หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 10 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 19 ต.ค. 2568 |
แคซ็อง
มุมมองสายตา แทน
กันยายน ค.ศ.2026
ท้องฟ้าสดใสเหนือทิวเขาปกคลุมเมืองแคซ็องที่สงบเงียบ กลิ่นอายเสน่ห์ของอดีตเมืองหลวงเก่าก่อนแยกประเทศยังคงเก็บรักษามรดกทางวัฒนธรรมเกาหลีดั้งเดิมไว้อย่างสมบูรณ์ มุมมองแตกต่างจากพยองยางเมืองหลวงใหม่ที่เลียนแบบความหรูหราเข้มขลังมาจากรัสเซีย
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ 3-4 คนและนาตาลีกำลังเดินดูกล้อง Telescope บนเนินเขากลางทุ่งดอกไม้สีชมพูบานสะพรั่งด้านหลังมหาวิทยาลัยแคซ็องได้เห็นรอยยิ้มเต็มหน้าของนาตาลีทุกครั้งที่เธอเจอเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ถูกใจ
“อันยองฮาเซโย...” ผมเดินเข้าไปทักทายกลุ่มนักดาราศาสตร์
“อันยองฮาเซโยนินจาเซม!” บรรยากาศเป็นมิตรมีแต่รอยยิ้มจริงใจ พวกนี้ไม่ได้สนใจการเมือง พวกเขาเกิดมาเพื่อดวงดาวจึงไม่มีความแค้นเคืองเรื่องของอดีตท่านผู้นำ
“ฮยอง! ผมขอถามเป็นความรู้หน่อยนะครับ พวกคุณมองหาอะไรบนฟากฟ้าทุกค่ำคืน?” ผมถามชายหนุ่มเจ้าเนื้อวัยกลางคนสวมแว่นสายตาหนาเตอะท่าทางใจดี
“ค้นหาสิ่งที่เราไม่รู้จักและมองหาสิ่งที่เรารู้จัก” เขาอมยิ้มขี้เล่น
“เพื่อ?...” ผมก็ไม่รู้จักยังจะมาเล่นลิ้นอีก
“เซมอยากฟังอะไรก่อนดี เอารู้จักหรือไม่รู้จัก?” เขาลีลากวนดีเหมือนกัน
“เอารู้จักก่อนก็ได้”
“ที่รู้จักก็เรียนรู้ไปตามตำราที่รุ่นก่อนจดบันทึกไว้ เซมเชื่อมั้ยว่าข้างบนนั้นก็มีถนนมีแผนที่เหมือนกัน ทุกจุดบนนั้นโดนมาร์กไว้หมดแล้วและจะไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อถึงวันที่นักฟิสิกซ์พัฒนาศักยภาพของแควนตั้มได้ วันนั้นทุกคนจะได้ท่องอวกาศ...พวกเราเชื่อเช่นนั้น”
“แล้วที่ไม่รู้จักล่ะ?”
“เยอะครับ! ตอบไม่ได้หรอก ถ้าอยากรู้คืนนี้มาดูด้วยกันสิ ฮ่าฮ่าฮ่า!” เขาหัวเราะอารมณ์ดีแล้วหันมาพูดต่อ...
“ซาจังนีมมาขายฝันว่าจะพาไปเที่ยว Andromeda Galaxy เซม!เรื่องนี้พลาดไม่ได้นะ! ” เขาพูดมาแต่ละเรื่องไม่เคยเข้าหูมาก่อนเลย ผมไม่รู้จักสักนิด
“มันอยู่ที่ไหนเหรอ?”
“ที่เมซิเย 31 ไงล่ะครับ อะไรกันเรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้” เขาพูดเหมือนกับผมป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับเขาซะงั้น / อยากจะบอกว่า...กูรู้จักแต่ดาวลูกไก่ /
“อ๋า! เข้าใจแระ!” ผมเนียนกลมกลืนไปกันเสียฟอร์ม ไปดีกว่าไม่อยากรู้แล้วรีบเดินหนีก่อนที่จะโดนเขาต้อน
“เซมจะไม่ไปด้วยกันจริงเหรอ?” เขาหัวเราะแล้วเดินตามหลังมาอีก
“ไม่ว่างติดธุระ!” ตอบไปแบบนี้แหละทำเป็นยุ่งไว้ก่อน
“เซมรู้มั้ยว่าที่เกาะตูรูกลางน้ำก็มีศูนย์ดาราศาสตร์”
“ทำไมถึงมีมากมายนักล่ะ ท่านผู้นำชอบดวงดาวเหรอ?” ผมถามแบบคนไม่มีความรู้เลย
“เอาไว้อวดเกาหลีใต้ ฮ่าฮ่าฮ่า!” เขากวนตีนใช้ได้เลยแหละเดินหัวเราะลั่นไปเลย
นาตาลีเดินออกจากกลุ่มมาแล้ว ผมไปชวนคนนี้คุยดีกว่าถ้าโง่ก็ไม่ต้องอายด้วย
“ถูกใจมั้ยครับ?” ผมแหงนมองกล้องโทรทรรศน์ส่องดูดาวใหญ่ขนาดตึก 3 ชั้น ตั้งโดดเด่นบนเนินโล่งมองเห็นค่ายทหารแคซ็องนอกเมือง
“อันนี้ย่อส่วนของเจมส์ เวบบ์ลงมาสำหรับให้นักศึกษาใช้กันค่ะ แต่คุณภาพดีมาก คนเกาหลีให้ความสนใจดวงดาวมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วล่ะค่ะ เออ!...อย่าไปเชื่อที่เขาบอกเมื่อกี๊นะ” นาตาลีหันไปมองเจ้าอ้วนแล้วหัวเราะสดใสสายลมเย็นพัดเส้นผมกระจาย
“ที่บ้านของผมไม่มีเรื่องแบบนี้เลย ความเชื่อเรื่องดวงดาวที่ผู้ใหญ่ถ่ายทอดมาให้มีแต่เรื่องลี้ลับซ่อนเร้น ดูดาวตกก็ห้ามทัก”
“ทำไมคะ?”
“กลัวเทวดาที่ลงมาเกิดจะไปเข้าท้องหมา”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“ห้ามชี้รุ้งกินน้ำด้วย”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วย?” เห็นรอยยิ้มคิ้วขมวดของเธอแล้วอายจังเลย
“ผมเคยชี้รุ้งหลังฝนตกโดนผู้ใหญ่ตำหนิแรงมาก สายตาที่มองมาเหมือนกับว่าผมไปขับรถชนคนตายและยังสั่งห้ามไม่ให้ทำอีก หลังจากนั้นผมก็ไม่กล้าชี้อีกเลย”
“ทำไมคะ?” เธอคิ้วขมวดอมยิ้มแหงนหน้ามอง
“กลัวนิ้วกุด”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ไม่ได้ใกล้กับความจริงเลยนะคะ ภูมิปัญญาท้องถิ่นพวกนี้แตกต่างกันไปตามความกลัวค่ะ สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่สร้างขึ้นเพราะความกลัวทั้งสิ้นค่ะ”
“ยังไงครับ?”
“กำแพงเมืองจีนและพีรามิดก็สร้างขึ้นจากความกลัวทั้งสิ้น คุณลองคิดดี ๆ สิคะเพราะความกลัวของผู้นำจึงใช้อำนาจบังคับให้สร้างเพื่อปิดแผลในใจ คนร่วมสมัยมีแต่เกลียดชังเพราะยากลำบากแต่คนรุ่นหลังกลับอวยยศให้” เธออธิบายกี่ครั้งก็วนกลับมาที่ความกลัวจุดเริ่มต้นของสัญชาตญาณป้องกันตัว
“ที่นี่เคยมีกล้องดูดาวสมัยโบราณด้วยเหรอ พวกเขาล้ำมากเลยนะครับ” ผมชวนคุยเรื่องกล้องต่อดีกว่า
“ใช่ค่ะ! เคยได้ยินชื่อราชินีซ็อนด็อกมั้ยคะ? นางปกครองอาณาจักรซิลลาทางตอนใต้ สร้างหอดูดาวช็อมซ็องแดไว้เพื่อทำนายสภาพอากาศในสมัยนั้น วันหลังนั่งรถไฟไปดูด้วยกันนะคะอยู่ที่คย็องจูนี่เอง” เธอสะบัดหน้าเหมือนกับคย็องจูอยู่ข้าง ๆ นี่เอง
“เกาหลีใต้โน่นแน่ะ! ผมกับสหายโกเคยไปตระเวนหาอาวุธตามค่ายทหาร เลยไปอีกนิดเดียวก็ถึงปูซานแล้ว”
“เมื่อก่อนไปไม่ได้ เดี๋ยวนี้นั่งรถไฟแป๊ปดียวก็ถึง กลับกันเถอะค่ะ! ไปหาไป่ไป๋กันดีกว่า วันนี้ไปกินซอลลองทังที่หมู่บ้านซานซงรีกันดีกว่า” เธออยากกินซุปกระดูกวัวหมุนตัวไปลากลุ่มนักดาราศาสตร์…
“ยอลาบูน! วันนี้รบกวนแค่นี้ ฉันขอตัวไปทำธุระต่อนะคะ”
เจ้าตัวอ้วนกวนประสาทยิ้มแก้มปริ...
“ซาจังนีม! พวกเรามั่นใจว่าทำงานร่วมกับสหายได้แน่ แต่มันยังขาดบางอย่างไป อะไรน้า!..ผมก็คิดไม่ออกมันติดอยู่ที่ปาก?” เขาหันไปอมยิ้มพยักพเยิด
เพื่อนสาวผมบ็อบถลาเข้ามา…
“ใช่! ซาจังนีมพลาดบางอย่างไปนะคะ พลาดอย่างแรงด้วย!”
“อะไรคะ?” นาตาลียิ้มหวานมองหน้าทีละคน
เจ้าอ้วนท้วนสมบูรณ์พูนผลของผมยิ้มแฉ่ง...
“เลี้ยงเหล้าพวกเราก่อนสิครับมาคุยกันให้สนิทกว่านี้ พวกเราอยากรู้จักซาจังนีมมากกว่านี้ครับ ได้ยินว่าเคยอยู่อเมริกาช่วยเล่าเรื่องอเมริกาให้ฟังหน่อย” เขายิ้มหน้าแป้นท่าทางแสบไม่เบา คนเหล่านี้รอดตายเพราะสหายโกมีทักรวบรวมคัดแยกไว้เกือบทั้งนั้น
“สหายไปเตรียมนัดวันมาเลย เรียกนักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดมาด้วย ฉันจะเลี้ยงเหล้าทุกคนเอง”
“ได้เลยค่ะ! แล้วเจอกันที่ศูนย์ฯ บนเกาะตูรูนะคะ” ยายแว่นดี๊ด๊า
“แล้วเจอกันค่ะ!” นาตาลีโบกมือให้กลุ่มแล้วก้าวลงบันได
ผมเดินตามหลังมองทุกย่างก้าวด้วยความภูมิใจ ผู้หญิงตัวเล็กบอบบางหัวใจใหญ่มาก สิ่งที่ผมไม่เคยเห็นจากเธอเลยคือความอิจฉา
“คุณไม่คิดจะกลับไปทำงานวิจัยแล้วเหรอ?”
“ทำสิ! ฉันไม่ทิ้งงานวิจัยหรอก ตั้งแต่ได้ฝึกทหารฉันก็หลงไหลโลกใบใหม่ ได้เหงื่อออกไม่เคยมีความสุขสุดสุดแบบนี้มาก่อนเลย” เธอกางแขนสูดลมหายใจลึกหมุนมองไปรอบทิศ
พื้นที่ของมหาวิทยาลัยแคซ็องเป็นเนินเขากว้างขวาง สิ่งก่อสร้างเอียงไปตามระดับลดหลั่น แสงแดดยามสายสาดส่องอาคารหลังคาโค้งทรงเกาหลีโบราณที่เงียบหงอย
“ผมเห็นคุณหันมาสนใจดาราศาสตร์ มีอะไรหรือเปล่า?”
“ฉันสนใจมาตั้งนานแล้วแต่ไม่มีโอกาส ที่นี่มีเพื่อนเยอะเลยพวกหัวกะทิต้องเก็บไว้ค่ะ คนพวกนี้เก่งและหายากทำงานดีปัญหาน้อย สนใจจดจ่อกับสิ่งเดียวได้ทั้งชีวิต มีความอยากอย่างรุนแรงที่จะประทับชื่อของตนเป็นผู้ค้นพบดาวดวงใหม่ สหายคุณลุงเก่งมากเลยนะคะที่คัดกรองเอาคนเก่งจริงกลับมาได้”
“ยังไงครับ ผมไม่เข้าใจ?”
“จูยอนเคยบอกว่าในประเทศล้าหลัง เจ้าหน้าที่รัฐจะซ่องสุมอำนาจโดยให้คะแนนพิเศษกับลูกหลานของเจ้าหน้าที่เป็นแต้มต่อสำหรับสอบเข้าทำงานแล้วขยายเผ่าพันธ์จนบางหน่วยงานเป็นองค์กรขยะสูบกินภาษี”
“เรื่องนี้ผมก็พอรู้ครับและนั่นคงเป็นเหตุผลที่เธอไม่ไว้ชีวิตพวกที่อ้างจงรักภักดีเลยสักคน”
“ยังไงคุณกับจูยอนก็ต้องระวังตัว ลูกหลานของพวกมันยังไม่หมดง่ายหรอก เออ!...ฉันมีเรื่องที่ต้องบอกย้ำกับคุณอีกครั้งนะ”
“บอกมาได้เลยครับ”
“เป็นตัวของตัวเอง เหมือนที่เคยตกลงกันไว้ ถ้าจะต้องเปลี่ยนเพื่อฉันหรือไป่ไป๋ขอให้ตรึกตรองให้ดีว่า แน่ใจแล้ว”
“เช่นกันนะครับ”
“ฉันรักคุณมากเลยนะ ความรักของเราสองคนมีแต่เหตุผล เราใช้ชีวิตแบบนี้มีความสุขที่สุดแล้วค่ะ ห่วงแต่ความรู้สึกของไป่ไป๋เท่านั้นแหละ ความรักของน้องมีแต่อารมณ์น้องถูกเลี้ยงแบบโอ๋มาตั้งแต่เด็ก เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนจะทำใจลำบากกว่าคนอื่น อีกอย่างฉันกลัวโรคไบโพล่าจะกลับมาเล่นงานเธออีก เอาใจน้องให้มากไม่ต้องห่วงว่าฉันจะน้อยใจนะคะ ถือว่าทำแทนฉันด้วย”
“พูดไม่ออกเลย บางครั้งผมก็อึดอัดทำตัวไม่ถูก ขอบคุณที่รักผมนะครับ” ผมตื้นตันซาบซ่านเหมือนน้ำไหลล้นออกมา
ผมก้าวลงบันไดวนเดินวกเวียนตามเธอไปเกาะรั้วระเบียงจุดชมวิว ทุ่งดอกมูห์ลี่สีชมพูบานสะพรั่งหวานละมุนตัดกับท้องฟ้าสีคราม
“คุณคือความภูมิใจของฉันค่ะ! คุณมีสัญชาตญาณเหมือนกับสุนัขกู้ภัย เฝ้าคอยปกป้องแม้อากาศจะหนาวเย็น หาอาหารมาให้แม้จะยากแค้นแสนเข็ญและคอยอยู่เป็นเพื่อนแม้เดือนคืนมืดมิด เมื่อผู้ประสบภัยโรยแรงเริ่มพ่ายแพ้ต่อชะตากรรมก็คอยเห่ากระตุ้นให้ลุกขึ้นสู้และจะคอยเฝ้ามองจนกว่าผู้ประสบภัยนั้นจะรอดปลอดภัย คนที่ไม่ได้เดินเคียงข้างคุณจะไม่มีวันเข้าใจความคิดของคุณได้เลยและอาจจะมองข้ามไป แต่ฉันรู้ว่าคนประเภทนี้เป็นเพื่อนตายได้ ฉันถึงรักคุณไงล่ะคะ”
“พูดซะเขินเลย” ผมเป็หมาไปแล้วหรอ?
เธอยิ้มกว้างเข้ามากอด...
“แม้ภาระรับผิดชอบจะยิ่งใหญ่แค่ไหน เมื่อเสร็จภารกิจแล้วสุนัขกู้ชีพก็จะกินเพียงแค่อาหารกระป๋องเหมือนเดิม ไม่ต่างจากคุณเลยสักนิดที่ไม่เคยยินดียินร้ายกับลาภยศสรรเสริญ” หญิงสาวผู้เชื่อมั่นในตนเองคนนี้เป็นคนเลือกผมด้วยเหตุผลนี้เอง
เราเดินลงมาถึงลานจอดรถยนต์ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ นกพิราบฝูงใหญ่ยังคงเกาะรอคอยอาหารบนหลังคาแม้ไม่มีนักศึกษาเดินพลุกพล่านอีกแล้ว บรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยเงียบเหงาวังเวง
“มหาวิทยาลัยนี้กว้างขวางมาก ขลังเหมือนสนามสอบพวกจอหงวนเลยเนอะ?” ผมแหงนมองความโอ่อ่าอลังการของอาคารเรียนทรงเกาหลีโบราณ
“จอหงวนมันของจีนค่ะ ที่นี่ต้องเรียกว่า ควากอ”
“อ้าวเหรอ?”
“ในประเทศคอมมิวนิสต์ สถาบันความรู้ต่าง ๆ พวกเขาทำได้ดีมากค่ะ ถ้าคุณไปเห็นมหาวิทยาลัยมอสโคแล้วจะร้องไม่ออก ยิ่งใหญ่กว่าแมนเชสเตอร์ที่คุณเรียนจบมาอีก”
เสียงวิทยุเรียกขัดจังหวะ...
“แทน!” เสียงหมวดจางแว้ดมา
“เย่!”
“คุณอยู่ที่ไหน?” ทำไมเธอร้อนรนจังเลย
“มหาวิทยาลัยแคซ็องครับ”
“นาตาลีล่ะ?”
“อยู่นี่ครับ เกิดอะไรขึ้นทำไมร้อนรนจังเลย?”
“ทหารจีนมาตายที่ทะเลนัมโพ ได้รับรายงานรึยัง?”
“ฮื้อ!” ผมหันไปมองท้องฟ้าด้านชายทะเลตามสัญชาตญาณทั้ง ๆที่ไกลกันมาก
“สงสัยจะโดนนกหวีดจากลำโพงริมทะเล ผมจะเข้าไปตรวจสอบให้นะ” ผมชักแปลกใจมันมาได้ยังไง?
“ฐานยังไม่รายงานเรื่องผู้บุกรุกใช่มั้ย?”
“ยังเลยครับ”
“งั้นอย่าไป! คุณติดต่อกับฐานก่อนถ้าปลอดภัยแล้วค่อยเข้าไป ห้ามพานาตาลีไปเสี่ยงด้วยเด็ดขาด” เสียงดุชะมัดเลย
“ตกลงผมต้องทำยังไงเนี่ย?”
“พานาตาลีกลับมาก่อน”
“งั้น! ผมไปหาไป่ไป๋ก่อนนะครับ”
“รีบไปพาเธอออกจากกีจองดองก่อน คุณคอยติดต่อกับสหายโกไว้ดูความเคลื่อนไหวของทหารจีนให้ดี”
“แต่เสารับส่งสัญญาณเรดาร์ที่ค่ายใช้งานไม่ได้”
“คุณมีเครื่องมือเยอะแยะหาวิธีป้องกันเอาเอง ฉันกำลังไปหาไป่ไป๋เหมือนกัน แค่นี้นะ!” หมวดจางไม่เคยล้ำเส้นเรื่องของเกาหลีสักครั้ง แต่ทำไมวันนี้ถึงได้หมดความอดทนและแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เกิดเรื่องอะไรคะ?” นาตาลีหน้าตาตื่น
“ทหารจีนมาตายชายหาดนัมโพ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ทันใดนั้น...
“หวอ!หวอ!” ฝูงนกพิราบแตกฮือ
“ เกิดอะไรขึ้น?” นาตาลีตกใจกระโดดมากอด...
“รีบไปขึ้นรถก่อนครับอีกเดี๋ยวชาวบ้านจะเคลื่อนย้าย” ผมรีบจูงมือเดินลัดสนาม
“ฉันไม่ต้องวิ่งใช่มั้ย?” นาตาลีชะงักหันมอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ผมรีบก้าวขาไปหารถยนต์ข้างอาคาร ในใจยังเชื่อว่าไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก ยกวิทยุเรียก...
“นินจาเรียกสหายโก!”
“เย่!”
“ผมอยู่ที่แคซ็องเกิดอะไรขึ้น เปิดสัญญาณเตือนภัยทำไม?”
“เซม! ออกจากแคซ็องก่อน นักบินรายงานมาว่ากองทัพเรือของจีนลอยลำกลางทะเลตะวันตก ทางค่ายนัมโพกำลังเตรียมพร้อมอยู่ครับ” สหายโกใช้นักบินแทนเรดาร์แล้ว
“ทำไมสหายไม่รายงานผม”
“สหายผู้นำสั่งห้ามไม่ให้เซมออกสนามรบ ผมอยากจะติดต่อจะตายไปแต่ไม่กล้าขัดคำสั่งครับ” เขาเคยโดนสั่งขังเรื่องของนาตาลียังคงเข็ดกับจูยอน
“เอ่อ!...” เอาไงดีวะ! โดนวางยาซะแล้ว
“หัวหน้าค่ายนัมโพกับแคซ็องพร้อมใช่มั้ย?”
“พร้อมครับ! เซมรีบออกจากที่นั่นก่อน”
“ตอนนี้ที่กีจองดองมีทหารมั้ย?”
“ไม่มีครับ! เราถอดทหารออกจาก DMZ หมดแล้วครับ มีแต่ทหารที่คอยช่วยฉีดวัคซีนพวกนั้นไม่พกอาวุธครับ สถานการณ์ไม่น่าเป็นห่วงพวกมันป้วนเปี้ยนอยู่แถวกลางทะเลนัมโพ ไกลมากครับ”
“สหายโกไฟท์ติ้ง! ผมไปกีจองดองก่อน แค่นี้นะ!”
ผมขับออกจากมหาวิทยาลัยกวาดตามองขึ้นไปบนฟากฟ้ายังไร้เงาเครื่องบินรบ นาตาลีส่ายหัวสายตาหมองเศร้าเหลียวมองเด็กชายตัวน้อยเดินตามคุณยายข้างถนนเตรียมไปลงหลุมหลบภัย...
“สงครามขโมยทุกอย่างไปจากชาวบ้าน ทั้งเวลา ความสุข คนรักในทุกครั้งที่มีการเผชิญหน้ากัน ฉันมักตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่าทำไมต้องทะเลาะกัน ทำไมต้องก้าวก่ายเรื่องของคนอื่น ตอนนี้ต้องถามว่าทำไมถึงอยากได้ของคนอื่น ฉันไม่เคยเข้าใจโลกของผู้ชายเลย”
“การบริหารอำนาจในทุกตำราพูดไว้เหมือนกัน พวกเขาต้องสร้างศัตรูไว้เป็นข้ออ้าง ผู้นำทุกชาติใช้วิธีเดียวกันหมดเพียงแต่จะปั้นแต่งศัตรูจากภายในหรือภายนอกมาหลอกคนในชาติเท่านั้นเองครับ”
“ทำไมคะ?”
“ถ้าไม่มีผู้ร้ายก็ไม่มีพระเอก ตระกูลคิมอยากเป็นพระเอกถึงได้กอดอเมริกาไว้แน่น”
“ดีแล้วล่ะที่มันล่มสลายลงไป” เธอถอนหายใจแรง
เสียงตามสายประกาศเตือน...
“เสียงจากคยองชั่ลเมืองแคซ็อง ขอให้ทุกคนฟังคำสั่งและปฎิบัติตามเดอะแก๊ง คนที่อยู่ใกล้หลุมหลบภัยให้ลงไปก่อน คนที่ลงหลุมไม่ได้ให้ไปขึ้นรถยนต์ที่หน้าศาลากลาง คนที่อยู่นอกเมืองให้รีบไปเข้าอุโมงค์ภูเขาไม่ต้องกลับมาและอย่าเข้าใกล้เขตทหารเด็ดขาด” เสียงของเด็กชายจากทีมตำรวจฝึกหัดของเดอะแก๊งเริ่มทำงาน
“วุ่นวายเลยทีนี้ พวกจีนกวนใจมากไปแล้วมั้งคะ?” เธอหันมองชาวบ้านออกจากบ้านหลังน้อยริมเนินเขา ทุกคนต่างหวาดระแวงและตกอยู่ในความกลัว
“แว๊น!แว๊น!..” น่าชื่นใจที่กลุ่มเดอะแก๊งขับมอเตอร์ไซด์ลงเนินเขามาช่วยบรรเทาทุกข์ให้ก่อน
“มันยังไม่มาถึงง่ายหรอก สหายโกเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างนี้ดีแล้ว” ผมคิดในใจบางทีอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้
“บรื้น!...” รถยนต์ขึ้นเนินเขาออกจากเมืองไต่ความชันเข้าสู่เขตภูเขาสูง นาตาลีหันมามองจ้องหน้าแล้วถอนหายใจแรง...
“คิดถึงตอนที่ฝึกทหารจังเลย เมื่อก่อนยังเคยไปตระเวนกินเหล้ากับสหายตามหมู่บ้านสนุกมาก ตอนนี้มีแต่เรื่องกวนใจตลอด ขอจับมือหน่อยค่ะ” เธอเสียบนิ้วประสานมือ
“ไม่สบายใจเหรอ?” ผมรู้ว่าทุกครั้งที่มีการโจมตี เธอมักจะแสดงความกังวลใจบางอย่างทางสายตาเสมอ
“พอเห็นสงครามแล้วรู้สึกรันทดใจ ฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหานี้ พวกมันคงก็อยากได้ตัวฉันมั้งคะ?” หรือนี่คือสิ่งที่ซ่อนไว้ในใจของเธอ
“เมื่อคนเลวมีอำนาจก็จะอึดอัดใจแบบนี้แหละ มันรุกรานคนอื่นได้โดยไม่คำนึงถึงความยากลำบาก ผู้นำพวกนี้เลวแล้วยังแข่งกันชั่วด้วย คนที่ชั่วมากกว่าได้เป็นมหาบุรุษ” พอได้ยินเธอบ่นน้อยใจแล้วก็โกรธ รู้สึกไม่สบายใจที่เธอต้องกังวล
“เราไม่มีทางสู้มันได้เลยหรือจะยอมแพ้มันดี ถ้าฉันกลับไปมอบตัวกับหวังฉวน คุณคิดว่ามันจะปล่อยเกาหลีไปมั้ยคะ?”
“ถ้ามันได้ตัวคุณไปอีก...พวกเราพี่น้องคงตายกันไวขึ้นเป้าหมายของมันคือชีวิตของจูยอนและเธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะยอมแพ้ พวกเราโดนต้อนจนหลังพิงฝาแล้วครับ อย่าคิดโทษตัวเองแบบนั้นเลย” นางฟ้าของผมไม่สมควรต้องลำบากขนาดนี้
เธอแนบใบหน้าลงบนท่อนแขนแล้วบ่นพึมพำ...
“ฉันเคยคิดมาตลอดว่าฉันชอบการทดลองและจะใช้ชีวิตเงียบ ๆไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ แต่ชะตากรรมของฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ถ้าฉันตายก่อนห้ามเผาเด็ดขาดนะคะ ในเวลาที่มีชีวิตเราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ถ้าตายก็ขอให้ฝังไว้นอนเคียงข้างกันนะคะ”
ผมใจหายแว้บสะท้อนในอก...
“อย่าพูดอย่างนี้สิผมไม่เคยคิดถึงวันนั้นเลย ผมไม่กล้าคิดถึงวันที่ไม่มีคุณกับไป่ไป๋อีกแล้ว ผมจะไม่ทิ้งคุณทั้งสองคนให้อยู่กับความเสียใจอีก” ได้ยินแค่นี้ทำเอาใจของผมสั่น
ถึงแม้ชะตากรรมของพวกเราต้องเดินไปสู่ความตาย แต่ผมก็ยังคงหวังว่าจะชนะสงครามและอยู่อย่างสงบสุขได้
รถยนต์แล่นลัดเลาะโค้งขอบเหวยาวไปลอดอุโมงค์ภูเขา เด็กชายเสื้อเหลืองปั่นจักรยานคนเดียวกลางภูเขาผิดวิสัยของเดอะแก๊งทั่วไปที่มักจะขับมอเตอร์ไซด์ ไอ้หมอนี่เป็นใครทำไมถึงมาอยู่กลางป่าคนเดียว
ผมชะลอรถยนต์หันไปบอกนาตาลี…
“ผมขอคุยกับไอ้นี่หน่อยนะ”
“ใครคะ?” เธอหันมองข้างทาง
“ไม่รู้ครับ! แค่แปลกใจว่าทำไมมันมาปั่นจักรยานอยู่ตรงนี้” ผมหักพวงมาลัยปาดหน้าขวางไว้ก่อนจะเข้าอุโมงค์ภูเขา…
“เอี๊ยด!...”
“เฮ้ย...!!” เสียงแหกปากตกใจ...
“ตึง!” โดนชนท้ายอย่างจัง
นาตาลีหันมาจ้องหน้าสายตาดุ...
“หลายครั้งแล้วนะ! คุณชอบแกล้งเด็กรู้ตัวหรือเปล่า รีบลงไปดูน้องเลย คอหักไปแล้วมั้ง?” เธอหน้าง้ำทุบแขนไล่ส่ง
“ผู้ชายก็เล่นกันแรงแบบนี้แหละ” ผมรีบผลักประตูลงไปดู
เจ้าตัวเล็กนอนกองอยู่กับจักรยานล้อคดหงิกงอ
“สหายเจ็บมั้ย?” ผมยื่นมือไปฉุดน้องชายตัวเล็กลุกยืน
“อันยองฮาชิมนิก้า! ลีซุกอึนเดอะแก๊งกลุ่มแมวเหมียวอิบนะดะ!” เจ้าตัวน้อยยืดอกยืนตัวตรง
“เอ๊ะ!” ผมรู้สึกคุ้นหน้าเจ้านี่จังเลยแต่จำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน นาตาลีเดินเข้ามาคุกเข่าแล้วปัดเสื้อกางเกงให้น้อง...
“ซุกอึนเรียนที่ไหนจ๊ะ บาดเจ็บมั้ยคะ?” เธอถามอ่อนโยนปัดฝุ่นลูบไล้แขนขา
ลีซุกอึนใบหน้าเล็กเรียวคิ้วเข้มจมูกโด่งดวงตาเหยี่ยว รูปร่างผอมเกร็งตัวเล็กสวมเสื้อเหลืองตัวใหญ่โคร่ง
“ไม่เจ็บครับ! ผมเรียนโปรแกรมคำสั่งเสียงกับการบินโดรนที่สนามฟุตบอลมันกยองแดครับ”เขายืดอกแข็งขันทะมัดทะแมง
“อ้าว! อยู่ติดบ้านของฉันเลยนี่นา แล้วทำไมสหายถึงมาไกลขนาดนี้ล่ะคะ?” เธอหมุนมองท้องถนนว่างเปล่ามีเพียงสายลมพัดใบไม้ปลิดปลิว อุโมงค์ภูเขามืดมิดเห็นเพียงแสงรำไรจากปลายอีกด้าน หุบเหวข้างขาก็ลึกจนน่าหวาดเสียว
“ผมกลับมาลอยโคมที่บ้านครับ กำลังจะไปหาออมม่าที่บันมุนจองก่อนกลับไปเรียนต่อครับ”
“มอเตอร์ไซด์คู่ใจไปไหนล่ะคะ?”
“ผมไม่ผ่านทั้งความสูงและน้ำหนัก หัวหน้าไม่ให้ขับครับ” เจ้าตัวเล็กหน้าง้ำปากจู๋น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นน้อยใจ
“บ้านสหายอยู่ที่ไหนคะ?” นาตาลีลูบแขนปลอบใจน้อง
“ริมทะเลนัมโพครับ”
“ฮ้า!..” ผมผวาเข้าไปจับไหล่ จุดนี้ว่าไกลแล้วแต่ชายทะเลนัมโพไกลออกไปอีกนับร้อยกิโลเมตร...
“สหายปั่นจักรยานมาจากพยองยางคนเดียวเลยเหรอ?” ผมไม่อยากเชื่อหูเจ้าเปี๊ยกนี่โคตรทรหดมุ่งมั่นมาก
“เย่!” ซุกอึนท่าทางเป็นคนมั่นใจตนเองพูดชัดถ้อยคำ จิตใจเด็ดขาดมากที่ปั่นจักรยานมาไกลกว่าสองร้อยกิโลเมตร
“ซาจังนีมรู้หรือยังครับทหารจีนตายเกลื่อนชายหาดเลย?” เขาคงจะชอบผู้หญิงมากกว่าหันไปหาแต่นาตาลี
“สหายก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอคะ?” นาตาลีถามเขาแล้วแหงนมามองหน้าผม
“ผมเป็นคนไปแจ้งคยองชั่ลเองแหละ”
“อ้าว!..งั้นคุยกันยาวเลยขึ้นรถไปด้วยกัน จักรยานขี่ไม่ได้แล้วล้อมันคดทิ้งไปเถอะนะ!” ผมคว้าจักรยานโยนทิ้งลงเหวไม่มีเวลามากมายนักต้องรีบเดินทางต่อ
“ซุกอึนไปกันเลยค่ะ” นาตาลีดึงแขนจะพาน้องไปขึ้นรถยนต์
แต่เขาขัดขืนดวงตาแดงก่ำน้ำตาคลอหันมาจ้องหน้าของผม …
“หงึ!หงึ! เซมทำอย่างนี้กับเพื่อนของผมได้ยังไง? เซมก็เหมือนกับพวกพัลจังที่เอาแต่ใจตัวเอง ฮือฮือ!” เขาเบะปากร้องไห้จ้า
นาตาลีหันกลับมากอดคอน้องถามอ่อนโยน…
“เซมทำอะไรให้โกรธเหรอคะ?”
“เซมโยนไปได้ยังไง นั่นเพื่อนของผมนะ!” เขาชี้ลงไปที่จักรยานบนยอดไม้ใต้หน้าผา ผมโล่งอกนึกว่าเรื่องอะไรเดินเข้าไปปลอบใจ...
“เดี๋ยวผมหาให้ใหม่นะ ล้อมันคดแล้ว” ผมกอดคอแต่เขาสะบัดหนีไปหานาตาลี
“เซมทำร้ายจิตใจเพื่อนของผม จุนกิกับผมโตมาด้วยกัน ไม่เคยทิ้งกัน ฮือฮือจุนกิ!” เขาร้องไห้แรงขึ้นทำให้ผมใจเสีย ความปรารถนาดีของผมเป็นพิษอีกแล้ว
“แทนซวยแล้ว” นาตาลีลนลานรีบช่วยกันกล่อมเด็ก...
“ซุกอึนคะ! เซมเห็นว่าล้อมันคดแล้ว เดี๋ยวเขาก็หาคันใหม่มาให้ค่ะ ไม่ต้องร้องนะ!”
“ผมไม่เอาของเซมหรอก เซมทำร้ายเพื่อนของผม” เขาคงจะโกรธมากงอนหน้าตูม
“งั้น!...ฉันจะหามาให้เอง สหายอยากได้แบบไหนบอกมาเลย” นาตาลีก็พยายาม
แต่เขายังสะบัดสะบิ้งไม่ยอม หันมามองค้อนด้วยสายตาตำหนิแล้วบ่นใส่...
“ผมซ่อมเพื่อนของผมได้ เราเคยบาดเจ็บด้วยกันตั้งหลายครั้ง ผมจะไม่ยอมทิ้งเพื่อนให้เดียวดายอยู่บนนี้หรอก ป่ามันน่ากลัว!ฮือฮือ!”
นาตาลีลนลานเดินตามก้นน้องไปชะโงกหน้าตะโกนลงไปในหุบเหว…
“จุนกิ!...ฉันจะช่วยขึ้นมานะ!”
เจ้าตัวเล็กทิ้งตัวนั่งขอบเหวน้ำตาไหลพราก...
“จุนกิฮือฮือ!...เราขอโทษนะที่ปกป้องเพื่อนไม่ได้ ฮือ!ฮือ!ฮือ! จุนกิเพื่อนรัก! กลัวมั้ย...?” ยิ่งน้องร้องไห้ใจก็ยิ่งเสีย
ผมสำนึกผิดมากไม่น่ารีบโยนของเขาทิ้งเลยจะลงไปเอาก็เสียวขาสั่นเลย นาตาลีส่ายหัวเดินเข้ามาเกาะแขน...
“คุณทำผิดกับเด็กอีกแล้ว! ลงไปเอาจุนกิมาคืนน้องเลยนะ ลึกมากด้วยโยนซะแรงเชียว”
“ห่ะ!” ผมตาเหลือก ใครจะลงไปได้มันค้างอยู่บนยอดไม้ข้างล่างโน่น ขุนเขาหุบเหวในเกาหลีลึกน่าหวาดเสียว ถ้าพลาดก็ตกเหวตาย
“ฮือ!ฮือ!” ซุกอึนร้องไห้โศกเศร้าป้องปากตะโกนลงหน้าผาน้ำเสียงเครือ...
“จุนกิ!...เราจะคิดถึงสหายทุกวัน สหายนอนนิ่ง ๆ อย่าขยับตัวนะมันจะตกลงไปอีก เราสัญญาจะกลับมาพาสหายกลับบ้าน ฮือ!ฮือ!” เสียงสะอึกสะอื้นกัดหัวใจน้ำตาไหลนองหน้าเด็กชายกดดันจนเศร้าใจ
ผมคิดถึงช่วงวัยเด็กแล้วก็เข้าใจได้ ผมเป็นลูกชายคนเดียวที่ต้องใช้ชีวิตลำพัง ของเล่นและสัตว์เลี้ยงจะผูกพันกับวัยเด็กของทุกคนและเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำ สิ่งของบางอย่างเป็นตัวแทนของพ่อแม่ บางอย่างเป็นตัวแทนของกาลเวลา บางอย่างเป็นเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันทุกวัน ยิ่งถ้าเป็นลูกคนเดียวของเล่นยิ่งมีความหมายลึกล้ำ
นาตาลีสะกิดแขน...“น้องร้องไห้เสียงดังแล้ว”
“อื้อ!” ผมหันไปมองแผ่นหลังแสนเศร้าของซุกอึนริมผาแล้วรู้สึกสลดใจที่ไปทำลายความสัมพันธ์อันทรงคุณค่าตัวแทนกาลเวลาของวัยเด็ก
ผมจะไม่ยอมเป็นผู้ใหญ่ที่ทำลายความฝันของเด็กเด็ดขาดรีบเดินเข้าไปกอดคอน้องแล้วมอบตัวยอมรับความผิด...
“สหายซุกอึนผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าสหายซี้กันขนาดนี้ เดี๋ยวผมจะลงไปเอาจุนกิขึ้นมาให้และจะเอาไปซ่อมให้ด้วย”
ผมไม่น่าทำร้ายจิตใจของน้องเลยเดินคอตกสำนึกผิดกลับมารื้อของหาตัวช่วยท้ายรถยนต์ นาตาลีเดินใบหน้าเครียดเข้ามาช่วยกันรื้อแล้วชูขดเชือก...
“เชือกนี้น่าจะยาวพอลงไปได้ ลูกผู้ชายทำผิดก็กล้ารับผิด ไฟท์ติ้ง!” เธอซีเรียสจริงจังยื่นเชือกมาให้
ผมเดินไปผูกกับเสากันกระแทกป้องกันกันรถยนต์หลุดโค้ง ก้าวข้ามฝั่งไปยืนชั่งใจริมผา ก้อนหินข้างขากลิ้งหล่นลงไปใจหวิว
“เซมจะทำอะไรครับ?” ซุกอึนแหงนหน้าขึ้นมองมาน้ำตายังเลอะแก้ม
“ผมจะลงไปเอาจุนกิมาคืนให้สหาย” ผมหงอมากยืนเอามือกุมเป้า
“ถ้าลงไปตายผมไม่รู้ด้วยนะ จักรยานเก่าแล้วผมไม่เอาหรอก!” เขาสะบัดตูดเดินลอยหน้าลอยตาไปประจบนาตาลีไม่แยแสไอ้จุนกิสักนิด…
“ซาจังนีมครับ! ผมเคยเห็นแต่ไกล ๆวันนี้ได้เห็นใกล้ ๆ ซาจังนีมสวยเหมือนกงจูเลย” ปากดีซะด้วยไปชมนาตาลีเป็นเจ้าหญิงซะแล้ว
“แหมปากหวานจัง! ฉันไม่สวยเหมือนเจ้าหญิงหรอก ไป่ไป๋เซมโน่นสวยมาก จำผิดคนรึเปล่าจ๊ะ?” นาตาลีบ้ายอดี๊ด๊าจับแก้มเสยผมแก้มแดงเชียว
“ผมเอาเสือหมอบนะครับ”
“ห่ะ!” นาตาลีหุบปากชะงักตาค้าง
“อ้าว!...” ผมเหวอแดก ยังดีนะที่เขาออกลายก่อนผมจะลงเหวไปเอาจักรยานขึ้นมา
“ได้เลยค่ะ!” นาตาลีกัดกรามพาไอ้กะล่อนไปขึ้นรถยนต์
ผมขับรถยนต์ลอดอุโมงค์ภูเขาพร้อมกับความรู้สึกว่าโดนเจ้าเด็กนี่ปั่นประสาทซะแล้ว แต่ช่างมันเถอะ! เสือกไปโยนจักรยานของเขาทิ้งก่อนเลยต้องเป็นจำเลยโดนโขกสับ
เจ้าตัวเล็กนั่งเบาะหลังชวนนาตาลีคุย...
“ซาจังนีมครับ! ผมเอาสีดำล้ออลูมิเนียมตัวถังไฟเบอร์ติดเบอร์ 11 เอ่อ...มีเกียร์ด้วยนะครับมันจะได้ไม่เมื่อยเวลาปั่นไกล ๆ” เขาขยับมาเกาะเบาะของนาตาลีเรียกร้องค่าเสียหายเกินจริง /หมายเลข 11 เป็นตัวเลขนำโชคของเกาหลีเหนือเหมือนกับเลข 8 ของจีน/
“จุนกิราคาน่าจะประมาณ 3,000 วอน แต่ที่สหายเรียกร้องมันเป็นล้านวอนเลยนะ หลายล้านด้วย” ไอ้นี่จะขี้โกงมากเกินไปแล้ว
เขาหันขวับส่งสายตายิงแสงเลเซอร์ใส่...
“นี่ไง! นี่ไง! เซมเริ่มโกงแล้ว ซาจังนีมดูนะนี่ขนาดเห็นกันทุกคนว่าเซมโยนจุนกิลงเหวก่อนยังจะโยกโย้อีก”
“ก็จริงอ่ะ! จุนกิเก่าแล้วสีก็ถลอกด้วย” ผมชักหงุดหงิดที่ต้องเป็นจำเลยจำเป็น
“ใช่มันเก่า! แต่คุณค่าของจุนกิก็อยู่ที่ความเก่า เราผ่านกาลเวลาที่ควรจดจำ รอยถลอกนั่นก็เป็นความทรงจำร่วมกัน ผมไม่อยากนั่งรถของเซมแล้ว! จอดเลย! ผมจะกลับไปหาจุนกิ” เขานั่งคอแข็งปากจู๋หน้าตึง
“เอ่อ!...” ไอ้เด็กนี่แสบมาก ผมก็เถียงไม่เคยชนะใครซะด้วย หงุดหงิดมาก ไม่น่าแวะไปคุยกับมันเลย ซวยชิบ!
นาตาลีหันมาช่วยกันกดดันผม...
“นินจาเซมคะ! ทำผิดก็ต้องยอมรับผิดสิคะ ราคาทางจิตใจของจุนกิเกินกว่าจะเยียวยาตีราคาเป็นเงินนะ”
ซุกอึนโผไปเกาะเบาะ...
“นี่ไง! ผู้ใหญ่ต้องเข้าใจเด็กแบบนี้สิ” เขายิ้มได้
“ฉันจะให้ชุดกับหมวกด้วย แต่สหายอย่าให้จุนกิเห็นนะคะ” เธอหันไปล้อเล่นกับน้อง
“ทำไมครับ?”
“จุนกิจะเสียใจที่สหายมีเพื่อนใหม่น่ะสิ!”
“เชอะ! ผมจะทิ้งมันตั้งนานแล้วโซ่มันชอบหลุด เบื่อมาก!”
“อ้าว!” ผมสะดุ้งโหยง
เขาลอยหน้าตอบไม่สนความรู้สึกของผมสักนิด ไอ้หมอนี่เป็น 18 มงกุฎแน่ ๆ นาตาลีชอบใจปรบมือหัวเราะร่วน /เสียหายมากผมโดนไอ้เด็กนรกนี่ตุ๋นเปื่อยเลย/
“บรื้น...” หงุดหงิดโว้ย
รถยนต์ลงภูเขาออกจากเขตป่าไปหาทุ่งดอกหญ้าสีชมพูกว้างใหญ่บนเนินเตี้ยเขตเกษตรกรรมเลี้ยงสัตว์ บ้านชั้นเดียวกระจุกตัวรวมกันอย่างสมถะถ่อมตัวใต้ท้องฟ้าโล่งใส ไร้อาคารสูงสัญลักษณ์ของความทะเยอทะยานในโลกทุนนิยม
นาตาลีนั่งอมยิ้มหันกลับไปมองน้องบ่อย ๆ ท่าทางจะชอบเจ้า 18 มงกุฎซะแล้ว แต่จะว่าไปแล้วเขาก็ไหวพริบดีและพูดได้คมกว่าผมมาก ถึงมันจะขี้โกงก็เถอะ
“สหายเจอศพทหารจีนกี่โมงคะ?”
“ประมาณตี1ครับ ผมเห็นแสงไฟกลางทะเลเหมือนเครื่องบินไปทางฝั่งใต้เลยขี่จักรยานตามไปดู” เขาก็เป็นเด็กมีไหวพริบใช้ได้ แต่มันฉลาดเกินเด็กไปหน่อย/ผมกลัว/
“สหายแจ้งคยองชั่ลตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเหรอคะ?”
“เมื่อเช้าครับ ผมไม่ได้คิดจะแจ้งด้วยแค่เข้าไปถามดูเฉย ๆ”
“อ้าว! ทำไมล่ะคะ?” คำตอบชวนให้สงสัย
“ตอนที่ผมลงไปชายหาดเฮอัน ผมเห็นทหารของเราคุยกับทหารจีนอยู่เลยไม่ได้เข้าไปไกล้ ได้แต่นั่งมองเขาคุยกัน”
“สหายเห็นอะไรบ้าง?” ผมหันไปถามมั่ง
“ผมเผลอหลับครับทั้งง่วงทั้งเมื่อย ตื่นตอนเช้าขี่จักรยานผ่านป้อมคยองชั่ลเลยเข้าไปถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไม่มีใครแจ้งความผมเลยแจ้งซะเลยแล้วก็ปั่นจักรยานมาเจอกับเซมนี่แหละครับ” เขาปั่นจักรยานมาครึ่งค่อนประเทศไม่หลับให้มันรู้ไปสิ แต่เขาได้เห็นตัวของหนอนบ่อนไส้แล้ว
“สหายจำอะไรของพวกเขาได้บ้างมั้ย เช่นลักษณะการยืน ท่าทางการเดิน เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับวิบวับ รถยนต์หรืออะไรที่เขาถือ พอจำได้มั้ย?”
“มันมืดแล้วก็ไกลพอควร จากท่าทางที่เขาคุยกันผมเดาว่าทหารของเราโดนด่ามากกว่าจะคุยกันแบบเพื่อนครับ ทหารจีนตัวสูงเท่า ๆ กับเซมเลยครับ”
“หือ! สหายได้บอกเรื่องนี้กับคยองชั่ลหรือเปล่า?” ผมหันสบตากับนาตาลี /ผมสงสัยว่าจะเป็นซีชาน แต่อีกใจก็คิดว่านายทหารระดับนั้นไม่น่าจะมาเอง/
“ไม่ได้บอกครับ”
“สหายลองนึกดี ๆนะ ทหารเกาหลีคนนั้นมีอะไรสะดุดตาบ้าง สหายจำอะไรได้บ้าง?” ผมสนใจเรื่องนี้มาก
“มืด! จำไม่ได้หรอก!” เขาเมินผมอีกแระ คุยกับไอ้เด็กนี่เหนื่อยใจฉิบหาย /อย่าให้รู้นะว่าเป็นลูกใคร ผมจะเตะพ่อมัน /
นาตาลีอมยิ้มหันไปปะเหลาะชวนคุย...
“ค่อย ๆ นึกไปนะคะ ขอถามหน่อยสิ! ทำไมสหายถึงตัดสินใจมาเป็นเดอะแก๊งคะ อะป้ากับออมม่าไม่ห้ามเหรอ?”
ผมคิดในใจไม่ได้ดูถูก...เด็กวัยนี้ร้อยทั้งร้อยทำตามเพื่อนทั้งนั้น ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองหรอก
“ซอนเซงนีมบอกว่า ทุกคนเท่าเทียมกันคนที่เก่งและกล้าหาญที่สุดจะได้เป็นหัวหน้าไม่ได้วัดที่ซองบุน ถ้ากติกาแบบนี้ผมก็เป็นหัวหน้าได้ ซอนเซมเจ๋งที่สุดยุติธรรมที่สุด ผมรักซอนเซมคนเดียว” เขาเหล่มองผม /มึงจะย่ำยีกูไปถึงไหนไอ้เด็กเปรต/
“สหายไม่ชอบซองบุนเหรอคะ?”
“ไม่เลยครับ! เมื่อก่อนไอ้ซงบงบันลูกของจองอาจอชี่ทหารขี้เมา มันได้เป็นหัวหน้าชั้นตลอดทั้ง ๆ ที่ผมเก่งกว่ามันตั้งเยอะ พ่อของมันพอเมาก็เอาปืนมาขู่ชาวบ้าน เมียน้อยพ่อของมันก็เป็นครูแอบบอกข้อสอบกันด้วย”
เด็กคนนี้ไม่ใช่ 18 มงกุฎซะแล้ว เขามีสัญชาตญาณของนักสู้ตั้งแต่เด็ก ผมมองเด็กคนนี้ผิดไปนอกจากเขาจะไม่ทำตามเพื่อนแล้วยังมีเป้าหมายชัดเจนที่เด็กวัยกันคิดไม่ถึงหรือไม่กล้าแม้แต่จะคิด
นาตาลีดวงตาประกายอมยิ้มพึงพอใจ...
“สหายซุกอึน! รุ่นที่เท่าไหร่ เรียนอยู่ระดับไหนแล้วคะ?”
“รุ่น 15 ชั้นลูกเจี๊ยบครับ! ผมตั้งใจมาไกลเพื่อจะเป็นหัวหน้า แต่รู้สึกว่ากติกาในการเลื่อนระดับจะมีปัญหาครับ ผมจะขับมอเตอร์ไซด์ก็โดนอ้างว่าร่างกายไม่พร้อมตัวเล็กไป พอเรียนโปรแกรมก็ต้องสอบอ่านออกเสียงให้ผ่านก่อน ทำไมต้องหาอุปสรรคมาขวางทุกอย่าง ผมไม่เข้าใจ!” ความคิดของเขาก็น่าทึ่งทะเยอทะยานสูงสุด
“ซอนเซมทราบเรื่องนี้มั้ยคะ?” นาตาลีขยับหมุนหันหลังกลับไปคุย
“พัลจังสร้างข้อแม้ให้ยุ่งยากกันเอง เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้เป็นตัวขวางความก้าวหน้าของลูกน้องครับ” เจ้านี่พูดปร๋อเชียว กล่าวหาคนตาไม่กะพริบเลย
ผมฟังเขาพูดไปพร้อมกับคอยหันมองท้องฟ้าทางทิศชายทะเลไปด้วย ตอนนี้ยังไม่มีเครื่องบินโผล่ขึ้นมาก็เบาใจ
“ใครเป็นหัวหน้าคะ?”
“มีหลายคนครับแต่ที่โหดสุดก็...ซนพันจังทงมู ผมรู้สึกว่าเขามีอคติกับรุ่นน้องชอบหาอุปสรรคมากีดกัน ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก” เขาลอยหน้าเอาแต่ใจตัวเองชัด ๆ
พอเขาพูดถึงซนบ๊กซูผมก็ถึงบางอ้อ นึกออกทันทีว่าเคยเจอท่าทางหัวหมอไม่ยอมคนของไอ้หมอนี่ที่ไหน ไอ้ตัวแสบคนนั้นเอง
“ทำไมสหายถึงบอกว่าสหายซนพันจังมีอคติคะ?”
“พวกเขากีดกันด้วยการเอาข้อสอบการอ่านออกเสียงมาเป็นเกณฑ์ ต้องสอบผ่านก่อนถึงจะได้ฝึกเรดโซน ไม่ยุติธรรม!”
ผมเคยเห็นวีรกรรมของเขา ซอนเคยพาผมกับจูยอนไปแอบดูหลังห้องเรียนที่สนามฟุตบอลมันกยองแด เจอไอ้หมอนี่กำลังเถียงเรื่องเรดโซนกับซนบ๊กซูอย่างเอาเป็นเอาตายในห้องเรียน ไอ้ตัวแสบ!
“สหายซนให้สอบภาษาอะไรเหรอคะ?” นาตาลีไม่รู้เรื่องนี้คุยกับน้องอย่างจริงใจ
“เกาหลี!” เขาพูดห้วนฮึดฮัดขัดใจสีหน้าไม่ชอบใจอย่างมาก
“หือ!” นาตาลีอมยิ้มมองเหมือนจะรู้ทันเหมือนกัน…
“การวัดระดับโดยใช้ความรู้ก็เป็นวิธีสากลนะคะ การเลื่อนขั้นต้องมีความรู้ด้วยค่ะ อ่านออกเสียงภาษาเกาหลีไม่ยากนี่นา ฉันก็นึกว่าพวกเขาเอาภาษาอังกฤษมาเป็นเกณฑ์วัดซะอีก”
“แค่เอานิ้วปัดหน้าจอไม่เห็นต้องเรื่องมาก ผมไม่ได้มาสมัครเป็นนักร้องพันโซรีสักหน่อยจะได้ออกเสียงให้ชัด” เขาสะบัดเชิดหน้าบ่งบอกว่าเอาแต่ใจขั้นสุดไม่ยอมรับกฎกติกาของกลุ่ม / ผมอยากเห็นหน้าพ่อของมันจังเลย คงเหนื่อยน่าดู?/
นาตาลีพยักหน้ายิ้มเหมือนจะจับไต๋ได้แล้ว...
“สหายอ่านหนังสือไม่ออกใช่มั้ยคะ?”
“เอ่อ!...” เขาสตั๊นกรอกตาหลุกหลิก...
“ผมแค่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการ ทำไมไม่ทำคำสั่งเป็นตัวเลขจำง่ายกว่าตั้งเยอะ?” เขาแถหนีไปได้
ผมมั่นใจมากว่าเขาอ่านหนังสือไม่ออก เด็กคนนี้ช่างน่าค้นหาเหลือเกิน เล่ห์เหลี่ยม ปลิ้นปล้อน กะล่อน หลอกลวง ลูกใครวะ?
“สหายรู้มั้ยในคำสั่งมีอะไรบ้าง? ทำไมสหายต้องฝึก? ทำไมซนพันจังถึงบังคับให้ทุกคนอ่านหนังสือ? มันต้องมีเหตุผลสิคะ ใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่เลยครับ!...” เขาส่ายหน้าหูแทบหลุด...
“ขี้เก็ก! ผมพูดภาษาเกาหลีได้พูดจีนก็ได้ ทำไมต้องเสียเวลาไปอ่านออกเสียงด้วย พอสอบไม่ผ่านก็ไม่บอกอะไรเลยให้กลับไปเรียนใหม่ สหายซนพันจังเอาแต่ใจตัวเอง” เขาอ่านหนังสือไม่ออกจริงด้วย โทษทุกอย่างแต่ไม่โทษตัวเองเลย
นาตาลีพยัหน้าน้อย ๆ ยิ้มมองอย่างเข้าใจ...
“ถ้าสหายอ่านหนังสือออกจะไม่พูดอย่างนี้ การอ่านง่ายกว่าการท่องจำและเข้าใจได้ลึกซึ้งกว่านะคะ ถ้าสหายอยากสอบผ่านต้องอ่านหนังสือเก่ง ๆ สิคะ การเป็นหัวหน้าต้องมีความรู้มากกว่าลูกน้องอย่างนอย 1 ก้าวเสมอค่ะ”
“ฮุนอาจอชี่หัวหน้าเรือประมงอ่านหนังสือไม่ออกก็จับปลาได้ เก่งด้วย! หาปลาได้มากกว่าทุกคนเลย สหายซนพันจังเรื่องมากผมขอย้ายไปอยู่กับสหายอุงอิลพันจังแล้วครับ เขาใจดีกว่าสหายซนพันจังเยอะ!” เขาเถียงได้ทุกเม็ด
จกที่ฟังมาทั้งหมด ผมตัดสินได้แล้วว่า คนที่เอาแต่ใจตัวเองคือไอ้นี่แหละ ลื่นจับไม่ติดเลย
“ถ้าชาวประมงอ่านหนังสือไม่ออกก็จะอ่านป้ายท่าเรือไม่ออกเหมือนกันนะคะ หากินไม่ได้ไกลหรอกค่ะ”
เอาละวะ! เด็กอัจฉริยะกับเด็ก 18 มงกุฎเริ่มเถียงกันแล้ว
“มีปากก็ถามเอาสิครับ ไม่เห็นยาก” อืม! จริงของมัน
นาตาลีถอนหายใจ...
“แล้วพวกเครื่องยนต์ล่ะคะ มันก็มียี่ห้อสหายไม่อยากรู้ชื่อเหรอ?”
“จำโลโก้เอาสิครับ! นี่ไง!...เพราะพวกหัวหน้าใช้วิธีคิดเหมือนกัน ผมถึงเสนอให้โปรแกรมเป็นตัวเลข ง่ายต่อการจำ”
อ้าว!...นาตาลีโดนมันสอนไปซะอีก
“ถ้าคำสั่งเป็นหมื่นเป็นแสนคำจะจำไหวมั้ยคะ?” นาตาลีเริ่มเหนื่อยใจ
“แล้วจะสร้างคำสั่งเป็นหมื่นเป็นแสนไปทำไม? เอาแต่ที่จำเป็นสิ!ถ้ารถยนต์มีเกียร์ 2,000 เกียร์ใครก็ขับไม่ได้แสดงว่าออกแบบมาไม่ดี ใช้งานลำบาก” ไม่จนแต้มสินะ...เขาแถหนีไปได้อีก
นาตาลีเสยเส้นผมสู้ต่อตั้งคำถามใหม่...
“อุงอิลพันจังไม่บังคับให้สหายอ่านหนังสือเหรอคะ?”
“เขาไม่ค่อยว่าง! ต้องพาน้องเล็กไปวาดรูปแล้วปล่อยให้พวกเราท่องกันเอง เขาสอนแบบผู้ใหญ่!” เขาตอบได้ทุกคำถาม แต่คำตอบฟังได้มั่งไม่ได้มั่งก็ทนเอา
นาตาลีเถียงแพ้เกาหัวแกรก..
“สหายชื่อลีซุกอึน บ้านอยู่ริมทะเลนัมโพใช่มั้ยคะ?”
“เย่!” เขาเชิดหน้ายืดอก
“ฉันจะจำชื่อของสหายไว้นะคะ! สักวันฉันจะแนะนำให้สหายได้รู้จักกับแอนนาพันจัง ภรรยาของซอนเซม” นาตาลีจ้องตาแป๋วเตรียมส่งไปให้หมวดจางอบรม
เจ้า 18 มงกุฎยืดอกใส่พร้อมพูดไม่มีสะดุด...
“ถ้าได้จักรยานวันนี้ ผมก็จะจดจำซาจังนีมไม่ลืมเหมือนกันครับ”
นาตาลีกัดฟันกรอดผงกหัวหงึก ๆ ...
“สหายได้รู้จักแอนนาพันจังแน่นอน ฉันสัญญา!”
เจ้าตัวเล็กกำหมัดสายตามุ่งมั่น...
“กำลังใจของผมกลับมาแล้ว ผมต้องเป็นหัวหน้าให้ได้ สักวันเกาหลีจะได้รู้ว่า การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เริ่มมาจากเสียงเรียกร้องเล็ก ๆ ของผม”
“โอ้โห!...” คำพูดนี้ผมถึงกับชะลอรถยนต์หันกลับไปมอง
เด็กชายรูปร่างผอมเกร็งตัวเล็กในเสื้อตัวใหญ่กำหมัดกัดริมฝีปากแววตามุ่งมั่นมาก เขารับในสิ่งที่ซอนสอนได้ทั้งหมด แต่ผมก็ยังไม่วางใจกลัวมันโม้ใส่อีก
“เซม! ผมนึกออกแล้ว ทหารเกาหลีคนเมื่อคืนสวมรองเท้าผ้าใบสีดำขอบขาว ผูกเชือกรองเท้าสีขาว” เขาให้ข้อมูลที่สำคัญมา
ผมใจพอง
“เยี่ยมมากซุกอึน งั้น! ผมจะให้รองเท้าอีก 2 คู่นะ สหายใส่รองเท้าเบอร์อะไรครับ?” ผมลืมเรื่องกวนใจทันที ดีใจมากที่ได้ข้อมูลแม้จะเป็นเบาะแสเล็กน้อยก็ตาม
แต่...
“เซมไม่ต้องมาปิดปากแบบนี้หรอก”
“ห่ะ!” ผมหุบยิ้มแทบไม่ทัน คิดกันคนละเรื่องแท้ ๆ หัวร้อนอีกแล้ว...
“สหายจะไม่เอาใช่มั้ย?” กวนตีนจริง ๆ จับแม่งโยนเหวซะดีมั้ย?
“เซมพูดมาก่อนว่าจะให้ ถึงผมจะไม่รับเซมก็ต้องให้ เนอะซาจังนีม?” แถไปโน่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า! นี่ไงคะ! ตัวอย่างของความเท่าเทียมที่คุณปรารถนา ไม่มีลดราวาศอกเลย”
พวกเรามีแต่คนเดินเข้าหาพูดจาด้วยถ้อยคำหวานหู ไม่มีใครกล้าขัดใจ อย่างน้อยเจ้านี่ก็กระตุกต่อมเหลิงให้ได้ฉุกคิดไม่ให้หลงตัวเอง เขาฉลาดที่จะโน้มน้าวให้ตัวเองได้ประโยชน์ รูปร่างก็เล็กผิดจากเพื่อนรุ่นเดียวกันแต่ปากแจ๋วสุดที่ผมเคยเจอกับเดอะแก๊งมา รีบไปต่อดีกว่า...เอาไอ้หมอนี่ไปส่งคืนให้ซอนด้วย
....................................................................
หน้าที่เข้าชม | 12,906 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 11,022 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 23 ต.ค. 2568 |