หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 9 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 9 พ.ย. 2567 |
เกาะคอนยู
มุมมองสายตา จูยอน
สิงหาคม 2026
ฉันย้ายกลับมาอยู่ร่วมบ้านกับพี่น้องอีกครั้ง ความรู้สึกไม่มั่นคงในจิตใจเซาะจนไม่มั่นใจว่าจะรอดจากสงครามไปได้หรือเปล่า เวลาที่มีอยู่น้อยนิดเอากลับมาใช้ร่วมกับเพื่อนที่รู้ใจดีกว่า อยากจะหัวเราะด้วยกันให้เต็มที่มีความสุขกับเวลาที่เหลือน้อยลงไปทุกวัน
“สหายจูยอน!” แทนในชุดทหารสุดเท่ร้องทักขณะก้าวเดินลงจากบ้าน
“สองสาวไปทำงานแล้วเหรอ วันนี้คุณไปทำงานที่ไหนคะ?” ฉันเดินเข้าไปหาเขา เจ้าลีออองเดินนวยนาดเข้ามาเอาหัวถูขาของฉันเหมือนลูกแมว
“สองคนนั้นออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ส่วนผมคิดว่าจะชวนสหายโกไปดูชายทะเลฝั่งตะวันตกที่นั่นเป็นจุดบอดของเรา ไม่มีเรือรบคอยยันกองบินจีนเลย”
“ช่างมันเถอะ! ตรงนั้นมันเข้ามาไม่ได้ง่าย ๆ หรอกทะเลมันกว้างทุ่นระเบิดมากมายเข้ามาก็เจอค่ายแคซ็องอีก ไม่ต้องห่วงหรอกไปเที่ยวกับฉันมั้ย?”
“คุณก็น่าจะพักได้แล้วนะ” แทนยิ้มอบอุ่นเดินเข้ามากุมมือ
“คุณดูบ้านสิไม่มีใครสักคน เจ็ทโด้ก็ไปเตรียมการที่ชินอุยจู น้องแทนก็ตามแม่ไปทำงาน ฉันเหงาไม่อยู่หรอกคนเดียวคุยกับลีอองไม่รู้เรื่อง” ฉันลูบหัวเสือขาวแล้วเดินไปขึ้นรถยนต์ของตัวเอง แทนวิ่งมาเปิดประตูให้…
“ผมไปด้วยดีกว่า” เขาวิ่งอ้อมไปขึ้นนั่งขับ
รถยนต์แล่นเข้าสนามฟุตบอลมันกยองแดที่ทำงานของซอนทางขวามือ กลุ่มเด็ก ๆ ชุดเหลืองวิ่งเล่นกันประปรายส่วนใหญ่จะอยู่ในห้องเรียนใต้อัฒจันทร์ แทนเสียบหัวรถยนต์เข้าจอดใต้ต้นไม้
“ซอนเก่งมากจริง ๆ คนเดียวสร้างกองทัพได้ใหญ่มาก” ฉันเดินแอบมองเข้าไปในห้องเรียนทีละห้อง เด็กรุ่นแรกสอนเด็กรุ่นต่อมาวางกลเกมเหมือนเจ็ทโด้ฝึกทหาร
เราหยุดยืนมองจองอุงอิลหัวหน้าทีมกำลังสอนรุ่นน้องเรื่องการมีวินัย ห้องถัดไปเจ้าซนบ๊กซูกำลังอธิบายการทำงานของโปรแกรมที่แบ่งแยกย่อยเป็นหมวดหมู่คำสั่งสำหรับใช้งานต่างประเภทกัน
“จูยอน! แทน!” ซอนทักจากข้างหลังเดินยิ้มมาหา เยวอนเดินหอบแฟ้มตามหลังมาตะโกนทัก...
“อันยองฮาเซโยสหายผู้นำ! แทนโอปป้า!”
“อันยอง! ทำอะไรกันอยู่คะเซม?”
“เตรียมตัวสอบคนที่ใช้โปรแกรมเก่งสุดจะได้เป็นครูและผู้นำรุ่นต่อไปส่วนคนที่สอบตกเรียนต่อ มีบางส่วนขอไปทำงานที่ตัวเองอยากจะเป็นผมส่งออกไปหมดแล้วครับ” เขาลากแขนมายืนหลังห้องแอบดูไม่ให้เจ้าซนเห็น
เจ้าซนรูปร่างผอมสูงหัวโล้นยืนสอนหน้าห้องหันมาถามหลังอธิบายโปรแกรมจบ...
“มีใครไม่เข้าใจยกมือถามได้ ถามให้เพื่อน ๆได้ยินถ้าจะได้ตอบเผื่อคนที่ไม่รู้ด้วย”
“.....................” เงียบกริบแสดงว่าสอนเข้าใจ...แต่
“ถ้าไม่ถามตอนนี้ ผมเดินออกจากห้องไปแล้วจะไม่ตอบคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น” เจ้าซนก็มีวิธีของผู้นำ
เด็กชายตัวเล็กแววตาดื้อขั้นสุดในชุดวอร์มเหลืองตัวโคร่ง ยกมือ…
“ซนพันจังนีม! ปุ่มสีแดงมุมซ้ายของเครื่องทำไมของเรามันเปิดไม่ได้ล่ะ?” เจ้านี่ตัวเล็กนิดเดียวท่าทางห้าวมาก
“มันเป็นเรดโซน ต้องใส่รหัสผ่าน”
“บอกรหัสมาสิ เราจะได้เปิด”
“ปุ่มนั้นไม่ใช่สำหรับชั้นลูกเจี๊ยบอย่างสหาย ต้องสอบขึ้นชั้นไก่โต้งก่อนถึงจะได้เรียน” เจ้าซนยืนหน้าห้องเหมือนคุณครู
“ข้างในมีคำสั่งอะไรบ้างล่ะ?” เขายอมซะที่ไหนยืนจ้องหน้า เจ้าซนเจอคู่ปรับแล้ว
“เป็นคำสั่งพิเศษสำหรับคนพิเศษ ผมสัญญาว่าถ้าใครสอบผ่านครั้งนี้จะได้เรียนในเรดโซนทุกคน”
“ทำไมต้องลำบากสอบ บอกให้รู้ตอนนี้ไม่ได้รึไง? ทำเหมือนไม่อยากให้รู้?” เอาสิเอา! เขากล้าท้าทายอำนาจด้วย อยากเห็นจังเลยเจ้าซนจะแก้ปัญหานี้ยังไง? ทุกคนในห้องนั่งเก็บปากเรียบร้อย
“หึหึหึ!ไอ้นี่น่าสนใจ!” แทนชอบใจขยับเข้ามามอง ซอนขำกับความบ้าบิ่นของลูกศิษย์ ซนบ๊กซูชี้หน้าเพื่อนคงหวังจะปรามให้หยุด...
“สหาย! การให้เกียรติเป็นวิถีลูกผู้ชาย อย่าทำอย่างนี้อีก” แต่ไม่ได้ผล เจ้าตัวเล็กไม่สะทกสะท้าน...
“ก็เพื่อน ๆ อยากรู้ พันจังนีมดูสายตาพวกเขาสิ” เจ้าตัวเล็กชี้ไปที่เพื่อน พวกเขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“มีแต่สหายคนเดียวนั่นแหละที่อยากรู้ สหายชื่ออะไร?”
“ซุกอึน! ลีซุกอึน! บ้านอยู่นัมโพ พ่อเป็นทหารแม่ทำงานกับมีแรอาจุมม่า”เขาลุกขึ้นยืนตัวเล็กนิดเดียวสวมเสื้อผ้าหลวมโครก
“ผมจะตั้งตารอสหายนะ พิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่ามีคุณสมบัติพอที่จะใช้เรดโซน”
“เรามั่นใจว่าทำได้แต่ขอดูก่อนได้มั้ยล่ะ ถ้าไม่ดีเราจะไปเรียนอย่างอื่น ซ่อนไว้แบบนี้เราว่าไม่ใช่ของดีหรอก?” เจ้าซุกอึนดื้อได้ใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ชอบชอบ!” แทนหัวเราะร่วน ฉันเริ่มชอบใจเจ้าเด็กคนนี้แล้ว ดูซิ!เด็กแสบอย่างเจ้าซนจะปราบเจ้านี่ได้ยังไง?
เจ้าซนหยุดมองแล้วถอนหายใจ…
“สหายท้าทายเราใช่มั้ย?”
“เราไม่ได้ท้าทาย ถ้าสหายหัวหน้าไม่รู้ก็บอกกับเราดี ๆสิว่าไม่รู้ อย่าหลอกให้เรารอสิ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” พวกเราปิดปากขำ เจ้าตัวเล็กสู้ขาดใจ
“สหายอายุเท่าไหร่ทำไมตัวเล็กจัง อายุถึง 14 ปีหรือยัง?” เจ้าซนขยับเข้าหา เจ้าตัวเล็กเอามือกุมท้องตัวงอใบหน้าเหยเก...
“อูย!พันจังนีม เราขออนุญาตเข้าห้องน้ำก่อนนะ ปวดท้อง!” ว่าแล้วเขาก็วิ่งออกจากห้องไปหน้าตาเฉย
ซอนหันมาอมยิ้ม...
“ลูกใครวะแสบกว่าเจ้าซนอีกไปนั่งที่ห้องก่อนครับ เดินไปทางนี้อย่าให้พวกมันเห็น ขี้เกียจเวียนหัว” ซอนพาอ้อมด้านหลังไปนั่งในห้องพักนักกีฬา
“อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่คุณขอไว้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนะคะ เรื่องนี้ฉันปิดเป็นความลับไม่ได้บอกใครเลย แม้แต่เจ็ทโด้ก็ไม่รู้”
แทนยื่นหน้า...
“ผมก็ไม่รู้”
“ก็กูไม่อยากให้รู้ไงล่ะ” ซอนลูบหัวน้องชายแล้วพาเดิน...
“ลูกพี่ฟิตร่างกายน่าดู เขาจะทำอะไรเหรอ?”
“เขาจะต่อยกับซีชาน”
“บ้า!..ไปเสียเวลากับมันทำไม เข้าทางมันทุกอย่าง”
“เขาบอกว่า ถ้าได้ต่อสู้กันอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้ ฉันก็หวังว่าจีนจะไม่มายุ่งกับเรา”
“ชนะมันก็พาล แพ้มันเยาะเย้ยไม่มีทางที่คนอย่างนั้นจะเป็นเพื่อนกับคนที่มันไม่เกรงใจ ทางเดียวที่มันจะไม่มายุ่งกับเราคือ...เด็ดหัวผู้นำของมันก่อน”
“คุณพูดเหมือนกับแอนนาเลย”
“จับไก่ต้องจับแม่มันก่อน ได้ทั้งเล้าเลย” เขาหัวเราะร่วน เยวอนยืนหน้าหมองมองอยู่นาน ขยับเข้ามาหาทีละนิด…
“สหายผู้นำคะ ฉันอยากปรึกษาค่ะ”
“เรื่องอะไรคะ?”
“เรื่องเชลยค่ะ”
“เรื่องเชลยต้องคุยกับสหายแอนนาหรือไม่ก็ไป่ไป๋เซมสิคะ ฉันไม่ได้ทำงานตรงนั้น”
“เอ่อ!...ค่ะ!” เธอหน้าเสียถอยออกไป ฉันสังเกตสีหน้าของเธอไม่สบายใจเลยหันไปหาซอน...
“มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
“ไม่รู้สิ! ”ซอนก็ดูเหมือนจะไม่รู้จริง ๆ
“ฉันสบายใจจังเลย คิดว่าทุกอย่างของเราพร้อมมาก ส่วนโปรแกรมคำสั่งจะอัพเดตให้เรื่อย ๆ นะคะ ฉันยังเข้าไปทำงานกับคุณลุงอยู่นะ” คิดบวกเท่านั้นที่ทำให้ฉันฝ่าฟันอุปสรรค พร้อมไม่ได้หมายความว่าสู้ได้หรือว่าจะชนะศัตรู แต่มันก็สบายใจ
“คุณน่าจะพักได้แล้วนะ ถ้าเบื่อก็ไปอยู่กับคุณหมอที่โรงพยาบาล หม่าม้าบ่นตลอดว่าคุณดื้อ”เสียงของเขาเริ่มขุ่น ซอนก็เหมือนพี่ชายอีกคน
“ฉันยังทำงานไหว คุณมีอะไรจะถามอีกไหมคะจะไปดูนาตาลีสักหน่อย” ฉันหันไปเกาะแขนของแทนเตรียมหนี
“ดอกเตอร์ไปที่ไหน?”
“ฉีดวัคซีนอยู่กับไป่ไป๋ที่กีจองดอง แอนนาเข้าศูนย์วิจัยกับน้องแทนครับ”แทนหันไปตอบ
“ท้องใหญ่แล้วคุณจะเดินทางไกล ๆ ทำไม บอกแล้วว่าให้ใช้มา เดี๋ยวผมจัดการให้เอง ถ้าล้มไปจะมีปัญหาอื่นนะ” ซอนเริ่มบ่นหนัก ฉันหนีดีกว่า
“ค่ะ! ฉันจะระวังขอตัวก่อนนะคะ แทนคะไปกันเถอะ” ฉันหมุนตัวกลับ เยวอนเดินตามมาประกบ
“เยวอนป่วยรึเปล่า? หน้าตาไม่สดชื่นเลย ขึ้นรถสิฉันพาไปหาหม่าม้าที่โรงพยาบาล”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอ่อ!..ได้ยินว่าจะนัดเจอกับสหายจีนจะสู้กันเหรอคะ?”
“อืม!”
“เชลยทั้งสองคนเอายังไงคะ?” ทำไมถึงพูดเรื่องเดิม ต้องมีอะไรแน่
“ไม่รู้ว่าสหายแอนนาจะจัดการยังไง เธอเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ มีอะไรเหรอ?” ฉันสงสัยว่าเยวอนต้องมีปัญหาในใจแน่ ท่าทางและสีหน้าไม่สดชื่นเลย
“เอ่อ!...ไม่มีค่ะ สหายผู้นำคิดจะฆ่าพวกเชลยจีนมั้ยคะ?” โธ่! น่าสงสารคงอึดอัดใจมากสินะที่ต้องดูแลเชลย
“คิดสิ! คิดทุกวัน อีกไม่นานสหายก็ไม่ต้องเหนื่อยไปดูแลแล้ว ฉันไปก่อนนะอดทนอีกนิด” ฉันปลอบให้เธอสบายใจ พวกเธอคงจะเกลียดเชลยและไม่อยากจะดูแลนี่เอง
ในขณะที่ขับรถยนต์ออกมาฉันหันกลับไปมอง เยวอนยังยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหนท่าทางเหมือนคนอมทุกข์ เป็นอะไรของเธอนะ?
“คุณคิดเหมือนฉันมั้ยคะ?” ฉันรู้สึกไม่สบายใจกับน้องทหารที่มีความกังวลใจ
“คิดครับ! เยวอนเป็นคนสดใสน่ารัก ขี้เล่นมากกว่านี้ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ ต้องมีอะไรกับเธอแน่” แทนก็สัมผัสความเปลี่ยนแปลงนั้นได้
ทันใดนั้น...
“สหายจูยอน”
“คะอาจอชี่”
“ผมจะไปยองบยอน ไปเที่ยวด้วยกันมั้ย?”
“ไปสิคะ เจอกันที่นั่นนะคะ”
“อ้าว!ไม่ไปหานาตาลีเหรอ?”
“ไปที่นี่ดีกว่า เรื่องนี้สำคัญกว่า”
……………………………………
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยองบยอน โอบล้อมด้วยเทือกเขาฮัมซานกินพื้นที่ราบเกษตรกรรมภาคกลางกว่า 100 ไร่ ปล่องปฎิกรนิวเคลียร์คล้ายแจกันขนาดใหญ่ปล่อยควันขาวลอยอ้อยอิ่งไปตามกระแสลมเย็น กลุ่มสามสีลูกศิษย์ของซอนวิ่งกระตือรือร้น จากอาคารสู่อาคารช่วยงานผู้ใหญ่อย่างแข็งขัน พวกเขากำลังเรียนรู้งานในสิ่งที่ตัวเองเลือกอยากจะเป็น
“อันยองฮาเซโยสหายผู้นำ” สหายคุณลุงพึ่งมาถึงพร้อมกัน โบกมือยิ้มกว้างรีบวิ่งเข้ามาพยุง...
“ค่อย ๆ ครับ ท้องใหญ่มากแล้ว” สหายผู้เป็นกำลังใจและเป็นคนที่ทำงานหนักที่สุดยังคงใจดีเสมอต้นเสมอปลาย
“อันยองฮาเซโยอาจอชี่ทงมู” แทนโค้งศีรษะด้วยความเคารพ
“เซมสบายดีนะครับ ไม่เจอกันเลย” ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่สมควรได้รับการยกย่อง ทำงานหนักด้วยหัวใจเป็นธรรม
“เหนื่อยครับ เดินทางทั่วประเทศเลย” แทนเข้ามาช่วยพยุงฉันเดินเข้าไปในอาคาร
“รออีกนิดนะเซม เด็ก ๆกำลังเรียนรู้ ถ้าเขาโตขึ้นมาพวกเราก็ถึงเวลานั่งดูแล้ว ถึงตอนนั้นเซมจะบ่นว่าเบื่อไม่มีอะไรทำ หึหึ!” เขาพูดถูก
เราเชื่อมต่อกันสนิทอย่างไร้ช่องว่าง อายุไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงานดังที่ผู้ใหญ่เคยกล่าวอ้าง กลโกงต่างหากที่ซ่อนไว้ในช่องว่างของอายุนั้น เมื่อไม่มีคอรัปชั่นมาคอยกัดเซาะเกาะกิน ทรัพยากรทุกอย่างก็กระจายได้ทั่วถึง
ภายในอาคารหลากหลายไปด้วยกลุ่มวัยรุ่นสามสีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้คงจะหมดหน้าที่ในอีกไม่นาน ฉันมีแผนจะปิดโรงงานปฏิกรนิวเคลียร์หลังจากที่พลังงานสะอาดพร้อม
“ที่นี่ทำอะไรกันครับ?” แทนถามแล้วหมุนมองสิ่งก่อสร้างรูปร่างแปลกตา โรงปฏิกรนิวเคลียร์รูปทรงบึกบึนในพื้นที่กว้างสุดลูกตา
“เราจะเปลี่ยนเส้นทางการส่งกระแสไฟฟ้าจากที่หล่อเลี้ยงกลุ่มงานวิจัยทางทหารและบ้านพักของก๊วนผู้นำไปให้กับชาวบ้านในภาคกลางได้ใช้กันค่ะ”
สหายคุณลุงส่ายหัวจิ๊จ๊ะ...
“ผมไปเสียเวลากับการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินอยู่ตั้งนาน มันเก่าและทรุดโทรมมากแถมยังเป็นอันตรายด้วย”
“เรายังใช้ประโยชน์จากมันได้หรือเปล่าคะ?” ฉันตั้งใจว่าจะยุติการใช้พลังงานฟอสซิลทุกชนิดและแปลงเป็นพลังงานสะอาดทั้งหมด
“ได้สิ! ทุกโรงไฟฟ้ามันมีระบบกักเก็บพลังงาน ผมให้วิศวกรดัดแปลงเอากระแสไฟจากพลังงานลมเข้าไปแทนที่แล้ว”
“อ๋า! ฉันเห็นทุ่งกังหันลมที่วอนซองดงแล้ว ตรงนั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้เลยนะคะ ทุ่งดอกไม้ก็สวยมาก”
“สหายเคยแวะไปที่จองฮวานแดมหรือยัง?”คุณลุงยิ้มกว้างภาคภูมิใจเหมือนอยากอวด เขาไปทำอะไรไว้ที่เขื่อนกันนะ
“ที่นั่นมีอะไรคะ?”
“ฟาร์มโซล่าเซลล์ขนาดใหญ่ เตรียมไว้ทดแทนเมื่อเราปิดโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่นี่ เรามีทรัพยากรไฟฟ้าเหลือเฟือเลยล่ะสหายและไม่ต้องขุดโลกอย่างที่สหายต้องการ หรือถ้าต้องขุดก็จะทำให้น้อยที่สุดครับ”
ไม่มีอะไรน่าภาคภูมิใจไปกว่าการทำงานบรรลุเป้าหมาย สหายคุณลุงทำให้หัวใจเอิบอิ่มตื้นตัน
“ถ้าไม่มีสหายคุณลุงเกาหลีก็มืดมน ฉันทำไม่ได้ขนาดนี้หรอกค่ะ อาจอชี่คงถูกสวรรค์กำหนดให้ฉันได้มาเจอนะคะ”
“ถ้าไม่มีสหายจูยอนและนินจาเซม พวกเราก็ยังคงเวียนว่ายอยู่ในความมืดมน พวกมันเอาพลังงานไปถลุงกับโครงการวิจัยทางทหาร แทนที่จะเอาไฟฟ้าไปให้เด็ก ๆอ่านหนังสือแล้วส่งลูกหลานของเราไปสู้กับโลกด้วยความรู้ คนเก่ง ๆโดนกักเก็บไว้เพื่อรองรับความต้องการของคนกลุ่มเดียวและใช้ประโยชน์ด้านเดียว”
“แล้วกระแสไฟฟ้าจะเชื่อมต่อเสร็จสมบูรณ์ได้เมื่อไหร่คะ?”
“อีกไม่นานแล้วครับ แต่เราต้องตัดกระแสไฟฟ้าทั้งระบบ ไฟฟ้าจะดับพร้อมกันทั่วประเทศ 2 วันครับ ช่วงนั้นอาจจะลำบากกันนิดหน่อย”
“แค่ 2 วันไม่เป็นไรหรอก ติด ๆ ดับ ๆ มาทั้งชาติไม่เห็นมีใครเดือดร้อน ถึงจะดับ 2 เดือนก็ไม่น่าจะมีปัญหาหรอกค่ะ” บ้านเราอยู่ในความมืดมาตลอด
“อันยองฮาเซโย” เด็ก ๆ เดินผ่านยิ้มแย้มโบกมือทักทายแค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว แทนเดินยิ้มกริ่มโค้งศีรษะรับเหล่าเด็ก ๆ ที่เข้ามาทักทายแล้วหันไปหาสหายคุณลุง...
“น่าทึ่ง! น่าทึ่งมากเลยครับ สหายคุณลุงทำให้พวกผมหายเหนื่อย ขอบคุณมากครับที่สานต่อเจตนารมณ์จนเป็นรูปร่างแบบนี้”
“ถ้าเรามุ่งหน้าไปทิศเดียวกันด้วยเจตนารมณ์เดียวกันโดยไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนทุกอย่างมันก็จัดการง่ายครับ ไม่มีนายทุนมาคอยกำกับไม่มีเจ้าหน้าที่คอรัปชั่นคอยดักกินงบประมาณ การแก้ปัญหาไม่ยากหรอก”
“คนที่เราคืนชีพให้มีปัญหามั้ยคะ พวกเขามีปฎิกริยายังไงบ้าง?”
“ผมก็ไม่ว่างมาบ่อย ๆซะด้วยแต่ไม่น่าจะมีอะไรนะครับ ผมแปลกใจอยู่เรื่องเดียวเด็กที่นี่เข้าออกเปลี่ยนงานบ่อยมาก ในขณะที่หน่วยงานอื่นไม่มีปัญหานี้เลย วันนี้ผมจะสอบถามเด็ก ๆ ดูว่ามันเป็นเพราะอะไร หรือเราจะพลาดที่ให้เขาทำงานที่ชอบแต่ไม่ใช่งานที่เขาถนัด” ท่านพูดมาก็น่าคิด บางครั้งการชอบไม่ได้หมายความว่าจะทำได้ดี
“งานหนักไปหรือเปล่าครับหรือเด็ก ๆ ขี้เบื่อ? มันเป็นช่วงเวลาของการค้นหาตัวเองก็ยากสำหรับเด็ก ๆนะครับ” แทนโยนคำถามเข้ามาแล้วหันไปโบกมือ ยิ้มมองรอบกายอย่างสบายใจ
“มานี่สิ! ผมมีอะไรจะอวด” ท่านชะเง้อคอมองหาใครบางคนก่อนจะตะโกนเรียก...
“นัมชิกมานี่หน่อย” เขากวักมือเรียกชายวัย 40 ปลายออกจากห้อง
“อันยองฮาเซโยสหายผู้นำ! ฮย็องนีม!”เขาเดินเข้ามาท่าทางประหม่าเกินพอดี
“แนะนำตัวสิ!” สหายคุณลุงกระทุ้งต่อ ฉันรู้สึกว่าเขายังไม่เป็นเนื้อเดียวกับพวกเรา รับรู้ได้ถึงช่องว่างที่ปิดไม่สนิทจากท่าทางที่แสดงออก
“พัคนัมชิกอิบนิดะ หัวหน้าโรงปฏิกรนิวเคลียร์ที่ 8” เขาโค้งศรีษะด้วยท่าทางนอบน้อม แต่มันดูเก้ ๆกัง ๆ ผิดปรกติเวลาพูดก็หลบสายตา
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะสหายนัมชิก ขอบคุณที่ทำงานเหนื่อยนะคะ” ฉันโค้งศีรษะแล้วแนะนำแทนให้เขารู้จัก
“สหายรู้จักน้องชายของฉันด้วยสิ นี่...นินจาเซม!” ฉันผายมือแทนโค้งศีรษะ
“อันยองฮาเซโย!”
สหายคุณลุงพาเดินต่อ...
“สหายผู้นำสงสัยว่าที่นี่ใช้คนให้ทำงานหนักมากไปหรือเปล่า พาพวกเราไปที่ห้องรื่นเริงหย่อนใจหน่อยสิ” ดูเหมือนสหายคุณลุงจะชื่นชอบห้องนี้ซะเหลือเกิน ท่านชี้ไปสุดอาคารแต่สหายนัมชิกชะงักขา
“เอ่อ! ที่นั่นไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ ผมมีเรื่องจะรายงานให้ทราบก่อน” เขาหยุดเดินลังเลจะเดินไปอีกทาง แทนเหลือบตามาสบกับฉันเหมือนจะบอกว่ามีพิรุธ
“เดินไปคุยไปดีกว่า”ฉันเดินตรงไปยังทิศที่สหายคุณลุงชี้ไว้ตั้งแต่แรก
“ชาวบ้านตื่นเต้นกันมากเลยนะครับ พวกเขาไม่ออกมานั่งดูดวงจันทร์กันแล้ว ผัวเมียแย่งกันดูซีรี่ย์ทะเลาะกันบ้านแตกหมกมุ่นกันแต่เรื่องละครน้ำเน่า” น้ำเสียงที่เขาพูดถึงชาวบ้านดูแข็งกระด้างเหมือนกับพวกเจ้านายในระบบ
“อ้าว!”
“พวกเขาตื่นเต้นกับเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยใหม่ ตู้เย็นที่เต็มไปด้วยอาหารสดกลายเป็นเทพเจ้าแทนเทพซัมชินฮัลมอนี่ไปแล้วนะครับ” เขาพูดถึงเทพเจ้าแห่งปฐมกาลในตำนานพื้นเมืองที่ดลบันดาลให้ท้องอิ่ม
“ปลื้มใจจัง!” ฉันรู้สึกอิ่มเอมหัวใจ อาหารเหล่านี้ขาดหายไปจากครอบครัวชาวบ้านนานแสนนาน โดนรัฐเบียดบังไปปรนเปรอกลุ่มอภิสิทธิ์ชน
นัมชิกรายงานต่อ...
“สหายต้องเพิ่มความรู้เรื่องไฟฟ้าให้มากขึ้นด้วยนะ พวกชาวบ้านไม่รู้จักเครื่องปั๊มน้ำโดนไฟดูดตายเกือบทุกวัน ไมโครเวฟก็ระเบิดไฟไหม้บ้าน เครื่องซักผ้าก็กลายเป็นเครื่องผสมกิมจิไปแล้วไม่ต้องมาคอยขยำ”
“อุ๊ย! มีด้วยเหรอ?”
“เดอะแก๊งไปเอาไปให้แล้วก็ไม่ได้สอนให้ใช้ ไม่รู้จะโง่ไปถึงไหนกัน” เขาดูถูกชาวบ้านตามนิสัยของเจ้าหน้าที่รัฐ ดวงตาลังเลล่อกแล่กเมื่อเดินมาเกือบสุดอาคาร แต่ฉันยังทำเป็นไม่สนใจชวนคุยต่อไป
“พลาดมาก! สหายก็จัดทีมสอนออกไปให้ความรู้สิคะ เด็ก ๆ เรามีมากมายไม่ต้องรอสหายคุณลุงสั่งก็ได้ เพื่อความปลอดภัยของชาวบ้านสหายตัดสินใจได้เลยค่ะ สหายเป็นหัวหน้าไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ครับ...แต่!”
ทันใดนั้น...
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ชึ่ง ๆ โป๊ะ!” เสียงดนตรีจังหวะสนุกสนานดังแว่วมาจากเรือนหลังเล็กกลางสนาม ฉันหันมองหน้าสหายคุณลุง…
“นั่นมันอะไรคะ?”
“อ๋า! ผมบูรณาการทำงานสมัยใหม่ให้พวกเขาคลายเครียดกัน เลยสร้างอาคารรื่นเริงหย่อนใจให้พวกเขาได้ระบายอารมณ์กัน” สหายคุณลุงยิ้มภูมิใจในผลงาน ฉันก็คิดว่ามันก็ดีถ้าทุกคนทำงานด้วยความสุข แทนก็อมยิ้มตามนิสัยของเขา
นัมชิกปราดเข้ามา...
“เชิญไปทางนี้หน่อยครับ” เขาชี้ไปที่ปล่องโรงปฎิกรนิวเคลียร์แล้วเดินนำไปอีกทาง แต่แทนดึงมือฉันไปที่อาคาร
“ทางนี้ครับ!” นัมชิกผวาอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าซีดเผือดทันที...
“สหายที่นั่นไม่มีอะไรหรอกครับ เด็ก ๆ มันร้องเพลงกัน” ท่าทางที่พูดพิรุธชัดมาก ฉันเหลือบตามองสหายคุณลุงเริ่มอึดอัดใจคงรับรู้ได้เช่นกัน
..............................................................
ภายในห้องคาราโอเกะ แสงไฟแวบวับดังดวงดาวหลากสีไม่ต่างจากห้องหรูในโรงแรม ผู้บริหารในชุดขาว 5-6 คนนั่งดื่มเหล้าเมาคุยกันเสียงดังลั่น บนเวทีน้องบลูสกายกำลังร้องเพลงด้วยสีหน้าอึดอัดไร้อารมณ์
“นวดไหล่ด้วยสิ บีบแขนให้ด้วยไปตีกอล์ฟมามันปวดเมื่อยไปหมด” เขาลูบมือเด็กสาวที่ยืนบีบหัวไหล่ด้านหลัง
“หนูไม่ได้อยากทำแบบนี้ หนูอยากมาทำงาน”
“ย่าห์! นี่ก็งาน เธอจะไปยืนขาแข็งทำไมทำงานใกล้ ๆ หัวหน้าจะได้เติบโตไว ไม่ชอบรึไง?”
เพื่อนขี้เมาตัวผอมอีกคนโซเซ หันไปเชยคางเด็กสาว...
“หน้าตาดีนะนี่ อย่าดื้อสิแค่ทำตามที่บอกก็ได้ดีแล้ว?”
เด็กสาวสะบัดหน้า...
“หนูไม่เอา หนูไม่ทำงานที่นี่ก็ได้” เด็กสาวดวงตาแดงก่ำ
“ย่าห์! กล้าขัดใจฉันเหรอ?” เขาลุกขึ้นกระชากคอเสื้อเด็กสาว เดอะแก๊งเข้าไปแทรก
“ตีผมเถอะครับ อย่าตีเธอเลยครับ”
“ผลัวะ!” เขาตบเด็กชายล้มลงแล้วหันกลับมาตวาด
“เฮ้ย!เหล้าหมดรีบมาเติมเร็ว ๆ” เขาตะโกนใส่หน้าเดอะแก๊งที่ผันตัวมาเป็นเด็กเสิร์ฟ
“เอ่อ! สหายคุณลุงห้ามกินเหล้าในเวลาทำงานนี่ครับ ผมทำผิดมากไปแล้วครับ ผมละอายใจ” เด็กชายก้มหน้านิ่ง
“ย่าห์! สหายแข็งข้อเหรอ อยากจะโดนเฉดหัวเหมือนรุ่นก่อนเหรอ ฮึ?” เขาเมาปลิ้นโวยเสียงดังแข่งกับเพลง น้องเดอะแก๊งอีกคนก้มหน้าก้มตาขัดรองเท้าเงยหน้าน้ำตานอง....
“อีจังนีม! ผมยอมทำผิดให้ทุกอย่างแล้ว อย่าให้พวกเราไปทำงานที่อื่นเลยนะครับ พวกเราอยากทำงานที่นี่”
เขาลูบหัวเด็กที่ก้มหน้าขัดรองเท้า...
“ดีมาก! ปลามันต้องอยู่กับน้ำในบ่อใกล้ตัวสิ” เขาปลอบแล้วหันตะโกนไล่อีกคน…
“สหายไปเอาเหล้ามา!”
ฉันยืนมองจากหน้าห้องโกรธจนมือสั่นระริก นี่คือความโสมมที่ฉันเกลียดและอยากกำจัดมันออกไปให้หมด รู้สึกมวนท้องกระอักกระอ่วนสงสารเด็กจับใจผลักประตูเข้าไปเอาเรื่อง...
“สหายนี่มันอะไรกันคะ?”
“พรึ่บ!” สหายคุณลุงเปิดไฟสว่าง...“สหายทำไมทำอย่างนี้?”
สภาพภายในเละเทะไปด้วยของขบเคี้ยวเกลื่อนพื้น น้องบลูสกายร้องไห้โฮวิ่งเข้ามากอดขาสะอื้น เด็กชายคลานเข้ามาคุกเข่าร้องไห้ขอโทษ...
“อย่าบอกเซมนะครับ อย่าให้เซมรู้นะครับ”น้ำตาเด็กชายกระเซ็น ฉันไม่โกรธเด็กเลยแต่โกรธไอ้ผู้ใหญ่ 6 คนนั้นมาก...
“ฉันถามว่าทำอะไรกัน?”
พวกเขาผยองหนักหยิบเศษอาหารปาใส่ฉัน ไม่ให้เกียรติใครเลย...
“ก็พักผ่อนไงสหาย อะไรกันแค่นี้ก็มองไม่ออก” ไอ้หัวโจกเมาแอ๋ยืนโงนเงน น่าสลดใจที่ผู้ใหญ่หัวหงอกเป็นตัวอย่างชั้นเลวให้เด็ก
นัมชิกลนลานเดินเข้าไป…
“เซมเบนีมพอเถอะครับ!” ดูท่าเขาจะเกรงใจไอ้พวกนี้มาก
“อะไรกัน! พึ่งกินไปแค่นิดเดียว สหายไปเอาเหล้ามาเพิ่มให้หน่อยสิ” เขาผลักอกนัมชิกจนเซ
“เซมเบนีม! อย่าทำอย่างนี้เลย พอเถอะครับ!”
“ยังไม่พอใครจะทำไม?” ไอ้ขี้เมาตาขวางเป็นหมาบ้าไปแล้ว
“เราคงต้องคุยกันใหม่นะ” สหายคุณลุงเดินก้าวเข้าไปหาทั้งกลุ่มยิ้มเยาะ...
“กลัวจังเลย สหายผู้ทรยศ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เหล้าได้ควบคุมความกล้าของพวกเขาหมดแล้ว
“สหาย!...ผมจะไม่เอาเรื่อง หยุดแค่นี้แล้วไปนอนซะ สร่างเมาแล้วมาคุยกันใหม่” สหายคุณลุงข่มสีหน้าไม่แสดงอารมณ์
“ไปเอาเหล้ามา อย่าพูดมาก!” เขาผลักอกสหายคุณลุงจนเซ ฉันผวาเข้าไปประคอง...
“สหายแน่ใจแล้วนะที่ทำอย่างนี้” ฉันชี้หน้าอย่างเหลืออด
“ใช่! เราไม่อยากทำงานให้เธอ ไปซะ!” เขาพุ่งพรวดเข้ามาผลัก ฉันใจหายวาบหงายหลังเซเกือบจะล้ม แทนพุ่งเข้ามาประคอง...
“จูยอนออกไปข้างนอกก่อน ทุกคนออกไปก่อน!” เขาส่งฉันออกมาแล้วปิดห้อง
“มึงล้ำเส้นมากไป!โครม! คราม! อึ่กอัก!” เสียงของแทนดังเล็ดลอดออกมา
“ถ้าไม่อยากอยู่ กูจะส่งมึงไปที่ชอบให้เอง เพล้ง! โพล้ง!” แล้วสักพักเสียงก็เงียบลง...
“...............”
“ตุ่บ!” เขาหิ้วคอหัวโจกออกมาโยนกองต่อหน้า
“ชเวซุงนิดะ! ผมผิดเองครับ” สหายคุณลุงกับนัมชิกโค้งศีรษะขอโทษรัว ๆ
“สหายคุณลุงทำดีแล้ว ไม่ต้องขอโทษฉันหรอกค่ะ” ฉันแตะที่แขนของเขาแล้วมองเลยไปที่พัคนัมชิก...
“ใน 3 สิ่งที่มีความหมายกับชีวิต ความเชื่อ ความรักและความหวัง ความเชื่อเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะคะ ความรักที่ไม่มีความเชื่อใจก็อยู่ต่อไปไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อในความหวังก็สิ้นหวังและหมดความอดทน สหายไม่เชื่อใจฉันเลยเหรอคะ ทำไมสหายถึงทำลายความฝันของเด็ก ทำไม?”
เขากลัวจนตัวสั่น ทรุดลงคุกเข่า...
“ไม่ใช่! ไม่ใช่เช่นนั้น! ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างแล้ว ผมเชื่อใจสหายแต่พวกเขาเป็นรุ่นพี่เป็นหัวหน้าที่เคยทำงานกันมาแต่เก่าก่อน ผมไม่รู้จะทำอย่างไร?” พวกเขายังอยู่ในธรรมเนียมปฎิบัติที่สืบทอดกันมา
“สหายยังอยากทำงานที่นี่อยู่มั้ยคะ?”
“อยากทำครับ ผมอยากช่วยสหายเหมือนกับฮย็องนีม” เขาหันมองสหายคุณลุง /อย่าฝันว่าเขาจะช่วย/
“สหายเป็นหัวหน้างาน แต่สหายพลาดตั้งแต่การให้ความรู้เรื่องไฟฟ้ากับชาวบ้านแล้ว ต่อไปสหายต้องเป็นลูกน้องของเด็ก ๆ สหายจะมีปัญหามั้ยถ้าไม่มียศตำแหน่งยังทำงานได้มั้ย?” ฉันไม่อยากได้เขาอีกแล้ว แต่ไม่อยากจบชีวิตของเขาเพียงเพราะความผิดเล็กน้อย
“เอ่อ!”
“อำนาจที่สหายมีกลับไม่ใช้ให้ถูกต้อง เห็นการเอาเปรียบกลับเงียบปาก สหายไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอที่เห็นเด็ก ๆ โดนกระทำ เด็กอ้อนวอนขอร้องอยากทำงานถึงขั้นขัดรองเท้า แต่สหายก็ไม่รายงานให้อาจอชี่รับรู้ สหายยังเป็นเพื่อนเราอยู่หรือเปล่า?”
“ผมจะไถ่โทษตัวเองด้วยการลงไปเป็นครูสอนครับ ผมจะถ่ายทอดความรู้ให้เด็ก ๆเองครับ ขอโอกาสอีกครั้งนะครับ”
“ฉันจะเชื่อใจสหายอีกครั้ง ครั้งเดียวเท่านั้น” ฉันหมุนตัวเดินกลับปล่อยให้สหายคุณลุงจัดการกับคนของเขา
แทนเดินประคองกลับมาขึ้นรถยนต์ ท่าทางของเขาอึดอัดใจหันกลับไปมองแล้วถอนหายใจบ่อยครั้ง...
“ในหน่วยงานอื่นจะมีอย่างนี้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราทำงานไม่ทันความเปลี่ยนแปลง พวกที่เราปลุกขึ้นมามันเป็นคลื่นใต้น้ำไปซะแล้ว”
“เป็นธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนจะอวดเก่งอวดตัวเพื่อให้คนอื่นยอมรับ ฉันยอมรับได้กับพวกที่อีโก้สูงแต่ฉันยอมรับไม่ได้กับการข่มเหง คุณแก้ปัญหาให้กับเดอะแก๊งด้วย อย่าบอกให้ซอนรู้นะจนกว่าเขาจะรู้เอง”
“ไอ้พวกนี้จะเอายังไงต่อครับ?”
“ในเมื่อเราตัดสินใจคืนชีพให้เขาไปแล้ว ที่เหลือก็รอเวลาที่เขาจะร้องขอความตายก็แล้วกันปัญหานี้แก้ได้ไม่ยากหรอก” ฉันยังคงเชื่อใจเดอะแก๊งเพียงแต่ที่ผ่านมาฉันมุ่งเน้นไปที่การให้และบริการ ไม่ได้สอนให้พวกเขาตรวจสอบและรายงาน เรื่องแค่นี้แค่กระซิบซอนทีเดียวทุกอย่างก็น่าจะจบ
“คุณคงไม่ได้คิดจะเป่านกหวีดใส่เขาอีกใช่มั้ย?” แทนยังคงแกะความคิดออกจากการโดนหักหลังไม่ได้
“อ๋า!พวกที่ฉีดวัคซีนไปแล้วเป่าไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วค่ะ เราต้องแก้ปัญหาด้วยความเข้าใจ ฉันจะคุยกับสหายคุณลุงเอง”
“ผมกลัวจังเลย!”
“กลัวอะไรคะ?”
“ผมกลัวว่าพวกเขาจะต่อต้าน...” การมองคนในแง่ดีของเขาหาคำตอบแบบนี้ไม่ได้หรอก
“ใครกันนะเป็นคนบอกว่าฉันโหด รู้สึกหน้าตาคนที่บอกกับฉันเหมือนคุณมากเลยนะคะ นินจาเซม!” ฉันล้อเขายิ่งอึกอัก
“คุณจะฆ่าคนอีกแล้วเหรอ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! อย่าคิดมากค่ะ! ไปหานาตาลีกันดีกว่าไปให้กำลังใจไป่ไป๋ด้วย คุณไม่ต้องไปชายแดนแล้วนะแก้ปัญหาเดอะแก๊งให้ด้วยและดูแลไป่ไป๋ให้มากกว่านี้ เธอเป็นคนเดียวที่ทำงานหนักกว่าใครแวะไปหามีแรอาจุมม่าก่อนฉันสั่งให้ทำต็อกบ๊กกีไว้ เอาไปแจกเด็ก ๆ กินกัน”
เรื่องมาถึงจุดที่ฉันคาดไว้ ฉันเคยคิดแบบนี้มาตั้งแต่ต้นคนที่อยู่ใต้มนต์ขลังของโฆษณาชวนเชื่อไม่มีทางเปลี่ยนใจง่าย ๆ การปล่อยให้คนรุ่นเก่ากับความคิดเดิม ๆ ตายไปจะจัดการกับปัญหาได้ง่ายกว่า
......................................................................หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |