ม้าใครเรียกมาเหรอ?”
“จูยอนเรียกไปพบที่ทำการพรรคแรงงานค่ะ”
“มีอะไรเหรอ?”
“ไม่รู้ค่ะ! แต่เสียงใสมากบอกว่ามีเรื่องจะอวด”
ไป่ไป๋นั่งด้านหลังขยับเข้ามาหา...
“จูยอนน่ารักดีนะคะหากิจกรรมมาให้ชาวบ้านทำไปเรื่อย รีบไปเถอะค่ะอยากเจอน้องแทน ป่านนี้อนนี่กลับถึงกีจองดองแล้วล่ะมั้ง?”
“เอาแทนไปด้วย นิสัยไม่ดีเนอะ?” หมวดจางแหย่อีกแล้ว
“ดีแล้ว! ทั้งสองคนจะได้ไม่หนีไปไหนไกล ให้อีซูมินใช้ทำงานให้หัวตั้งไปเลย” ไป่ไป๋ไม่หึงนาตาลีแม้แต่น้อย
รถยนต์แล่นเลียบคู่ขนานแม่น้ำแทดงทางด้านขวาเลยทางเข้าบ้านผ่านสนามฟุตบอลมันกยองแด เข้าบริเวณลานจัตุรัสคิมอิลซุงทางทิศเหนือ กลุ่มเด็กเล็กกระจายตัวเต็มลานกว้าง
“จะทำอะไรกันอีกล่ะนั่น ยั้วเยี้ยไปหมด?” ผมชะลอรถยนต์
“ซอนคะ! จอดตรงนี้ดีกว่าจะได้ไม่เป็นจุดเด่น” ไป่ไป๋ชี้ไปที่อาคารพิพิธภัณฑ์ประวัติศาตร์ทางซ้าย
หมวดจางลงยืน ชะเง้อมองข้ามลานกว้างไปอาคารฝั่งตรงข้าม...
“เธอจะเดินเหรออาคารที่ทำการพรรคแรงงานอยู่ฝั่งโน้นนะเว้ย โคตรกว้างเลย”
“หนูจะเดินคุยกับเด็ก ๆ ค่ะ! เจี่ยเจี้ยไปกับซอนเถอะ” ไป่ไป๋เดินหนีไปหากลุ่มเด็กหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ฯ
หมวดจางเดินเข้ามากอดคอของผมแล้วพาเดินตามไป่ไป๋ เธอยิ้มมองกลุ่มเด็กดวงตาประกาย...
“นี่คืออีกเหตุผลที่ฉันปล่อยให้จูยอนเอาลูกไปเลี้ยง น้องแทนมีเพื่อนมากมาย ซึ่งถ้าเราเลี้ยงแบบล็อคปิดไว้เขาจะไม่ได้สังคมวงกว้างขนาดนี้” เธอยิ้มมองกลุ่มเด็ก ๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมรู้แต่ว่าเลี้ยงแบบนี้...โคตรคิดถึงลูกชายเลย
“ม้าไม่คิดจะสอนลูกเองบ้างเหรอ?”
“รอให้เขาอายุ 12 ปีก่อน ฉันจะเริ่มบังคับตอนนั้น”
“อายุ 12 จูยอนก็เอาเข้าโรงเรียนแล้ว”
“ก็ใช่ไง! ตอนนั้นเด็กเริ่มเรียงลำดับความคิดเป็นแล้ว ฉันจะเอาประสบการณ์วัยเด็กของเขากลับมาสอนเขา เทรนให้เต็มที่ก่อนปล่อยอีกครั้งเมื่อน้องอายุครบ 18 ปี”
“เนกาเจอิลจัลนากา!” กลุ่มเด็กสามสีของผมเป็นพี่เลี้ยงให้กับเด็กเล็กโบกมือป้องปากตะโกนมา...
“เซมอันยองฮาเซโย!” ลูกศิษย์พวกนี้แหละที่ดึงความคิดถึงลูกชายออกไปจากหัว
“ป๊าโคตรฮ็อตเลย! ดังยิ่งกว่าไอดอลซะอีกไปที่ไหนคนก็รู้จัก” โดนเมียอำซะแล้วเขินจัง ผมเดินเข้าไปหาเดอะแก๊ง 3 คน ไอ้ 2 คนกำลังดึงเชือกชุบสีคนละข้างให้ตึง ส่วนคนยืนตรงกางดึงเชือกแล้วปล่อยมือ...
“แป๊ะ!” สีติดผนังเป็นเส้นตรงเป็นกรอบสี่เหลี่ยม
“สหายทำอะไรครับ?” ผมคิดว่ามันกำลังทำลายความสะอาด
“แบค!ยอน!อู!” คนดึงเชือกหันมารายตัว... “พวกเราตีกรอบสำหรับวาดรูปครับ”
“ใครวาด?” ลางร้ายเริ่มปรากฏ
“น้อง ๆ ครับ!” เขาชี้ไปที่เด็ก
“ฮึ้ย! ถามจริง?”
“เซมดูนั่นสิครับ!” เขาชี้ไปที่กลุ่มเด็กเล็กยืนเข้าแถวตอนลึก 10 คนต่อพี่เลี้ยง 1 คนยาวเหยียดหลายพันคน…
“ศิลปินจินตนาการอายุ 5 –10 ขวบครับ” ท่าทางของเขาภูมิใจเหลือเกิน /ผมไม่เห็นด้วยสักนิด/
“อารัสซอโย! สหายทำงานต่อเถอะ” ผมหันไปหาเมีย...
“ม้า! ความคิดใครวะ?”
“ไม่รู้สิ! ฉันก็อึ้งอยู่เนี่ย! ไปหาไป่ไป๋กันเล่นกับเด็กสนุกใหญ่เลย” เธอลากมือไปหาไป่ไป๋กำลังช่วยเด็กเลือกแท่งสี เด็กเล็กชายหญิง 10 คนได้คนละกรอบกำลังละเลงสีตามจินตนาการ
เด็กชายหัวเหน่งในชุดโกโจรีวาดเส้นวงกลมมีขนรอบ ตรงกลางกรอบสี่เหลี่ยม
“อันนี้คืออะไรคะ?” ไป่ไป๋ถือกระป๋องแท่งสีถามเสียงหวาน
“แทยัง!” เขาตอบฉะฉานว่าดวงอาทิตย์ /ผมก็คิดว่าวาดลูกเงาะ/
“ทำไมไม่อยู่บนฟ้าล่ะคะ?”
“มันกำลังตกดิน”
“อ๋า!” ไป่ไป๋พยักหน้าหงึก ๆ คงเริ่มเข้าใจศิลปินจินตนาการแล้วล่ะสิ ส่วนผมยังห่างไกล
เธอขยับไปหาเด็กชายหัวโล้นข้าง ๆ กัน เขาน่าจะวาดรูปครอบครัวมี 5 คนยืนเรียงกันทาคนละสี ผมก้มลงไปถามบ้าง...
“สวยจังเลย คนนี้อะป้าใช่มั้ยครับ?” ผมจำใจชมไว้ก่อน
“อันนาโย” เขาปฎิเสธยิ้มฟันหรอแล้วชี้นิ้วอธิบาย...
“ซัมชิกอาจอชี่ ใจดีชอบซื้อว่าวมาให้เล่นเวลาอะป้าไปทำงาน เขามาหาออมม่าที่บ้านทุกวัน”
“อ๋า! คนนี้ล่ะ?” ผมชี้ไปที่ตัวสีเขียวถัดไป
“คนนี้อะป้า คนนี้ออมม่า คนนี้สหายผู้นำคิม”
“เอ๊ะ!” เด็ก ๆ ยังไม่ลืมท่านผู้นำ ไป่ไป๋กระซิบถาม...
“ซอน! ซัมชิกอาจอชี่เป็นใครคะ? หนูรู้สึกแปลก ๆ” รูปภาพส่วนใหญ่ของเด็ก ๆ เป็นลายเส้นเหมือนรูปวาดบนผนังถ้ำ
“น่าจะคนข้างบ้านล่ะมั้ง?” ผมเข้าใจความหมายที่เขาบอกและเชื่อว่าตัวเด็กก็ไม่เข้าใจ
“ซื้อว่าวให้เด็กทำไมคะ?” ยายนี่ก็ถามไม่เลิก
“ว่าวเล่นในบ้านไม่ได้”
“ยังไงคะ?” บอกไปขนาดนั้นแล้วยังไม่เข้าใจก็ไม่บอกแล้ว
“อันยองฮาเซโย!”...ผมหันไปตามเสียง จองอุงอิลวิ่งเข้ามาหา
“ทำไมสหายมาที่นี่ล่ะ วันนี้ไม่มีสอนเหรอ?”
“สหายผู้นำเรียกมาครับ? เซมยังไม่เจอกันเหรอ อยู่แถวนี้แหละเมื่อกี๊ผมยังเห็นอยู่เลย”
“เดินโย่งอยู่นั่นไง!” หมวดจางเดินเข้าไปหา ผมเดินตาม
“ป๊า! ม้า!” น้องแทนวิ่งออกจากลุ่มเด็กหัวเหน่งเข้ามากอดขาแม่
“วาดรูปรึยังคับ?”เธอนั่งยองคุยกับลูก
“เค้ายังไม่วาด ออมม่าบอกว่าคิดถึงใครมาก ๆให้วาดลงไป เค้าไม่ได้คิดถึงใครมาก ๆแล้ว” น้องแทนเลอะสีไปทั้งตัว ไป่ไป๋ทรุดลงไปนั่งคุยด้วย...
“ไม่คิดถึงไป๋กับลีแล้วเหรอ?”
“คิดถุงสิ แต่เดี๋ยวลีกับไป๋ก็มาหา”
จูยอนเดินท้องโย้มาพร้อมกับเด็กสาวบลูสกายกลุ่มใหญ่...
“เซมอันยองฮาเซโย!” เด็ก ๆโค้งศีรษะให้ ผมโบกมือรับแล้วเดินเข้าไปหาจูยอน
“เล่นอะไรกัน เลอะเทอะไปหมด?” ในสายตาของผมเห็นแบบนั้น
“ขึ้นไปนั่งคุยกันบนบันไดดีกว่า จะได้เห็นทั้งลาน” เธอขยับเดิน เด็ก ๆ เข้าประคองเดินขึ้นบันไดอาคารพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์...
“คุณไม่ชอบเหรอคะ?” เธอยังคงยิ้มอ่อนโยนเหมือนเคย
“มันเลอะ!”ผมยืนยันอย่างที่เห็น
“ไป่ไป๋กับแอนนาเห็นว่ายังไงคะ?”
“หนูชอบค่ะ แอปสแต็รกสวยดี!”
“มันใหม่มาก! แต่ฉันก็ชอบนะ...ถึงจะไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้งก็เถอะ ฉันเชื่อว่ามันต้องมีอะไรซ่อนอยู่ในกิจกรรมนี้” หมวดจางยิ้มมองรอคำตอบ
“ใครเป็นคนคิดเรื่องนี้?” ผมอยากรู้ว่า คิดยังไงถึงมาทำเลอะกับสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม ทำลายภูมิทัศน์มากกว่า
“คนนั้นคิด!” จูยอนชี้มาที่อุงอิลข้าง ๆ ผม
“สหายคิดอะไรอยู่เหรอ?” ผมหันมองหน้า อุงอิลเป็นคนฉลาดและเป็นผู้ใหญ่กว่าวัยแต่ความคิดนี้ไม่ผ่าน ผมไม่อยากทำลายความฝันเด็กฟังเหตุผลของเขาก่อนดีกว่า
“ตอนเช้าผมเคยนั่งฟังสหายผู้นำพูดเรื่องการพัฒนาของเด็กเล็กและระบบการศึกษาใหม่ ผมมีความทรงจำในวัยเด็กและอยากเก็บไว้เลยนำเสนอแนวคิดให้สหายผู้นำครับ”
“ทำไมสหายไม่วาดลงสมุด!”
“วาดแล้วครับ!” เขาตอบหน้าตาเฉย ผมชักขึ้น...
“แล้วไม่หนำใจรึไง ถึงเอาผนังอาคารมาเป็นกระดาษ?”
“เพื่อเป็นการเพิ่มกิจกรรมเสริมทักษะให้กับเด็ก ๆ สหายผู้นำบอกว่าจะไม่เน้นสอนหนังสือเด็กเล็กในโรงเรียนนอกเหนือจากการ อ่าน เขียน พูดครับ” เขายิ่งพูดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ
จูยอนยกมือ...
“นี่แค่ส่วนเดียวที่เขานำเสนอนะคะ ยังมีอย่างอื่นให้สลับสับเปลี่ยนไปทำอีกเยอะแยะ สัปดาหห์สอนภาษาต่างชาติและกิจกรรมต่อเนื่องชั่วชีวิต เช่น ปลูกต้นไม้แล้วตั้งชื่อดูแลให้โตไปด้วยกัน งานปั้นตามจินตนาการและอีกมากมาย สนุกมากรับรองเด็ก ๆ โตไปมีคุณภาพแน่นอน” จูยอนสนับสนุนแนวคิดนี้เต็มที่ สองสาวนั่งยิ้มไม่มีใครเข้าข้างผมเลยสักคน...
“เราคิดไม่เหมือนกัน!” ผมคิดสวนทาง ลังเลในใจว่าพวกเธอคงไม่รู้จักดาวินชี่ มันไม่เรียบร้อยสบายตา
“ถ้าลูกของคุณเป็นคนวาด คุณจะภูมิใจมั้ยคะ?”
“แหงล่ะ!” ผมภูมิใจกว่ารูปของแวนโก๊ะแน่นอน
“คนอื่นก็ภูมิใจในลูกของเขา ฉันบอกให้เด็ก ๆ เขียนรูปคนที่คิดถึงลงไป แต่ละคนมีเรื่องที่คิดแตกต่าง”
“สวยตรงไหน? ลายเส้นมนุษย์ถ้ำทั้งนั้นเลย” ผมจะเอียงจะก้มดูยังไงก็ไม่สวย
“ฉันไม่ได้สนใจรูปร่างแต่สนใจความหมายของมันค่ะ ซึ่งมันอาจจะเป็นเพียงจุดดำเพียงจุดเดียว แต่ความหมายนั้นคนที่วาดจะเป็นคนที่รู้ส่วนคนดูต้องใช้จินตนาการ” เถียงกับจูยอนก็ยากพอ ๆ กับเถียงเมีย
หมวดจางกับไป่ไป๋เห็นผมอึกอักบ่อยเริ่มหัวเราะ ไป่ไป๋ชูกำปั้น...
“อาจ๊ะ! อาจ๊ะ! ไฟท์ติ้ง!” น้องให้กำลังใจมา ผมต้องสู้ต่อ...
“แต่อาคารพวกนี้เป็นของชาตินะ เป็นของกลางจะมาทำเลอะเทอะไม่ได้สิ”
“เอ๊! ชาติของคุณหน้าตาเป็นยังไงน้า?...” รอยยิ้มของเธอทำให้ผมรู้สึกเหมือนคนโง่ หมวดจางกับไป่ไป๋ก็ได้แต่อมยิ้มไม่คิดจะช่วยกันเลยรึไงวะ?
ผมไม่มีความคิดว่าตัวเองผิดสักนิด...
“ก็...ชาติไง คุณไม่รู้จักเหรอ?”
“อะไรล่ะคะ คน สัตว์ สิ่งก่อสร้างหรือผู้ปกครอง?”
“เอ่อ!” ผมไม่คิดว่าจะโดนย้อน ไป่ไป๋กำหมัดอีกแระ...
“ซอนไฟท์ติ้ง!” ยายนี่ก็ยุจังเลย
“มันก็รวม ๆ กันนั่นแหละ อย่าแกล้งโง่สิ!” ผมก็ไม่ยอมง่ายเดี๋ยวกองเชียร์จะเสียใจ
“แล้วไอ้รวม ๆ กันนั่นแหละ มันเป็นของใครล่ะคะ?” เธอยอกย้อนไม่เลิก
“ก็ของทุกคนไง?”
“ฉันก็ทำถูกแล้วนี่! คุณดูบนลานดี ๆ สิคะ ลูกหลานของเกาหลีทั้งนั้น ใช่ของทุกคนในความหมายของคุณหรือเปล่าคะ?” จากรู้สึกว่าโดนยอกย้อนเริ่มรู้สึกเหมือนโดนต้อนให้จนมุม
ผมหันไปหาตัวช่วย...
“ม้าคิดว่ายังไง ป๊าว่าไม่ถูกต้อง?” ฟ้องเมียซะเลย
“ทั้งอุงอิลและจูยอนพูดขนาดนี้แล้ว ป๊ายังไม่เข้าใจอีกเหรอคะ?”
“อ้าว!” ผมอยากจะพูดต่อว่า ถ้าเข้าใจแล้วกูจะถามทำไมวะ? แต่ก็ไม่กล้าขนาดนั้น หาพวกก่อนดีกว่า...
“ไป่ไป๋เข้าใจมั้ยน้อง?” อย่างน้อยคนที่ไม่เคยทิ้งผมไว้ลำพังต้องช่วยผมแน่
“พอได้ฟัง หนูก็เข้าใจแล้วค่ะ!” ไป่ไป๋ก็เข้าใจไปซะแล้ว เหลือกูคนเดียวเหรอเนี่ยที่เห็นต่าง
“ป๊าไม่เข้าใจเรื่องไหนคะ?” เมียหันมาถาม
“อ้าว!ก็คุยเรื่องวาดรูปมีเรื่องอื่นด้วยเหรอ?” เดี๋ยวต่อยท้องซะเลย
หมวดจางหันไปยิ้มหวานกับอุงอิล…
“อุงอิลเก่งมากนะจ๊ะ!” เธอไปชมมันทำไม ตกลงผมเป็นคนเดียวที่เอ๊าท์เข้าไม่ถึงศิลปิน ผมว่าพวกเธอนั่นแหละมองสิ่งสวยงามไม่เป็น
จูยอนมองหน้าทีละคนแล้วมาหยุดที่ผม...
“ซอนคะ! ฉันพูดมาตลอดว่าชาติเป็นของทุกคนไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง สิ่งก่อสร้างยิ่งใหญ่พวกนี้เป็นเงินมาจากน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้านแต่คุณเห็นแล้วคิดถึงอะไรคะ?” ยอกย้อนกันทุกคนจะเล่าดี ๆไม่ได้รึไง ทำไมต้องถาม?
“คนสร้างสิ!”
“ใครสร้าง! คนงานหรือคนสั่งให้สร้างคะ?” เธอต้อนผมอีกแล้ว รู้งี้นั่งฟังเมียอธิบายดีกว่า/ ไม่ตอบแล้วลูกศิษย์นั่งมองอยู่เต็มเลย ผมทำเป็นหูทวนลมนั่งปิดปากเงียบ/
“เซมครับ! สหายผู้นำถามครับ” อุงอิลเสือกสะกิด ตอบก็ได้วะ
“คนสั่งสิ! ใครจะไปคิดถึงคนงานกันล่ะ”
“ใช่มะ!เวลามองกำแพงเมืองจีนเรากลับไปนึกถึงความยิ่งใหญ่ของจิ๋นซีและมองข้ามชีวิตเล็ก ๆทีถูกฝังลงในกำแพงนรกนั่น อาคารเหล่านี้ก็เช่นกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้ซ่อนประวัติศาสตร์ที่บิดเบือนเอาไว้และกลายเป็นสัญลักษณ์แสดงอำนาจและแสดงความเป็นเจ้าของประเทศ มันเป็นตัวแทนการกดขี่ทางชนชั้นของห่วงโซ่กาลเวลา ถ้าปล่อยไว้โดยไม่กล้าแตะต้อง สักวันมันจะกลายเป็นศูนย์รวมเกมการเมืองและเป็นข้ออ้างที่ทรงพลัง” เธอพูดเรื่องนี้ยอมรับได้ แต่ที่รับไม่ได้เลยคือ...
“มันเลอะ!”
“เลอะหรือสวยไม่มีใครตอบได้หรอก มันอยู่ที่มุมมองค่ะ”
“ก็ผมมองว่าเลอะและไม่สวย”
“สวยหรือไม่สวย ชอบหรือไม่ชอบ เลอะหรือศิลปะเป็นเพียงอารมณ์ส่วนตัว คุณชอบนักร้องคนไหนคะ?”
“ไมเคิล แจ็คสัน!” ผมตอบได้เลย
“บางคนก็ไม่ชอบเขา จริงมั้ยคะ? ประเด็นของฉันคือการมีส่วนร่วมของเด็ก ฉันมีอำนาจสั่งให้ทาสีใหม่ก็ได้ทุบทิ้งก็ได้ทำไมฉันถึงไม่เลือก? เพราะฉันไม่อยากให้สิ่งที่เป็นตัวแทนของชาติมาจากความคิดของฉันคนเดียว คุณเคยเห็นสำนักงานของรัฐที่ให้เด็กมีส่วนร่วมมั้ยคะ?”
“อาจจะมีปีละครั้ง” ผมอยากจะเถียงแต่ยังไม่รู้จะเถียงยังไง เมียกับน้องสาวยิ้มเหมือนสาแก่ใจ
“เด็กเหล่านี้จะต้องโตขึ้นในสักวัน กิจกรรมในวัยเด็กจะทำให้พวกเขาผูกพัน ถ้าพวกเขารู้สึกร่วมกันก็จะปกป้องมันเอง ส่วนเราก็ค่อย ๆ ลาจากไปอย่างเงียบ ๆ อนาคตเป็นของเด็กไม่ใช่ของคนแก่เมื่อถึงเวลาฉันก็ถอย”
อุงอิลยกมือ...
“ขออนุญาตครับเซม! แผนการเรียนรู้ปฐมวัยของผมคือสถานที่ราชการทั้งหมด ภาพพวกนี้จะลดช่องว่างของเจ้าหน้าที่กับชาวบ้านได้ดีกว่าครับ” เอาเข้าไป! เขาคงอยากได้ดิสนี่ย์แลนด์เกาหลีเหนือมั้ง?
“สหายจะไม่ให้เกียรติสถานที่และคนทำงานเลยเหรอ?”
“เพราะคิดแบบนั้น จึงมีแต่คนคิดจะเป็นใหญ่ในองค์กรของรัฐและแสดงความเป็นเจ้าของ มองชาวบ้านเป็นเพียงผู้มาเยือน” จูยอนสวนมาอีกครั้ง
“เซมครับ แต่ละช่องมันก็มีความหมายของมัน เป็นความฝัน เป็นความหวังของทุกคนมารวมกัน โครงการนี้จึงได้ชื่อว่า พันรำลึกไงล่ะครับ”
“มันเลอะเข้าใจมั้ยอุงอิล?” ผมยังยืนยันคำเดิม หมวดจางยกมือบ้าง...
“สิ่งก่อสร้างของรัฐมักจะแสดงออกทางอำนาจโดยใช้ภาพความยิ่งใหญ่ข่มขวัญ การออกแบบผ่านการคำนวณทั้งวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์คาดหวังเพื่อสะกดทุกคนให้อยู่ใต้อำนาจที่เขาเรียกว่า สร้างไว้ให้หมามันดูใช่มั้ยคะจูยอน”
“ค่ะ! หมาก็ได้แต่ดูและต้องวิ่งหนีเมื่อโดนไล่ เมื่อเวลาจำเป็นที่ต้องใช้บริการก็ต้องเจียมตัวกุมเป้า อาคารพวกนี้เจ้าหน้าที่ไม่ให้คนนอกเข้าไปดูการสุมหัวของพวกเขาหรอกค่ะ แต่รัฐของฉันต้องโปร่งใส”
หมวดจางหันมายิ้มปลอบใจ...
“ป๊า!...เวลาจะดัดแปลงทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางเอง กิจกรรมพวกนี้จะเป็นตัวช่วยให้เด็กผูกพันและฝังเวลาทุกช่วงวัยเอาไว้ ไม่ต่างจากการฝังแคปซูลความฝันของเด็กญี่ปุ่น แค่เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงในจุดเล็ก ๆ ป๊ายังรับไม่ได้เลย ถ้าถึงวันที่เปลี่ยนทั้งหมดป๊าจะอยู่ได้ยังไง”
“มีเลวร้ายกว่านี้อีกเหรอ?” ผมก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดี
“ถ้าเรื่องแค่นี้เลวร้าย ป๊าคงต้องตายตอนนี้แล้วล่ะ” เธอเห็นผมเป็นนาตาลีไปแล้วรึไง มาต้อนให้จนมุมซะงั้น
“ขนาดนั้นเชียว”
“เพราะการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดนั้นป๊าไม่เคยชินแน่ คงจะทรมานใจมากที่เห็น การคิดเหมือนเดิมทำให้กระทำเหมือนเดิมและผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม สิ่งที่จูยอนพูดมาทั้งหมดคือความแตกต่างที่จะกำหนดแนวคิดใหม่”
จูยอนยกมือ...
“ฉันยกเลิกการเรียนรู้แบบบังคับท่องจำแทนที่ด้วยกิจกรรมสอนให้เด็กได้ใช้จินตนาการจนถึง 10 ปีจึงจะค่อยเอาเข้าเรียนในระบบและพออายุ 18 ปีก็เข้าไปทำงานและเรียนรู้ในสายงานของตนเอง”
ไป่ไป๋แทรกขึ้นมา...
“หนูเชื่อว่าพวกเขาจะกลับมาที่รูปวาดนี้อีกในวันที่พวกเขาโตขึ้น สักวันมันจะเป็นจิตรกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจจะต้องสร้างกระจกแก้วครอบไว้ให้กับศิลปินจินตนาการในวันนี้ก็ได้ หนูเคยเห็นรูปที่ตัวเองวาดไว้ที่ผนังบ้านในสมัยเด็ก คุณลองทายสิว่าหนูได้เห็นอะไร?” เธอยิงตรงมาที่ผม พวกนี้เป็นอะไรกันนักหนาวะชอบถามอยู่ได้...
“ก็เห็นรูปเงาะเหมือนอย่างนี้แหละ”
“ไม่ใช่คะ! หนูเห็นเด็กผู้หญิงผมเปียกำลังวาดรูป หนูจำเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นได้และมีความสุขมาก มันจึ้งใจ!”
ผมก็ไม่เคยวาดรูปซะด้วย หมดปัญญาจะถกต่อ...
“ผมแพ้ใช่มั้ย?” ทั้งแนวคิดและการปฎิบัติไม่คุ้นเคยเลย หรือมันอาจจะละเอียดอ่อนจนคนใจหยาบไม่เข้าใจ ผมคงเข้าไม่ถึงศิลปินจินตนาการจริง ๆ
จูยอนยิ้มกว้าง...
“อย่าคิดอย่างนั้นสิ สมมุตินะคะ! ถ้าฉันทำอย่างที่คุณบอกมันจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับชาติค่ะ ฉันรู้ว่ามีคนคิดอย่างคุณไม่น้อยเป็นเรื่องปรกติของการเปลี่ยนแปลงต้องมีคนเห็นต่าง”
“ไม่กลัวจะโดนต่อต้านเหรอ?”ผมไม่เห็นด้วยกับการกวนน้ำให้ขุ่น
“พวกเขาต้องทะเลาะกับลูกตัวเอง เรื่องของเขาเถอะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” สองสาวชอบใจ
“ลูกพี่ไม่ออกจากยิมเลยเหรอครับ?” ผมถามหาเจ็ทโด้
“เดี๋ยวก็มาค่ะ! พวกคุณเตรียมตัวรึยังจะเดินทางแล้วนะคะ?”
“พร้อมแล้วครับ” ผมต้องไปวลาดิวอสต็อกกับพวกเธอ
ทันใดนั้น...
“หมวดจาง!” เสียงนาตาลีเรียกวิทยุขัดจังหวะ หมวดจางอมยิ้มเจ้าเล่ห์ยกวิทยุขึ้นมารับ...
“โย่ว!”
“เยวอนผิดอะไร?” นาตาลีเสียงเขียวมาเลย
“นั่นน่ะสิ?” ใบหน้าไร้ความรู้สึก
“แล้วคุณลงโทษเธอทำไม?” น้ำเสียงโกรธจัด
“ก็เธอทำผิด!” ตอบชิวมาก
“แล้วผิดอะไรล่ะ?” คาดคั้นจะเอาเป็นเอาตาย
“ฉันก็รอคำตอบอยู่ เยวอนกำลังรวบรวมความผิดอยู่” น้ำเสียงของหมวดจางฟังแล้วยั่วมาก มันก็น่าโมโหแทนนาตาลีเหมือนกันนะ
“ฉันจะยกเลิกคำสั่ง!”
“ก็ลองดูดิ!” ไม่มีสะทกสะท้าน
“อย่าคิดว่าไม่กล้า!” นาตาลีขู่เป็นแมวเลย
“ไม่กล้าหรอก!” ท้าทายมาก
“ฉัน...ฉันจะไม่คุยกับคุณ 3 วัน” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นงอนไปซะแล้ว
“พอดีเลย! ฉันจะไปอันซอง 3 วันกลับมาแล้วค่อยคุยกันนะ แค่นี้นะ!” ยังกวนตีนไม่เลิก
“หมวดจางง่ะ...” เสียงอ่อนลงมาแล้ว
“แอนนา!” หมวดจางตวาดแว้ด
“เออ! แอนนาอนนี่มันไม่ยุติธรรมเลย ไม่บอกความผิดแต่ลงโทษมันดูไม่มีอารยะและเอาแต่ใจตัวเอง”
“ฉันทำแค่นั้นเพราะเห็นว่าเป็นน้อง สอนแบบน้อง ถ้าต้องการให้ลงโทษแบบทหารก็ได้นะ โดนธำรงค์วินัยติดคุกกล้อนหัว อย่าร้องนะ!”
“ฮึ๋ย! ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ? ไม่เอาอย่าทำนะ!”เสียงตื่นเชียว
“สมัยเราอยู่ที่รัฐฉานกับลูกน้องสุดเถื่อนของซอนมีความสุขมั้ย?”
“มาก!”
“ไอ้โจรป่าพวกนั้นน่ากลัวมั้ย?”
“น่ารัก!”
“คุณออกตัวแรงอย่างนี้...เท่ากับว่าฉันเป็นคนไม่มีเหตุผลใช่มั้ย? ฉันเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองใช่มั้ย?”
“ไม่ได้พูด แค่คิด!”
“กลับไปทำงานได้รึยัง?”
“แค่นี้นะ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ถ้าเจรจาจบอย่างนี้...รับรองได้ว่าเยวอนนั่งรากงอกตูดแน่ การข้ามหน้าข้ามตาถือว่าไม่ให้เกียรติกันต้องโดนลงโทษ เธอยังโชคดีแค่นั่งเก้าอี้ ลูกน้องของผมโดนมัดกับต้นไม้ โดนแช่น้ำครึ่งวันตัวซีดกันหมด
“งั้นเรากลับกันก่อนนะ!”
ผมคิดไปถึงวันดวลของพี่ชาย อยากให้มันผ่านไปจะได้ทำงานอย่างไม่มีอะไรคาใจ ยิ่งนานวันก็ยิ่งสนุกหลายอย่างเริ่มเปลี่ยน ทุกวันผ่านไปพร้อมการเติบโต
………………………………………………………หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |