หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 10 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 19 ต.ค. 2568 |
พยองยาง
กันยายน ค.ศ.2026
มุมมองสายตา จาง แอนนา
ฉันนั่งแกว่งขาปล่อยใจไปตามกระแสน้ำกว้างใหญ่ สายน้ำใสเย็นกัดเซาะเจาะหินกร่อนเป็นสันดอนเกาะแก่งน้อยใหญ่ เกาะคอนยูบ้านของพวกเราเป็นเกาะขนาดเล็กมีลักษณะเหมือนเรือรบแทรกกลางระหว่างเกาะตูรูกลางแม่น้ำและฝั่งมันกยองแดแผ่นดินใหญ่
แสงอาทิตย์อ่อนแรงโรยราเคล้าคลอเสียงเพลงเศร้าสร้อยของสาวเกาหลีโหยหวนแทบขาดใจดังแว่วมาจากฝั่งเกาะตูรู…
“แม้เจ้าจากไปแสนไกล แต่หัวใจของข้ากลับสงบนิ่งรอวันเจ้ากลับ ยอดดวงใจไปรบต้องได้พบชัยชนะ”
กลุ่มน้องสาวเกาหลีในชุดโกโจรีสีฉูดฉาดบนศาลายาวริมน้ำกำลังร่ายรำพลิ้วไหวราวกับฝูงผีเสื้อโบยบินล้อสายลม
“ตึง!ตึง!โป๊ะ!” เสียงกลองเคาะรับจังหวะอย่างลงตัว
ฉันคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา วันเวลาเลยผ่านจูงมือวันวานของเราให้ถอยห่างจนลืมเลือนความตั้งใจเดิม หัวใจกลวงโหวงเหวงเมื่อต้องคิดถึงอนาคต แม้จะไม่มืดมนแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อไป ฉันมาเกาหลีโดยไม่มีเป้าหมายใด ๆ ซ่อนเร้น...แค่หนีตายมาเท่านั้น
“บรื้น!...” ฉันชะเง้อคอมองลอดพุ่มต้นมูกุงฮวากลับไปที่สะพานข้ามเกาะเจ็ทโด้โบกมือทักทายทหารก่อนจะแล่นข้ามมาจอดที่ลานหน้าบ้าน เจ้าเสือขาวเดินนวยนาดเข้าไปต้อนรับ
“อีออง! เค้ากลับมาแล้ว...” น้องแทนลงจากรถยนต์วิ่งไปกอดเจ้าลีอองเสือขาวแล้วขึ้นขี่หลังเดินที่เรือนเล็กริมสระ
“น้องแทนอาบน้ำก่อนมั้ยครับ? เดี๋ยวป๊ามาจะได้ไปกันเลย” เจ็ทโด้วิ่งตามไปดูแล
ฉันสบายใจที่ได้เห็นลูกมีความสุขและอุ่นใจที่ทุกคนเอ็นดูได้อยู่รอบข้างคนเก่งฉันไม่เคยคาดหวังอะไรกับลูกชายมากมายแค่ขอให้เขาเก่งได้ครึ่งหนึ่งของฉันก็พอ
“อะป้า! เราไปที่โรงอาบน้ำกันมั้ยคนเยอะ สนุกดี?” เขากับเจ็ทโด้สนิทหลอมวมเป็นเนื้อเดียวกัน
“อาบที่บ้านนี่แหละครับ เดี๋ยวอะป้าอาบให้”
“เดี๋ยวเค้าเล่นก็เลอะอีก เดี๋ยวค่อยอาบพร้อมป๊าก็ได้” น้องโตขึ้นมาอีกระดับแล้ว
จูยอนยืนลูบท้องหันมองไปที่รถยนต์ของฉันแล้วหันไปมองตัวบ้านก่อนจะมองมาทางนี้แล้วขยับเดิน
ฉันรีบลุกเดินไปรอรับที่ซุ้มทางลงศาลาริมน้ำ...
“จูยอนค่อย ๆ เดินนะคะ หินมันลื่น!”
หินรองก้าวในสวนลูกท้อเกรอะกรังไปด้วยมอสตะไคร่รองรับการเหยียบย่ำจมดินมาช้านาน เจ้าของรอยเท้าเดิมที่เคยเดินผ่านก็เลยลับ
“ปวดท้องบ้างมั้ย น้องดิ้นบ่อยรึเปล่า?” ฉันประคองพาเดินลงทางชันมาที่ศาลาแปดเหลี่ยมริมฝั่งกลางลำน้ำ
เธอยิ้มแย้มสดใสท้องใหญ่อุ้ยอ้ายใกล้คลอดแล้ว…
“ปวดพอรับได้ค่ะ! คุณกลับมานานแล้วเหรอคะ?” เธอเกาะเอวชวนคุย
“มาถึงสักพักแล้วค่ะที่ศูนย์วิจัยไม่มีงานให้ทำแล้วส่วนผสมวัคซีนหมดแล้วต้องออกไปหานอกประเทศ ฉันไม่รู้จะเริ่มยังไงเลยเรื่องนี้ต้องให้ดอกเตอร์ตัดสินใจ”
“ตึง!ตึง!โป๊ะ!”
ฉันยังคงสนใจเสียงเพลงจากเกาะกลางน้ำบางช่วงเสียงเพลงหวานละมุนดั่งพรายฟองขาวบางท่วงทำนองรุกเร้าเกาใจดั่งคลื่นน้ำหยอกเย้าสายลม เมื่อถึงคราดุดันก็โกรธเกรี้ยวเป็นเกลียวคลื่นโหมกระหน่ำ
เธอเอียงคอหรี่ตาอมยิ้ม…
“เหงาเหรอคะ! อยากทำอะไรเพิ่มอีกมั้ย น้อง ๆ รับผิดชอบฉีดวัคซีนได้แล้วไม่น่าห่วงเท่าไหร่? หรือคุณจะวิจัยมนุษย์ทดลองต่อล่ะคะ?”
นึกถึงวันแรกที่นาตาลีพาเข้าไปในศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ ฉันถึงกับตะลึงตาค้างขาแข็งในความก้าวล้ำเทคโนโลยีของเกาหลีเหนือ ทั้งเชื้อโรคชีวภาพและมนุษย์ทดลองมากมาย ผู้นำทุกชาติต่างก็พยายามหาวิธีการควบคุมความคิดของมนุษย์แต่ฉันเข็ดขยาดกับสิ่งแบบนี้แล้ว
“มนุษย์ทดลองพวกนั้นฉันเผาส่งวิญญาณไปหมดแล้ว เกาหลีเหนือเกือบจะโคลนนิ่งมนุษย์สำเร็จแล้วด้วยนะคะ นาตาลีก็อปปี้ข้อมูลไว้หมดแล้ว”
“อ๋า! เห็นเธอมาบอกให้ฉันตามหานักวิทยาศาสตร์ทุกแขนงคงจะทำอะไรอีกมั้งคะ?” จูยอนรู้ทุกความเคลื่อนไหวของนาตาลี แต่ไม่มีใครรู้จักนาตาลีมากไปกว่าฉัน
“ถ้าเธอยังเล่นสนุกอย่างนี้คงยังไม่ทำงานเป็นหลักหรอกค่ะ เดี๋ยวนี้เธอทิ้งกล้องจุลทรรศน์ได้นานมาก ไม่ต้องหลบซ่อนระแวงหลังได้ใช้ชีวิตเหมือนชาวบ้านทั่วไปได้เมาเหล้าเดินเที่ยวตามหมู่บ้าน ฉันสบายตามากที่เห็นเธอกลับมาหัวเราะได้เหมือนเดิม”
“เธอยังไปส่องดูดาวอยู่นะคะ” เธอยิ้มขำเพราะรู้ว่าฉันไปลากนาตาลีออกจากดาราศาสตร์
“เธอกำลังเก็บข้อมูล เดี๋ยวย่อยเสร็จก็รู้เองแหละว่าจะทำอะไรต่อฉันสงสารไป่ไป๋ น้องทำงานหนักเกินไป” ฉันคิดถึงน้องสาวคนเล็กที่ทุ่มเททำงานหนักจนแทบไม่ได้เจอหน้ากัน
“งานพยาบาลเป็นงานหนักต้องเสียสละมาก ถ้าคุณอยากทำอะไรก็บอกได้เลยนะคะ ถ้าไม่อยากอยู่ด้วยกันก็คิดว่าทำงานฆ่าเวลาแต่ผลงานต้องทิ้งไว้ให้เป็นของสาธารณะที่นี่นะคะ” เธอหยอกแล้วหันมองไปตามเสียงกลองกลางแม่น้ำ
สำหรับตัวฉันในวันนี้ยังไม่มีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ ความคิดของฉันเหมือนติดกับดักความกลัว...
“คุณเคยเป็นมั้ย?...อยากจะเดินแต่ไม่รู้จะไปทางไหน อยากจะไปแต่ใจก็ลังเล ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรในใจเลย” ฉันหนักใจกับตัวเองที่แก้ปัญหาความคิดนี้ไม่ได้ มันต้องมีแรงดึงมหาศาลฉุดให้ออกไปจากวังวน
“เคยสิคะ! ก็ตอนที่ฉันแปรพักตร์หนีออกไปนั่นแหละ ช่วงนั้นเป็นอะไรที่มืดมนที่สุดในชีวิตต้องตัดสินใจเพื่อเอาตัวรอดเป็นหลัก ชีวิตเดินไปโดยไม่มีเปาหมายแต่โชคดีที่ผ่านเส้นทางนั้นมาอย่างปลอดภัย”
“ไม่ใช่โดนต้อนอย่างนั้นค่ะ ฉันหมายถึงว่าสถานการณ์ทุกอย่างโอเคแต่เราไม่รู้จะทำอะไรหรือไปทางไหนต่อ” ในบางครั้งฉันก็สับสนว่าชีวิตคืออะไรกันแน่ มีครบทุกอย่างแต่มันไม่มีความหมายเลย
“อ๋า!...สำหรับฉันก็คงเป็นตอนนี้แหละค่ะมีแผนงานพัฒนาประเทศเยอะแยะแต่ไม่แน่ใจในสงคราม อึดอัดใจมาก” พอเธอบอกเช่นนั้นฉันรู้สึกเหมือนกับเจอทางออก ฝุ่นควันที่บังตามานานอาจจะเป็นสงครามนี่เอง
“บางครั้งฉันก็อยากกลับไปรัฐฉาน คิดถึงบ้านคิดถึงน้อง ๆ ที่เคยช่วยงานแต่ก็กลับไปไม่ได้ อยากจะลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ก็เกรงใจสร้างภาระให้คนอื่น”
“อย่าได้เกรงใจเด็ดขาด เกาหลียินดีต้อนรับพวกคุณตลอดเวลา ทุกสิ่งอย่างที่คุณลงมือทำลงไปกับที่นี่ถือว่าเป็นการช่วยเกาหลีสร้างชาติ เป็นผู้มีพระคุณ” เธอลูบฝ่ามืออย่างแผ่วเบา
ฉันไม่อยากให้คนท้องต้องเครียดชวนคุยเรื่องอื่นดีกว่า ประคองพาเธอมานั่งห้อยขาที่บันไดท่าน้ำ เสียงร้องเพลงเพราะพริ้งลอยมาตามสายลม
“แม่น้ำสายนี้สะอาดจังเลยนะคะเขียวใสน่าลงไปเล่นจัง เย็นเฉียบเลย” ฉันจุ่มขาลงน้ำ
“สายน้ำแห่งชีวิตแทดง แม่น้ำสองสายจากเทือกเขาสองทิศไหลมาบรรจบกันที่ฮัมกยองบ้านของฉัน เกาะแก่งมากมายเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ชายที่สร้างชาติ ตูรูก็เป็นเกาะใหญ่มีทั้งศูนย์กีฬาสนามฟุตบอล ศูนย์ดาราศาสตร์และหมู่บ้านจัดสรรอีกหลายโครงการ มีมัสยิดด้วยนะคะ” เธอชี้ข้ามไปเกาะกลางน้ำเสียงเพลงยังคงแว่วหวาน
“พวกนั้นซ้อมร้องเพลงใช่มั้ย?” ฉันสนใจสิ่งนี้
“ข้ากู่ร้องก้องฟ้าเพราะห่วงหาเจ้า ที่รักของข้าลาจากไกลบ้าน ความคิดถึงย้ำเตือนคืนวันให้รักเจ้านั้นตราบจนชีพวาย” เสียงร้องกลั่นมาจากก้นบึ้งของหัวใจระบายความอึดอัดจากชะตากรรม โทนเสียงสูงต่ำคล้ายเสียงสวดมนต์ บางช่วงก็สะอึกอื้นร้องไห้โหยหาเป็นท่วงทำนองที่แปลกหูแต่มีเสน่ห์น่าติดตาม
เธอยิ้มมองข้ามแม่น้ำไปที่ศาลาริมฝั่งเกาะใหญ่ สายตาประกายเปี่ยมไปด้วยความเมตตา...
“พันโซรี!...นักร้องเพลงพื้นบ้าน ผู้สืบสานตำนานของเกาหลีผ่านเสียงเพลงค่ะ”
“เขาซ้อมไปแสดงที่ไหนกันคะ?”
“ถ้าถามอย่างนี้คงต้องเล่ายาวแล้วล่ะ! พันโซรีใกล้จะสูญพันธุ์ไปจากเกาหลีเหนือเนื่องจากท่านผู้นำไม่ปลื้ม เดอะแก๊งเป็นคนเสนอแนวคิดให้อนุรักษ์คนกลุ่มนี้ไว้ พวกเขาไปตามหาคนที่รอดชีวิตกลับมาได้ราว 30 คน สหายคุณลุงเลยอนุมัติให้มาตั้งรกรากอยู่บนเกาะนี้” เธอดูมีความสุขกับการให้โอกาสคนจริง ๆ ทั้งรอยยิ้มและท่าทางนั้นไม่ได้เสแสร้งเลย
“คงลำบากกันมากเลยสินะ ศิลปินที่โดนทิ้งน่าเศร้ามาก” ฉันคิดแล้วสงสาร ในเกาหลีเหนือท่านผู้นำเป็นผู้ชี้ให้ใครอยู่หรือตายก็ได้ อำนาจที่น่ารังเกียจกลับได้รับการเชิดชูในชนชาติที่โดนครอบงำ
“รออีกนิด! ช่วงนี้เกาหลียังไม่เข้าที่เข้าทาง พวกเขาต้องสร้างศรัทธาและหา Fc กันเอง โดยไปแสดงตามหมู่บ้านต่าง ๆ เป็นการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตัวแทนวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ รัฐจะเป็นที่พักพิงพึ่งพาและให้โอกาส”
“วัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้เหรอ ชื่อเท่จังเลย?” ฉันก็พึ่งเคยได้ยินรู้สึกชอบชื่อนี้จังเลย
“ใช่ค่ะ! เสียงเพลงอันเป็นเอกลักษณ์ที่เล่าเรื่องราวของอดีตไม่สามารถจับต้องได้ คุณค่าของวัฒนธรรมอยู่ที่ตัวตนของพวกเขา ถ้าไม่ช่วยไว้พวกเขาอาจจะแพ้ให้กับความหิวโหยและต้องเปลี่ยนอาชีพไป ศิลปะแขนงนี้ถ่ายทอดเฉพาะสายเลือดเมื่อสูญพันธ์จะสูญสิ้น”
“ช่วงสมัยเรียน...ฉันเคยไปทัศนศึกษาที่เหยียนเปียนได้เจอกับชุมชนเกาหลีที่นั่นด้วย เคยได้ดูพวกเขาแสดงบนเวทีมีแต่ผู้หญิงล้วน พวกนั้นเป็นพันโซรีเหมือนกันใช่มั้ยคะ?”
“อ๋า! กุกกึกดัน อันนั้นเป็นคณะที่รวบรวมพันโซรีเก่ง ๆ ไว้แล้วแสดงเป็นเรื่องราว ส่วนใหญ่เล่าเรื่องวิถีชีวิตสมัยที่ยังถูกปกครองโดยจีนและญี่ปุ่น เรื่องราวของการจากลาสูญเสียคนรักและสงครามค่ะ”
“คงเป็นงิ้วเกาหลีสินะ!” ฉันสรุปเอาเอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า! จะบอกอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
“บรื้น!...” ฉันชะเง้อมองลอดกิ่งต้นท้อกลับไป รถยนต์ของนาตาลีกำลังผ่านป้อมทหารข้ามสะพานมา
“มากันแล้ว?” จูยอนขยับลุกขึ้นยืน
“ไปกันค่ะ!” ฉันประคองเธอเดินกลับไปรอรับเพื่อนที่บันไดหน้าบ้าน
“บรื้น!...” รถยนต์ขับตามกันมาจอดหน้าบ้าน ไป่ไป๋ลงจากรถยนต์วิ่งไปเปิดปะตูให้แทนที่ขับตามมาจอดเรียงกัน
“คิดถึงแทนจังเลย! ไปเกาหลีใต้มาเหรอคะ?” เธอสวมกอดอ้อนสามี แทนลงจากรถยนต์พร้อมถุงหิ้วมากมาย
“เหนื่อยมั้ยคะขอกอดหน่อยสิ?” นาตาลีเข้าไปสวมกอดอีกคน ครอบครัวนี้น่าอิจฉาสุด สามคนคุยกันกระหนุงกระหนิงไม่เคยทะเลาะกันเลยผิดธรรมชาติมนุษย์
“ผมไปเมืองซองจูพาทหารไปขนขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานTHAAD เอามาเก็บไว้สู้กับจีน ขากลับเลยแวะไปช็อปปิ้งที่ห้าง Lotte World Mall มาด้วน นี่ครับ!..ได้ของแบรนเนมมาฝากทุกคนด้วย” เขาขนกองถุงกระดาษสารพัดยี่ห้อเทกองพื้น
“พูดซะหรูเชียวนะไปช็อปปิ้ง! ไปจิ๊กของเขามาอีกล่ะสิ!” ไป่ไป๋เอาไหล่กระแทกอย่างรู้ทัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ” แทนหัวเราะร่า
“แป๊นๆๆ..เอี๊ยด!...”
ซอนก้าวลงจากรถยนต์โบกมือมาทักทาย น้องแทนหันไปเห็นพ่อ วิ่งหน้าตั้งกลับมา...
“ป๊า! วันนี้เค้าจะตกปลาตัวหย่าย” น้องยิ้มกว้างเต้นส่ายตูด
“มาแข่งกัน! แข่งกัน!” สองพ่อลูกส่ายตูดดุ๊กดิ๊กน่ารักมาก
อีซูมิน หม่าม้าและคุณหมอหิ้วอาหารสดพะลุงพะลังลงจากรถยนต์ ซอนเดินเข้าไปประกบ...
“ไปต่อกันเลยดีกว่าจะได้มีเวลาดูโคมลอย” เขาคว้าตะกร้าช่วยหม่าม้าถือของแล้วเดินเข้าไปในสวนหลังบ้าน
“ซอนซัมชุนรอหนูด้วย” อีซูมินหิ้วของวิ่งตาม
เจ็ทโด้อมยิ้มเข้าไปหาคุณหมอ...“คุณหมอเหนื่อยมั้ยครับ อยู่ที่นี่งานหนักแย่เลย?”
“อาชีพหมอไปอยู่ที่ไหนก็ทำงานแบบนี้แหละ ไม่เหนื่อยหรอก พวกคุณสิใช้แรงเหนื่อยกว่าผมเยอะ!” ได้เห็นท่านยังแข็งแรงก็อุ่นใจ พวกเราโชคดีที่มีผู้ใหญ่ที่เข้าใจอยู่เคียงข้าง ทั้งสองเดินหัวเราะตามซอนไป
ฉันประคองจูยอนไปหาน้องแทนที่กลุ่มของนาตาลี แทนกำลังเทสิ่งของในถุงกระดาษลงพื้น เสื้อผ้า รองเท้าผ้าใบแฟชั่นสีสวย ผ้าพันคอและหมวกไหมพรมหลากสีกองลงพื้น
น้องแทนกระตุกขากางเกงแหงนคอถาม... “แทนซัมชุน! มีของเค้ารึเปล่า?”
“นี่เลย!...” เขาหยิบหมวกไหมพรมมาสวมหัวเหน่งให้น้อง
ไป่ไป๋กับนาตาลีลงไปละเลงบนกองเสื้อผ้า ช่วยกันเลือกสินค้าแบรนด์เนม...
“Gucci. Chanel. Louis Vuitton. Prada. Hermès. Burberry. Yves Saint Laurant. Dior. Nike. Armani.”
“ของฟรีหนูชอบมาก” ไป่ไป๋หยิบเสื้อขึ้นทาบอกแล้วโผไปกอดนาตาลี
แทนหยิบถุงกระดาษส่งมาให้ฉันกับจูยอน...“ของฝากครับ Fashion autumn 2021 มาเลือกเอาอีกสิครับ มีเยอะเลย”
“ขอบคุณค่ะ! แบรนด์เนมซะด้วย” จูยอนเดินเข้าไปกอดคอแทนอย่างสนิทสนม
ฉันมองแทนด้วยความชื่นชม เขาบรรจงสวมหมวกไหมพรมสีรุ้งให้ยายเหน่ง...
“ไป่ไป๋ครับสวมหมวกนี้ก่อน อากาศเริ่มเย็นแล้วหัวจะได้อุ่น ๆ” เขาหอมแก้มเธอแล้วหันเอาผ้าไหมสีทองเบาพลิ้วพันคอให้นาตาลี…
“ของคุณเป็นผ้าพันคอกันลม” เขาก้มลงไปหอมแก้มนาตาลี
สามคนผัวเมียมีความสุขกับของขโมยมา ช่วยกันเลือกช่วยกันลอง ฉันสังเกตได้ว่าความรักของแทนกับนาตาลีมีความเป็นเพื่อนกันสูงมาก ความรักแบบนี้จะไม่หวือหวาและไม่มีวันจืดจาง ทั้งสองคนจะให้ความรักและให้ความสำคัญกับไป่ไป๋ก่อนเสมอ
ฉันอิจฉาสิ...“ดอกเตอร์เหมาะกับของโจรมากใส่สวยอยู่คนเดียว”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” แทนหัวเราะกร้ากแล้วหยิบเสื้อขึ้นมาชูท่าทางเหมือนพ่อค้าเร่ในตลาดนัด...
“Hermès Noir เสื้อยืดวินเทจของแท้แจกฟรีมีตัวเดียวในโลก ช้าหมดอดได้นะครับ คุณหนูครับลองสวมกางเกงนี้หน่อยสิครับ” เขากระเซ้าน้องแทนแล้วจับถอดกางเกง
“จ๊าก!...” น้องขัดขืนดึงกางเกงสู้…“ซัมชุนมันโป๊อย่าถอด”
“มีกางเกงในอายอะไร?” แทนปล้ำข่มขืนถอดออกจนได้
ไป่ไป๋เข้ามาช่วยกันแต่งตัวให้น้อง... “น้องแทนขา...นี่กางเกงหลุดตูด แฟชั่นปารีสสำหรับคนเก่ง”
“อึ๋ย! อึ๋ย!” เจ้าตัวแสบส่ายตูดดุ๊กดิ๊กหัวเราะร่วน
แทนหันไปรื้อกองรองเท้าแล้วเลือกมาให้นาตาลี...
“คุณลูกค้าลองสวมคู่นี้ก่อนครับ” เขาถอดรองเท้าผ้าใบของเธอออกแล้วสวมรองเท้าใหม่ให้
ไป่ไป๋ยิ้มกว้างชูรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีเหลือง...
“แทนคะ! หนูเอาคู่นี้” เธอยื่นให้เขาแล้วนั่งช่วยกันสวมรองเท้าให้นาตาลี ความรักของทั้งสามคนลงตัวสวยงาม
จูยอนสะกิดแขนก้มลงมากระซิบ...“ตาฉันร้อนผ่าวเลย แอนนาไปกันเถอะ! อิจฉาจนทนดูไม่ไหวแล้ว”
คนท้องเดินอมยิ้มหัวเราะหึหึเข้าสวนปล่อยให้พ่อค้าเร่กับเมียรื้อของกัน
............................................................
บรรยากาศภายในสวนผลไม้ผสมร่มรื่นเย็นสบาย ฝูงนกไนติงเกลคุยกันกระหนุงกระหนิงคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมฟุ้งของมวลดอกไม้ระยะสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วง
“เวฮัลแม!” น้องแทนคึกคักดึงมือจูยอนให้วิ่งตามหม่าม้า
“ไม่ได้นะคะ! ออมม่าวิ่งไม่ได้” ฉันปราม /มาพากันวิ่ง เดี๋ยวลูกไหลงานงอกหมดสนุกพอดี/
“ก็เค้าอยากไปเร็ว ๆ” เจ้านี่ดื้อเหมือนพ่อไม่มีผิด บ้าพลังพอกัน
ไป่ไป๋วิ่งเหยาะ ๆ เข้ามา...“น้องแทนวิ่งแข่งกับไป๋ดีกว่า ใครไปถึงป๊าก่อน ชนะ!” แม่ทูนหัวยิ้มสดใสซอยเท้ารอ
“ดิว!” ทั้งสองเหน่งวิ่งหัวเราะร่วนไปด้วยกัน น้องแทนผูกพันกับไป่ไป๋มาก เขาไม่ลังเลเลยที่โกนหัวเป็นเพื่อนกัน
นาตาลีเดินยิ้มหน้าบานเข้ามากอดท้องจูยอน...“อนนี่ขอบคุณนะคะที่รับฟังความเห็นของฉัน”
“เรื่องอะไรเหรอดอกเตอร์?” ฉันต้องรู้ด้วยสิ แอบทำอะไรกันไม่ยอมบอกเลย
“งานลอยโคมคืนนี้ค่ะ”
“หือ!” ฉันแอบแปลกใจ นี่ไม่ใช่งานตามประเพณีหรอกเหรอ
จูยอนเดินท้องโย้ลูบหัวเจ้าลีออง…
“วันนี้สหายคุณลุงจะตัดระบบไฟฟ้าทั้งเมืองและชาวบ้านเริ่มกังวลกับสงคราม นาตาลีมาเล่าเรื่องของ ซาดาโกะ ซาซากิ เหยื่อปรมาณูที่พับนกกระเรียนขอพรให้ฟัง ฉันเลยถือโอกาสจัดงานลอยโคมประทีปนี้ขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนความกลัวและให้ทุกคนได้ขอพรบรรเทาความกังวลใจ” น่าปลื้มใจแทนคนเกาหลีผู้รอดชีวิตจังเลยที่ผู้นำของเขาไม่เคยละสายตา
นาตาลีกอดท้องจูยอนยิ้มหน้าบานหันมาพูดเจื้อยแจ้ว...
“ไป่ไป๋อยากรำลึกถึงป่าโบราณด้วย พวกเราจะได้คุยกันและได้ดูโคมลอยไปด้วย”
อ๋อ! เรื่องมันเป็นอย่างนี้เอง ฉันหันไปล้อ...
“ดีจังเลย... เอางูมาด้วยรึเปล่า?”
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ฉันกลัว” จูยอนส่ายหน้าเดินหนี
สายลมเย็นพัดเอื่อย แสงแดดอ่อนยามเย็นสะท้อนท้องน้ำเปล่งแสงระยับราวกับอัญมณี ดอกแคนารีเหลืองปลิดปลิวล่องลอยส่งกลิ่นหอมเย็น
ริมฝั่งมันกยองแดผืนแผ่นดินใหญ่กำลังคึกคัก กลุ่มชาวบ้านแต่งตัวประชันโฉมช่วยกันทำกิจกรรมบนลานกลางหมู่บ้าน
“อ้าอ้า! อ้าอ้า! เสียงจากโกอาอินหัวหน้าราษฎร ประกาศเตือนครั้งสุดท้าย! วันนี้ 1 ทุ่มตรงทางการจะตัดกระแสไฟฟ้าทั้งเมือง อย่าลืมจุดไฟอนดลอุ่นพื้นบ้านเอาไว้ไม่อย่างนั้นเจ้าจะนอนหนาวไปทั้งคืน แล้วคืนนี้มาทำกิจกรรมร่วมกันที่ริมแม่น้ำด้วยนะ อ้าอ้า!”
ฉันรู้สึกอิ่มใจกับเสียงตามสายของชาวบ้านเสียงที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยคลายความเหงาความสามัคคีพร้อมเพรียงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นเกาหลี
“แทนซัมชุน!...มาตกปลาแข่งกัน” น้องแทนวิ่งกลับมาแหกปากกวักมือเรียก
“เย่!” แทนโบกมือรับแล้วหันมาบอก...
“ผมไปก่อนนะ ลูกพี่ใหญ่เรียกแล้ว” เขาถือคันเบ็ดวิ่งอ้าวไปหาน้อง
นาตาลีหันมองตาม...
“ผ่านไป 6 ปีได้น้องแทนเพิ่มมาแค่คนเดียว คุณน่ะไม่ได้เรื่องเลย” เธอกระแทกสะโพกใส่ฉัน
อ้าว!...ยายดอกเตอร์หันมากัดซะงั้น สงสัยอยากมีเรื่อง...
“คุณสองคนเถอะ! เติมน้ำไปเป็นปี๊ปแล้วไม่เห็นท้องสักที ฉันว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ ” ฉันจิ้มหัวซะเลย
“เนอะ!” อ้าว! เธอยอมรับซะงั้น
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” คนท้องหัวเราะอย่างเดียวเลย
“ฉันจะหาเมียให้เขาใหม่ เธอ 2 คนไม่มีน้ำยาต้องเอาไปโละทิ้ง”
“ฉันจะฟ้องไป่ไป๋!” อ้าว!ยายดอกเตอร์งอนเป็นด้วยเว้ยเฮ้ย สะบัดหน้าปากจู๋เลย
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” จูยอนได้แต่หัวเราะ ยกมือห้าม...
“พอแล้ว! ฉันหัวเราะไม่ไหวแล้ว คุณสองคนยังจำวันที่โดนงูยักษ์โฉบได้รึเปล่าเวลาผ่านไปเร็วเหมือนกันนะคะ?”
ฉันไม่อยากนึกถึงวันเหล่านั้นเลย ทำแต่สิ่งเลวร้ายและไม่น่าได้รับการอภัย มีคนเคยกล่าวไว้ว่าให้ทำสิ่งดีตั้งแต่วันนี้ เมื่อเวลาผ่านไปจะได้ไม่เสียใจที่ทำลงไป ฉันเริ่มเข้าใจมันแล้ว เมื่อต้องคิดถึงอดีตแล้วเหมือนมีคนเอามีดมาเสียบหน้าอก มันอึดอัดปวดร้าวจนต้องยอมจำนนกับความเลวที่ตัวเองก่อไว้
“ทหารทนเหนื่อยกันหน่อยนะคะ! เดี๋ยวน้องเดอะแก๊งจะเอาพวกมันไปเลี้ยงเองแล้ว” จูยอนโบกมือยิ้มหวานให้ทหารที่เดินสวนกลับมา
“นกนอนหมดแล้วครับ สหายจะกางเต็นท์นอนกันเหรอน่าสนุกจังเลยนะครับ?” ทหารเอาผักมาให้นกกระจอกเทศตะโกนกลับมา
“วันนี้มาทานข้าวด้วยกันนะ พาเพื่อนมาด้วยนะคะ!”
“เย่!” ทหารเหล่านี้ก็เหมือนน้องมากกว่าจะเป็นผู้ใต้บัญคับัญชา
นาตาลีหันไปมองแล้วหันกลับมาพูดต่อ ...
“ในความซวยคราวนั้นมีความโชคดีตามมาด้วย ต้องขอบคุณพี่ทั้งสามคนที่กลับเข้าไปตามหา ซอนเผยความเก่งกล้าให้เราเห็นก็ในครั้งนั้น แต่ฉันรอดตายเพราะมือของจูยอนอนนี่นะคะ” เธอเอียงหัวไปซบอ้อนจูยอน ถ้าวันนั้นจูยอนคว้าไม่ติดเราคงเป็นเหยื่ออันโอชะของฝูงจระเข้แน่นอน
ฉันนึกถึงวันนั้นแล้วยังสยองไม่หาย ความตายรุมเร้าต้องอยู่กับความกลัวและหวาดระแวงจากภัยรอบตัว ทั้งสัตว์ร้ายที่สุดจะคาดเดา ทั้งจูยอนและเจ็ทโด้ก็ไม่ได้เป็นมิตร โหดน่ากลัวไม่ต่างกัน
“จริง ๆ แล้วดอกเตอร์มีส่วนสำคัญมากกับการรอดตายของฉันในคราวนั้นเลยนะ”
เธอเดินมาเอาไหล่กระแทก...
“ใช่มะ! ขอบคุณหรือยังเคยคิดจะขอบคุณฉันหรือเปล่า?” ได้ทีเอาเลยนะ เธอก็เหมือนน้องสาวน่ารักเหมือนกระต่ายคล่องแคล่วดุ๊กดิ๊กดื้อมาก
ฉันดึงเธอมากอด...
“ถ้าวันนั้น! ฉันคว้าตัวคุณไม่ทันก็คงอยู่ในท้องจระเข้แน่ ๆ ยอมรับเลยนะว่าโคตรกลัวตายเลย งูน่ะ! ฉันไม่กลัวหรอก แต่ดูสถานการณ์ตอนนั้นสิ พวกเราไม่น่ารอดเลยแต่ก็ต้องขอบคุณความกลัวคราวนั้น ทำให้ฉันเข้าใจการสูญเสียอย่างลึกซึ้งและเปิดหัวใจที่ดำมืดของฉันได้”
ห้วงเวลานั้นฉันคิดถึงคุณพ่อมากที่สุด เมื่อใกล้ตายก็ได้เข้าใจในความสำคัญของเสี้ยวเวลา ไม่มีใครปรารถนาความตายเพราะมีสิ่งที่รักมากมายรอคอยและเมื่อความตายมาพรากคุณพ่อไป ฉันก็หมดความฝันและความทะเยอทะยาน
จูยอนกะพริบตาถี่เหม่อมองฟ้า ชะตาของเธอก็ผกผันราวกับรถไฟเหาะตีลังกาพาดิ่งลงเหวก่อนจะพาทะยานหลุดพ้น...
“ฉันเองก็เคว้งคว้างมืดมน เดินอยู่ในโลกที่ไม่มีคนเข้าใจเคียงคู่กับความตายเพื่อรอเวลาของตัวเอง แทนได้กลายเป็นเทวดาผู้พิทักษ์ทำให้ความปรารถนาของฉันเป็นจริง ถ้าวันนั้นผิดพลาดแค่เล็กน้อย...เราสองคนก็คงตายอย่างทรมานแสนสาหัส” เธอดึงไหล่ของเราทั้งสองคนเข้าไปแนบตัว ฉันรู้สึกโล่งอกขึ้นมาหน่อยที่พวกเธอไม่ได้รื้อฟื้นความเลวของฉันมาตอกย้ำซ้ำเติม
พวกเราเดินเลาะสายน้ำใสไหลเอื่อย เจ็ทโด้กับซอนกำลังตีเหยื่อปลอมริมแม่น้ำ แทน ไป่ไป๋และน้องแทนเดินตีเหยื่อปลอมไปทางคอกนกกระจอกเทศปลายแหลมท้ายเกาะ
น้องแทนหันมาตะโกนเรียก...“ลี!...มาช่วยเค้าหน่อยสิ!”
“เย๋เย่!” นาตาลีกระเด้งโบกมือแล้วหันมาบอก...“ฉันไปช่วยเชียร์น้องแทนก่อนนะคะ” เธอวิ่งแจ้นไปกอดเอวไป่ไป๋
พวกเรามาหยุดดูสองพี่น้องเล่นกัน เจ็ทโด้ยืนยิ้มมองน้องชายม้วนเส้นเอ็นเข้ามา...
“ซอน! กูเคยตีปลากระสูบไซ้ส์ 2 โลได้ที่เขื่อน ชั่วโมงเดียวเป็นสิบตัวเลย” เขาเปิดหน้ารอกแล้วซัดเหยื่อปลอมไปกลางสายน้ำ
ซอนม้วนเหยื่อของตัวเองกลับมาแล้วหันไปเย้ย...“อย่าโม้เลย! ถ้าผมบอกว่าได้ชะโด 25 โลจะเชื่อรึเปล่า?” ซอนเมื่ออยู่กับเจ็ทโด้ก็กลับกลายเป็นเด็กน้อยที่คอยกวนใจพี่ชาย
เจ็ทโด้จิ๊จ๊ะขัดใจที่โดนน้องชายหยาม...
“มา! มาแข่งกัน ใครได้ใหญ่สุดชนะ ได้ขี่คอกลับบ้าน”
“แอคชั่น!” ซอนรับคำท้าตีเหยื่อออกไป เขารักเจ็ทโด้อย่างไม่มีข้อแม้และมักจะกวนใจจนโดนด่าโดนเตะ แต่เขาก็ยังชอบแหย่ไม่ต่างไปจากนาตาลี
“ม้า!...” ทันใดนั้นน้องแทนก็ร้องลั่น...
“เค้าได้แล้ว!” น้องชูแขนยกคันเบ็ดดีใจวิ่งหน้าตั้งกลับมา
“ระวังนะคะ!” ไป่ไป๋กับนาตาลีวิ่งกางแขนคอยต้อนไม่ให้น้องตกลงไปในแม่น้ำ ฉันขยับจะไปช่วย
แต่...
“อย่าวิ่งลูก!” เจ็ทโด้ทิ้งคันเบ็ดวิ่งแซงเข้าไปคว้าตัวไว้แล้วคุกเข่าลงสอนเด็ก...
“ปลาติดเบ็ดแล้วเราต้องสู้กับมัน จับคันเบ็ดตั้งตรง ๆ ไว้ม้วนตรงนี้แล้วโยก” เขาหมุนรอกโยกคันเบ็ดเก็บสาย
“อึ๋ย!อึ๋ย!” เจ้าตัวน้อยยิ้มฟันขาวซอยเท้ายิก
“แกร็ก! แกร็ก!” เขาดึงสายเบ็ดเช็คเบรกแล้วส่งคันเบ็ดให้น้อง...
“เอาขึ้นมาให้ได้ ฮูย่าห์!”
“ย่าห์” เจ้าเหน่งกำหมัดพยักหน้าหงึก ๆ /นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ น้องมีพัฒนาการไปในทางที่ดี ทุกคนต่างก็ช่วยกันสอนให้น้องต่อสู้กับอุปสรรคเอง/
“ฮึ้บ!ฮึ้บ!” เจ้าหัวเหน่งกอดคันเบ็ดโยกสุดฤทธิ์ไม่ได้ฟังที่สอนเลย บ้าพลังเหมือนพ่อของเขาไม่มีผิด
เจ็ทโด้ต้องนั่งลงสอนใหม่...
“ทำอย่างนี้นะครับ! มือซ้ายจับคันเบ็ดเอาด้ามจิ้มพื้นดินไว้อย่าให้เคลื่อน คอยโยกคันเป็นให้ตั้งตรงไว้แล้วเอามือขวาจับไอ้นี่ไว้ แล้วหมุน! หมุน! โยก! โยก!” เขาจับมือน้องหมุนรอกแล้วปล่อยให้สู้เอง
“อึ๋ย!อึ๋ย!อึ๋ย!อึ๋ย!” เจ้าเหน่งของฉันกางเกงหลุดตูด มือหนึ่งจับคันเบ็ดโยกอีกมือหมุนรอกสลับดึงกางเกงทุลักทุเล
จูยอนแวะนั่งสันเขื่อนริมตลิ่งแกว่งขายิ้มมองสองแม่ทูนหัวลุ้นน้องแทนเย่อกับปลา ในขณะที่สองพี่น้องกำลังขับเคี่ยวแข่งกัน ฉันเดินเข้าไปหา
“ควับ!” เจ็ทโด้ตีเหยื่อปลั๊กออกไปแล้วหันมองน้องชาย...
“ซอน! กูรักมึงนะ!” เอ๊ะ! ทำไมเขาพูดแปลก ๆ
“จะใช้งานอะไรก็ว่ามาเลย ไม่ต้องลีลา” ซอนหน้าทะเล้น
“ไม่มีอะไรหรอก! แปบเดียวกูก็อายุ 40 แล้วบ่อยครั้งยังคิดถึงสหายร่วมรบ เวลาเดินผ่านไปไวเนอะ?” พี่ใหญ่ปลงซะแล้ว
“นั่นนะสิ! เมื่อคืนผมยังฝันถึงสมัยที่เราวิ่งหลบกระสุนที่ซีเรียอยู่เลย ชีวิตช่วงนั้นมีความสุขมากได้ความรู้มากมายจากการเดินทาง ฝึกก็โหดรบก็เหี้ยม ตัวตนของผมทั้งหมดมาจากฝรั่งเศสและสนามรบทั้งสิ้น”
“สมัยนั้นเราต่างก็ยังเด็กสนุกไปตามวัย พอมองย้อนกลับไปก็ถือว่าโชคดีที่รอดมาได้ เพื่อน ๆ ของเราหลายคนยังหาศพไม่เจอ มึง!...เลิกคิดกลับไปอยู่รัฐฉานรึยัง?” เขาจ้องหน้าซอนรอคำตอบ
ซอนสูดลมหายใจลึกก่อนจะปล่อยลมยาวออกมาอย่างหนักใจ...
“ผมอยากอยู่กับพี่แต่อีกใจก็คิดถึงบ้าน คิดถึงไอ้หลงไอ้หล้า พี่เข้าใจผมใช่มั้ย?”
“อืม! พวกนั้นเป็นเพื่อนตายของมึงทั้งนั้นเลย กูก็คิดถึงยูซุป ข่านไปอยู่อังกฤษเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ” เขาพูดถึงคนที่ฉันไม่รู้จัก แต่ซอนพยักหน้าเบา ๆ กะพริบตาถี่...
“ข่านน่าจะมาอยู่ที่จีนแล้วครับ มันบอกกับผมตั้งแต่ตอนที่ส่งวัคซีนไปให้ว่าจะย้ายมาจีน ตอนนั้นที่อังกฤษมีแต่สงครามหากินไม่สะดวก”
“โล่งอก! ครอบครัวของมันปลอดภัยก็ดีกูจะได้สบายใจ แล้วมึงล่ะเอายังไง?”
“เฮ้อ! ผมต้องแล้วแต่เมีย ใจนึงก็อยากเห็นเดอะแก๊งเติบโต ซนบ๊กซูกับจองอุงอิลขยายทีมจนยึดเกาหลีได้หมดแล้ว ขาดแค่พวกเขาไม่มีอาวุธเท่านั้นเอง” ซอนท่าทางหนักใจ
ฉันรู้ว่าเขาเกรงใจมากและส่วนใหญ่จะให้ฉันเป็นคนตัดสินใจ
“ขออนุญาตค่ะ!” ฉันรีบยกมือปลดความทุกข์ในใจของเขา...
“ฉันคิดว่าที่นี่เป็นเซฟโซนของพวกเรา นาตาลีกับน้องแทนจะได้มีที่วิ่งเล่น ป๊าดูแลเดอะแก๊งต่อไปเถอะ!”
ซอนโล่งใจหันมายิ้มกว้าง...
“เอางั้นนะม้า! ถ้ามีช่องทางเราไปรับเจ้าหลงกับหล้ามาเที่ยวที่นี่กันดีกว่าเนอะ อยากให้พวกมันได้สบายกันบ้างทำงานเสี่ยงมาทั้งชีวิตแล้ว” เขาไม่เคยทิ้งใคร ลูกน้องของเขาก็ถอดแบบกันไป
ฉันเข้าไปโอบกอดแผ่นหลังบึกบึนปลอบใจสามีสุดที่รัก...
“ถ้าไม่โชคร้ายเกินไปเราคงได้เจอกับพวกเขาอีกครั้ง ฉันก็คิดถึงพวกเขาเหมือนกัน”
ฉันยังจำดวงตาแสนดื้อของหล้า ความกล้าของฮัก ความน่ารักของเจ้าปังและไม่เคยลืมสายตาที่มองมาด้วยความขอบคุณของหลงซัน
“คิดแล้วก็ตลกดีเนอะพี่! พวกเราเหมือนโดนขีดเส้นให้มาเจอกัน มั่วซั่วอีลุงตุงนังกันจนถึงวันนี้ ผมชอบชีวิตตอนนี้ว่ะ! การได้เป็นผู้ปกครองหัวใจมันพองฟูยังไงก็ไม่รู้ อยากได้อะไรก็ได้” ซอนตีเบ็ดออกไป
“แล้วจริง ๆ มึงอยากได้อะไร?” เจ็ทโด้ถามในสิ่งที่ฉันก็อยากรู้พอดี
“ผมเป็นคนเทา ๆ พี่ก็รู้ ผมเคยถามตัวเองในเรื่องนี้ คำตอบกลับไม่ใช่สิ่งของหรือลาภยศสรรเสริญแต่กลับเป็นความสัมพันธ์ ผมได้รู้จักเด็กมากมายได้เป็นผู้ให้อย่างแท้จริง ตั้งแต่เริ่มฝึกเดอะแก๊ง...ผมก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องความรวยหรือเงินทองอีกเลย ผมคิดแต่ว่าจะทำยังไงให้พวกเขามีความสุขและเติบโตเป็นลูกผู้ชาย ผมอยากให้พวกเขาเป็นที่พึ่งพา เมื่อเกิดปัญหาทุกคนต้องคิดถึงเดอะแก๊งก่อน”
เจ็ทโด้ยิ้มมองน้องชายอย่างภูมิใจแล้วตบไหล่ซอนเบา ๆ...
“กูดีใจนะที่มึงพูดอย่างนี้ คนเราเดินได้ทีละก้าวกินข้าวได้ทีละคำ แค่ตัดความโลภออกไปความสุขก็วิ่งวนรอบตัวแล้ว มึงมาถูกทางแล้วล่ะน้องชาย”
“กำไรชีวิตของผมอยู่ที่ความสัมพันธ์ ห้วงเวลาที่พวกเราได้อยู่ด้วยกันคุยกันทะเลาะกันง้อกันนี่แหละที่ล้ำค่าที่สุด อย่างอื่นไม่มีความหมายเลย” โอ้โหสามีของฉัน!..คิดแบบนี้ก็เป็นด้วยน่ารักจังเลย
“ฮึบ!ฮึบ!” มาแล้ว...เจ้าลูกชายลากปลาเข้ามาจนได้
“น้องแทนไฟท์ติ้ง!” ยายโล้นดีดดิ้นดีใจ
“อีกนิดเดียว ฮึบฮึบ!” นาตาลีก็คอยลุ้นให้กำลังใจ
“ฝากมึงดูแลเจ้าแทนด้วยนะ ถ้ามึงไม่เข้าใจการตัดสินใจของมันให้ถามเหตุผลก่อน แทนทำทุกอย่างด้วยเหตุผลไม่ใช่อารมณ์” เขามองไปที่ปลายแหลมแสงอาทิตย์ล้าลงมากแล้ว /วันนี้เขาเป็นอะไรไป ทำไมฝากฝังบอกรักร่ำลาแปลก ๆ/
“แทนไม่มีวันตกต่ำแล้วล่ะ สิ่งที่มันทำไว้ทุกอย่างเป็นผลบวกมากกว่าผลลบเสียอีก” ซอนหันไปมองน้องชายแล้วหันกลับมาพูดต่อ...
“ด้วยความสัจจริงเลยนะพี่!..ถ้าจูยอนชวนผมมาถล่มเกาหลีเหนือ ผมไม่มีทางมาแน่นอน แต่ไอ้แทนมันกล้ามา มันกล้ากว่าผมเยอะเลย”
“แทนมันเข้าใจหัวอกของคน แต่มันใจดีเกินไป คนใจดีอย่างมันใช้อำนาจไม่เป็น ต้องมีคนที่ใช้อำนาจดูแลความปลอดภัยให้มัน ไม่อย่างนั้นวันหนึ่ง...มันจะโดนหักหลังลูกเมียจะลำบาก”
เรื่องนี้ฉันเห็นด้วยกับเจ็ทโด้ แทนพยายามหยิบยื่นและเอาใจคนอื่นซึ่งจะทำให้ผู้รับเคยตัว ถ้าไม่มีคนขีดเส้นแบ่งเขาจะโดนเรียกร้องไม่หยุดแล้วเมื่อวันที่เขาให้ไม่ได้ก็จะกลายเป็นคนเลวในสายตาของผู้รับ
“ไม่ต้องห่วงหรอกพี่! ถ้ามันต้องการผมจะเป็นคนควบคุมสถานการณ์และตอบโต้เอง ผมรับประกันว่าจะไม่มีวันทิ้งสองสาวนั่นแน่ ผมเลี้ยงมาตั้งหลายปีเหมือนน้องสาวแท้ ๆ ไปแล้ว แต่ผมไม่รับปากว่าจะปกป้องเกาหลีให้นะครับ” ซอนใช้วิธีการของทหารรับจ้างช่วยน้องชาย
“มึงเชี่ยวชาญด้านอาวุธและการจู่โจมมากกว่ามัน กูเชื่อว่ามึงจะเป็นคนใช้อำนาจและสร้างความกลมเกลียวได้ ตอนนี้กูหนักใจกับสงคราม กูเดาว่ามันมาแน่” เจ็ทโด้ถอนหายใจยาว
“ผมก็เชื่ออย่างนั้น ไอ้ซีชานกลับมาแน่” ซอนไม่แสดงความวิตกใด ๆ เลย
“กูห่วงจูยอนว่ะ ถ้าหนีได้กูพาหนีไปแล้ว มึงเข้าใจใช่มั้ย?” ด้วยตำแหน่งผู้นำของเมียทำให้เขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจส่วนตัว
“ผมเข้าใจพี่ทุกอย่างแหละ! จูยอนคงไม่หนี เธอสนใจการเป็นอยู่ของชาวบ้านมากกว่า เธอสุมหัวกับไอ้แทนวางแผนพัฒนากันตลอด” ซอนก็เห็นเหมือนกัน
“พวกเราเดินมาไกลจนเริ่มมองอนาคตข้างหน้าไม่เห็น กูไม่รู้เรื่องการปกครองและไม่ชอบการเมือง กูอยากพาลูกกับเมียไปอยู่กันอย่างเรียบง่าย ปลูกบ้านอยู่ข้าง ๆ บ้านมึงที่รัฐฉานคอยช่วยงานนาตาลี” เขาก็มีความทุกข์ในใจที่ไม่เคยเอ่ยปาก จูยอนก็ขึ้นไปอยู่สูงสุดเกินจะใช้ชีวิตธรรมดาได้
“ขอโทษนะพี่!...เลยเวลาคิดแบบนั้นแล้ว การเมืองพี่จะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่มีทางหนีพ้น ไอ้แทนมันเคยบอกกับผมว่า ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งหมด ทุกอย่างถูกกำหนดไว้ให้เป็นไปตามความต้องการของใครบางคน”
“ช่วยเจ้าแทนด้วยนะ อย่างน้อยแทนก็มีหัวใจที่เป็นธรรม” เขาตบไหล่ซอน
ทันใดนั้นเสียงสุดที่รักร้องลั่น...
“ม้า!...” น้องลากปลาตัวใหญ่มาริมตลิ่ง
ฉันเอาสวิงไปแช่น้ำรอช้อนปลา…“ลากมาครับ!”
“ฮึบ!ฮึบ!” เจ้าตัวน้อยของฉันเป็นนักสู้ตั้งแต่ยังเล็กลากปลามาเข้าสวิงเองจนได้
“ลูกใครน้า...เก่งจังเลย!” ฉันภูมิใจในตัวลูกชายมาก เมื่อเก่งก็ชมดื้อก็ไม่คุยด้วย
“ลูกม้า! ลูกออมม่า! ลูกลี! ลูกไป๋ด้วย!” เจ้าตัวน้อยยิ้มฟันขาวกางแขนวิ่งไปกอดยายเหน่ง
“ปลาอะไรคะเหมือนแซลมอนเลย น้องแทนของไป๋เก่งกว่าใครเลย มากอดกัน! กอดกัน!” ยายเหน่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากฟัดกันนัว
ซอนวางคันเบ็ดเดินย้อนกลับมาดู...
“ปลาโซงอ! ตัวนี้น่าจะสักโลนึงได้ ทำปลาดิบจิ้มซอสโคซูจังหวานมาก เดี๋ยวจัดให้!” เขาคาดคะเนด้วยสายตาแล้วก้มลงปลดเบ็ด
เจ็ทโด้หันกลับมามอง...
“มึงรู้ได้ไง?”
“เอ๋า!.. เด็ก ๆ ของผมเป็นแสนนะพี่ ดื้อ ๆ แสบ ๆ ทั้งนั้น ผมเคยกินแล้วโคตรอร่อยเลย” ซอนคว้าปลาแล้วดึงมีดสั้นเดินไปชายน้ำ น้องแทนเดินตามไปนั่งคู่กัน
“ใช่ค่ะ! ปลานี้ไม่คาวเนื้ออร่อยมาก” จูยอนเดินเข้ามากอดคอสามีแล้วมองเลยไปที่สองพ่อลูก…
“เห็นแผ่นหลังของทั้งคู่แล้วคิดถึงวันที่เขานั่งแล่หมูป่ากับอาหนานในป่าโบราณเลยนะคะ ตอนนี้เหมือนเดจาวูเลย น้องแทนเป็นอาหนาน” จูยอนพูดเรื่องอะไรฉันไม่เคยรู้
เธอชี้นิ้วไปที่กอหญ้า...
“ยอโบ้วคะ! นั่นไงต้นวาซาบิแช่น้ำอยู่ข้าง ๆ ขานั่นแหละ ดึงเอาหัวมันขึ้นมาฝนกินกับปลาดิบได้เลย”
“อ้าวแจ่ม! มีเหงือกปลาฉลามให้ขูดมั้ย?” เขาก้มลงไปถอนต้นไม้ใบกลมเหมือนใบบัวบกแต่ใบใหญ่กว่าขึ้นมา รากเป็นหัวคล้ายแครอท สีสันและรูปร่างตะปุ่มตะป่ำเหมือนลูกยอ
“ถูกับหินกินไปก่อนเถอะค่ะ ที่นี่มีปลาเอเลี่ยนสปีชี่หลงมาด้วยนะคะ”
“ปลาอะไร?”
“แบสดำ ตัวใหญ่มาก” เธอกางแขนกว้าง
“เหรอ! งั้นขอตัวก่อนนะเดี๋ยวแพ้มัน” เจ็ทโด้รีบวางต้นวาซาบิหันไปคว้าคันเบ็ดมาตีต่อ
ฉันปล่อยให้สองพี่น้องเล่นกันต่อไปเดินรับลมผ่านคอกนกกระจอกเทศมาสุดทางที่ปลายแหลม สายน้ำจ๊อกแจ๊กกระแทกเขื่อนแล้วแยกโอบเกาะเป็นสองสาย ช่วงเวลาที่สถานการณ์ผันแปรทุกคนต่างก็เก็บความหนักอกไว้และมีความสุขเล็กน้อยกับกิจกรรมเพื่อให้ความกังวลใจลดลง
ไป่ไป๋ยิ้มร่ากระโดดกระเด้งไปหาแทนที่ยืนตกปลาคู่กับนาตาลี เธอได้พิสูจน์ความรักแท้ แทนเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาที่ไม่มีอำนาจวาสนาแต่เธอก็ยังรอคอยอย่างเชื่อมั่น แม้ทุกคนจะจำหน่ายแทนออกไปจากความทรงจำแล้วก็ตาม...
“แทนขา! หนูขอขี่คอหน่อยจิ” สาวน้อยเข้าไปออดอ้อนคนรัก
ฉันได้เห็นรอยยิ้มของยายลูกแมวน้อยแล้วสบายใจที่สุด ถ้าเธอไม่ได้กลับมาพวกเราคงมีรอยด่างดำในใจและคงมองหน้ากันไม่สนิท
“เอาสิครับ!” เขารีบวางคันเบ็ดย่อตัวนั่งไม่มีอิดออด
นาตาลียิ้มมุมปากเหล่มองอย่างเจ้าเล่ห์พอได้จังหวะก็เอาสะโพกกระแทกน้อง...
“ดึ๋ง!”
“เหวอ!” ยายเหน่งหัวทิ่มหันมาแยกเขี้ยวใส่...
“อนนี่ขี้ขโมย!...”
คู่รักต้องใช้ชีวิตด้วยกันแค่สองคนไปตลอดชีวิตยังแทบจะหาความซื่อสัตย์ต่อกันได้ยาก แต่ทั้งสามคนรักกันได้อย่างไม่มีช่องว่างต่างให้เกียรติซึ่งกันและกันอย่างลงตัว ฉีกกฎความรักของคนธรรมดาอย่างสิ้นเชิง
ไป่ไป๋อมยิ้มใบหน้าแดงก่ำเขินอาย บิดแขนเป็นเกลียวเดินไปแหงนหน้ามองนาตาลีบนคอแทน ท่าทางอย่างนี้คงจะหาเรื่องดื้อกันอีกแน่...
“อนนี่ขา! วันนี้เรามา Threesome กันมะ?” ยายเหน่งก่อหวอดแล้วอายม้วนต้วนซุกหน้าแนบอกเจ้าแทน
“เอาเอา!” ยายดอกเตอร์ดี๊ด๊าพยักหน้าคอแทบหัก
อ๊ะ! ฉันขอป่วนหน่อยเถอะ ไม่ได้สร้างความสัมพันธ์กันนานแล้วแกล้งนาตาลีนี่แหละสนุกสุด เข้าทางไป่ไป๋ก่อนดีกว่า...
“ยายเหน่ง! ฉันได้ยินนะ”
“อื้อ! หนูอยากมีลูกให้หม่าม้า หนูต้องขยันให้มากกว่านี้ อนนี่! เรามาตั้งใจทำกันเถอะ!” ยายเหน่งกำหมัดมุ่งมั่นสุด
นาตาลียิ้มกรุ้มกริ่มเหล่มองลงมา...
“เพิ่มรอบอีกสิเพคะฮองเฮา! จึ๋ย!จึ๋ย!” ยายกระต่ายหน้าทะเล้นเตะขาดึ๋ง ๆ
ยายเหน่งกรอกดวงตาวนไปมา...
“เอามะอนนี่! แทนขา!…เพิ่มรอบเช้าก่อนไปทำงานดีมั้ยคะ?” น้ำเสียงออดอ้อนมากยายเหน่งไม่ได้ล้อเล่นนะนั่นน่ะ /นายแทนเอ๋ย...เมียพูดเข้าขากันอย่างนี้นายตายแน่/
แต่พวกเธอยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าทาง ฉันโยนเหยื่อลงไปก่อนแล้วคอยสังเกตพฤติกรรม...
“ฉันติวให้มั้ยล่ะของแบบนี้มันต้องมีโค้ช”
“จริงเหรอ?” ยายเหน่งเด้งงับเหยื่อหันมาคว้าเอวหมับ
“แต่...ดอกเตอร์คงไม่เชื่อหรอก” ฉันต้องล่อทั้งคู่
นาตาลีเหล่มองลงมาแล้วเมินหน้าหนีก่อนจะพูดเสียงยาน...
“แต่ถ้ามีเทวดาฟ้าดินมาเกี่ยวข้องด้วยฉันขอบายนะ...กลัวคันคอ!”
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” แทนหัวเราะตัวโยน ยายดอกเตอร์ยังระแวงของเก่า
ฉันหลอกน้องก่อนดีกว่า...
“ฮองเฮาขาอยากให้ช่วยหรือเปล่าคะ ทำครั้งเดียวติดเลยนะ?”
“จริงเหรอ! เอาสิ! สอนหนูหน่อย” ยายเหน่งอ้อนเป็นลูกแมวเลย
“อยากได้ลูกสาวหรือลูกชายเพคะ?” ฉันลูบไล้เอวอ้อนแอ้นของสาวน้อย
“ได้หมดเลยกะเทยก็เอา” ไป่ไป๋เหมือนคนของขาดแค่มีความหวังริบหรี่ก็รีบคว้า
แต่เป้าหมายหลักของฉันยังคงเมินมองแม่น้ำ ต้องเล่นแรงขึ้นอีกนิด
“คุณได้ไหว้ขอลูกจากสวรรค์ก่อนทำกิจกรรมกันมั้ย?” ฉันโยนเหยื่อก้อนที่สองไปล่อ
“ต้องไหว้ด้วยเหรอคะอนนี่?” ไป่ไป๋แฉลบไปแหงนหน้ามองนาตาลีเบ้ปากเหล่ตาลงมามองฉันอย่างหยามหยัน...
“ลูกของฉันจะขอจากสวรรค์ทำไม ฉันไม่ได้อยากได้ลูกเทวดาสักหน่อย?” เธอสะบัดหน้าเชอะใส่ แทนหัวเราะหึหึ
แต่ฮองเฮาสนใจมากเข้ามาเขย่าแขนร้องขอ...
“ใช้ธูปกี่ดอกคะ เป็ดไก่เหล้าหนูจะมอมให้เมาทั้งสวรรค์เลย หนูอยากมีลูก...” เธอครวญอย่างตั้งใจจริง
แทนหัวเราะเบา ๆ แล้วดึงไป่ไป๋ไปกอด...
“อย่าขอลูกจากสวรรค์นะ คลอดยาก”
“ฮึ!” ฉันก็แปลกใจ ทำไมแทนถึงพูดอย่างนั้น
ไป่ไป๋เอียงคอตาโต...“ทำไมคะ?”
“ติดชฎา”
“ห่ะ!” นาตาลีสะดุ้ง
“บ้า! ฮ่าฮ่าฮ่า!! ” ฉันอยากกระโดดถีบให้ตกน้ำไปเลย
“ฉันว่าแล้วทำไมไม่ท้องสักที มันมี 2 เรื่องที่คู่แต่งงานต้องทำจึงจะมีลูกได้ นึกว่าคนฉลาดอย่างดอกเตอร์จะรู้ซะอีก” ฉันหวังผลไปที่นาตาลีเต็มที่ยายนี่หยามไม่ได้
“ว่ามา!” นั่นไง...เธอก้มลงมาสบตากับฉันแล้ว...
“เรื่องไหว้สวรรค์ฉันไม่ทำหรอกนะ คุณบอกอีกเรื่องมาเลยดีกว่า”
“สนใจเหรอ?” แทนหมุนคอหงนหน้ามอง
“ฟังไว้ก็ไม่เสียหายนี่ ฉันขอเลือกเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ” เธอยังคอแข็งมาดเข้ม
“คุณรู้มั้ยว่า แม่เจ้าสาวกระซิบบอกอะไรก่อนส่งตัวเข้าหอ?”
“หือ!...” เจอคำถามนี้เข้าไปงงกันไปทั้งครอบครัว
“กระซิบอะไรคะ? ” ไป่ไป๋เขย่าฉันซะตัวโยน
“ในวันแต่งงานของเรา ฉันก็ลืมบอกพวกเธอเหมือนกัน ขอโทษด้วยนะ! วันนั้นมีความสุขจนลืมเรื่องสำคัญไปเลย” ฉันต้องมัดให้แน่นก่อน วันนี้มีตายหมู่
“เสียหายนะคะบอกมาเลย” ไป่ไป๋ครวญคลอเคลีย
“หือ!” จู่จู่...เธอก็ชะงักสายตาเปลี่ยนไปเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้...
“วันแต่งงานไม่เห็นหม่าม้ากระซิบอะไรหนูเลย!” น้ำเสียงของเธอก็เปลี่ยนไป ยายนี่หัวไวถามกลับมาเร็วจนฉันตั้งตัวไม่ทัน เอาไงดีวะ?
“วันนั้นหม่าม้าเมา!” โยนมั่ว ๆ ไปก่อน
“อ๋า!” ไป่ไป๋พยักหน้าหงึก ๆ เข้าใจซะงั้น / เกือบซวยซะแล้ว /
“กระซิบอะไร?” นาตาลียังลอยหน้ามองทิวทัศน์กลางสายน้ำไม่แยแสกันเลย
“คุณไม่รู้จริง ๆ เหรอ?” ฉันถามกวนใจไปก่อน
“ไม่รู้”
“ไม่น่าเชื่อเรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้...” ยั่วโมโหกันสุด ๆ
“ไม่รุ บอกมาได้แล้ว!” เธอเริ่มขึ้นเสียงแล้ว ถึงเวลาใช้ท่าไม้ตายพิฆาต
“เด็กจริง ๆ เล้ย...”
นาตาลีก้มหน้ามาโวยลั่น...“ไม่ได้ผลหรอกจะบอกอะไรก็บอกมา!”
“อุ๊ย! อยากรู้ก็ไม่บอก”
ไป่ไป๋เข้ามาอ้อนใหม่…“กระซิบว่าไงคะเจี่ยเจี้ยขา?”
ฉันขยับตัวกอดอกวางมาดผู้รู้...
“อย่า! ยก! ขา! สูง!”
“ฮื้อ! หนูยกสูงบ่อยด้วย” ไป่ไป๋ผวาตื่นกลัว
“อุ๊ย!” เข้าล็อกแล้ว
“เจี้ยเจียอย่าอุ๊ยสิคะ! หนูกลัวนะ” ยายเหน่งซอยเท้างอแง
“อย่าตลก! ไป่ไป๋อย่าเชื่อ” นาตาลีตวาดเสียงเขียว
ถ้าฉันหมายหัวไว้แล้วไม่มีทางรอดหรอก...
“ฮองเฮานึกภาพตามนะ! ถ้าเธอยกขาสูงไอ้โตโน่มันจะทะลุทะลวงเข้าปีกมดลูก พอเสียวมากมดลูกจะหดตัวอย่างรวดเร็ว พวกคุณเคยได้ยินเรื่องจิ๊มิล็อกรึเปล่า?” ฉันใส่วิชาการยิงตรงไปที่ไป่ไป๋
“หนูเคยเห็นโดนเข็นมาทั้งเตียงเลย กอดกันกลมน่าอายจะตายไป” ยายเหน่งตาละห้อยพยักหน้าหงึก ๆ ลูบท้องน้อยอย่างน่าสงสาร /เธอช่วยการันตีเรื่องของฉันเองนะ/
“Muscle Spasm! ภาวะกล้ามเนื้อหดตัวเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ถ้ากลัว ตื่นเต้นหรือเสียว เหมือนหมาติดเป้งเจ็บปวดมาก” อ่ะ! นาตาลีอธิบายเองเลยเข้าทางไปหมด
“ยากเหมือนกันนะเนี่ย หนูทำผิดมาตั้งนาน” ยายเหน่งครวญหงิง
นาตาลีนั่งกรอกดวงตาครุ่นคิดแล้วเหลือบตามองลงมาก่อนจะพูดอ้อมแอ้ม... “ฉันชอบด๊อกกี้จะเป็นอะไรมั้ยล่ะ?”
“อุ๊ย!” ฉันอยากจะหัวเราะให้ฟ้าถล่มไปเลย นาตาลีติดเบ็ดอีกแล้ว
“จะอุ๊ยทำไมนักหนาวะ?” ยายดอกเตอร์หงุดหงิด
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” แทนหัวเราะลั่น
ฉันพยายามกลั้นหัวเราะหยิกขากัดฟันจนสั่นไปหมด งานนี้พลาดไม่ได้ต้องวางมาดผู้รู้ข่มไว้เรื่องใกล้ไคลแม็กซ์แล้ว...
“เรื่องนี้สำคัญมาก เธอจะคิดเองทำเองปล่อยไปตามอารมณ์ไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นเขาจะมีตำรากามาสูตรไว้ทำไม ถ้าอยากรู้จริง ๆ ก็จะบอกให้ เอามะ?” ต้องล็อกอีกชั้นกันเหยื่อหนี
“หนูโอเคค่ะ!” เชื่องมากแม่แมวน้อยของฉัน ยายกระต่ายก้มลงมาสายตายังครุ่นคิดก่อนจะลังเลถาม…
“ไม่...โกหกกันอีกนะ”
ได้เวลาปิดฝาโลง...
“ฉันเคยหลอกเธอเหรอ?” ฉันเสียงแข็งใส่ซะเลย
“เชอะ! ช่างกล้าจะพูดนะ!” นาตาลีแยกเขี้ยวชี้หน้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เสียงหัวเราะลั่นท้องน้ำ
“เจี่ยเจี้ยหนูต้องทำยังไงบ้างคะ?” ไป่ไป๋หันมาถาม
“หยุดมีเพศสัมพันธ์ 3 เดือน”
“โน้โน!” ทั้งสองโบกมือพร้อมกัน
“ยิ่งหยุดยิ่งหมดโอกาสมีลูก เราเปลี่ยนท่าก็ได้ ถ้ายากเย็นนักก็จับผสมในหลอดแก้วให้มันส้นเรื่องสิ้นราวไปเลย” นาตาลีไม่ยอมซะแล้ว
“ใจเย็นน้องสาว...แค่เข้าคอร์สฟื้นฟูรักษาลมปราณ วิชานี้ได้มาจากอั้งชิกกงขุนนางเก่าสมัยซูสีไทเฮาเชียวนะ” ฉันเล็งไปที่เป้าหมายบนคอของแทน
เธอถอนหายใจเหนื่อยหน่าย สายตาที่มองลงมามีแต่ความระแวง...
“สมัยซูสีไทเฮาอีกแระ!”
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” แทนระเบิดเสียงหัวเราะลั่น ฉันต้องกัดฟันกลั้นหัวเราะ
“มีวิธีอื่นมั้ยคะ?” ยายเหน่งยังคลอเคลียไม่ห่าง
“มันก็พอมีทางนะ แต่ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ต้อง...ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องทำก็ได้” ปิดการเจรจา
“หนูเชื่อ!” ยายเหน่งโผกลับมามอบตัว
นาตาลีไม่ยอมจำนนร้อง... “ฮื้อ!”
“เห็นมะ! ไม่เชื่อ!” ฉันเหลือบตาขึ้นมอง นาตาลีถลึงตาใส่...
“ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าไม่เชื่อ บอกมาเลยว่าต้องทำยังไง?”
“อุ๊ย!”
“อุ๊ยอีกแล้วเจี่ยเจี้ยอ่ะ บอกสักทีสิ” ไป่ไป๋กอดอ้อน
“งั้น! คืนนี้มาออดิชั่นให้ฉันดูก่อน”
“ฮื้อ!” นาตาลีร้องเสียงสูงกว่าเดิม
ฉันเห็นหน้าของเธอแล้วอดขำไม่ไหวพยายามกัดฟันกลั้นหัวเราะ ยายเหน่งกอดนัวเนียเงยหน้าขึ้นมาเห็นพอดี…
“เจี่ยเจี้ยยิ้มอาราย?”
อุ๊ย! โดนจับได้ซะแล้ว...
“ขำไม่ได้รึไง?” ฉันรีบปรับสีหน้า
นาตาลีตะโกนลงมา...
“แค่ยกขาสูงต้องออดิชั่นด้วยเหรอ ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้นมิทราบ?”
“ก็แบบว่า ฉันจะเป็นคอมเมนต์เตเตอร์ให้อ่ะ”
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” แทนหัวเราะตัวโยน
“หนูไม่เอาแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!” ยายเหน่งวิ่งหนีไปเลย
นาตาลีสะบัดหน้ากลับไปตะโกนใส่แม่น้ำ...“ฉันจะจับคุณโกนหัว ระวังตัวไว้ด้วย!...ด้วย!...ด้วย!”
“ออด!ออด!” จู่จู่เสียงแตรดังสนั่นมาพร้อมแสงไฟแรงสูงจากกลางลำน้ำ
“ตั่ก! ตั่ก! ตั่ก!” เรือยามฝั่งกำลังแล่นทวนน้ำขึ้นมาหาเรา
“ยอลาบูนอันยองฮาเซโย ผมตรวจลำน้ำผ่านมาแวะทักทายครับ” เสียงจากลำโพงดังก้อง
แทนย่อขาให้นาตาลีลงจากคอแล้วเข้าไปหาเรือตรวจการณ์ที่กำลังเทียบท่าริมตลิ่ง เด็กชายชุดเหลืองเดินแยกจากกลุ่มเพื่อนมายืนตรงอกตั้งรายงานตัวที่หัวเรือ...
“ยุนอารัง หัวหน้าเดอะแก๊งแม่น้ำกลุ่มกระจง รายงานตัวครับ”
“สหายกินข้าวเย็นกันหรือยัง?” ฉันร้องถาม
“เรียบร้อยแล้วครับ! คืนนี้ซนพันจังนีมกำชับให้ตรวจเข้มงวดเป็นพิเศษ ผมรับผิดชอบ 20 กิโลเมตรจากท่าเรือจองนยอนไปถึงท่าเรือแซรี เหตุการณ์ปรกติครับ” เขารายงานแข็งขันน่าชื่นใจจังเลย
“ขอบใจนะทุกคนที่ทำงานหนัก” แทนกำหมัดยื่นไปชนกับน้อง
“คืนนี้ท้องฟ้าบ้านเราคงสวยมากเลยนะครับ สหายของเรามาจัดงานริมแม่น้ำกันหมดเลย” เด็กชายตัวสูงยิ้มตาปิดแหงนมองท้องฟ้า
ทันใดนั้น...
“ป๊า! ได้ปลาตัวใหญ่เบิ้มเลย...” น้องแทนแหกปากลั่น
“ตูม! ตูม!” กลุ่มตกปลาเฮลั่น ฉันหันหลังวิ่ง
“ตูม!” ปลาใหญ่สู้เบ็ดกระโดดขึ้นกลางลำน้ำ
ซอนยิ้มหน้าบาน โยกอัดปลาจนลากมาขึ้นตลิ่ง...
“อ้า!อ้า!...กูไม่ต้องเดินกลับแล้ว กูได้ขี่คอแล้ว!” เขาโยนคันเบ็ดแล้ววิ่งไปขี่คอพี่ชาย ท่าทางดีใจไม่ได้ต่างจากน้องแทนเลย
จูยอนยิ้มมองแล้วเข้ามากอดคอฉัน…
“ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนสองพี่น้องก็ยังรักกันมั่นคง ถ้าคุณไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเขาสิ้นสุดก็อย่ามาทะเลาะกับฉันนะคะ” อ้าว!...มาขู่ฉันทำไม ไม่คิดบ้างรึไงว่าตัวเองจะหาเรื่องก่อน
“ป๊า! ให้เค้าขี่ด้วย...” น้องแทนกางแขนวิ่งตาม แม่ทูนหัวทั้งสองวิ่งตามน้องกลับไป
เสียงตามสายก้องลำน้ำ...
“อ้าอ้า! นี่เป็นเสียงจากโกอาอินหัวหน้าราษฎรหมู่บ้านมันกยองแด ตอนนี้ได้เวลาตัดกระแสไฟฟ้าแล้ว ทุกคนออกมานอกบ้านร่วมกันนับถอยหลังพร้อมกัน”
“ป๊า! ลงมาให้เค้าขึ้นมั่ง!”
“อ้าอ้า! สหายเตรียมตัวนับถอยหลังพร้อมกัน...9 8 7 6 5 4 3 2 1” เสียงตามสายดังพร้อมกันไปทั่วริมฝั่งน้ำ
“พรึบ!!” ความมืดเข้าครอบคลุมในจังหวะที่แสงดวงดาวสุกปลั่งเปล่งประกาย ท้องฟ้าพร่างพราวสดใสสวยงามกว่าทุกวัน
“คืนนี้จะเป็นวันที่อยู่ในความทรงจำ เรามาสนุกรอเวลาลอยโคมด้วยกันดีมั้ย? เรามาแด๊นซ์ซึกันมั้ย?” หัวหน้าราษฎรชวนลูกบ้านดื้อซะแล้ว
“เฮ!” เสียงตอบรับสนั่นท้องน้ำ
ฉันอยากจดจำภาพพี่น้องทุกคนไว้อย่างนี้ตลอดกาล ความทรงจำที่แสนล้ำค่ากาลเวลาได้ปรุงแต่งเรื่องราวจนเป็นกำไรชีวิตเหมือนที่ซอนได้กล่าวไว้ มันเป็นความสุขที่เบาสบายและอิ่มเอมใจ
…………………………………………………………..
บนลานบาบีคิวควันฉุย คุณหมอยกมักกอลลีกระดกเข้าปากแล้วป้อนเนื้อไก่ให้เจ้าลีอองกับหมาดำ หม่าม้ากำลังเรียงเครื่องเคียงบนโต๊ะยาว อีซูมินกำลังเรียงมะเขือเทศพริกหวานเนื้อนกกระจอกเทศหมักซอสลงบนตะแกรงย่าง นาตาลีกับสองสาวเดินแยกไปเรียงไม้ช่วยกันก่อกองไฟริมน้ำ
ฉันปรี่เข้าไปช่วยหม่าม้าที่สวยสดใสไม่ต่างจากลูกสาว ใบหน้าอิ่มเอิบคิ้วเข้มปากขยับฮัมเพลง เวลาไม่สามารถทำลายความงามนี้ได้
“หม่าม้าคะ! คนไข้เยอะมั้ยเหนื่อยมั้ยคะ?”
“ตอนนี้ไม่เหนื่อยแล้ว เรดซันเก่งขึ้นมากและพยาบาลเก่าที่ฟื้นขึ้นมาช่วยได้มากเลย” ท่านสวยสง่าแก้มชมพูเปล่งปลั่ง
“ท่านนายพลของฉันเป็นอย่างไรบ้างคะ?” ตั้งแต่เกิดเรื่องฉันไม่ได้แวะไปเยี่ยมท่านเลย
“เขากินข้าวเองได้แล้วพักผ่อนสัก 6 เดือนถึง 1 ปีก็หายไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงค่ะ! เอ่อ! ฉันลืมบอกไป เขาสั่งมาให้บอกกับจูยอนว่าห้ามตัดกระแสไฟฟ้าในเมืองหลวงเด็ดขาด ฉันก็ยุ่งจนลืมไปซะสนิทเลย พึ่งนึกได้เขาก็ตัดไฟไปแล้ว เป็นอะไรรึเปล่า?”
“หือ!” ฉันใจหายวาบ
“เขาฝากบอกมาวันนี้แหละ!” ท่านไม่ใส่ใจหันไปพลิกเนื้อย่าง
“เดี๋ยวฉันจัดการเองค่ะ อย่าห่วงเลย!” ฉันต้องเก็บอาการกังวลใจเอาไว้
ซูมินคีบเนื้อนกย่างป้อนใส่ปากของฉัน...
“อนนี่คะ! จะให้หนูเก็บวัคซีนไว้หรือฉีดให้พวกฝั่งใต้หมดเลยคะ เหลือแค่ 2 ล้านโดสนะคะ” เธอเดินเลยไปเขี่ยถ่านไฟ
ฉันอึดอัดใจมากอยากกระจายวัคซีนออกไปทั่วโลกแต่ก็กลัวจีนตามล่ายังหาทางออกไม่ได้ ต้องรอคอยโอกาสเงียบ ๆ …
“ทำไปเรื่อย ๆ ก่อน หมดแค่ไหนก็พอแค่นั้น”
หม่าม้าหั่นเนื้อไปป้อนใส่ปากคุณหมอแล้วหันมาหาอีซูมิน...
“ซูมิน! อยู่เป็นเพื่อนกับฉันก่อนนะ อายุ 25 แล้วค่อยแต่งงาน เที่ยวให้ไกลพบผู้คนมาก ๆ จะได้เข้าใจชีวิต พอมีลูกแล้วไปไหนไม่ได้ ลูกผู้หญิงเสียเปรียบตั้งแต่เกิด พอมีลูกแล้วก็เสียตัวตนทำอย่างอื่นลำบาก” สิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริงทุกประการ ผู้หญิงต้องรับงานเลี้ยงลูกที่พัวพันอีลุงตุงนังไปอีกหลายปี
ซูมินเข้ามากอดเอวของฉัน ยิ่งนานวันก็ยิ่งวางใจเหมือนลูกสาวในไส้เข้าไปทุกที...
“หนูมีความสุขมากที่ได้มาอยู่ที่นี่ แอนนาอนนี่อุ้มหนูในวันที่โดนแก๊งค้ามนุษย์จับตัว ซอนซัมชุนไล่เตะพวกมัน พัคอนนี่เป็นคนสอนให้หนูอดทนผ่านวันเวลาที่ยากลำบาก ไป่ไป๋อนนี่กล้าหาญที่สุด หนูไม่มีวันลืม” เธอเป็นที่ยอมรับจากพี่น้องและเพื่อนร่วมชาติ พวกเราปลื้มใจที่เธอดีเกินคาดหมาย
คุณหมอท่าทางสบายอกสบายใจอมยิ้มกรึ่มเหล้าฟังเราคุยกันอยู่นาน ยกขวดเหล้าข้าวมักกอลลีมาเรียงบนโต๊ะหันมายิ้มให้ซูมิน...
“ดีแล้วอีซูมินที่รู้จักกตัญญู จำคำพูดของผมไว้นะครับ!...จงอย่าอิจฉาและจงแสดงความยินดีกับความสำเร็จของผู้ที่มีความพยายามด้วยใจจริง สนุกและมีความสุขกับงานที่รับผิดชอบ ถ้าอยากรวยให้คบเพื่อนรวย ถ้าอยากเก่งให้คบเพื่อนที่เก่ง หนูจะเป็นแบบพวกเขาในวันข้างหน้า”
ซูมินโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม... “คัมซามนิดะ”
ท่านยกจอกเหล้ากระดกกรึ้บ...
“ฮ๊า!! ไม่ได้กินเหล้านานเลย เหล้าข้าวนี่สุดยอดจริง ๆ” ท่านชูขวดมักกอลลีใบหน้าขาวอมชมพูเปี่ยมสุข
“ป่ะป๊าคะ กลิ่นของมักกอลลีจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ในยามหน้าร้อนมันจะมีกลิ่นหอมสดชื่นของแอปเปิ้ล หน้าหนาวจะได้กลิ่นอบอุ่นของหญ้าที่ให้วัวกิน” ซูมินอธิบายคุณสมบัติของเหล้าต้มเกาหลี
หม่าม้าเข้ามาแหย่...
“คุณคะ! ที่นี่ไม่มีรถเข็นฉันพาคุณกลับบ้านไม่ได้นะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมมีลูกเยอะแยะเลย” ท่านหันไปมองกองไฟ ทั้งสามแม่ทูนหัวกำลังช่วยกันประกอบโคมลอย
“ฉันฝากดูแลนาตาลีกับไป่ไป๋ด้วยนะ ถ้าวันข้างหน้ามีปัญหาที่เกินกว่าจะรับมือก็อย่าให้ทั้งสองพรากจากกันอีก ถ้าตกก็อย่าให้ต่ำ ฉันคงตามดูแลลูกจนวันสุดท้ายไม่ได้” หม่าม้าก็เอ็นดูเธอมาก แต่ฉันแปลกใจวันนี้ทำไมผู้ใหญ่ทุกคนฝากฝังกันแปลก ๆ
“หนูรับรองค่ะ! จะโดนตัดแขนตัดขาหนูก็ไม่มีวันหนีไปแน่นอน หนูจะเกาะเป็นปลิงเลยค่ะ” ซูมินน่ารักสดใสคล่องแคล่ว
“ได้ยินแล้วสบายใจ เธออายุน้อยสุดรักษาตัวดี ๆ พี่ ๆ ก็เอ็นดู อย่าทำให้พวกเขาไม่สบายใจนะคะ ตอนนี้เธอทำได้ดีแล้ว เก่งมาก” ท่านช่วยหยิบของย่าง ซูมินเก่งอย่างที่ท่านพูดจริง ๆ
“ไม่ใช่หนูนะคะที่อายุน้อยสุด โน่นตะหาก!..คนที่จะจดจำความรักและเรื่องราวของทุกคนไว้” ซูมินยิ้มฟันขาวชี้ไปที่น้องแทน
หม่าม้าหันไปมองหลานชายแล้วหน้าตูมสีหน้าเปลี่ยนไป สายตาร้าย ๆ ล็อกเป้ามองแรงมา ท่าทางเหมือนยายเหน่งตอนจะเล่นงานฉันเลย...
“แอนนา!”
“คะ!” มาอย่างใจคิดจริง ๆ
“พวกเราข้องใจกับการเลี้ยงลูกของคุณมาก ฉันไม่เห็นลูกแค่ 5 นาทีก็ใจจะขาดแล้ว ทำไมคุณถึงห่างลูกได้เป็นเดือน ๆ ผิดวิสัยของแม่” นั่นไง!...หม่าม้าคาดคั้นเหมือนตำหนิ
คุณหมอขยับแว่นสนใจ...
“บอกเป็นวิทยาทานหน่อยก็ดีนะครับ ผมก็อยากรู้ว่าทำไมคุณถึงไม่ติดลูกเลย คุณคิดอะไรในใจเหรอ?” ทั้งสองท่านแท็คทีมหันมามองกดดันรอคำตอบ
เรื่องลูกเป็นอะไรที่พูดยากไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูก ความรักของแต่ละคนแสดงออกไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือความหลงเด็กและคิดว่าการหลงนั้นคือความรัก การหลงเด็กและคอยประคบประหงมเอาใจไม่ใช่วิถีของฉันเลย
“ฉันเคยเห็นลูกคุณหนูแล้วรำคาญ เขาเหมือนศูนย์กลางจักรวาลโดยมีพ่อแม่เป็นเทพเจ้าซูสคอยให้ท้าย เด็กมักจะอารมณ์ร้ายและดึงให้ทุกคนมาเสียเวลา พ่อแม่และบรรดาพี่เลี้ยงต้องช่วยกันอุ้มโอ๋ราวกับว่าเสียงเด็กร้องจะทำให้โลกจะพินาศ” ฉันไม่ชอบเด็กแบบนั้น
“ใจร้าย! การร้องเป็นธรรมชาติของเด็กนี่นา การได้อุ้มโอ๋เด็กเป็นความสุขของคนแก่นะคะ” หม่าม้าเถียงหน้าตูม
“เด็กนรกสิคะ! พ่อแม่ก็ต้องเสียความเป็นตัวตนห่อหุ้มอุ้มโอ๋กันจนเด็กไม่มีภูมิต้านทาน ขัดใจก็ขว้างของ ไม่พอใจก็เตะพัดลม”
“ดูพูดเข้าสิ! แล้วคุณไม่ห่วงไม่คิดถึงลูกเลยเหรอ ลูกคนนะ! ไม่ใช่ลูกเป็ดลูกไก่จะปล่อยวิ่งเล่นไปทั่วได้ยังไง?” ท่านยังหน้าง้ำ
“คิดถึงเป็นธรรมดาค่ะ ห่วงน่ะ!...ไม่หรอก เพราะรู้ว่าเขาไปกับใครและคนที่เอาไปต้องรับผิดชอบ เอ่อ!...แต่ฉันก็เคยพลาดเรื่องลูกครั้งหนึ่งนะคะ” พอคิดเรื่องนี้ก็ขำทุกครั้ง
ทั้งกลุ่มขยับเข้ามาอย่างสนใจ หม่าม้าหน้าตูมหันมาใส่ก่อนเลย...
“เห็นมั้ยล่ะ! ชอบปล่อยให้ห่างสายตา ลูกเจ็บหนักมั้ย? ต่อไปฉันจะเลี้ยงของฉันเอง ห้ามใครเอาไปไหนทั้งนั้น” ที่ท่านหน้าหงิกก็เพราะอยากได้นี่เอง หน้ามุ่ยตาคว่ำไม่ต่างจากคุณยายที่ด่าลูกสาวเพราะห่วงหลาน
“ตอนอยู่ที่รัฐฉาน เราอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ในรั้วเดียวกัน อาโซ่ว!..ลูกชายม้งวัย 13 ปีมาทำงานอยู่ที่โกดังหลังบ้าน เขาเก่งเรื่องดาราศาตร์มากทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเรียนหนังสือ เขาเรียนรู้โดยการกางหนังสือดูดาวของฝรั่งแล้วทำความเข้าใจด้วยตัวเอง”
“อื้อ! ผมเคยรู้จักคนแบบนี้ หูหนวกแต่แต่งเพลงเพราะมาก” คุณหมอยิ้มกว้าง
“เก่งจังเลยนะคะ คงเป็นพรสวรรค์เหมือนหนูเล่นเปียโนแหละค่ะ มันเข้าใจได้เองจากการสัมผัส” ซูมินสนใจขยับมาใกล้
ฉันเล่าให้ฟังต่อ...“ถ้าอาโซ่วสงสัยหรือมีคำถาม เขาจะนั่งรอจนกว่านาตาลีจะออกมาเดินยืดเส้นยืดสายนอกห้องทดลอง สุมหัวเอาหนังสือดวงดาวมาคุยกัน ไอ้นั่นก็ขยันพูดทั้งวันแต่ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง”
“อ๋า! คนละภาษาล่ะสิ?”
“เขาเป็นไบ้ค่ะ! พูดได้แค่ อื้ออ้า!อื้ออ้า!..”
“หือ! แล้วพัคอนนี่คุยกับเขารู้เรื่องด้วยเหรอคะ?” ซูมินตาค้าง
“ยายดอกเตอร์ก็อื้ออ้าไปกับเขาด้วย เธอสนใจเรื่องดวงดาวอยู่แล้วให้หนุ่ม ๆ ไปหาหนังสือดาราศาสตร์ของ National geographicในลาวมาให้ สั่งติดตั้งกล้องส่องดวงดาวไว้บนดาดฟ้า น้องแทนก็ชอบอาโซ่วมากไปนอนดูดาวด้วยกันทุกวัน ช่วงนั้นพวกเราก็กำลังยุ่งกับครีมลอกคราบเลยไม่ได้สนใจน้องเท่าที่ควร...”
หม่าม้าใส่ทันที...“พากันออกไปดึก ๆ ดื่น ๆ น้องหายใช่ไหมหรือตกน้ำ?” หม่าม้ายังมุ่งไปเรื่องเลวร้าย
“ไม่ใช่ค่ะ!”
“งั้นก็เจ็บตัว!” นิสัยเหมือนยายเหน่งจริง ๆ ทุกคนอมยิ้มกับการไม่ยอมของท่าน
“เปล่าค่ะ! แค่คืนหนึ่งเรานอนดูดาวกันบนดาดฟ้า น้องแทนถือหนังสือเข้ามาแล้วชี้ไปที่กลุ่มดาวจระเข้บนท้องฟ้าได้อย่างแม่นยำ” ฉันชี้ขึ้นท้องฟ้าไปที่กลุ่มดาวกะพริบ 7 ดวงเรียงเป็นรูปกระบวยตักน้ำทางทิศเหนือ
“ดาวหมีใหญ่!...หลานชายของผมเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ ไอ้นี่ใช้ได้โว้ย?” คุณหมอชอบใจยกเหล้าขึ้นดื่ม กลุ่มดาวหมีใหญ่ก็คือกลุ่มดาวจระเข้เรียกขานได้หลายชื่อ
“น้องรู้จักด้วยเหรอคะ หนูยังไม่รู้จักเลย?” ซูมินก็อึ้ง
หม่าม้าหันหน้ามองตามมือของฉันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือแล้วพยักหน้าเอ่ย…
“เป๋ยโต่วชีซิง! เจ็ดดาวกระบวยเหนือ” ท่านเอาตะเกียบคีบกิมจิไปป้อนคุณหมอ
“ถูกทั้งหมดแหละ แต่น้องแทนตั้งชื่อให้มันใหม่แล้ว”
“หือ!” ทุกสายตาหันมา
“น้องเรียกมันว่า...อื้ออ้า!อื้ออ้า!”
“ว้าย!..” หม่าม้าตกใจทิ้งตะเกียบ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” คุณหมอหัวร่อลั่น
“น้องกำลังเรียนรู้เลยไปได้ภาษาไบ้มาด้วย ฉันรู้ว่าถ้าปล่อยให้อยู่กันลำพังสองคน น้องคงพูดไม่ได้ไปด้วยเลยต้องเพิ่มเพื่อนเข้าไป พูดแล้วก็คิดถึงบ้านสนุกมากทุกวัน คนเยอะมากเป็นที่รวมของวัยรุ่นทุกชนเผ่า ไป่ไป๋เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ทุกวันเสาร์ห้ามพูดภาษาอื่นใครพูดไม่ได้ก็อดข้าวอดน้ำ คนที่แอบพูดภาษาของตัวเองจะโดนแช่น้ำในสระ 1 ชั่วโมง น้องแทนยังโดนเลย”
“ดูสิ! เลี้ยงเป็นลูกเป็ดเลย เอาไปแช่น้ำได้ยังไงไม่กลัวจมน้ำเหรอ?”
“น้องแกล้งพูดผิดทั้งวันอยากลงไปเล่นน้ำ น้องว่ายน้ำเป็นก่อนคลานได้อีกค่ะ”
“หนูอยากเห็นจังเลยน่าจะมารับหนูไปอยู่ด้วยตั้งนานแล้ว ทิ้งหนูไว้คนเดียวตั้งนาน” ซูมินกอดเอวอย่างสนิทใจ เธอโตขึ้นมาอย่างดีจากเด็กตัวเหม็นสาบกลายเป็นสาวสวยตัวหอมมาก
“กลางคืนตั้งแต่วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ไฟฟ้าจะสว่างทั้งคืน พวกเขาจะไม่หลับไม่นอนรวมกลุ่มกันท่องศัพท์ นาตาลีให้ท่องประโยคสั้น ๆ เอาไว้ใช้ถามฉุกเฉิน สนุกมากยิ่งพูดก็ยิ่งคิดถึง”
แต่หม้าม้ายังหน้าหงิกไม่พอใจ...
“ไม่รู้ล่ะ! ต่อไปฉันจะเลี้ยงของฉันเอง” น้ำเสียงงอนมาก
ซูมินอมยิ้มเข้าไปกอดเอวท่าน...“น้องแทนขี้สงสัย ชอบถาม ชอบเที่ยว น้องไม่อยู่กับที่เฉย ๆ หรอกค่ะ หม่าม้าทำงานไม่ได้หรอกค่ะ” พี่เลี้ยงเก่าเข้าใจน้องดี
“ฉันถือคติว่า ทุกกิจกรรมคือการเรียนรู้และเพิ่มทักษะ พี่น้องของเราทุกคนเหมือนกับตำราที่ต่างวิชากัน ช่วยกันสอนช่วยกันพูดคนละนิดละหน่อยเขาก็ซึมซับได้เอง ถ้าหม่าม้าอยากได้ก็แย่งกับจูยอนเอาเองนะคะ ฉันสั่งเขาไม่ได้หรอก”
“ก็ลูกคุณนี่...บอกเขาให้หน่อยสิ!...นะ!” นี่มันไป่ไป๋ชัด ๆ ท่านเสียงอ่อยเง้างอนน่ารักมาก
“ช่วยไม่ได้จริง ๆ ค่ะ เรื่องนี้ต้องไปตกลงกันเอง”
“เฮ้อ!..เมื่อไหร่ไป่ไป๋กับนาตาลีจะมีน้องสักที อยากเห็นหน้าหลานจังเลย” หม่าม้าถอนหายใจแรง...ไป่ไป๋นิสัยเหมือนแม่นี่เอง แพ้แล้วก็เฉไฉไปเรื่องอื่น
“เดี๋ยวก็มาค่ะ คนดีกำลังรอคิวมาเกิด ไป่ไป๋น่ารักจะตายไป ฉันก็อยากเห็นลูกของเธอเหมือนกัน”
“ตอนที่ไป่ไป๋เกิด วันนั้น...หิมะตกหนักมาก เธอคลอดออกมาผิวเป็นสีชมพู ร้องปากบิดปากเบี้ยวหัวยุ่งมาเลย พอฉันอุ้มปุ๊บ เธอก็หัวเราะตาใสเลย น่ารักและเลี้ยงง่ายมาก” ท่านเงยหน้ามองฟ้าแล้วยิ้มหวาน ยายเหน่งโชคดีที่แม่ยังอยู่ /คิดถึงคุณพ่อจังเลย/
“อิจฉาจัง! คงสนิทกันมากสิคะ” ฉันคีบเนื้อนกกระจอกเทศสุกใส่จานส่งให้ซูมินเอาไปเสิร์ฟ
“เราอยู่กัน 2 คนจะบอกว่าโตมาด้วยกันก็ได้ เราต่างเรียนรู้กันและกัน ฉันก็เป็นแม่มือใหม่ เป็นเพื่อน เป็นคู่กัด เป็นคนใช้ สนิทกันมาก ไป่ไป๋เป็นคนกล้า เก่ง ใจดี เห็นอกเห็นใจคนอื่น เธอเป็นนางแบบตั้งแต่อายุ 12 -13 หาเงินเก่ง ทำงานเก่ง” ท่านยิ้มตาลอย
ซูมินเดินยิ้มกลับมา...
“ไปนั่งตรงโน้นกันเถอะค่ะ จะได้เตรียมลอยโคมกันด้วย” พวกเราช่วยกันหอบหิ้วอาหารไปที่กองไฟ
สองสาวสุมหัวอยู่ริมน้ำ ไป่ไป๋กำลังก้มลุ้นดูบางอย่างในอุ้งมือของนาตาลี…“อนนี่คะเอาใส่ขวดมั้ย?”
“ทำไฟดิสโก้สร้างบรรยากาศเนอะ?” นาตาลีจับหิ่งห้อยได้พากันทรมานสัตว์ซะแล้ว
ท้องฟ้าในคืนเดือนดับสุกใสลึกล้ำเวิ้งว้างเสียงแว่วชาวบ้านคุยกันจากฝั่งตรงข้ามคึกคัก...
“ยายเหน่ง! เมื่อกี๊น้องแทนยังอยู่ตรงนี้เลย ไปไหนแล้วล่ะ?”ฉันชะเง้อคอมองหาน้องแทนกับซอน
“โน่นไง!” เธอชี้เข้าไปข้างทางลงหลุมหลบภัยในสวน
ซอนยังขี่คอพี่ชายไม่ยอมลง เจ้าลูกชายซอยขายิก…
“ป๊า! ให้เค้าขี่ด้วยสิ”
ตกลงว่าเจ็ทโด้คงเป็นพ่อของทั้งคู่เมื่อชาติที่แล้วมั้ง ติดกันทั้งพ่อทั้งลูก
หม่าม้าหัวเราะร่วน...“ซอนยังไม่โตจริง ๆ ด้วย! นี่!...หนุ่ม ๆ มากินข้าวได้แล้ว”
คุณหมอหันไปมอง..
“แอนนาเคยลงไปในหลุมหลบภัยมั้ยครับ?”
“เคยค่ะ ข้างในมีอาหารเยอะแยะเลย แทนขนเสบียงมาเตรียมไว้ยามฉุกเฉินแล้วค่ะ”
“กว้างมั้ยครับ”
“ด้านล่างออกแบบไว้อย่างดี อยู่ได้สบาย ๆ 30 คนเสียอย่างเดียวแมงมุมเยอะไปหน่อย”
“เตรียมพร้อมกันแล้วสินะ!” ท่านหันไปเห็นน้องแทนวิ่งตามเกาะขาซอนก็หัวเราะลั่น ซอนก็แกล้งลูก...จนป่านนี้น้องยังไม่ได้ขี่คอเลย
เสียงหรีดหริ่งเรไรดังระงมท้องน้ำคละเคล้าเสียงหนุ่มสาวรอบกองไฟ ดวงดาวกะพริบเต็มท้องฟ้าเปรียบเสมือนดวงตาของบรรพบุรุษที่มารอรับคำอธิฐานสุดท้ายของลูกหลาน ซูมินยิ้มหวานบรรจงเขียนอักษรลงบนโคมของตัวเอง...
“ฝันถึงวันพรุ่งนี้ที่สงบงดงาม ไม่เอาสงคราม ไม่เอาความรุนแรง”
“ครอบของเราพบกับความสุขที่ตามหาแล้ว พอดีแล้ว ขอตายตามอายุขัยเถอะนะผมอุตส่าห์ดูแลตัวเองอย่างดี ไม่เอาสงคราม ไม่เอาการรุกราน” คุณหมอกับหม่าม้าเขียนโคมของตัวเอง
น้องแทนถือพู่กันวิ่งพล่าน...
“เวฮัลมอนี่ให้เค้าวาดรูปอีอองด้วย” เขาเอาพู่กันไปวาดเสือให้
เสียงตามสายของหมู่บ้านดังขึ้น...
“อ้า!อ้า! เสียงจากโกอาอินหัวหน้าราษฎรหมู่บ้านมันกยองแด ขอประกาศให้ทราบทั่วกัน อ้า!อ้า! ได้เวลาลอยโคมพร้อมกันแล้ว เรามาส่งคำอธิษฐานไปให้บรรพชนกันเถอะ อ้า!อ้า! ดับเพลิงเตรียมพร้อมด้วย!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” นาตาลีปรบมือหัวเราะร่า แทนช่วยจับโคมลอย
กลุ่มของยายเหน่งใหญ่สุด รวมคุณหมอและซูมินเข้าไปด้วย โคมผูกโยงร้อยด้ายเส้นเล็กให้ลอยรวมกลุ่มกัน ไป่ไป๋ประสานมือแนบอก แหงนมองท้องฟ้า…
“หนูไม่รู้ว่าชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า ถ้ามีขอให้พวกเราได้กลับมาเจอกันอีก ถ้าไม่มี...ก็ขออย่าให้มีสงครามเลยนะคะ ป๋อฮ่อ!ป๋อฮ่อ!”
จูยอนกับเจ็ทโด้ลอยโคมขึ้นฟ้า แล้วป้องปากตะโกน...“อะป้า! ออมม่า! ฝากนีน่าด้วยนะ”
ฉันเป็นลูกเสี้ยวของพระเจ้านับถือเฉพาะช่วงฉุกเฉิน ขออธิฐานบ้าง...
“ข้าแต่พระองค์ ถ้าสงครามเกิดฉันจะไม่ขอนับถือท่านอีกต่อไป หลายครั้งที่ผิดหวังกับการอธิฐานก็ให้อภัยมาตลอด ถ้าครั้งนี้ผิดหวังอีกฉันก็คงตายและคงไม่ตามไปศรัทธาต่อในโลกหน้านะคะ”
โคมไฟหลากสีหอบหิ้วความกังวลใจของเกาหลีขึ้นไปฝากไว้กับดวงดาว กิจกรรมเบี่ยงเบนความรู้สึกอาจจะทำให้ลืมได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อยากให้หยุดเวลาไว้แค่นี้ ยิ่งเวลาผ่านเราก็ยิ่งเข้าใกล้สงครามมากขึ้นทุกลมหายใจ
.....................................................
กลางดึกรอบกองไฟ…
เสียงเรไรระงมท้องน้ำกล่อมดวงดาวในค่ำคืนอันมืดมิด โคมลอยพับดับลงตามกาลเวลาแล้วก็ดับสูญ เด็กและคนแก่เข้าเต็นท์นอนกอดกันหลับไปแล้ว กลุ่มของผองเพื่อนยังคงนั่งคุยกันอย่างสนุกสนานถึงวันอดีต มีเรื่องราวให้เล่าขานไม่มีวันจบ
“ฉี่!...” น้ำมันปลาแบสดำหยดไฟลุกวาบ ๆ ไป่ไป๋คีบปลาดิบจิ้มซอสโคซูจังป้อนใส่ปากนาตาลี...
“วันแรกที่พวกเราเจอกัน หนูนะ! ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับใครเขาเล้ย ไปแข่งจักรยานแท้ ๆ” ไป่ไป๋นั่งกับพื้นทรายหันไปรินมักกอลลีให้นาตาลี
“หือ! เธอน่ะเหรอไม่เกี่ยว?” เจ็ทโด้นั่งเก้าอี้สนามข้างจูยอนหันขวับ
“โน่น! ตัวต้นเหตุ” ซอนชี้ไปที่นาตาลี เขาออกหน้าเข้าข้างไป่ไป๋
“อนนี่มาซื้อชุดที่ร้านหนู วิ่งหัวแฉะหนีพวกไอ้หัวโล้นมังกรอู่ฮั่นมา แต่...โคตรหยิ่ง คุยด้วยก็ไม่ยอมคุยด้วย ถามอะไรก็ไม่ตอบ” เธอหันไปเบะปากใส่นาตาลี
“ยายนี่โคตรหยิ่งเลย สันดานลืมตัวเหมือนพวกเกาหลีใต้เลยแหละ ชอบเหยียดคนอื่น” ฉันจิ้มหัวซะเลย นาตาลีเป็นเด็กที่ไม่สุงสิงกับใคร ชอบอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
“จริงครับ!” แทนยกมือ...
“ผมโคตรเกลียดเลย ทั้งดูถูกทั้งใจร้ายใจดำ ขี้โกง หยิ่งยโสโอหัง ปากดี รวมในตัวเธอคนเดียวเลย ถ้าวันนั้นไป่ไป๋ไม่อยู่ด้วย ผมผลักให้ตกเหวไปแล้ว”
“อย่า! อย่า! อย่า! อย่า! อย่า!” เจ็ทโด้เอาเศษไม้ขว้างใส่เธอ
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” ยายเหน่งปรบมือชอบใจ...
“หนูต้องคอยห้ามไม่ให้ทะเลาะกัน”
ยายกระต่ายเมาเหล้าข้าวหัวกระเซิง นั่งยิ้มตาปรือเซ็กซี่เป็นบ้าเลย...
“โห! ว้าวุ่นเลย!” คุณนายนาตาลีเมาเสียงยานยกมักกอลลีกระดกลงคอ
“หึ๋ย!” ฉันหมั่นเขี้ยวดึงหูซะเลย...
“ไม่สำนึก! ฉันก็เกลียดเธอเพราะหยิ่งเหมือนกัน” /หมั่นไส้จริง ๆ /
“อย่าชมสิ เขินนะ!” ยายนี่ไม่มีสลด
“พอหายหยิ่งก็บ้ายอซะงั้น ใครอย่าได้ยกยอเชียวหางกระดิกเลย นาตาลีคนสวย นาตาลีคนเก่ง เกลียดขี้หน้านัก” เขกหัวไปซะที
“ฉันรู้ว่าแทนไม่โกรธหรอก เขาใจดีตั้งแต่ในป่าแล้ว”
“คุณไปแอบชอบเขาตอนไหนเหรอ?” ฉันจะไม่พลาดเรื่องนี้
“พอเราตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ตอนแรกก็กลัวคิดไปต่าง ๆนา ๆ จะกินจะนอนจะอยู่ยังไงหาทางออกจากปัญหาไม่เจอ แต่พอผ่านมันมาได้ 4-5 วัน ในสภาพที่ขาดทุกอย่างกลับทำให้ฉันได้พบสิ่งใหม่ การยอมรับ ทำให้เราอยู่ในป่านั้นได้และผ่านมันออกมาอย่างมีความสุขเต็มไปด้วยความทรงจำที่ดี”
“คุ้มค่ากับราคาที่เราจ่ายไปเนอะอนนี่เนอะ?” ค่ำคืนนี้ไป่ไป๋มีความสุขมากกว่าใคร
“เธอจ่ายอะไรเหรอยายเหน่ง?” ฉันอยากรู้ไปหมด
“จ่ายความกลัว ความระแวง ความยากลำบาก ความไว้วางใจ และเกือบต้องจ่ายด้วยความตาย” ยายเด็กนี่เข้าใจตอบ ฟังแล้วรู้สึกดี
“ในวันที่เงินไม่มีความหมาย แทนได้ทำให้ฉันเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ น้ำใจต่างหากที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์ การที่แทนช่วยชีวิตไว้หลายครั้งก็ขอบคุณนะ แต่ยังไม่ประทับใจเพราะมันเป็นเหตุซึ่งหน้าเป็นใครก็ต้องทำแบบนั้น แต่ฉันเริ่มซึ้งใจเมื่อเขาดูแลไป่ไป๋เหมือนกับลูกสาว ไป่ไป๋จะทะเลาะยังไงเขาก็ยิ้มแล้วเดินหนี”
“หือ!” ทุกคนเลิกคิ้วแปลกใจ
“ยายเหน่งทะเลาะกับเขาทำไม?” ฉันสงสัย
“ฮ่าฮ่าฮ่า! หนูหึง” ยายเหน่งหัวเราะร่วนเข้าไปกอดคอทั้งสองคน
นาตาลีเล่าต่อ...
“ฉันเลือกคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ฉันชอบเสื้อชุดใบไม้ที่แสนคัน กินปลาทุกวันจนแทบหายใจในน้ำได้ กระท่อมมุงกิ่งมะพร้าวระดับห้าดาวที่ต้องลุ้นก่อนนอนว่าพายุฝนจะมามั้ย ถ้ามาก็อย่าตกแรงนักนะมันรั่ว สิ่งต่าง ๆ ที่แทนทำนั้นไม่ดีเลยแต่มันทรงคุณค่าในใจของเรา” เธอหัวเราะแล้วหันไปหอมแก้มของแทนและไป่ไป๋
“คิดถึงเนอะอนนี่เนอะ?” ไป่ไป๋นั่งยิ้มตาลอย
“วันหนึ่ง!...แทนทำให้ฉันประทับใจและก็อายที่สุดในชีวิต ฉันตั้งใจว่าจะไม่ลืมสิ่งนี้เช่นกัน” นาตาลีอมยิ้มดวงตาประกายวับ
“อะไร?” ฉันไม่เคยรู้เรื่องราวในป่าของพวกเธอเลย
“ผ้าอนามัย!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ไป่ไป๋ปรบมือหัวเราะร่าสร้างความสงสัยให้กับพวกเรา
ซอนหน้านิ่วหันไปถามแทน...
“มึงเรียนที่ไหนวะ?”
“เนี่ยะ! คนออกแบบ” เขากระแทกไหล่ใส่ไป่ไป๋
แต่ฉันกลับรู้สึกทึ่งในตัวของแทน เรื่องแบบนี้ละเอียดอ่อนมาก ถ้าผู้ชายไม่จิตใจอ่อนโยนจริง ไม่มีวันที่พวกเขาจะทำให้แค่ใช้ให้ไปซื้อมันก็อ้างสารพัดเหตุผล บางคนแสดงอาการรังเกียจด้วยซ้ำไป
“ฉันโคตรอายแต่ทางเลือกอื่นไม่มีเลย ผ้าอนามัยที่แทนทำให้...อันเท่านี่!” เธอยกแขนโชว์
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ไป่ไป๋หัวเราะลั่น...“เห็นครั้งแรกนึกว่า แหนม”
“มีคนบอกว่าผู้ชายคนที่เราเห็นว่าแสนดีอบอุ่นเลิศเลอเพอร์เฟคตอนเป็นคนรักกันจะหายไปเมื่อเราเป็นผัวเมียกัน คำกล่าวนั้นใช้ไม่ได้กับแทน” เธอไม่เคยคิดเหมือนใครและบางอย่างฉันก็ไม่ยอมรับ
ไป่ไป๋ผู้บูชาความรักยิ้มหวานตาลอยพูดเจี้อยแจ้ว…
“ตอนอยู่ในป่าหนูเกือบตายก็หลายครั้ง หนูคิดถึงที่นั่นบ่อยมากอยากกลับไปดูกระต๊อบของเราอีกสักครั้ง ที่นั่นเหมือนสวรรค์บนดินถ้าเรามีเครื่องมือสักหน่อยคงสร้างบ้านอยู่ได้สบาย เนอะแทนเนอะ?” เธอหันไปป้อนเนื้อปลาให้แทน
ซอนหันไปมองน้องสาวแล้วพยักหน้าเห็นด้วย เขาไม่เคยพลาดเรื่องของน้องผิดถูกก็ยืนข้างไป่ไป๋ไว้ก่อน...
“ช่าย! แต่อยู่ที่นั่นต้องมีลูกสัก 10-20 คนนะ ยิ่งเยอะยิ่งดี” เขาอมยิ้มกรุ้มกริ่มพลิกปลาย่างในกองไฟ
ไป่ไป๋เด้งรับยิ้มกว้างดวงตาใส...“เนอะ!! มีลูกเยอะ ๆ จะได้ไม่เหงาเนอะ?”
“ช่าย!... งูแดกหมด! เผื่อมันจะเหลือไว้ให้ใช้สัก 2 คน”
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” คราวนี้หัวเราะกันทั้งกลุ่ม
ใบหน้าของทุกคนเปื้อนรอยยิ้มหัวใจพองฟูหัวเราะให้กับความทรงจำเฉียดตายที่เล่าเมื่อไหร่มันก็รู้สึกเหมือนกับว่าพึ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง
“เราขาดไปอีกคน” เจ็ดโด้เอ่ยขึ้น
“ใครคะ?” ฉันยัดเนื้อปลาย่างเข้าปากนาตาลี
“ลูอิส!”
“เออ! ลืมไปเลย” ไป่ไป๋เด้ง
“จริง ๆ แล้วต้องขอบคุณมันนะ เพราะแผนการของมันพวกเราถึงได้เจอกัน” เจ็ทโด้พูดในสิ่งที่ฉันไม่รู้เรื่องที่จูยอนไปสร้างวีรกรรมไว้เลย แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือความมั่นคงของจิตใจเธอ
จูยอนขยับนั่งตัวตรงยกมือ...
“ฉันขอพูดถึงเขาหน่อยนะคะ ช่วงเวลานั้นต้องตัดสินใจ ถ้าฉันไม่ไปทำงานกับเขาก็อาจจะต้องเย็บเสื้อโหลตามโรงงานของผู้ลี้ภัยและตายอย่างไร้เพื่อนอยู่ที่เกาหลีใต้คงไม่มีโอกาสแก้แค้นให้กับตัวเอง ฉันเห็นแก่ตัวมากค่ะ”
แทนไม่เคยลังเลที่จะยืนข้างจูยอนรีบยกมือพูด...
“ไม่เลยสักนิด! สังคมช่วยผู้มีอำนาจต้อนคนไร้ทางสู้ คุณเป็นผู้ประสบภัยและเป็นผู้กวาดล้างระบอบความกลัวออกไป คุณเป็นตัวแทนของคนที่หมดหวังนับล้านในค่ายกักกัน คุณปลดปล่อยระบบชนชั้นการกดขี่แบบซองบุนที่โหดร้าย คุณคือฮีโร่ของยุคสมัย สิ่งที่คุณตัดสินใจลงไปถูกต้องทุกอย่าง ผมเห็นด้วยทุกประการ”
ไป่ไป๋ยกมือ...“ซองบุนคืออะไรคะ?”
“การวางกลไกแบ่งแยกคนเพื่อปกครองอย่างแยบยลใช้ความจงรักภักดีเป็นเป้าหมาย ให้อภิสิทธิ์ความหรูหราสุขสบายเป็นตัวกระตุ้นและใช้โทษรุนแรงเป็นตัวสร้างมาตรฐานค่ะ ชนชั้นแบ่งตามความจงรักภักดีให้กดขี่กันเองจนเกิดเป็นหลายชนชั้นถึง 50 กว่าชนชั้น นี่คือสิ่งที่เกาหลีเหนือโกหกคนทั้งโลกว่าปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ แท้ที่จริงระบอบคอมมิวนิสต์จะไม่มีชนชั้นเลย พวกเขาดัดแปลงการปกครองมาจากความเชื่อทางศาสนาเพื่อให้ตัวเองจะได้กลายเป็นเทพเจ้า”
พอเธออธิบายแบบนี้ฉันเข้าใจเลยว่า ทำไมเธอถึงไม่เอาศาสนาและเชื่อว่าศาสนาเป็นเพียงเครื่องมือในการรวบรวมคนของผู้ต้องการอำนาจ
“งั้นก็ดีแล้วล่ะคะที่มันล่มลงไป อินเดียมีวรรณะแค่ 4-5 ชั้นยังลำบาก พวกนี้เก่งผลิตเครื่องมือที่ทำคนไม่ให้เป็นคน อนนี่ไปเป่านกหวีดทั่วโลกเลยเหรอคะ?” ไป่ไป๋ยิ้มหวาน
“แรก ๆ ฉันก็ตื่นเต้นกับนกหวีดและไม่มีความรู้สึกอื่น กว่าจะหายตื่นเต้นคนก็กลายเป็น Soulless ไปหลายล้านแล้ว ส่วนใหญ่เป็นศัตรูของยอร์นทั้งนั้น”
ซอนส่ายหัวเบะปาก...
“คุณยังเชื่อใจมันอีกเหรอ นกหวีดของมันนั่นแหละเป็นตัวบ่งบอกว่า มันจะเป็นคนหักหลัง...คนสุดท้าย!”
“ค่ะ! ฉันก็สะดุดใจเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรฉันก็อยากจะกลับไปตอบแทนพวกเขาแต่ตอนนี้ยังจนปัญญา เดินกลับไปมีแต่ความตายรออยู่ สนใจเรื่องเกาหลีกันก่อนดีกว่า ฉันอยากฝากเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งค่ะ” หัวเราะกันอยู่ดี ๆ หุบปากแทบไม่ทัน จูยอนพากลับมาทำงานซะแล้ว
“อะไรเหรอ?” ซอนพูดเสียงยานพลิกปลาย่างแหงนหน้ามอง
“ไหน ๆ เราก็อยู่พร้อมหน้ากันแล้ว ฉันขอฝากความฝันอีกอย่างไว้ด้วยนะคะ โลกถูกปกครองโดยผู้ชายมานานจนวุ่นวายไปหมด พวกเขาเป็นคนกำหนดสังคม ความเชื่อ วัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งศาสนาด้วย”เธอมองไปที่ซอน
“เรื่องเยอะเหมือนกันนะคุณเนี่ย เอาแต่ใจตัวเองน่าดู!” ซอนแขวะไม่เลิก ตั้งแต่เขาแพ้เรื่องศิลปินจินตนาการก็กวนตีนมาตลอด ตัวเองเข้าไม่ถึงศิลปินแท้ ๆ
“ฉันปรารถนาการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและให้คนเป็นที่พึ่งของธรรมชาติได้ การเปลี่ยนพฤติกรรมสังคมต้องเริ่มจากเด็กรุ่นใหม่ การเดินทางของฉันทำให้ได้เห็นวัฒนธรรมในหลายชนชาติ ได้เห็นความน่ารักและเป็นมิตรของเพื่อนมนุษย์ ส่วนความเกลียดชัง ความชั่วร้าย สงคราม อำนาจ มักจะโดนปั่นจากผู้นำที่เป็นผู้ชายทั้งสิ้น”
“อะไรของคุณไม่เห็นเข้าใจเลย?” ซอนคิ้วขมวดไม่ปล่อยผ่าน เจ็ทโด้อมยิ้มมองน้องชาย
แทนยกมือตอบ...
“เธอจะบอกว่าสงครามที่เกิดมาทั้งหมดเป็นเพียงเกมของเด็กผู้ชาย การปลุกปั่นหัวประชาชนให้รักชาติกับประวัติศาสตร์ที่บิดเบือน การปลุกให้ศรัทธาและปกป้องศาสนาทั้ง ๆ ที่ไม่เคยได้ยินสียงของพระเจ้าโดยตรง ทั้งหมดเป็นเกมเพื่อไปรุกรานดินแดนที่มีขุมทรัพย์อุดมสมบูรณ์ มันเป็นแผนยึดทรัพย์อันแยบยลของคนโลภ”
จูยอนรับช่วงอธิบายต่อ...
“เกาหลีเหนือก้าวผ่านยุคมืดมาแล้ว สังคมของเราไม่ได้มีความขัดแย้งทางศาสนา ศัตรูจะมาจากปากของผู้นำที่ยุแยงให้เกลียดชังเกาหลีใต้และอเมริกาทั้ง ๆ ที่ชาวบ้านไม่เคยรู้จัก ฉันจะเปิดเผยความจริงแบบวิทยาศาสตร์ ไม่มีปาฎิหาริย์ ไม่มีอิทธิฤทธิ์ ให้เสรีในการถกเถียงแทนอาวุธและให้มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากัน”
“คุณก็เอาแต่ใจตัวเองเหมือนกันแหละ” ซอนกัดไม่ปล่อย
จูยอนอมยิ้มใจเย็นลูบท้องพูดต่อ...
“ยังจำโครงสร้างการปกครองที่เราคุยกันคราวก่อนได้มั้ยคะ?”
“จำได้...ยังไม่ได้ตั้งชื่อระบอบเลย” ซอนพยักหน้ากวนตีน ส่วนฉันยังจำได้ดีและเคืองขุ่นขัดใจที่เธอจะลบศาสนาไปจากเกาหลี
ไป่ไป๋ยกมือ...“จำได้สิคะ! เจ็ทโด้บอกว่าจะใช้วิธีเผด็จการทหาร”
“เฮ้ยไม่ใช่!...” เจ็ทโด้โบกมือพัลวันร้องแย้ง...
“ผมแค่จะประคองอำนาจให้พวกคุณทำงานให้สำเร็จ คุณจะปกครองรูปแบบไหนก็ทำได้เลย ผมไม่ขัดข้อง”
“ฉันจะใช้โครงสร้างนั้นเป็นรัฐธรมนูญ วัฒนธรรมจะเป็นตัวเรียงลำดับอาวุโสของสังคม เราให้สิทธิ์ในการโต้เถียงแต่ไม่ให้สิทธิ์ในการทำร้ายร่างกาย เมื่อมนุษย์ได้สัมผัสเสรีภาพในการพูด ความมั่นใจอื่น ๆ จะตามมาพฤติกรรมสังคมจะเปลี่ยนไป ฉันคิดว่ายังไงก็ดีขึ้น”
ฉันเข้าใจความคิดของจูยอนกับแทน ทั้งสองคนให้ความสำคัญเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำและให้โอกาส แต่ฉันคิดว่าแค่นี้ยังไม่เพียงพอการอยู่รวมกันต้องมีการให้และรับอย่างมีศิลปะ ฉันเห็นแต่ความปรารถนาดีแต่ยังไม่เห็นบทลงโทษของพวกเธอเลย
ซอนแหงนหน้าร้องถามจูยอน...
“คุณจะปฎิวัติวัฒนธรรมเลยรึไง ผมสงสัยตั้งแต่ตั้งเดอะแก๊งขึ้นมาแล้ว แนวคิดนี้คอมมิวนิสต์จีนเคยใช้คว่ำฟ้าพลิกแผ่นดินมาแล้วนะ”
ฉันแปลกใจ...เขาก็รู้จักเรื่องนี้ด้วยเหรอ ประธานเหมาส่งเรดการ์ดฆ่าคนไปหลายล้าน เพียงแค่สงสัยในความจงรักภักดีของชาวบ้าน
“ใช่ค่ะ! ฉันจะปฎิวัติวัฒนธรรมด้วยปาก ไม่ใช้อาวุธและค่อยเป็นค่อยไป รัฐรูปแบบใหม่จะเป็นรัฐบริการสังคม รัฐไม่เหนือคนและคนไม่เหนือรัฐ เคารพและให้เกียรติในตำแหน่งหน้าที่การงานของกันและกัน”
ซอนสวนทันที...
“เป็นไปไม่ได้! ถ้าต้องบริการประชาชน...ไอ้พวกเจ้าหน้าที่รัฐที่คุณปลุกมาช่วยงานคงได้ตายกันอีกรอบ เชื่อเถอะว่า ไอ้พวกนั้นมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ พวกมันไม่ยอมรับใช้ประชาชนหรอกมีแต่สโลแกนสวยหรูเท่านันแหละ” เขาพูดเรื่องจริง อีโก้ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐลืมตัว
“ฉันไม่ได้สนใจพวกเขา เป้าหมายของฉันคืออยากให้เดอะแก๊งเติบโตไปเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ก่อนจะถึงวันนั้นอยากให้เด็ก ๆ ได้ตกตะกอนทางความคิดและเผยแผ่ความคิดออกไปสู่สังคมได้ เราจะใช้เหตุผลในการมีและไม่มีของทุกกิจกรรมที่รวมความเชื่อ พวกเขาจะเป็นคนอนุรักษ์และคัดทิ้งในวันข้างหน้า” เธอก็มีความเด็ดขาด แต่พูดอย่างนี้คงเตะตัดขาศาสนาไปด้วยแน่ ๆ
“ยากมาก!” ซอนส่ายหน้ารัว ๆ ไม่เห็นด้วย
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เจ็ทโด้หัวเราะลั่น
“แต่ยาก ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้นะคะ ยากหมายความว่า ยอดคนเท่านั้นที่ทำได้ อย่าทำงานง่าย ๆ ที่ใครก็ทำได้เพราะคุณจะไม่แตกต่าง” เธอได้บอกเคล็ดลับของความสำเร็จให้กับซอน
“อนนี่สุดยอด!” ไป่ไป๋เชียร์ออกหน้า
“ทำอย่างไรคะ?” ฉันเสือกแน่นอนจะพลาดเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด
เธอจะไม่เอาศาสนามาเป็นส่งยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วจะทำยังไงกัน ประเทศนี้คงจะมีแต่คนบาป
จูยอนส่งยิ้มปริศนามาให้ฉัน...
“แอนนา...คุณคิดว่าสุดท้ายแล้ว คนจะแพ้ชนะกันที่ไหนคะ?” เอาอีกแล้วมีปริศนาทายใจกันอีกแล้ว ฉันไม่ตอบไม่อยากโง่
ไป่ไป๋ยกมือตัดหน้าโล่งอก...
“ความรู้และฝีมือค่ะ!”
“ฝีมือหรือความรู้ถ่ายทอดกันได้ฝึกกันได้ค่ะ เวลาจะทำให้ทุกคนมีความรู้และฝีมือเท่ากันได้ คุณคิดว่าอะไรคะ?” เธอยิ้มมองไปที่ซอน
“เอ่อ!” เขาหันมองพี่ชายก่อนจะตอบ... “อาวุธและเทคโนโลยี”
“เก่งมากค่ะแต่ยังไม่ใช่ ถ้าเป็นอย่างนั้นอเมริกาไม่แพ้จีนหรอกค่ะ”
“อ้าว!” ซอนยิ้มค้าง
“ทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากความคิดก่อนป็นอันดับแรก”
“ไม่จริงหรอก! ผมจะขี้ไม่เห็นต้องคิดก่อน” ซอนไม่ยอมแพ้ /อีตานี่ไม่เคยพูดชนะจูยอนได้สักครั้ง แต่ก็ยังเถียงข้าง ๆ คูคู/
“เวลาคุณ...เอ่อ!...ตอนคุณอึ๊!...คุณคิดถึงแพ้ชนะด้วยเหรอ วัดผลตัดสินยังไงคะ?” เธอสวนนิ่ม ๆ เจ็ทโด้หัวเราะลั่น
“เอ่อ...” ซอนของฉันแพ้อีก
“กองทัพใหญ่พ่ายแพ้กองทัพเล็กก็เพราะความคิด คนตัวใหญ่แพ้คนตัวเล็กก็เพราะความคิด คนรวยแตกต่างจากคนจนก็เพราะความคิด ความคิดจะกำหนดการกระทำของคน ไม่มีผู้ชนะคนใดที่คิดจะแพ้ ถ้าคุณเป็นคนหัวกลวงไม่คิดอะไรเลย...เดอะแก๊งมาไม่ได้ไกลขนาดนี้แน่” เธอทั้งคมทั้งหลักแหลมมาก ฉันขอชื่นชมแต่ซอนของฉัน...
“งงครับ!”
ไป่ไป๋ยกมืออีกครั้ง...“ไม่เห็นจะน่างงตรงไหนเลยซอน ถ้าไม่คิดก็ไม่ทำ ถ้าไม่ทำผลลัพธ์ก็ว่างเปล่า ใช่มั้ยคะอนนี่?”
“ใช่ค่ะ!”
“ถ้าทำไม่เป็นล่ะ?” ซอนสวนขวับ
ยายเหน่งสวนกลับ... “คุณรู้หรือยังว่าอนนี่จะทำอะไร ทำไมรีบปฎิเสธจังเลย”
“แค่เธอพูดก็ปวดหัวแล้ว เชื่อเถอะไม่ใช่งานง่ายหรอก” ซอนป่วนไม่เลิก
“คุณคิดจะทำมั้ยล่ะ! ถ้าคุณจะทำคุณก็จะหาทางจนได้ ถ้าคุณต้องการมันจริง ๆ เดี๋ยวก็คิดออก แต่ถ้าคุณไม่คิดชาตินี้ทั้งชาติก็ทำไม่ได้ เนอะอนนี่เนอะ?” ไป่ไป๋ตอบได้โดนใจ
นาตาลีลุกขึ้นมาหอมแก้มไป่ไป๋แล้วสะกิดซอน...
“การเดินทางไปดาวอังคารเคยโดนดูถูกว่า เป็นโครงการของคนตาบอดที่คุยโม้กับคนหูหนวก แม้จะมีคนเคยบอกว่าเป็นความคิดโง่บ้าเซ่อก็สามารถทำให้เป็นจริงได้ เสียดายคนที่เคยดูถูกเสือกตายไปก่อน”
จูยอนยิ้มพยักหน้า... “ถ้าคิดให้ลึกซึ้งมันจะเกิดภาพขึ้นในหัวที่เรียกว่า จินตนาการ ซึ่งมันไกลจนคนที่คิดไม่เป็นมองไม่เห็นและไม่มีวันไปถึง”
ซอนพยักหน้าหงึก ๆ แล้วหันมาถามฉัน...
“จริงเหรอม้า?”
“จริงค่ะ! ความแตกต่างของคนก็อยู่ตรงนี้และวัดกันที่ตรงนี้ค่ะ เรื่องที่เธอกำลังพูดบางคนก็เห็นภาพบางคนก็ไม่เห็นภาพ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และฐานความรู้ค่ะ”
นาตาลีสะกิดซอน...
“นี่แหละคือสิ่งที่ฉันเคยพูดเสมอ ๆ ว่าถ้าประสบการณ์ไปไม่ถึงก็จินตนาการไม่ออก ทางแก้คือ การรับฟังค่ะ”
สิ่งที่นาตาลีพูดแทบจะไม่ต้องตีความหมาย เธอมักจะบอกเคล็ดลับของความสำเร็จบ่อย ๆ แต่คนที่ฟังก็ประสบการณ์ไม่ถึงเลยไม่มีใครเข้าใจที่เธอพูด
จูยอนขยับตัวพูด...
“ซอนคะ! เดอะแก๊งได้รับคำกล่าวชมจากทุกสารทิศ เมล็ดพันธ์ของชาติกำลังเจริญเติบโตแตกกิ่งใบเด็กเหล่านั้นถอดแบบไปจากผู้นำของเขา” เธอหยอดอีกแล้ว
ซอนพยักหน้าหงึก ๆ แล้วจิ้มปลาดิบใส่ปาก...“แล้วยังไง?”
“เรามีโครงสร้างการปกครองแล้ว ต่อไปเตรียมความพร้อมให้เจ้าหน้าที่เข้าประจำตำแหน่ง เพิ่มการฝึกทัศนคติให้เข้มข้นหนุ่มสาวรุ่นต่อไปต้องไฟแรงเข้มแข็งทั้งกายใจเป็นที่พึ่งพาของสังคม”
แทนยกมือขอพูด...
“พูดตามตรงนะครับ ถ้าไม่มีสงครามจ่อคออยู่อย่างนี้พวกเราแทบไม่ต้องรีบร้อนเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ชาวบ้านไปขนของจากเกาหลีใต้กันไม่มีใครสนใจเรียกร้องอะไรจากเราเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ฝึกเด็ก เราไม่มีปัญหาเรื่องทรัพยากรและอาหาร ไม่มีใครอดอยาก”
“พี่คิดว่ายังไง?” ซอนหันไปหาเจ็ทโด้
“สงครามก็ต้องสู้คนก็ต้องสร้าง กูว่าดีนะ! การสร้างคนโดยให้ข้อมูลชัดเจนตรงไปตรงมาทำให้เข้าใจง่าย โยนเป้าหมายของชาติลงไปให้เป็นเป้าหมายของทุกคน การปลูกฝังความคิดให้เด็ก ๆ ยึดมั่นน่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องใช้อุปกรณ์น้อยที่สุด”
แทนขยับพูดเสริม...
“เรื่องอื่น ๆ คุณลุงคิมจุนซองจะจัดการให้เข้าสู่ระบบไปพร้อมกับเรา เจ้าหน้าที่เดิมที่ปลุกกลับมาช่วยงานได้มาก พวกเราไม่ได้เริ่มจากศูนย์และไม่ได้ทำโดยลำพัง”
“แต่ผมยังโกรธไอ้วิศวกรไฟฟ้านั่นไม่หายเลย แม่ง ! ไอ้ผู้ใหญ่เหี้ยขโมยความฝันเด็กเอาเดอะแก๊งไปเป็นบ๋อย หยามกันชัด ๆ เพราะเด็ก ๆ ไม่มีอาวุธจึงไม่มีใครเกรงใจ” สายตาของซอนผิดหวังจนฉันสัมผัสได้
เจ็ทโด้นั่งอมยิ้มมองน้องชายอย่างใจเย็นแล้วเปรยเบา ๆ ....
“ไอ้นั่นโคตรโชคดีเลยที่เจอกับแทน” เขายิ้มได้สยองมาก
“โชคดียังไงคะ?” ไป่ไป๋ถามทันที
“ถ้าวันนั้นซอนไปด้วย ไอ้นั่นไปนอนคุยกับรากมะม่วงแล้ว ลองถามมันดิ” เขาโยนต่อ
ซอนพยักหน้าเศร้า ๆ...
“ตัดหัวเสียบประจานแม่งเลย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! คราวนี้คนเกาหลีรู้จักมึงมากกว่าไอ้แทนอีก” เจ็ทโด้ยื่นมือไปตีกับน้องชาย
แทนยื่นหน้าไปหาซอน...“เด็กกลุ่มนั้นผมเอาเข้าค่ายเพื่อรักษาแผลใจให้แล้วนะพี่”
“มึงทำยังไง?” เขาสีหน้าดีขึ้น
“แทจุนมาบอกว่า เพื่อนเสียใจมากไม่กล้ากลับมาสู้หน้าเซมและอับอายเพื่อนฝูง เด็กชายหนีขึ้นไปเลี้ยงแพะอยู่บนภูเขา เด็กผู้หญิงนอนร้องไห้ไม่กินข้าวไม่ออกจากห้อง บางคนหนีไปอยู่เกาหลีใต้โน่นแน่ะ ผมตามไปกล่อมกลับมาแล้ว”
“แล้วยังไง?”
“ผมก็บอกตรง ๆ ว่าพวกเขาไม่ได้ผิด ผมเป็นคนผิดเองที่คัดเลือกคนไม่ดีมาคุมงาน แล้วก็ใช้วิธีถกแถลงข้อความจริงที่เกิดขึ้นกับพวกเขา เอาเหตุการณ์นั้นเป็นกรณีศึกษาชี้ให้เห็นถึงผลกระทบกับงานมวลรวม ความล่าช้า การเอาเปรียบ ความผิดพลาด ผลกระทบต่อตัวผู้โดนกระทำ ความเสียใจ หดหู่สิ้นหวัง ทุกข์ใจ”
“ผลตอบรับเป็นยังไง?”
“การใช้ความจริงแก้ปัญหาได้ง่ายมาก พวกเขาใช้วิธีตราหน้าประจานผู้กระทำผิดปกป้องผู้ที่โดนกระทำ พวกเขาช่วยกันซ่อมสร้างตัวเองเป็นแล้ว เด็กผู้เจ็บช้ำเหล่านั้นอยู่ที่ค่ายโชซอน ผมส่งให้สหายโกเอาไปพัฒนาเป็นวิทยากรไปพูดให้กำลังใจเพื่อน ๆ เดี๋ยวพี่ก็คงได้เห็น”
“แล้วไม่มีการลงโทษตามกฏหมายเหรอ?”
“เรายังไม่พร้อมครับ ผมก็ไม่รู้ว่าสหายคุณลุงลงโทษแบบไหน คนของเขาปล่อยให้เขาจัดการกันเอง”
“ขอบใจนะแทน แต่มึงไม่เชื่อกฎหมายแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“เมื่อก่อนผมเคยสิ้นหวังกับกฎหมาย แต่ผมมาคิดดูแล้วสิ่งที่เกิดกับผมเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ของโลก กฎหมายเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นมาเพื่อเป็นกติกาในการอยู่รวมกันอย่างสงบสุข ถ้ากรรมการไม่โกงความยุติธรรมก็มีจริงการแข่งขันก็สนุก เรื่องง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนแต่ที่มันซับซ้อนเพราะมีคนต้องการโกง” แทนตอบคำถามได้ดีทีเดียว ถ้าไม่มีกติกาคนที่แข็งแรงกว่าจะกลับมาขี่คอเหมือนเดิม
ซอนหันไปมองหน้าเจ็ทโด้แล้วพูดเสียงแผ่วลงเหมือนสำนึกผิด...
“เหตุการณ์นั้นบ่งบอกว่าการอบรมของผมยังลบล้างความกลัวในใจไม่หมด ยังเข้าไม่ถึงแก่นใจของเด็ก” เขาเสียงหงอยจนทุกคนหันไปมอง
ไป่ไป๋ขยับเข้ามาหาแล้วกุมมือปลอบใจ...
“ไม่จริงเลย! การฝึกของคุณทำให้การบุลลี่เพื่อนก็หายไปด้วยค่ะ คนที่ด้อยกว่ากลับได้รับการดูแลแทนการเยอะเย้ย เด็กชายเป็นสุภาพบุรุษกระตือรือร้นและพร้อมให้บริการ” น้องสาวช้อนหัวใจของพี่ชาย
“อย่าคิดแบบนั้นเด็ดขาด!” นาตาลีขยับด้วยฤทธิ์เมาพยายามยืนให้ตรงต่อหน้าซอน...
“อันยองฮาเซโย! นาตาลีอิบนิดะเดอะแก๊งทีมกวางน้ำ กินข้าวรึยัง? มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ? อากาศเย็นรักษาสุขภาพด้วยนะครับ” เธอเลียนแบบท่าทางขึงขังของน้องเดอะแก๊งที่เห็นได้คุ้นตาทั่วเมือง
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ทุกคนขำกับท่าทางน่าเอ็นดูของนาตาลี
ซอนเม้มริมฝีปากพยักหน้าเบา ๆ ...
“ผมอบรมเน้นฝึกตนเองให้แข็งแรงเพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังลำบาก เด็ก ๆ ก็มองหาคนที่ต้องการความช่วยเหลือ การเป็นที่ยอมรับหรือคำขอบคุณก็เป็นรางวัลให้หายเหนื่อยได้ เป็นความภูมิใจที่น่าจดจำ”
“การให้มันอิ่มใจครับพี่” แทนเสนอหน้า
นาตาลีนั่งลงข้างซอนแล้วเอียงหัวพิงไหล่...
“มันอยู่ที่กลุ่มผู้นำด้วยแหละ การสร้างวัฒนธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยากทุกวันนี้เกาหลีเปลี่ยนแปลงมากแล้ว ผู้คนเป็นมิตรและกล้าแสดงออก ถ้าเป็นไปได้คุณสอนให้พวกเขาเดินจับมือกันด้วยสิ! ทำให้เป็นวัฒนธรรมชองชาติไปเลย”
“ทำได้ก็แค่กลุ่มแฟนด้อม ยังห่างไกลจากคำว่าวัฒนธรรมของชาติ” ซอนดูเหมือนถอดใจ
ยายดอกเตอร์เหล่มองไม่พอใจคำตอบขึ้นเสียงสูงใส่...
“คุณไม่สงสัยเหรอว่าทำไมคนเกาหลีถึงเชื่อฟังจูยอนและไม่มาแย่งรถยนต์ที่ไม่มีเจ้าของ”
ซอนสวนขวับ...“คนเกาหลีเหนือขับรถไม่เป็น”
“เอ้อ!” ยายดอกเตอร์สะดุ้งหน้าเหวอเหมือนพึ่งนึกได้...
“ไม่เหมือนกันสินะ...”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ทั้งกลุ่มกำลังเครียดหายเครียดเลย
สิ่งหนึ่งที่เพื่อนกลุ่มนี้มีเหมือนกันคือจิตใจสะอาดมาก ไม่มีใครสะสมทรัพย์ เป็นกลุ่มผู้นำที่ทำตัวเหมือนผู้อาศัยยื่นให้แล้วหันหลังกลับ
ซอนเม้มปากส่ายหน้า...
“แต่สิ่งที่เราสอนถึงจะดีแค่ไหนก็สู้คนโกงไม่ได้หรอก ศาสนาสอนได้ลึกซึ้งกว่าความคิดของเราอีกยังทำไม่ได้เลย คนโกงโก่งกฏหมายคนเลวไม่กลัวบาป”
ที่ซอนพูดมาก็จริงและไม่มีทางแก้ปัญหานั้นได้ นาตาลีนั่งโยกพูดเสียงยาน...
“คนเลวกับคนดีมีวิธีสื่อสารกับพระเจ้าไม่เหมือนกันจึงเข้าใจแตกต่างและแสดงออกไม่เหมือนกัน แม้คนรวยจะโดนกล่าวหาว่าเลว แต่เขาก็นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน”
“พระเจ้าลำเอียงใช่มะ?” ซอนตาโตหันขวับ
“อื้อ!” นาตาลีผงกหัวเส้นผมกระจาย
จูยอนยกมือ...
“ศาสนาไม่มีบทลงโทษคนทำผิดและไม่มีใครตามตรวจสอบนี่คะ แต่สำหรับกฎหมายแล้วถ้าผู้คุมกฎมีใจเป็นธรรม ไม่โอนอ่อนกับสิ่งเร้า นั่นคือสิ่งที่เรากำลังสร้าง สิ่งที่เราคิดถึงมันจะไม่เกิดผล 100% ก็ขอแค่ให้มีแนวคิดแบบนี้แทรกอยู่ในสังคมสัก 40% ก็ยังดี”
“ความคิดนี้ก็มีมาตลอด มันไม่เคยชนะ 1%ได้เลย” ซอนโต้ทุกดอก
“ใช่ค่ะ! เมื่อก่อนฉันไม่มีอำนาจนี่คะ” จูยอนปล่อยหมัดน็อก
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เพื่อนหัวเราะกันกระจาย
จูยอนส่งยิ้มหวานให้ซอนอีกแล้ว ยายนี่ยิ้มสวยแต่สายตาตอนนี้เหลี่ยมชัด ๆ เธอยกน้ำขึ้นจิบก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้ฉันจุกอก
“ทุกวันฉันมีความสุขมากที่ได้เห็นเพื่อนบ้านหัวเราะสนุกสนานไม่ซีเรียสกับการจับผิด คนที่ทำให้รอยยิ้มแบบพิธีการเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างจากหัวใจ คนที่คืนความมั่นใจและจุดประกายความหวังให้เกาหลี คนนั้นคือ..ซอน ซอนเซงทงมูนีม”
“ไอ่โอ๊ะจิม่ะ! ” ซอนกระโดดเหยง
“จริงที่สุด! ทหารยังเข้าถึงชาวบ้านสู้เดอะแก๊งไม่ได้เลย” นาตาลียกนิ้วโป้งให้
จูยอนลุกขึ้นยืนกุมท้องแล้วโค้งศีรษะอย่างอ่อนน้อม เป้าหมายอยู่ที่ซอน เธอต้อนเขามาเข้ามุม...
“ด้วยความเคารพ! นักรบจากไทใหญ่คนนี้เท่านั้นที่จะนำพาพวกเขาไปได้ไกลสุดฝัน เด็ก ๆ ของคุณเป็นดั่งลูกธนูที่พุ่งเข้าหาเป้าหมาย พลังที่ยิ่งใหญ่จินตนาการที่ไร้ขีดจำกัดของเด็กกำลังรอคุณปลดปล่อย ได้โปรดช่วยพวกเขาด้วยนะคะ” เจอคำหวานหูแบบนี้ซอนไม่รอดหรอก แพ้อีกแล้วเชื่อเหอะ!
เจ้าแทนยกมือ...
“ถึงเวลาแล้วครับพี่! ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ผมเคยมองว่าความเลวร้ายทั้งหมดมาจากคอรัปชั่น แต่จริง ๆ แล้วมันแค่ปลายเหตุ เรามุ่งพัฒนาจิตใจคนไปพร้อมกับยึดกฎหมายที่เป็นธรรมจะแก้ปัญหานี้ได้ เราทำได้พี่! อำนาจอยู่ข้างเรา” เจ้านักประชาธิปไตยปลุกระดมน่าดู
เจ็ทโด้ได้แต่ยิ้มมองน้องชายไม่ชี้นำไม่ออกความเห็น สองสาวกอดกันยิ้มมอง ฉันโล่งอกที่เรื่องมาจบลงแบบนี้และชื่นชมหลักการเจรจาของจูยอน
ซอนเหล่ตามองทั้งสองคนแล้วเม้มปากพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะโวยใส่...
“เหมือนมึงสองคนวางแผนกันมาก่อนเลยเนอะ พูดเข้ากันเป็นเป็ดกับห่านเลย”
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!”
“ผมต้องทำยังไง?” ซอนของฉันยอดเยี่ยมมาก
นี่เป็นคำถามของคนที่จะประสบความสำเร็จ การถามว่า ทำยังไง?... มันหมายถึงว่าเขาอยากจะทำช่วยแนะนำให้หน่อย แต่ถ้าเขาถามว่า ทำทำไม?...แสดงว่าคุณสมบัติของเขาไม่พอที่จะทำงานใหญ่
“Awaken! การปลุกจิตสำนึกไม่ยากหรอกค่ะ เราแค่ตั้งโจทย์แล้วโยนไปให้พวกเขาช่วยกันคิดหาคำตอบ เริ่มจากคำถามง่าย ๆ เมื่อพวกเขามีส่วนร่วมในการสร้างก็จะรักและหวงแหน การเปลี่ยนแปลงจะยั่งยืน” จูยอนยังยิ้มหน้าใสดวงตาประกายวับ
“ดูเหมือนผมใกล้จะเป็นเจ้าสำนักลัทธิเข้าไปทุกทีแล้ว งานที่มอบหมายมานี่...ล้างสมองเด็กชัด ๆ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ล้างให้โตขึ้นไปเป็นที่พึ่งของสังคม” เจ็ทโด้หัวเราะลั่นชะโงกหน้าไปหาซอน…
“กูขออย่างเดียว! วันที่พวกมันโตขึ้นก็อย่าเที่ยวออกมานั่งหน้าทีวีแล้วประกาศกฎอัยการศึกเล่นตอนดึกก็แล้วกัน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“หลักสูตรสุดท้ายก่อนที่เด็ก ๆ จะเข้าทำงาน ทุกคนต้องออกจากประเทศไปพร้อมพันธสัญญาอย่างน้อย 1 ปีและกลับมาพร้อมกับแนวคิดใหม่ ๆ 1 อย่างที่เขาชอบ ฉันอยากให้พวกเขาได้เรียนรู้ชีวิตด้วยการเดินทางจะทำให้พวกเขาเข้าใจมนุษย์ โลกใบนี้มีของล้ำค่ามากมายน่าเสียดายที่มันสูญสิ้น” จูยอนได้คิดทุกอย่างจนจบกระบวนการแล้วแค่รอเวลาลงมือปฎิบัติเท่านั้น
“การเดินทางนั่นแหละเปิดสมองดีที่สุด การเอาตัวรอดกลับมาได้เท่ากับการสอบผ่าน” แทนสนับสนุนทันที
“อนนี่จะทำลายศาสนาทั้งหมดเลยเหรอคะ?” ไป่ไป๋ถามเสียงอ่อยฉันอยากจะกอดเธอจังที่ถามได้โดนใจ
จูยอนยังคงยิ้มใจเย็นแล้วหันไปมองหน้าแทนก่อนจะตอบ...
“ฉันเคยคิดแบบนั้น แต่แทนขอให้เก็บศาสนาไว้อย่างเดิมโดยการลดบทบาทขององค์กรลง ศาสนาจะทำหน้าที่เพียงกล่อมเกลาจิตใจให้เกิดความสงบสุขภายในใจเป็นทางเลือกให้ผู้ศรัทธาได้แสวงหาจิตวิญญาณที่พวกเขาเชื่อ ไม่มีการบังคับและลงโทษทางความเชื่อ”
ฉันรู้สึกโล่งอกและขอบคุณ...แต่
“งงครับ” ซอนของฉันคิดไม่ทันคนอื่นทุกเรื่องเลย
“ฉันจะเปิดสมาพันธ์ศาสนาให้เป็นศูนย์รวมทางความเชื่อแล้วเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ศึกษาอย่างถ่องแท้ก่อนจะเชื่อถือและศรัทธา รัฐจะเป็นผู้บริการความสะดวกในเรื่องนี้เอง ศาสนาจะเป็นเพียงกิจกรรมชนิดหนึ่งเท่านั้น”
“คุณจะจัดระเบียบใหม่เหรอ? เรื่องนี้มีคนสู้ตายแน่” ฉันกลับมากังวลใจอีกครั้ง
“ฉันกำลังปฎิวัติวัฒนธรรมนะคะ สุดท้ายแล้วถ้าตกลงกันไม่ได้ ฉันจะทำประชามติ ฉันสัญญาว่าจะไม่ใช้อำนาจกำจัดออก” ถ้าทำอย่างนี้เท่ากับเธอดึงพวกเหลือบที่แอบหลังพระเจ้าให้เปิดหน้าออกมา
ฉันโล่งอกที่เธอหาทางออกให้กับความศรัทธาได้ แต่เรื่องจะจบแบบนี้ไม่ได้หรอกมันง่ายไป คิดจะทำงานใหญ่ไม่เกรงใจสงครามกันเลยหรือไง?
“ช้าก่อน! เอายังไงกับจีนละคะ?” ฉันยกมือ
“เฮ้อ!...” ถอนหายใจพร้อมกันทั้งวงหรือสงครามจะเป็นความทุกข์ในใจของทุกคน
เจ็ทโด้ยกมือ...
“มันน่าอึดอัดใจตรงที่เราไม่รู้ว่ามันจะโจมตีเมื่อไหร่ ถ้ามันประกาศสงครามแล้วยกกองทัพมาประชิดก็ยังจะดีซะกว่าที่มันเงียบแบบนี้” สายตาหนักใจมองไปที่จูยอน
“ฉันคิดว่าจะเปิดการเจรจากับหวังฉวนเพื่อยื้อเวลาของสงครามให้นานที่สุด หลังจากตั้งรัฐบาลสำเร็จ...ฉันกับแทนจะหายตัวไปจะทิ้งไว้เพียงแนวคิดเสรี”
“หื้อ!” ฉันใจหายวาบหาเรื่องตายชัด ๆ ถ้าปล่อยอำนาจหลุดมือเปลี่ยนแปลงครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะตกเป็นจำเลยสังคมทันที
“ทำไมล่ะคะ หนูไม่เห็นรู้เรื่องเลย?” ไปไป๋คิ้วขมวดหันไปมองหน้าแทน
จูยอนหันไปยิ้มอธิบาย...
“ฉันและแทนเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงมีคนสูญเสียมากมายที่ต้องการล้างแค้นคืน ถ้าเข้าไปมีบทบาทปัญหาจะตามมามากมาย ฉันจะยุติปัญหาไว้ตรงนี้” เธอไม่แยแสอำนาจเลย
“เตะหมูเข้าปากหมานี่หว่า!” ซอนส่ายหน้ารัว ๆ คงไม่เห็นด้วยอย่างมาก
“ใช่ค่ะ! ฉันอยากให้คุณเป็นหมาตัวนั้นมาก” แค่ได้ยินว่าเธอจะปล่อยมือก็ยังเสียดาย แต่เธอยังล้อเล่นได้อย่างสบายใจ
“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ เลิกคิดแบบนี้ซะ! เมื่อขึ้นมาแล้วก็ต้องเดินให้สุดทาง” ซอนมองด้วยสายตาตำหนิ
แต่จูยอนก็ยังยิ้มหวาน...
“สุดทางของฉันคือการตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ ฉันไม่หน้าด้านพอที่จะยึดอำนาจนี้ไว้เพื่อปกป้องตัวเอง เมื่อทำงานให้พวกเขาเสร็จ ฉันก็จะไป”
ซอนจิ๊จ๊ะหงุดหงิด แทนขยับพูดต่อ...
“เรากำลังสร้างวัฒนธรรมแห่งความจริง ถ้าจูยอนเข้าไปรับตำแหน่งผู้นำพวกเราก็ต้องหาวิธีเลี่ยงวลีเพื่อปกปิดและต้องเอื้อประโยชน์ให้ตัวเลว ๆ มาปกป้อง เมื่อเสาหลักเอียงปัญหาเดิมก็วนกลับมาอีก สิ่งที่เราทำลงไปก็เปล่าประโยชน์ไร้อนาคตครับ”
“เอ่อ! กูเชื่อแล้วว่ามึงสองคนบ้าพอกัน” ซอนหงายหลังพิงเก้าอี้มองทั้งจูยอนและแทนด้วยสายตาไม่เข้าใจ
ฉันก็พูดไม่ออกเลย ไม่เคยคิดและไม่เชื่อหูว่าจะมีคนแบบนี้จริง ๆ หัวใจของทั้งสองคนใสสะอาดกว่าที่ฉันคิดไว้มาก ฉันรู้สึกเสียดายอำนาจแต่ในขณะเดียวกันก็เสียดายแทนคนเกาหลี ถ้าทั้งสองคนหายไปจริง ๆ พวกเขาจะเสียบุคลากรที่สำคัญไป
แทนหันไปถามซอน...
“พี่ขายวัคซีนให้กับชนชั้นนำไปเยอะมั้ย พอจำได้มั้ยขายให้ใครมั่ง?”
“เกือบทุกชาติแหละรวมทั้งพวกมหาเศรษฐีด้วย” ซอนพยักหน้าครุ่นคิด
“พี่ทำยังไงพวกมันถึงไม่มาปล้นวัคซีน ผมคิดมานานแล้วว่าพี่รอดจากเงื้อมมืออำนาจมืดของพวกชนชั้นสูงได้ยังไง?” แทนตั้งคำถามได้คมมาก เรื่องนี้ฉันและซอนวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วและรู้ว่าสิ่งที่เขาถามอาจจะเกิดขึ้น
ซอนหันไปตอบ...
“กูบังคับให้ไอ้ตัวใหญ่สุดมาซื้อเอง แต่ละคนจะโดนส่งเข้ามาแบบปิดตาเข้าออกไร้ร่องรอย เรื่องมากกูก็ไม่ขาย ถามทำไม?”
“เก่งว่ะ! ไม่มีอะไรหรอก ไอ้พวกนั้นคงกำลังสร้างชาติกันใหม่มั้ง?”
ฉันยกมือให้ข้อมูลเพิ่มเติม...
“คนทั้งโลกจะเหลือรอดประมาณ 3 % เดี๋ยวจีนก็เข้าไปจัดการ มันคงปล่อยให้ศพย่อยสลายก่อน” ฉันเดาไปตามสถานการณ์
“เรื่องนอกเกาหลีไกลมากเราเดินไปไม่ถึงหรอกค่ะ จีนไม่อนุญาตให้เราเคลื่อนไหวแน่นอน” จูยอนดึงกลับ
เจ็ทโด้ลุกขึ้นยืนแล้วถอนหายใจ...
“สนใจเรื่องของเราเถอะ! ศาสนากว่าจะมีคนศรัทธาก็ไล่ต้อนไล่ฆ่าคนมามากมาย ซอนมึงฝึกเดอะแก๊งรุ่นหลังให้หนักก่อนปล่อยออกไปทำงาน กูจะสร้างกองกำลังพิเศษเป็นเงาให้เดอะแก๊งเอง ถ้าเด็กไม่มีอำนาจเลยผู้ใหญ่ไม่รับฟังหรอก เพราะฉะนั้นมันจะต้องมีคนคอยตบพวกแตกแถวเข้าระบบ”
พอเขาพูดมาอย่างนี้ฉันรู้ว่ามันต้องสำเร็จแน่นอน ฉันเห็นเดอะแก๊งวิ่งไล่จับคนเมาก็รู้เลยว่า พวกเขาทำงานเสี่ยงอันตรายมากเกินไป
“ความสับสนจะอยู่กับคนได้ไม่นาน แต่การเข้าใจผิดจะอยู่กับคนไปจนตาย อธิบายทุกอย่างตรงไปตรงมา อย่าให้ชาวบ้านเข้าใจผิด ซอนกับแอนนาดูแลน้อง ๆให้ดีโดยเฉพาะนาตาลี” เขาอมยิ้มหันไปมองเธอก่อนจะก้มหน้าลงไปหา...
“คุณเป็นคนสำคัญของเราและเป็นที่หมายหัวของหวังฉวน อย่าไปไกลสายตาของทหาร”
“เยสเซอร์” นาตาลีเมาเอา 2 นิ้วตะเบ๊ะแล้วฟุบหลับไป
“ไป่ไป๋ครับ! ถ้าเรดซันทำงานได้แล้วก็หาเวลาหยุดยาว ๆ ให้แทนพานั่งรถไฟแทยังโฮไปฮันนีมูนทางภาคตะวันออกสิ ที่นั่นสวยกว่าสวิสฯอีกนะ! หรือจะให้แอนนาขับเครื่องบินพาเที่ยวยอดเขาแบ็คตูก็ได้ถือว่าเป็นสวัสดิการตอบแทนน้ำใจที่เหน็ดเหนื่อย เอ้อ!...ถ้ายังไม่หมดไฟจะจัดคอนเสิร์ตอีกก็ได้นะ วัยรุ่นเรียกร้องมาหนาหูแล้ว”
“ว้าว! ขอบคุณมากค่ะ!” ไป่ไป๋โผเข้ากอดนาตาลี
ฉันปลื้มใจจังอยากให้ไป่ไป๋มีความสุขมาก ๆ เธอก้าวข้ามความเหน็ดเหนื่อยด้วยความรัก งานที่เธอรับผิดชอบนั้นสาหัสกว่าทุกคนแต่เธอก็มุ่งมั่นทุ่มเท
จูยอนลุกขึ้นยืนยิ้มกว้างหันไปหาไป่ไป๋...
“ฉันเสนอให้จัดที่ลานจัตุรัสเอาจุดที่ฉันเป่านกหวีดครั้งแรกเป็นเวที เรามีจอ LED.เกลื่อนเมืองมาเขย่าเกาหลีกันอีกมะ! เอามะ?” เธอพยักหน้ายั่วยายเหน่ง
“เอาดี้!” ไป่ไป๋เด้ง...
“หนูขอรับผิดชอบงานนี้เองนะคะ! หนูจะสร้างตำนานบ้าง” แค่คิดก็สนุกแล้ว
“เอาล่ะ! ผมขอพาจูยอนไปนอนก่อน จำไว้นะ! ทุกคนต้องเป็น The last man stand ห้ามเจ็บ ห้ามตาย” เขาประคองจูยอนไปเข้าเต็นท์
“ผมพานาตาลีเข้านอนก่อนนะ” แทนอุ้มนาตาลีเมาคอพับเข้าเต็นท์ ไป่ไป๋ดับกองไฟแล้วเดินตามเข้าไป
ซอนเดินผิวปากเก็บเศษอาหารโยนลงน้ำหันมาหา...
“ม้าคิดว่าหวังฉวนจะยึดเกาหลีมั้ย?” ยอดดวงใจที่คอยตามใจทุกอย่างให้ความรักความอบอุ่นกับครอบครัว เป็นสามีที่ยอดเยี่ยม เป็นคุณพ่อที่น่ารัก เป็นพี่ชายที่ดีของน้อง ๆ
“ไม่รอดหรอก”
“เนอะ! ป๊าก็ว่าไม่รอดหรอก หลังวันปราศรัยมันมาแน่”
การได้ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขทำให้เวลาผ่านเลยไปเร็ว พอรู้ตัวอีกทีลูกชายก็พูดได้แล้ว ความรู้สึกดี ๆ คำพูดที่อยากจะแบ่งปันเก็บไว้กับตัวเองก็ไม่มีประโยชน์ บอกกับคนที่เรารักไปในขณะที่ยังอยู่เคียงข้างกันดีกว่า
ฉันเดินเข้าไปสวมกอดจากด้านหลัง...
“ฉันรักป๊าที่สุดเลย ป๊าเป็นกำแพงให้พิงเป็นหลังคาคุ้มฝนเป็นซูเปอร์แมนของลูก ป๊ายังจำวันแรกที่เราเจอกันได้ไหม?”
“อ๋อ!...คุณเอาก้นมายั่วผม” จะบ้าตาย! ผัวจำเรื่องนี้ได้เป็นเรื่องแรก ถีบให้ตกน้ำซะดีมั้ยเนี่ย?..
“บ้า! ฉันหมายถึงที่ร้านอาหารย่ะ ขอบคุณมากนะคะที่รักษาสัญญาและดูแลเป็นอย่างดี ให้ลูกชายที่น่ารักด้วย”
“ป๊ารักม้ามากนะ น่าจะรับรู้ได้มั่งหรอก?”
“รู้สิ! ฉันไม่ใช่คนโง่นะ” ในทุกวันฉันต้องเห็นเขามองจากที่ใดที่หนึ่งเสมอและเป็นอย่างนั้นตลอดมา
“ป๊าลองมาคิดดูแล้วนะ! การเพิ่มทัศนคติใหม่เข้าไปในการสอนก็ไม่ยากหรอก แค่สร้างบล็อกต้นแบบให้ดีและถ่ายทอดกันไปแบบ 1 ต่อ 3”
โล่งอกไปทีเขาเริ่มเข้าใจวิธีการแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นแบบเรียนสอนเด็กประถมในจีน
“ปรกติป๊าสอนเด็กด้วยคำถามอยู่แล้วนี่ ฉันเชื่อล้านเปอร์เซ็นต์ว่าป๊าทำได้สบายมากและจูยอนก็รู้ว่าป๊าทำได้”
“จูยอนเหลี่ยมจัด” เขาเบะปากใส่เต็นท์ของเธอ
“เขาเรียกว่าฉลาดใช้คนให้ถูกกับงานต่างหาก เอ้อ! ลืมไปเลย ท่านนายพลสั่งห้ามตัดกระแสไฟฟ้าแต่ฉันลืมบอกจูยอน ไฟก็ตัดไปแล้วด้วย”
“หือ! จิ้งจกทักยังชักขา คนระดับนี้ทักอย่ามองข้าม”
“งั้นพรุ่งนี้เราไปเยี่ยมนายพลกัน”
ฉันได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้สงครามเกิดในเร็ววัน ขอให้จูยอนตั้งรัฐบาลได้ก่อนเราจะได้ไปจากที่นี่โดยไม่รู้สึกผิดในใจ ความกังวลใจเป็นตัวยึดการก้าวเดินไปข้างหน้า ความไม่แน่นอนทำให้เกิดการลังเล สงครามจะเกิดหรือไม่เกิดก็ตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ ๆ คือความกลัว
.................................................................หน้าที่เข้าชม | 12,906 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 11,022 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 23 ต.ค. 2568 |