หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 10 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 19 ต.ค. 2568 |
บันมุนจอง (JSA)
มุมมองสายตาเจ็ทโด้
กันยายน ค.ศ.2026
ผมหมุนพวงมาลัยเลี้ยวขวาข้ามสะพาน 72 ชั่วโมง บริเวณพื้นที่ (JSA) Join Security Area เต็มไปด้วยต้นไม้พุ่มหนาทึบและฝูง Soulless กว่าจะผ่านมาได้ ทหารต้องเข้ามาช่วยกันต้อนเปิดทาง
“ผมกังวลใจเรื่องตัดไฟจังเลย” ผมสลัดความคิดนี้ไม่ออกเลยรถยนต์เคลื่อนต่อไปที่อาคารทงกิลกัก อาคารสี่เหลี่ยมชั้นเดียวโดดเด่นกลางลานปูนอยู่ด้านซ้าย
“ยอโบ้วคะ! ตัดไฟแค่ในเมือง นอกเมืองไม่มีปัญหาหรอกค่ะ! แถบนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนี่คะ” เธอยังคงวางใจ
“ไม่รู้สิ!แต่ผมรู้สึกอึดอัดใจ ถ้าผมเดาไม่ผิดพวกมันตายเพราะลำโพงนกหวีด มันต้องแอบเข้ามาโจมตีตอนเราเผลอ” ผมห้ามเรื่องตัดไฟฟ้าไม่ได้การตัดสินใจเป็นงานของพวกเธอ ได้แต่ยอมรับแบบกังวลใจ
“อย่ากังวลมากสิเดี๋ยวแก่ไวนะ มันบุกรุกเข้าโดยไม่ขออนุญาต ตายไปก็สมควรแล้วนี่คะ?” เธอหันมาชี้ไปอาคารทงกิลกักบนลานปูนทางซ้าย ...
“จอดรถที่นี่แหละค่ะ เดินไปกันดีกว่าออกกำลังขาบ้างก็ดี” ดูเธอจะไม่ทุกข์ร้อนจูงมือน้องแทน
อาคารทงกิลกักบนลานปูนด้านซ้าย บอบช้ำแสนสาหัสจากการโดนโจมตีจาก Tamer30 ของนายพลห่าวคราวก่อน เจ้าแทนกับทหารมาติดอยู่ในนี้
“เละเลย! ดีนะที่เจ้าแทนมันรอดตาย หึหึหึ!” เห็นแล้วก็ขำ กระจกหน้าต่างอาคารแตกมองทะลุถนนด้านหลัง ซุ้มต้นแมคโนเรียเหลืองบานสะพรั่ง
“แทนของฉันไว้ใจได้อยู่แล้ว ป่านนี้คงรู้เรื่องโดนโจมตีแล้วมั้งคะ?” เธอไม่เคยมีข้อแม้กับแทนเลย แต่ตอนนี้กลับให้เจ้าแทนถอยห่างจากกองทหาร
“คุณชอบไปแกล้งมัน สักวันมันไม่รักแล้วจะหนาวทำไมถึงไม่ยอมให้มันไปสนามรบ”
“แทนให้ฉันมากเกินกว่าที่จะรับน้ำใจของเขาได้อีก ถึงเวลาที่เขาจะได้มีความสุขบ้างแล้ว สหายโกต้องทำหน้าที่ปกป้องในฐานะเจ้าของบ้าน เกาหลีต้องยืนด้วยขาของตัวเอง” เธอสนิทกับเจ้าแทนยิ่งกว่าพี่น้องคลานตามกันมาซะอีก
“ระหว่างเจ้าแทนกับสหายโก ผมเชื่อใจเจ้าแทนมากกว่า” ผมรู้สึกอย่างนั้นอาจจะเป็นเพราะว่า แทนอยู่กับผมมานานและผ่านสมรภูมิมาด้วยกันหลายครั้ง
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ แต่สหายโกก็เป็นคนดีทีเดียวไว้ใจได้ค่ะ”
น้องแทนเดินไปเด็ดดอกหญ้ามากำใหญ่…
“ออมม่า! นั่งลงครับ นี่สวย ๆ” น้องเสียบดอกไม้ทัดหูทั้งสองข้างให้จูยอนแล้วเอียงคอยิ้มมอง...
“ออมม่าสวยเหมือนกับหม่าม้าเหมือนไป๋เหมือนลีเลย” เจ้าตัวน้อยจับแก้มยิ้มปลื้ม
เธอดึงเข้ามากอดขอบคุณ...“คูมอโย!”
จูยอนสวยอิ่มเอิบในชุดฮันบกสีฟ้าสดใส กระโปรงขาวบานอล่างฉ่างพองฟูปิดบังท้องของเธอได้สนิท ดูแล้วไม่เหมือนคนท้องเลย
จู่จู่...
“แป๊น!” ผมสะดุ้งสุดตัวหันกลับไปมองถึงกับผงะ
รถหัวลากสแกนเนียคันใหญ่เครื่องยนต์เงียบกริบกำลังเคลื่อนเข้ามา คนขับเป็นเด็กผู้ชายตัวอ้วนหัวหลิมชะโงกหน้ายิ้มแก้มยุ้ยตาหยีมีเด็กผู้หญิงนั่งติดรถมาด้วย
“สหายผู้นำ! เจ็ทโด้เซม! อันยองฮาชิมนิก๊า ขึ้นรถสิครับผมจะไปส่ง” น้องเดอะแก๊งตัวอ้วนใหญ่ตะโกนลงมา
จูยอนหันไปยิ้มกว้างโบกมือ...“คังแทจุนทงมู! เหนื่อยมั้ยคะ?”
“ไม่เหนื่อยครับ! วันนี้ไม่ได้สอนขับรถ ผมเลยมาช่วยสร้างเขื่อนกั้นน้ำไว้ใช้ทำนาแถบนี้ครับ” เด็กวัยนี้แข็งแรงทำงานโต้รุ่งได้สบาย ๆ
“กินข้าวเยอะ ๆ นะคะ ข้างบนสันเขื่อนเป็นยังไงบ้างคะ?”
“วันนี้เละ! อุงอิลพันจังพาสมุนขึ้นมาเต็มเลย”เจ้าอ้วนหัวเราะร่วน
“อะไรเละคะ?”
“แก๊งศิลปินจินตนาการมาครับ หึหึหึ!”
“อ๋า!..อุงอิลมาถึงนี่แล้วเหรอให้กำลังใจน้องด้วยนะคะ รูปศิลปะล้ำค่าแบบนั้นหาดูยากนะคะ ไม่ได้ลอกแบบมาจากใครมันเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจของน้อง ๆ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เจ้าอ้วนหัวเราะตาหยีส่ายหน้าไม่เอาด้วย รูปวาดจิตรกรรมฝาผนังที่เจ้าซอนหัวเสียมาก
“เอ๊!...สหายมีแฟนแล้วเหรอคะ?” เธอเลิกคิ้วแหงนหน้าคุยกับน้องโชเฟอร์
แฟนของเขานั่งคู่กันมาปากนิดจมูกหน่อยหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักมาก...แต่เอ๊ะ!..ทำไมแฟนมันยิ้มค้างวะ?
“ตุ๊กตาญี่ปุ่นครับ เอามานั่งเป็นเพื่อน”
ตุ๊กตาอานิเม๊ะของมันเอ็กซ์มาก
“สหายเอาชุดโกโจรีมาสวมให้ด้วยสิ เดี๋ยวน้องหนาวนะ! ฉันขอตัวก่อนนะคะ” จูยอนยิ้มแก้มใสโบกมือลา
“เย่!!”
“แป๊น! แป๊น!” รถหัวลากเลี้ยวออกถนนด้านหลังทงกิลกักเข้าป่าไปที่ Ouellette Camp
“ขอเหตุผลหน่อยครับ ทำไมถึงให้เด็กเล็กไปวาดรูปบนกำแพง ขนาดเป็นรูปกราฟฟิตี้ยังโดนลบเลยนะครับ”
“ก็สวยดีนั่นแหละเหตุผล” เธอเล่นลิ้น
“ไม่จริงหรอก คุณไม่ได้คิดแค่นั้นแน่” ผมรู้ทัน
“มี 2 เรื่องที่ต้องแก้ไขด่วน 1.เกาหลีเหนือโดนตราหน้าว่าเป็นแดนสนธยามีแต่ความน่ากลัว ภาพลักษณ์ของเรามีแต่ เผด็จการ ขีปนาวุธ อาวุธสงคราม รถถัง ทหาร ยิงเป้า สถานกักกัน บลา! บลา! บลา! แม้กระทั่งอาคารต่าง ๆ ก็ดูบึกบึนข่มขู่ไม่มีความอ่อนช้อยเลย 2. ชนชั้นซองบุนที่ยังหลงเหลืออยู่คือสีของบ้าน บ้านแต่ละหลังจะถูกกำหนดชนชั้นเอาไว้ด้วยสีต่าง ๆ ต้องลบมันออก รูปภาพไร้เดียงสาของเด็กจะกลืนกลบลบภาพความทรงจำที่โหดร้ายและความเศร้าโศกทุกข์ระทมตลอดมา ฉันจะเริ่มต้นใหม่ด้วยวัยเยาว์ เกาหลีจะมีแต่ความจริงใจและรอยยิ้มต้อนรับที่อบอุ่น เด็กของเราจะพาแขกมาชมรูปภาพพวกนี้ในวันที่เขาโตขึ้น...”
“โอเค!” ผมเข้าใจแล้ว แต่ถ้าเอาไปอธิบายให้ซอนฟัง มันต้องบอกว่า วาดอย่างอื่นก็ได้
“ฉีดเลย! ฉีดเลย!” เสียงร้องเชียร์ปรบมือเป็นจังหวะดังไกลออกไปบนถนนฝั่งหน้าอาคารสันติภาพเกาหลีใต้ กลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวในชุดวอร์มทั้งสามสีกำลังสนุกสนานกับการฉีดวัคซีนบนถนนหน้าอาคาร ทั่วบริเวณดูโล่งโจ้ง ต้นไม้โดนระเบิดเผาเกรียมเหลือแต่ตอ
“โอปป้า! คนนี้ฉันฉีดแล้ว ขีดกากบาทหน้าผากให้ด้วยค่ะ!” น้องสาวเกาหลีเหนือคนสวยเย้าทหารหนุ่ม ความสดใสน่ารักไร้เดียงสาดูแล้วเพลินตาสบายใจ
“โอ๊ย! แสบตาจัง!” สาวน้อยบลูสกายกระเซ้าทหารหนุ่ม
“แสบมากมั้ย? เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้นะ” หนุ่มน้อยลนลานด้วยความเป็นห่วง
“แสบตาเพราะแสงในตัวของโอปป้านั่นแหละค่ะ!”
“ไอ๊กู่!...” น้องทหารอายหน้าแดงก่ำ หนุ่มเกาหลีเหนือส่วนมากขี้อายและสุภาพเพราะอยู่ในวัฒนธรรมแช่แข็งมานาน
แม้สภาพของพวกเลื่อนลอยไม่บันเทิงสายตาเท่าใดนัก แต่ความหดหู่นั้นกลับโดนกลบได้ด้วยรอยยิ้มสดใสราวกับดอกไม้บนหลุมศพ หดหู่แต่ก็ชื่นใจ
“จูยอน ผมสงสัยอยู่อย่าง?” ผมคาใจกับบางเรื่อง
“โยวโบ้! สงสัยอะไรคะถามได้เลย ฉันไม่มีความลับอยู่แล้ว”
“คุณกล้ายิงนิวเคลียร์ถล่มจีนจริง ๆ เหรอ?” ผมสงสัยเรื่องนี้มากที่สุด ลำพังตัวผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะกล้าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เธอป้องมือหันมา...“อย่าไปบอกใครนะ! ฉันไม่กล้าหรอกค่ะ!ฮ่าฮ่าฮ่า”
“อ้าว!”
“โยวโบ้คะ! ฉันไม่เคยคิดจะยิงเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันบอกแล้วไงคะว่า...ฉันรักโลกและจะไม่ยอมเป็นคนทำลายมัน”
“คุณขู่หวังฉวนซะอยู่หมัดเลย”
“ก็เอาไว้แค่ขู่ การมีอาวุธไม่ได้หมายความว่าต้องยิงทุกครั้งนี่คะ ฉันจะบอกความลับให้...” เธอยิ้มเจ้าเล่ห์เดินแกว่งแขนสบายใจ
“หือ! ซ่อนอะไรไว้อีก?”
“ฉันปลดชนวนระเบิดขีปนาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดแล้ว”
“อ้าว!”
“ฉันไม่มีวันทำร้ายโลกใบนี้ ฉันคิดอย่างถี่ถ้วนและทำมันอย่างตั้งใจ ฉันจะส่งมอบโลกที่สวยงามให้กับลูกหลานของมนุษย์โลกที่จะเกิดขึ้นมาใหม่”
“เอ่อ...” ด้วยสายตาที่มุ่งมั่นนั้นทำเอาผมพูดไม่ออกเลย
“เนก้าเจ๋อิลจั๋ลนาก้า!” เสียงของคนรุ่นใหม่ร้องเพลงผ่านหน้าเราไป เสียงแห่งความสุขนี้กลืนกลบลบความเจ็บปวดของอดีต
“อันยองฮาเซียว!!!” น้องสาวเกาหลีในชุดสีฟ้าเดินเรียงแถวเป็นระเบียบหันมาเริงร่าโบกมือ
“ฉันจะปกป้องธรรมชาติจนถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ คืนความสบายใจให้กับมวลมนุษย์”
ความคิดนี้ผมไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่
“ออม่อ!...โย้วโบ้!” จู่จู่เธอก็ร้องลั่นกุมหน้าอกหันมองเลิ่กลั่ก…
“น้องแทนล่ะ! ไปไหนแล้ว! เดี๋ยวเหยียบกับระเบิดนะคะ ไปตามหาลูกเร็ว!”
“เอ่อ!” ผมหมุนมองหาใจคอไม่ดีไปด้วย...
“โน่นแน่ะ!” ผมชี้ไปที่ด้านหลังอาคารบันมุนกัก น้องแทนขี่คอทหารอารักขาหัวเราะร่วน
“หนีไปตอนไหน ไวจริง ๆ เลย” เธอยิ้มเก้อ ผมก็ใจหายใจคว่ำกับความซนของน้องแทนหลายครั้งแล้ว
“ฮาซามินจุน!” ผมโบกมือเรียกจ่าสิบตรีมินจุน...
“น้องอยากเล่นยิงปืนจัดชุดใหญ่ให้ด้วย”
“เย่!”
น้องแทนทำให้เวลาของพวกเราเดินผ่านไปเร็วมาก ความสุขจากเด็กชายที่มอบให้เป็นพลังทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผมไม่มีเป้าหมายอื่นแล้วตั้งใจไว้ว่าจะอยู่คอยดูแลจูยอนและดูลูกของเราโตเป็นผู้ใหญ่ คอยตามใจให้เธอได้มีเวลาอยู่กับตัวเองบ้าง
ผมหันกลับมาคุยเรื่องที่ค้างคาใจต่อ...
“ยังมีเรื่องที่ผมไม่รู้อีกมั้ยครับ เล่าให้ฟังหน่อยสิ” ผมไม่เคยถามแผนงานของเธอ ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไรผมมีหน้าที่สนับสนุนเท่านั้น
“เป็นความลับระหว่างนาตาลีกับฉัน เรามีเป้าหมายร่วมกัน 2 อย่างค่ะ”
“มีเรื่องอะไรกันเหรอ?”
“เรื่องของความเหลื่อมล้ำจบไปแล้ว อีกเรื่องเป็นสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติค่ะ แน่ใจนะว่าจะฟัง?”
“เชิญครับ!” สงสัยว่าจะยาวแน่ ๆ เธออมยิ้ม ตั้งท่าเหมือนนักร้องผิวสีเตรียมตัวร้องแร็พ...
“ภาวะโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลายจนสัตว์ไร้ที่อยู่และหลายชนิดกำลังจะสูญพันธ์ การขุดน้ำมันจนโพลงใต้ดินพังทลายเกิดเป็นหลุมยุบไปทั่วโลก แม่น้ำบนท้องฟ้าเคลื่อนที่เร็วผิดปรกติทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม่น้ำแอมะซอนแห้งเหือดในรอบหมื่นปี ขยะปริมาณมหาศาลในมหาสมุทรใหญ่กว่าทวีป ปริมาณสัตว์ป่าที่ลดลงน่าใจหาย พวกมหาเศรษฐีเหล่านั้นทำลายธรรมชาติมาโดยตลอดและพวกมันอยู่เบื้องหลังรัฐบาลทั่วโลกและอาจจะยังมีชีวิตอยู่ เมื่อคืนซอนบอกว่าขายวัคซีนให้พวกมันไปด้วย...น่าเจ็บใจจัง!” เธอแร็พยาวเลย ท่าทางเริ่มเดือดดูท่าน่าจะไม่จบแน่
ผมรีบยกมือเบรก...
“โอ้ว! เยอะไปแล้ว...” ภาระนี้หนักกว่าการสร้างชาติซะอีก ผมค่อย ๆ คิดตามก็เห็นภาพของความจริง ความสิ้นหวังของชาวบ้านความยากไร้ของชนชาติ ต้นกำเนิดของความเหลื่อมล้ำมาจากคนกลุ่มนี้มีอำนาจเหนือนักการเมืองและใช้ให้เป็นเครื่องมือกอบโกย
“คุณไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน ผมยอมรับเลยนะว่าหลายเรื่องที่พวกคุณคุยกัน ผมไม่เคยรู้มาก่อน” ผมมอบตัวด้วยความด้อยปัญญา
ถ้ามองจากภายนอก เธอก็สดใสน่ารักไม่ต่างจากหญิงสาวทั่วไป แต่ความคิดของเธอล้ำไปไกลกว่าผมหลายช่วงตัว ในบางสิ่งผมก็คิดไม่ถึงและไม่เคยรู้มาก่อน อายุที่มากกว่าไม่ได้บอกว่าฉลาดกว่าเหมือนที่น้องพอดีเคยพูดไว้จริง ๆ
“อ๋า! ในระหว่างที่ฉันเดินทางทำงานให้กับยอร์น ฉันสะดุดกับโปสเตอร์ของกลุ่มเด็กออกมาเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ส่งมอบโลกที่ดีกว่าให้กับพวกเขา ฉันเห็นด้วยและตระหนักถึงปัญหาที่พวกผู้ใหญ่ละเลยและกำลังส่งมอบขยะกองใหญ่ให้เป็นมรดก ฉันเลยตามหาต้นตอว่าใครเป็นเจ้าของแนวคิดนี้”
“ค่อย ๆ เล่าครับ ผมตั้งใจฟังอยู่” ถึงผมจะไม่ฉลาดก็พอมองออกว่า จุดเริ่มต้นของเกียรติ ความร่ำรวย ความเหลื่อมล้ำและจุดจบของโลกมันคือจุดเดียวกัน
“โลกของเราอยู่ในภาวะวิกฤติสิ่งแวดล้อมตั้งนานแล้ว ในขณะที่สังคมถูกบีบให้สนใจแต่เรื่องเศรษฐกิจปากท้องจนมองไกลไม่ได้ พวกที่พอมีพอกินหน่อยก็หันไปสนใจแฟชั่นติดกับดักความฟุ้งเฟ้อ รวยขึ้นมาหน่อยก็สนใจชื่อเสียงเกียรติยศเป็นเหยื่อของผู้กุมอำนาจที่สร้างกลไกครอบคลุมขึ้นมาเรียกว่า ระบบชนชั้นเศรษฐกิจ”
“แบบนี้ใช่มั้ยถึงไม่มีคนต่อต้านอย่างจริงจัง แม้กระทั่งนักข่าว?”
“ทุกคนต่างก็เป็นทาสของระบบ จึงมองไม่เห็นความพินาศมวลรวม แต่มีเด็กผู้หญิงวัย 14 ปีชาวสวีเดนคนหนึ่งชี้ให้เห็นปัญหา เธอหยุดเรียนหนังสือแล้วออกมาประท้วงหน้ารัฐสภาด้วยตัวคนเดียว เรียกร้องให้ผู้นำประเทศของตนหยุดทำลายธรรมชาติ เด็กคนนี้แหละที่เป็นไอดอลของฉัน!”
“เด็กผู้หญิงอีกแล้วเหรอ?” ผมรู้สึกทึ่งอีกครั้ง หัวใจของเด็กผู้หญิงละเอียดอ่อนสัมผัสภัยได้ก่อนและกล้าหาญที่จะออกมาพูดความจริงเตือนผู้ใหญ่
“ใช่ค่ะ! แต่น่าสลดใจที่พวกผู้ใหญ่พยายามดิสเครดิตเด็กและด้อยค่าหาว่าเด็กกร้าวร้าวใส่ นี่แหละคือความเลวทรามของผู้ใหญ่ พวกเขาพยายามโจมตีทำให้คำพูดของเด็กหมดความหมายไป พวกเขาปกป้องนายทุนจนตาบอดจมูกโหว่ชี้ไปที่กองขยะและบอกกับทุกคนว่ามันคือทองคำ”
“ผมเชื่อนะ! เพราะในทุก ๆ กิจกรรมที่กล้าหาญเด็กผู้หญิงมักจะใจถึงกว่าเด็กผู้ชาย เล่าต่อสิชักสนุกแล้ว”
ใบหน้าของน้องพอดีลอยเด่นขึ้นมา ผู้กล้ามักจะปรากฏตัวหลังวิกฤติและผู้กล้ามักจะเป็นเด็กผู้หญิงเสียส่วนใหญ่ พวกเธอรู้ร้อนรู้หนาวก่อนเด็กผู้ชายเสมอหรืออาจเป็นเพราะว่าการปกป้องอุ้มชูเป็นสัญชาตญาณของเพศแม่
“เธอรณณรงค์ด้วยตัวคนเดียว เรียกร้องให้รัฐบาลฟังคำแนะนำจากนักวิทยาศาสตร์ การกระทำที่กล้าหาญด้วยหัวใจบริสุทธิ์นั้นทรงพลังมาก ส่งผลให้เกิดกระแสนักเรียนหัวก้าวหน้าในหลายประเทศหยุดเรียนเพื่อช่วยเธอเรียกร้อง วันหนึ่งเธอได้ขึ้นพูดในที่ประชุมสหประชาชาติเรื่อง คุณทิ้งภาระนี้ให้เด็กได้อย่างไร? ฉันยังจำประโยคที่ฉุดให้ตระหนักและหลงใหลไม่เคยลืม...”
“ขอฟังหน่อยสิ!”
“เธอขึ้นไปพูดบนเวทีด้วยใบหน้านองน้ำตา พูดด้วยความคับแค้นใจใส่หน้าผู้นำประเทศที่นั่งในที่ประชุมว่า คุณกล้าดีอย่างไร? พวกคุณขโมยความฝันและวัยเด็กของเราด้วยคำพูดจอมปลอม ในโลกนี้ยังมีผู้คนอยู่อย่างทรมานเพราะขาดอาหาร บาดเจ็บ ล้มตาย และระบบนิเวศทั้งหมดกำลังล้มลง เรากำลังจะสูญพันธุ์กันอยู่แล้ว แต่พวกคุณกลับพูดกันแต่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ และผลการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ คุณกล้าดีอย่างไร?”
“เธอพูดกับกลุ่มผู้นำโลกว่า คุณกล้าดีอย่างไรเลยเหรอ?” ผมทึ่งไปด้วย
“ใช่ค่ะ! ชี้หน้าด้วย”
“เด็ดขาดสุดยอดมาก!” ผมยิ่งคิดถึงหัวใจเด็ดเดี่ยวของน้องพอดี โลกใบนี้ต้องการคนแน่วแน่แบบนี้มาเปลี่ยนแปลง
“ถ้าไม่มีคนคิดแตกต่าง ทุกอย่างก็ถูกกลืนกินโดยกลุ่มมหาเศรษฐีโลภมากประมาณ 5,000 ตระกูลและสมุนของพวกมัน มวลมนุษย์อีก 7,000 ล้านคนก็เป็นเพียงเหยื่อที่ต้องดิ้นรนตั้งแต่เกิดจนตาย”
“แรงไปมั้ยครับ?”
“นี่คือความจริงที่แสนเจ็บปวด มันตรงซะจนคนที่เป็นทาสฟังไม่ได้ นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ฉันไม่รู้สึกเสียดายที่ประชากรโลกลดลง เพราะในวันที่โลกยังแก้ไขได้กลับไม่มีคนสนใจ ฉันอยากจะทำมันเพราะฉันก็ได้ยินเสียงเรียกร้องนั้นเช่นกัน”
ตั้งแต่ผมได้ฟังเรื่องราวอีกมุมของคนรุ่นใหม่จากคุณลุงเขมรแดง ได้สังเกตพฤติกรรมของเดอะแก๊งและทีมวัยรุ่นเกาหลี ผมเริ่มเชื่อและรับรู้โดยสัญชาติญาณว่าการเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากเด็กไม่ใช่คนแก่ จินตนาการของเด็กล้ำค่ากว่าความคิดยึดติดของคนแก่ ที่ผ่านมาปัญหามันอยู่ที่คนแก่เลอะเทอะมีอำนาจมากเกินไป
“แต่เด็กคนนั้น คงไม่ต้องการลดประชากรโลกด้วยมั้งครับ?”
“การช่วยมนุษย์กลุ่มเดิมกลับมาไม่ได้ช่วยให้โลกนี้ดีขึ้น เริ่มต้นกันใหม่ดีกว่าและที่สำคัญผู้ที่รอดไม่ได้เริ่มจากศูนย์นะคะ ทรัพย์สินและเทคโนโลยีมากมายที่จะช่วยให้พวกที่เหลือรอดใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล ฉันเชื่อว่ามันเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเปลี่ยนแปลง คนทั่วโลกที่รอดประมาณ 3% ไม่ใช่ผู้ประสบภัยนะคะ จะไม่มีใครหิวโหยเพราะความยากจนแล้ว ฉันเสียดายมากที่รู้ว่าซอนช่วยชีวิตพวกตัวการเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว”
จูยอนกับหมวดจางมีความกล้าหาญและมุ่งมั่นไม่ต่างกัน แต่คนหนึ่งต้องการช่วยมนุษย์กลับคืนมา อีกคนเห็นในทางตรงกันข้าม
“คุณเกลียดพวกเขามากเลยนะ” จุดเด่นของเธอเลย
“โอปป้า! ฉันขอยกตัวอย่างเรื่อง PM2.5 ก็ได้ค่ะ ไม่มีผู้นำคนใดในโลกออกมาจัดระเบียบอุตสาหกรรมในชาติ แต่กลับออกกฎหมายจับชาวบ้านที่เผาขยะเผาหญ้าข้างบ้าน...ปัญญาอ่อนชัด ๆ ที่เลวร้ายกว่าก็กองเชียร์รัฐนั่นแหละ”
“คุณเหมือนธานอสว่ะ! ดีดนิ้วทีเดียวโลกเปลี่ยนไปเลย”
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! หวังฉวนโน่น!...มันเก่งกว่าเยอะ โลกเก่าพังลงไปเพราะเขา ไม่ใช่ฉัน”
“อยากทำอะไรก็ทำเลย เอาสิ่งที่คุณคิดไปใส่หัวเจ้าซอนเยอะ ๆ มันจะช่วยคุณได้มาก เริ่มต้นจากเดอะแก๊งนี่แหละ”
“ขอบคุณมากเลยนะคะที่ตัดสินใจใช้ชีวิตกับฉัน นอกจากพวกคุณแล้วก็คงไม่มีใครเข้าใจฉันอีกแล้ว”
“ผมพอแล้วกับการแสวงหาทรัพย์เพื่อปกปิดปมด้อย ผมรู้แล้วว่าถ้าเราไม่อนุญาตใครก็ดูถูกเราไม่ได้ ผมมีความสุขมากและขอบคุณเช่นกันที่มาเติมเต็มในสิ่งที่ผมขาด”
“แต่โอปป้าอาจจะต้องลำบากอีกนะคะ”
“คุณตัดสินใจได้ทุกอย่าง ผมจะแบกรับการตัดสินใจนั้นเอง”
การยอมรับและเข้าใจกันคือสิ่งที่ง่ายที่สุดของการใช้ชีวิตคู่กัน ขาที่ไม่ทำงานประสานกันตามท่วงทำนองย่อมเดินไม่สะดวก เมื่อตัดสินใจใช้ชีวิตด้วยกันแล้วใครเป็นคนตัดสินใจไม่สำคัญเท่ากับการยอมรับกันและกัน
“เจ็ทโด้!” เจ้าซอนเรียกวิทยุมา
“ว่าไง!”
“ทหารจีนตายลอยน้ำมาติดชายหาดนัมโพ ประมาณ 3 กองร้อย คาดว่าตายไม่เกิน 6 ชั่วโมง”
“กูรู้แล้ว! มึงอยู่แถวนั้นรึเปล่าไปตรวจให้หน่อยสิ!”
“ผมกำลังไปหาไป่ไป๋ พี่อยู่ที่ไหน?”
“อยู่ที่ JSA ข้าง ๆ ไป่ไป๋นี่แหละ มึงรีบไปหาน้องเลยไม่ต้องกังวล สหายโกเตียมตัวรับมือแล้ว”
“พี่สั่งยกเลิกงานก่อนเถอะ ปล่อยเด็ก ๆ กลับบ้านก่อน ผมมีลางสังหรณ์ไม่ดีว่ะ”
“ยกเลิกฉีดวัคซีนเหรอ ได้สิ! แต่นัมโพกับบันมุนจองไกลกันมากเลย 200 กว่ากิโลเมตรเชียวนะ”
“เอาชัวร์ก่อนพี่! ผมไปหาไป่ไป๋ก่อนนะ ไอ้แทนมันอยู่แคซ็องกำลังกลับมาเหมือนกัน”
“โอเค! กูจะสั่งยกเลิกให้ มึงรับไป่ไป๋กลับบ้านเลยก็ได้”
…………………………………………………
กลิ่นอาหารโชยคลุ้งอบอวลไปทั่วบริเวณอาคารบันมุนกัก กลุ่มอาจุมม่าช่วยกันลงครัวคุยกันดังโช้งเช้งตามปะสาคนแก่
“อันยองฮาเซโยยอลาบูน! เหนื่อยกันมั้ยคะ” จูยอนตะโกนทักทาย
“สหายจูยอนมาด้วยเหรอ?” คังมีแรอาจุมม่าวิ่งเข้ามาลูบหน้าลูบหลัง...
“อั๊ยกู่! ท้องใหญ่มากแล้ว อันจ้ะ!อันจ้ะ!” เธอกุลีกุจอยกเก้าอี้เรียกให้นั่ง
“มีแรอาจุมม่ามาที่นี่ทำไม วันนี้หยุดไม่ใช่เหรอคะ?”
“กลับไปบ้านก็เหงามาทำงานกับสหายดีกว่า เอาไว้พักตอนตายก็ได้ เด็ก ๆเหนื่อยกันขนาดนี้จะให้คนแก่นั่งมองก็กระไรอยู่ ” สายตาที่มองจูยอนนั้นช่างอ่อนโยนมาก
“ไม่ไปชอปปิ้งที่โซลล่ะคะ?”
“กลัวหลง!” ท่านเรียกเสียงฮาได้อีก
คังมีแรอาจุมม่าแม่ม่ายที่เสียลูกชายคนเดียวไปในคดีอาฆาตมาดร้ายท่านผู้นำโดนยัดข้อหาจากกล้องติดรถยนต์ส่วนตัว ต้องใช้ชีวิตคนเดียวจมอยู่กับความโศกเศร้าจนจูยอนไปฉุดขึ้นมา
“อาจุมม่าพักผ่อนบ้างนะคะ เราไม่ได้รีบร้อนอะไรค่อย ๆ ทำกันไป อาจุมม่าต้องมีชีวิตที่ยืนยาวอยู่เป็นฮัลแมของเด็กไปนาน ๆ” จูยอนเข้ากอดเอว เธออ่อนหวานจนคนเฒ่าคนแก่เสร็จหมด
“บอกตัวเองด้วยนะสหายผู้นำ ฉันเห็นหน้าทีไรก็อยากขอบคุณทุกครั้ง” ท่านเข้ามากอดท้องหัวเราะร่า
“อึ๊บ!” หญิงชราเส้นผมหงอกขาวนั่งข้างหม้อนึ่งลุกยืนบิดตัวไล่ความปวดเมื่อยแล้วเดินกะย่องกะแย่งเข้ามาหา ดวงตาฝ้าส่งแสงพิฆาตเม้มปากหมุบหมิบ ท่าทางแบบนี้คงจะตำหนิผมแน่ ๆ ต้องรีบโค้งทักทายไว้ก่อน...
“ฮัลแมอันยองฮาเซโย กินข้าวหรือยังครับ?” ผมรีบนอบน้อมแต่ไม่รอด ท่านชี้หน้าหมายหัว...
“ซอนเซงนีม! ท้องแรกอย่าพาออกมาโดนลมบ่อย ๆ สิ ใกล้คลอดไม่ต้องมาทำงานแล้ว เดี๋ยวตีตายเลย!” ท่านเงื้อมือราวกับว่าผมเป็นลูกชาย
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!”
สังคมครอบครัวใหญ่ไม่เคยเหงาหงอย รู้สึกอบอุ่นและผูกพันกับการแสดงความรักที่ไม่เสแสร้ง การแสดงออกแบบนี้ห่างหายไปจากสังคมทุนนิยมนานมากแล้ว
“ปั้ลลี่! ปั้ลลี่!” ชั้นล่างของอาคารอบอวลไปด้วยกลิ่นอาหาร
จูยอนปิดจมูกสีหน้าไม่ค่อยดี หันมากวักมือเรียกมีแรอาจุมม่าไปสั่งงานข้างเสากลางแล้วเดินหน้าซีดมาหา...
“โยวโบ้! ฉันจะอ้วกพาออกไปข้างนอกหน่อย” ใบหน้าของเธอขาวซีด ผมเข้าไปประคองพาเดินออกไปประตูหน้า
“ไม่ดื่มน้ำชากันก่อนล่ะคะ?”
“เธอคลื่นไส้ครับ” ผมหันไปโบกมือปฏิเสธแล้วพาเธอออกไปเดินรับลมนอกอาคาร
ลานหินกรวดข้างอาคารสายลมพัดเย็นสบาย ระฆังเหล็กสมัยโชซอนเขร่งขรึมสงบบนหอศาลาสี่เสาทอดเงาทาบทับ หลังคากระเบื้องแอ่นโค้งราวกับแขนของนางรำทอดยาวมาที่อาคารฮันนกชั้นเดียวที่สร้างในยุคสมัยเดียวกัน สวนก้อนหินจัดวางลงตัวแทรกแซมพุ่มไม้ใบเขียว
“โย้วโบ้! นั่งตรงนี้ดีกว่าลมเย็นดี” จูยอนยื่นมือมาให้ดึง
เธอขึ้นมานั่งแกว่งขาบนระเบียงยิ้มมองไปที่กลุ่มแม่ครัวที่บันมุนกักทางด้านซ้าย ลานหินกรวดสี่เหลี่ยมกว้างด้านหน้าโล่งเตียนต้นไม้ใหญ่ขอบลานปริหักจากแรงระเบิด อาคารสีฟ้าหายไปหมดสิ้น
เสียงตามสายประกาศเตือนดังขึ้น...
“อ้าอ้า!อ้าอ้า! คำสั่งด่วน! เมื่อได้ยินเสียงนี้ให้ทุกคนเลิกงานแล้วแยกย้ายทันที ปล่อยพวกเลื่อนลอยไว้สหายทหารจะเป็นคนรับงานต่อ อ้าอ้า! ได้ยินแล้วออกจากบันมุนจองด่วน! ขอบใจทุกคนที่ทำงานหนัก”
จูยอน อมยิ้มแล้วหันมาพยักพเยิด...
“โน่น! มากันแล้ว!” เธอโบ้ยปาก
“เนกาเจอิล จัลนากา!” น้องสาวเกาหลีเดินปรบมือร้องเพลงสนุกสนาน
“อันยองฮาชิมนิก๊าสหายผู้นำ!” ดอกไม้แรกแย้มยิ้มแจ่มใสวิ่งกรูเข้ามาหาโค้งศีรษะ
“อันยองฮาเซโยบลูสกาย! รีบกลับกันเลยนะคะ!” จูยอนยืนโบกมือเป็นนางงามไปเลย
“เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมถึงเลิกงานไวจังเลย หนูยังไม่อยากกลับบ้านเลย ?” กลุ่มบลูสกายแวะคุยด้วย สาว ๆ ด้านหลังส่งยิ้มโบกมือแล้วเดินลอดอาคารไปถนนด้านหลังอาคารบันมุนกัก
“กลับไปนอนดูซีรีย์ที่บ้านเถอะ!” จูยอนยืนโบกมือ สาว ๆ กลุ่มนี้เดินไปสาว ๆ กลุ่มใหม่เดินเข้ามา...
“โอปป้าทหารบอกว่าไป่ไป๋ซอนเซงนีมร้องเพลงเก่งมาก พวกหนูอยากดูค่ะ คราวก่อนพวกหนูไม่ได้ไปเพราะยังไม่ได้สมัครทำงานด้วย” เด็กสาวหันไปพยักหน้ากัน
“ได้สิคะ! ไป่ไป๋เซมวางแผนจะจัดคอนเสิร์ตใหญ่ที่ลานคิมอิลซุง ไปบอกต่อกันได้เลยนะคะ! เอ่อ!..เธอบอกว่าจะออกแบบท่าเต้นมาให้ฝึกกันก่อนด้วยนะ” เธอขายฝันให้สาว ๆ ดี๊ด๊ากระโดดกระเด้ง
“นี่สหาย! ฉันเหมือนเจนนี่แบล็คพิ้งคึมั้ย?” กลุ่มวัยรุ่นกรี๊ดกร๊าดชอบใจ
จูยอนรีบโบกมือไล่...
“รีบไปกันก่อนเถอะค่ะ! รถมารับแล้ว” เธอชี้ไปที่รถบัสเสียบเข้ามาจอดด้านหลังอาคารบันมุนกัก
“อุ๊ย!...” เด็กสาวหน้าตาตื่นชี้ข้ามหัวของผมไปด้านหลัง
“ตัวอะไรคะ! นั่นน่ะ?” สาวน้อยจ้องตาเขม็งขยับมาใกล้แล้วชี้ให้จูยอนดูที่พุ่มไม้ด้านหลังหอระฆังกิ่งไหวยวบยาบ
“..........” ผมมองจ้องจนเห็นสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมตัวเขื่องกำลังคลานซ่อนตัวในสวนก้อนหิน
“หมามั๊ง?” ผมบอกแล้วหันกลับไม่สนใจ
“หมาเหรอ? ดีเลยไม่ได้กินนานแล้ว โอปป้ายิงให้หนูหน่อย หนูจะไปตุ๋นใส่โสมมาให้กินแก้หนาว” เธอป้องปากบอกทหารด้านหลังอาคาร ประเทศที่จมอยู่กับสงครามกินหมาทุกชาติ ผมก็ประสบการณ์ไม่ถึงเหมือนกัน
จูยอนละสายตาจากเจ้าหมา หันมายิ้มดวงตาประกายวาววับเอียงหัวมากระซิบ...
“น้องแทนค่ะ!”
“หือ!” ผมหันกลับไปมอง...ใช่จริง ๆ ด้วย
เจ้าทหารหมวกแดงตัวน้อยมุดหน้าคลานศอกพยายามซ่อนตัวข้างซอกหิน พวกพี่เลี้ยงทหารยืนยิ้มแอบมองอยู่ด้านหลังอาคาร พวกเขาพาน้องมาเล่นกันตรงนี้เอง
“เซมคะ! ดื่มน้ำก่อนค่ะ!” น้องสาวเกาหลีส่งขวดน้ำมาให้
“คูมอโย!” ผมรับน้ำแล้วลุกไปเก็บก้อนกรวดเล็ก ๆ บนพื้น เดินเข้าไปยืนขอบลานป้องปากตะโกนไปหาทหารหลังอาคาร...
“ทหาร! ถ้าซุ่มโป่งต้องนิ่ง มดกัดห้ามขยับ คันก็ห้ามเกา ฝนตกก็ห้ามลุก ลมพายุมาก็ต้องหมอบเอาไว้ หายใจลึก ๆ เข้าไว้ หูคอยฟังเสียงรอบด้าน คลานให้เงียบที่สุด” ผมสื่อไปถึงน้องที่กำลังนอนราบหายใจแรง
“เย่!!!” ทหารอมยิ้ม
จูยอนระริกระรี้เข้ามาเล่นด้วย...
“โย้วโบ้! ระวังตัวด้วยนะคะ สงสัยศัตรูจะส่งหน่วยจู่โจมเข้ามา”
น้องแทนคลานศอกคว่ำหน้ามุดดิน เกลือกกลิ้งเหมือนกับปลาหมอแถกแห้งไปหาบ่อน้ำ พุ่มไม้ไหวยวบยาบ
“ก้มหัวไว้! ห้ามเงยหน้า!” ผมปาก้อนกรวดเล็ก ๆ ไปโดนเจ้าตัวน้อยเลื้อยหนีเป็นงูไปเลย ดุ๊กดิ๊กน่ารักเป็นบ้า...ลูกชายของผม
“เราต้องอดทนกับอุปสรรค ไม่เจ็บไม่ร้อนอย่าให้ถูกจับได้ ฝนตกห้ามลุกร้อนห้ามร้อง” ผมบอกเสียงดังเดินเข้าไปตรงที่เขานอน
“ฝนตกแล้ว!” ผมส่ายขวดน้ำดื่มฉีดลงไป /เขานอนก้มหน้านิ่งไม่ขยับตัวใจเด็ดจริง ๆ สาว ๆ หัวเราะคิกคัก/
“ปลอดภัยแล้วตรงนี้ไม่มีอะไรเลย” ผมหันหลังกลับ
ทันใดนั้น...
“หยุด!...จะยิงนะ” กิ่งไม้ไหวโยกเจ้าตัวน้อยพยายามลุกยืน หมวกแดงติดกิ่งไม้ หนามเกี่ยวเสื้อ ปืนหลุดมือ ดูมันช่างเกะกะไปหมดเหมือนแกล้งกัน
“โอ๊ะ! อย่ายิงนะ ยอมแพ้แล้วครับ” ผมยกสองมือยอมแพ้
“กลัวแล้ว! อย่ายิงพวกเรานะ” สาว ๆ ยกมือกันพรึบ
“แส่ก!แส่ก!แส่ก!” พุ่มไม้ยังคงสั่นไหว เจ้าทหารยังแกะกิ่งไม้ออกไม่ได้
“..........” สักพักปืนไม้ก็โผล่ออกมาพร้อมกับทหารหมวกดาวแดง
“ห่ะ!..ออม่อ!” ทุกคนตะลึงตาค้าง
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” สาว ๆ ขำล้มกลิ้งถีบขาสะใจ
“เฮ้ย! ไปโดนอะไรมาลูก” ผมผวาเข้าไปหา
“หยุด!” เจ้าทหารจิ๋วโดนทหารเอาดินหม้อละเลงใบหน้าดำปื๋อกะพริบตาปริบ ๆ แต่ท่วงท่ายังขึงขัง เล็งปืนส่ายไปมาเหมือนตุ๊กตาหุ่นยนต์
จูยอนเด้งพรวด...
“อุ้มน้องไปล้างหน้าหน่อยค่ะ” จูยอนโบกไม้โบกมือ น้อง ๆ วิ่งเข้าไป
“นูน่านีม! อย่ามา!” เจ้าตัวน้อยยังไม่เลิก หันปืนใส่
“อย่ายิง!” สาว ๆ หยุดกึกยกมือกันสลอน
ผมก้าวเข้าไปหาเพื่อเจรจาสงบศึก...“เจ้าทหารจิ๋ว เจ้ามากี่คน?”
“หนึ่งคน” ยกนิ้วชี้ซะด้วย
“เจ้าต้องการอะไร?”
“เอ่อ!...” เขากะพริบตาปริบ ๆ รีรอลังเลก่อนจะหันไปหาจูยอน…
“ออมม่า! เค้าต้องการอะไรเหรอ?” เจ้าทหารจิ๋วยืนเก้อ สาว ๆ ฮากระจาย
“ต้องการสงบศึกค่ะ” จูยอนปิดปากกลั้นหัวเราะ
“ข้าต้องการสงบศึก ยิงเลย!” เขาคงไม่เข้าใจคำว่าสงบศึก...
“นี่แน่ะ ๆ พิ่ว ๆ ๆ ๆ” ทหารจิ๋วยิงปืนซะตัวสั่นเชียว
พวกเราก็เป็นงานเล่นตามน้ำไป...
“อ้าก...กกก!!” สาว ๆ ล้มชักดิ้นชักงอ
ทันใดนั้น...
“โอ๊ย!ฉันถูกยิง ช่วยด้วย” จูยอนล้มตัวลงนอน
“โอ๊ะ! จูยอนถูกยิง! เจ้ายิงคนท้องได้ยังไง น้องต้องเจ็บแน่ ๆ”
“ไม่เจ็บ! ไม่เจ็บหรอก!” น้องแทนตกใจหยุดมอง
“อูยส์!” แต่จูยอนยังแสดงอยู่ น้องหน้าเสียทิ้งปืนไม้วิ่งหน้าตั้งเข้าไปหา...
“ออมม่า!! เค้าขอโทษ ออมม่าเจ็บหรือเปล่า? น้องเจ็บมั้ย?” น้องแทนน้ำตาคลอหน้าเสียซบท้อง กระโปรงยาวของเธอดำเป็นปื้น
“.........” ผมอึ้งซึ้งใจ น้องแทนเป็นเด็กใจเด็ดเหมือนหมวดจางตีให้ตายก็ไม่ร้องไห้
ในขณะเดียวกันจูยอนก็แสดงซะเหมือนเลย ร้องโอดโอย...
“โอ๊ยเจ็บจัง น้องนีน่าดิ้นใหญ่เลย!” จูยอนอมยิ้มก้มหน้ามองน้อง
“ไม่เอาแล้ว! เค้าไม่เล่นแล้ว! อะป้า!มาดูออมม่าหน่อย” เขาก้มกอดท้องร้องไห้น้ำตาละเลงดินหม้อเละเทะไปอีก
“เค้าไปเอายาให้” น้องแทนเลื่อนตัวถอยลงจากท้องของจูยอน แล้ววิ่งร้องไห้จ้าไปที่อาคาร อีซุมินยืนยิ้มมองอยู่
“มิน!มิน!ขอยาหม่องหน่อย เอายาหม่องให้หน่อย” ซูมินเดินหัวเราะเข้ามาอุ้มน้องแล้วเดินไปด้านหลัง น้อง ๆ ที่แกล้งตายลุกขึ้นปัดฝุ่นหัวเราะเสียงใส
ในขณะที่ทุกชีวิตกำลังสุขใจ เสียงวิทยุทหารเรียกเข้ามา...
“เซม! หนีออกจากบันมุนจองด่วน! ทหารจีนบุกโจมตีจากอินชอนครับ”
“เฮ้ย! มันเข้ามาใกล้มากแล้วนี่” ผมใจหายวาบมันโจมตีเราทางจุดอ่อนจริง ๆ...
“ติดต่อนินจาเซม!”
“เย่!”
ทันใดนั้น...
“ฟ้าว!!!!” เสียงโซนิคบูมทำให้ผมหนาวใจ
จู่ ๆ เครื่องบินรบโผล่จากน่านฟ้าเกาหลีใต้แบบสายฟ้าแลบไม่มีการเตือนล่วงหน้า อุปสรรคที่ขวางกั้นการเดินหน้าของเราปรากฎตัวขึ้นแล้ว
..............................................หน้าที่เข้าชม | 12,906 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 11,022 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 23 ต.ค. 2568 |