The last man stand วบัติ 2026 เล่มที่ 10 ตอนที่ 10

The last man stand วบัติ 2026 เล่มที่ 10 ตอนที่ 10
หมวดหมู่ The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 10
ราคา 0.00 บาท
สถานะสินค้า Pre-Order
อัพเดทล่าสุด 19 ต.ค. 2568
จำนวน
ชิ้น
หยิบลงตะกร้า
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay


มุมมองสายตาไป่ไป๋

กีจองดอง

อนนี่! อนนี่คะ!

ฉันรู้สึกถึงมือเย็นเฉียบลูบไล้บนใบหน้า ลำตัวกระดิกไม่ได้ความรู้สึกเคว้งคว้างเหมือนโดนรถยนต์เฉี่ยวแล้วหนีไป ปล่อยทิ้งให้นอนจมกองเลือดบนถนนที่มืดมิดไร้คนเดิน

อนนี่บาดเจ็บมั้ยคะ?มือน้อยลูบคลำมาบนลำคอ

ฉันจำเสียงนี้ได้...เซ..ค..ยอง!”

“อนนี่ฟื้นแล้ว! ดีใจจังเลย” สองมือประคองใบหน้าลูบไล้อย่างทะนุถนอม

“ตอนนี้เราอยู่ตรงไหน?ฉันรวบรวมสติค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาหวังจะได้เห็นใบหน้าของเธอ

แต่ต้องใจหายวาบ...

เฮ้ย!...”

“ทำไมมองไม่เห็นอะไรเลย? ทำไมดวงตาฉันถึงมืดสนิท? เซคยองอยู่ตรงไหน?ความมืดดำทำให้ขวัญกระเจิง

ฉันตกใจสุดขีดขยับจะลุกแต่ก็ลุกไม่ขึ้น โดนบางอย่างทับบนหน้าอกกดให้นอนราบกับพื้น หันมองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมิดได้ยินเพียงเสียงน้ำหยด

ทำไมขยับตัวไม่ได้ ขาขาดด้วยเหรอ?หัวใจของฉันสลาย ดวงตาก็บอด ขาก็ขาด

“อนนี่ใจเย็น ๆค่ะ” เสียงปลอบไม่ได้ทำให้ทุเลาเบาใจ

“ไม่จริงใช่มั้ย?” ฉันดิ้นไม่ยอมรับชะตากรรม

อย่าดิ้นค่ะ! อนนี่เจ็บตรงไหนคะ?เธอลนลานลูบคลำ

ฉันตาบอดมองไม่เห็นอะไรเลยและขาขาดไม่มีความรู้สึก ขยับตัวไม่ได้ด้วย ฉันจะอยู่ได้ยังไงฟื้นขึ้นมาทำไม?ฉันสติแตก ความคิดลบชั่วร้ายวิ่งเข้ามาเต็ม

ใจเย็น ๆ ค่ะ อนนี่มองไม่เห็นเหรอคะ?มือน้อย ๆ ลูบขึ้นมาบนใบหน้าอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง

ดวงตาไม่มีเลือดออก ใบหน้าไม่มีบาดแผล หัวไม่แตก อนนี่ตั้งสติดี ๆ นะคะ!” เซคยองพูดด้วยน้ำเสียงปรกติ ในขณะที่ฉันเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและสับสน แม้นอนยังเหนื่อยหัวใจเต้นตุ้บตั้บ

ตั้งสติไม่ไหวแล้ว! ตาบอดแล้วขาขาดด้วย ฮือฮือ!” ให้ฉันตายซะดีกว่า ความกลัวทำให้ย้ำคิดย้ำทำและเชื่อไปในทางเลวร้ายตกย้ำให้จิตตก

ถ้าอนนี่ตาบอด อนนี่ต้องร้องว่าเจ็บตาค่ะ!”

เหรอ! ฉันต้องร้องอย่างนั้นเหรอ? แล้วขาของฉันล่ะขาดไปแค่ไหนต้องร้องว่ายังไง? หงึ!หงึ!”

ไม่มีอะไรเศร้าไปกว่านี้อีกแล้ว ดวงตามืดมิดก็มองไม่เห็นร่างกายก็ขยับไม่ได้ แถมยังร้องผิดอีก

ถ้าหนูคิดไม่ผิดเราน่าจะถูกฝังอยู่ใต้ตึกค่ะ ถ้าอนนี่มองไม่เห็นแสดงว่ามันมืดและที่ขยับตัวไม่ได้เพราะโดนโต๊ะทับค่ะ!” เธอไล่เรียงเรื่องราวอย่างมีสติ

ส่วนฉันยังเอ๋อพยายามเพ่งมองฝ่าความมืดกลิ่นฝุ่นคลุ้งกระจายหายใจไม่สะดวก ร่างกายรู้สึกเหมือนโดนพันธนาการ ใช!...ฉันไม่รู้สึกเจ็บปวดตรงไหนเลย

แอ่ด! แอ่ด! เสียงอาคารลั่นอยู่ข้างหู

ฉันค่อย ๆ ลำดับเหตุการณ์ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลงไป ตอนนั้นฉันโซเซอยู่ข้างเสากลางห้องโถง โดนบางอย่างกระแทกหลังก่อนที่อาคารจะถล่มลงมา

แก๊ก!แก๊ง! เสียงไม้เท้าเคาะพื้นที่คุ้นเคยคลานวนไปมารอบตัว เซคยองคงจะลำบากมากกว่าฉันแน่ ดวงตาของเธอมองไม่เห็นเลย

เราต้องออกไปจากตรงนี้ก่อนค่ะ แก๊กแก๊ก!น้ำเสียงของเธอไม่วิตกเลยแม้แต่น้อย

ฉันเดาว่าเธอคงพยายามหาทางออกต้องขอบคุณหัวใจนักสู้ที่พยุงใจไม่ให้ดิ่งกลัวไปกว่านี้

แก๊กแก๊ก! เสียงไม้เท้าเคาะเคลื่อนไหวรับรู้ถึงการมีชีวิต

ตึง! เสียงเหมือนสิ่งของถูกโยนทิ้งบนหัว

หนูต้องมุดอ้อม รอหน่อยนะคะ ก๊อกแก๊ก!ทุกการขยับของเธอหมายถึงเรากำลังเดินหน้าไปอีกก้าว มันคือความหวัง มันคือลมหายใจ

ฮึบฮึบ! เสียงเธอกำลังใช้แรงดึงบางสิ่งที่ปลายเท้า

ในความมืดมิดที่เดาทิศไม่ถูกแต่รับรู้ด้วยความรู้สึกว่ามีร่างเล็ก ๆ พยายามเร่งมือทำบางอย่างอยู่ใกล้ ๆ

ตึง!ตึง!ตึง!

เซคยองกำลังทำอะไรคะ?

หนูกำลังเคลียร์พื้นที่จะยกโต๊ะออกค่ะ เราต้องไปจากจุดนี้เสียงมันไม่ค่อยดี ฮึบ!

หือ! เสียงอะไรไม่ดีคะ?ฉันทั้งกลัวทั้งสับสนทั้งตื้อ

เด็กผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวจะยกไหวเหรอ? เมื่อดวงตามองไม่เห็นหัวใจก็มีแต่คำถาม

โครม! เสียงโยนสิ่งของยังคงดังต่อเนื่อง

เสาบนหัวของอนนี่เอียงมาก เดี๋ยวมันก็หักค่ะเธอตอบได้เหมือนตาเห็นแต่ฉันไม่มีเวลามาสงสัย

หักเหรอ! เธอกำลังหมายถึงอาคารจะยุบลงมาทับอีกใช่มั้ย?สิ่งที่น่ากลัวกว่าที่แคบกำลังจะมา ฉันอยากออกจากซอกหลืบนี้ใจจะขาด ถ้าเป็นคนกลัวที่แคบสักนิด ป่านนี้คงสิ้นใจไปแล้ว

หนูรู้สึกถึงแรงกดจากด้านบนค่ะเธอน่าจะลังเลให้ฉันสบายใจสักหน่อยก็ไม่ได้

เสียงไม้เท้าเหล็กของเธอเคาะดังกรุ๊งกริ๊งราวกับกระดิ่งน้อยต้องสายลม แต่หัวอกของฉันเดือดพลุ่งพล่านราวกับขบวนรถไฟชินกันเซ็นแล่นผ่าน สมองหนักตื้อจนคิดไม่ออก อึดอัดจนอยากร้องกรี๊ด เด็กหญิงวัย 13 ปีแถมยังดวงตาบอดสนิททั้งสองข้างคงช่วยอะไรไม่ได้

ก๊องแก๊ง! ก๊องแก๊ง! เสียงไม้เท้าเหล็กเคาะวนไปทางด้านหลังต้นเสา

ครึ่ม! เสียงอะไรบางอย่างล้มอีกแล้ว

ฉันจะร้องไห้ตีโพยตีพายก็ไม่ได้ การเป็นพี่มันค้ำคอต้องแสดงความแข็งแกร่งให้น้องเห็น แต่ดูเหมือนน้องจะแกร่งกว่า ไม่มีวี่แววว่าจะยอมจำนนต่อเหตุการณ์นี้เลย

“แอ่ด!แอ่ด!แอ่ด! ฉันได้แต่ภาวนาส่งพลังเสริมให้ต้นเสาแข็งแรง แต่เสียงร้องแรงสะเทือนบอกเป็นนัยว่า มันคงจะพังลงมาในอีกไม่ช้า

เซคยอง! เรียกให้อุ่นใจไว้ก่อน

รอเดี๋ยวนะคะ ไม่รู้อะไรเกี่ยวเสื้อของหนู

โอย! ป๋อฮ่อ!ป๋อฮ่อ! คงไม่มีใครร้อนใจไปมากกว่านี้แน่ /แอบคิดว่าฉันน่าจะตายไปเลย ไม่น่าต้องมานอนเปียกน้ำลุ้นทรมานใจอยู่แบบนี้/

แก๊ก!แก๊ง! เสียงไม้เท้าเคาะกลับมาแล้วรู้สึกเบาใจ มันเหมือนฮู้กันผีเหมือนเครื่องรางของขลังที่ให้ความรู้สึกอุ่นใจ

ฮึบฮึบ! หนักจังเลย น้องต่อสู้กับอุปสรรคเพียงลำพัง

“คลึ่กคลั่ก!...ครืด..” ฉันได้ยินเพียงเสียงของการดิ้นรนในความมืด

ฮึบฮึบ! ทุกการขยับเท่ากับความหวัง เวลาแห่งการเอาตัวรอดมักจะเดินอย่างเชื่องช้าเสมอ

แก๊ก!แก๊ก!”

เฮ้อ!…โล่งอก เธอคลำมาจับหัวไหล่

อนนี่ดันไหวไหมคะ! โต๊ะหนักมากหนูยกคนเดียวไม่ไหว?

ลองดูนะ!ฉันรอจนน้องคลานไปที่ปลายเท้า

อนนี่พร้อมนะคะ! ฮานา! ทุล! เซต! ฮึบ!

ฮึบ! ฉันเกร็งแขนดันโต๊ะสุดกำลัง ยังโชคดีอยู่บ้างที่อีกด้านของโต๊ะค้ำคาสูงกว่าไม่เช่นนั้นมันคงกดท้องไส้ทะลักออกมาแล้ว

ฮึบฮึบ! แขนสั่นระริก น้ำหนักมันกดลงมามากเกินไป...

เฮ้อ! สุดท้าย...ฉันก็ยอมแพ้

แต่ยังไม่ทันได้พักหายใจ

แอ่ด! แอ่ด!... เสียงเสาข้างตัวร้องลั่นเร่งให้ลงมืออีกครั้ง เศษปูนกระเทาะกระจายกระทบใบหน้าเป็นสัญญาณว่า เสากำลังจะขาด

เอาใหม่นะเซคยอง ไฟท์ติ้ง!

อนนี่ดันเลยค่ะ ฮึบฮึบ! สองแรงแข็งขันเดิมพันด้วยลมหายใจ

อึ๊บ!..บบ!!รวมพลังที่มีทั้งหมดดันมันขึ้นไป...

ขึ้น...ขึ้นแล้ว..ว..ว! แขนของฉันสั่นระริก

อนนี่ออกมาเลย!...

เฮ้อ!...ตึง! ฉันหมดแรงสู้...

มันหนักมาก ดันขึ้นได้นิดเดียวเองน้ำหนักโต๊ะที่กดลงมาทำให้ปล่อยมือและดึงตัวออกมาไม่ได้

ต้องหาอะไรมารับน้ำหนักไว้เธอบ่นเบา ๆ แล้วคลานหายไป

แอ่ด! แอ่ด!... เสียงลั่นของเสาปูนบนหัว เหมือนเสียงหมาที่คอยเห่าเมื่อพื้นด้านบนสั่นสะเทือน

ครืด! ครืด! พลันเสียงอาคารสั่นคลอนดังมาทางปลายเท้าโครงสร้างเขย่าอิฐแตกร้าวร่วงกราวพื้น

ขนลุกทั้งตัวความกลัวเข้าสิงสัญชาตญาณเตือนว่าอันตรายกำลังเข้ามา อย่ารอช้า...

“ฮึบ!ฮึบ! ฉันดิ้นสุดแรงเพื่อเอาตัวให้ออกจากพันธนาการ...

“ครืน!...โคร้ม! ครึ่ม!” อาคารเขย่าพื้นสะเทือนสั่นไหว แสงอาทิตย์แวบวับผ่านช่องอิฐเข้ามาทางปลายเท้าแล้วดับมืดไป

เซคยอง!...” ฉันสติหลุดร้อนรนร้องหา

หนูอยู่นี่! ทางโน้นถล่มค่ะ!เธอคลำมาโดนแขน ฉันอยากจะโผเข้ากอดแต่ตัวยังติดใต้โต๊ะ

เฮ้อ!....ฉันอึดอัดที่ช่วยทั้งตัวเองและน้องไม่ได้

แอ่ด! แอ่ด! แอ่ด!เสาต้นเดิมยังคงบิดตัวต่อเนื่องและดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นมากกว่าเดิมหลังจากเจออาฟเตอร์ช็อค

“หนูคิดว่าข้างบนมีรถยนต์ค่ะ” ฝุ่นควันร่วงกราวเมื่อมีเสียงขยับ

ในความมืดมิดไม่รู้ทิศทางไม่รู้ชะตากรรม ความกลัวตายเข้ารุมเร้าเบียดพื้นที่ของความกล้าออกไป หัวใจนักสู้ของฉันไม่มั่นคง ศัตรูที่ถือปืนวิ่งเข้ามายังน่ากลัวน้อยกว่าความมืดที่ไม่คุ้นชิน

อนนี่คะ!เซคยองขยับตัว

เซคยองมานี่ก่อน!ฉันอัดอั้นจนทนไม่ไหวหนาวใจจนตัวชา

อนนี่ไม่ได้เจ็บตัวนะคะเธอยื่นมือคลำมาบนใบหน้าอย่างนุ่มนวล

เซคยอง! ก้มลงมากอดฉันหน่อย เติมพลังให้ด้วยฉันแสดงความกลัวออกมาได้เพียงเท่านี้ ทั้งที่ในใจอยากจะร้องไห้ดัง ๆ ให้กองอิฐที่ทับถมในใจมันระเบิดออกไป

แอ่ด! แอ่ด! ครืน!... เสียงร้องเตือนครั้งนี้หนาวจับขั้วหัวใจ เสียงชัดซะจนขนลุกเกลียว มันน่าจะมาจากแรงสะเทือนของยานยนต์หนัก

เซคยองเสาต้นนี้มันจะหักใช่มั้ย? ฉันจะทำยังไงดีสายตายังปรับสภาพไม่ได้

ไม่ต้องสนใจมันค่ะ อนนี่ดันโต๊ะอีกครั้งนะคะ หนูจะเอาก้อนอิฐรองพื้นจะได้ดึงตัวออกมาได้สาวน้อยสู้ยิบตา

ฉันพร้อม!รวบรวมกำลังใจอีกครั้งคิดถึงตัวช่วย...ป๋อฮ่อ!ป๋อฮ่อ!

ฮานา! ทุล! เซต! ฮึบฮึบ! เธอช่วยดึงฉันช่วยดันแขนสั่นระริก เกร็งแขนจนเอาก้อนหินขนาดกำมือดันเข้าไปค้ำรับน้ำหนักที่มุมโต๊ะ

ได้แล้ว! ออกมาเลยค่ะอนนี่!

ฮึบ!ฮึบ! ฉันดึงตัวออกจากใต้โต๊ะเหมือนเต่าถอดกระดอง รู้สึกขอบคุณที่ไม่เจ็บตัวเพราะโต๊ะนี้เป็นกำบัง

“อนนี่!” เซคยองเข้ามากอด

แอ่ด! แอ่ด!” ฉันรู้สึกดีใจเพียงครึ่งเดียวที่ต้องมานั่งยองข้างเสา ความเสียวท้องยังคงร้องรอคิว

ไปกันต่อเลยค่ะ!เธอแตะมือให้ขยับตัว

ทำไมมันเตี้ยอย่างนี้ล่ะฉันขยับได้นิดเดียวก็โดนหินขูดทั้งหัวทั้งแขน

ในพื้นที่ทั้งเตี้ยแคบและมืดสนิทอย่างนี้ เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ตรงนี้ เธอคลานคล่องแคล่วในที่มืดมิดได้อย่างไร?

แก๊ง!แก๊ก! ก๊อง!กิ๊ง!” เสียงไม้เท้าเหล็กของเธอเปรียบเสมือนเสียงของนาฬิกาชีวิตที่ยังดังและเดินอย่างซื่อสัตย์เติมพลังใจให้ฮึดสู้

ตอนนี้เราอยู่ใต้ซอกของคาน ตึกมันน่าจะเอียงล้มมาทับกันค่ะ ก๊อกแก๊ก! ก๊อกแก๊ก!เธอพูดเสียงใสคลานนำทางไปในความมืด

ฉันกะพริบตาถี่พยายามปรับสายตาให้มองเห็นในความมืด ในใจก็กังวลใจที่ให้น้องคลานนำหน้าทั้งที่ดวงตามองไม่เห็น...

เซคยองระวังนะคะฉันคลำมือสะเปะสะปะไปตามกองซากหิน เหล็กเส้นขาดคมเกี่ยวแขน อีกมือก็จับกระโปรงของน้องไว้ไม่ให้หนีหาย

อนนี่ก้มหัวต่ำ ๆ นะคะ แก๊ก!แก๊ก!เธอนำหน้ามุดคลานซิกแซกอย่างชำนาญเส้นทาง จนมาถึงมุมหนึ่งซึ่งคาดเดาไม่ออกเลยว่าเป็นทิศไหนของอาคาร

แก๊ก!แก๊ก!เสียงก้องไปในความมืด

“ไป่ไป๋เซม! แกรก!แกรก!” เสียงวิทยุเรียกดังอู้อี้อยู่ไม่ไกลดีใจแทบกระโดด แต่ถ้ากระโดดหัวเหน่งแตกแน่

“เซคยองเสียงวิทยุเรียก เสียงวิทยุดังอยู่แถวนี้” ฉันนั่งกอดเข่าเบียดกับเธอในซอกเฉพาะตัวอยู่ในมุม

แก๊กแก๊ก! เข้าไปเอาไม่ได้ค่ะ มันตกอยู่ในซอกโดนทับอยู่

หือ! ฉันมีแต่ความแปลกใจ เธอมาสำรวจเส้นทางก่อนหน้านี้แล้วเหรอ ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่นนะ?

แก๊ก!แก๊ง! อนนี่คะ! คลานตามมาทางนี้ค่ะ

แม้จะสงสัยแต่ไม่มีสิทธิ์ลังเล พอเธอขยับตัวฉันรีบผวาเกาะชายกระโปรงคลานตาม คำถามสารพัดวิ่งเข้ามาในหัวความกลัวกำลังทำลายความไว้ใจ...เธอกำลังจะพาไปไหน? เชื่อใจได้หรือเปล่า?

ครืด! ครืด!...” เสียงอาคารสั่นคลอนบั่นทอนจิตใจ

ฉันก้มหน้าคลานตามซอกหลืบโดยไม่รู้ทิศทาง เศษอิฐฝุ่นฝอยยังคงร่วงใส่หัวเหน่งอย่างต่อเนื่องความเครียดกดดันจนอกแทบระเบิด

แก๊ง!ก๊อง!ก๊อง! เสียงเคาะไม้เท้าเปลี่ยนไปฟังแล้วเสียงใสขึ้น...

หยุดตรงนี้ค่ะ!คำสั่งนี้คลายความอัดอั้นตันใจที่ใกล้จะระเบิด

เฮ้อ! เหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลมได้ระบายความอึดอัดออกไป ฉันรู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อเธอหยุดคลานและดึงให้ลุกขึ้นยืน ความรู้สึกเหมือนโผล่พ้นน้ำหายใจได้เต็มปอด หลุดจากเครื่องจองจำได้ชูมือได้บิดตัว ขอแหกปากหน่อยนะ...

“วู้ว!...ฉันยังไม่ตาย..” ฉันเอื้อมมือสะเปะสะปะไปในความมืดโดนแผ่นปูนคล้ายผนัง ยกมือขึ้นเหนือหัวไม่โดนสิ่งก่อสร้างรู้สึกปลอดโปร่ง

เซคยองจะพาไปไหนคะ?เมื่อแขนขาขยับได้ความคิดป้องกันตัวและความเชื่อใจตนเองก็กลับมา

หนูก็ไม่รู้ค่ะ!” เธอจะไว้ใจได้แค่ไหนเนี่ย?

อ้าว! ถ้าเดินมั่วจะไม่หลงกันไปใหญ่เลยเหรอ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินลง

หนูกำลังจะหนีเสาต้นนั้นค่ะ!” เธอมีเป้าหมายเดียวโดยไม่รู้ว่าข้างหน้ามีอะไร?

หนีโดยไม่รู้ทิศทางเนี่ยนะ?ฉันไม่ได้ดูแคลนแค่ต้องการความชัวร์ ความกลัวทำให้ความเห็นแก่ตัวเฟื่องฟู

ไปกันต่อเถอะค่ะเธอคว้าแขนมุ่งมั่นจะไปต่อ

แต่...

เดี๋ยว!...แล้วเธอแน่ใจได้ยังไงว่าข้างหน้าจะไม่มีเสาหักอีกฉันชักมือกลับ ความกลัวทำให้น้ำเสียงของฉันห้วนขึ้น

หนูไม่รู้หรอกค่ะ! ถ้าอนนี่จะรออยู่ตรงนี้ หนูก็จะรอด้วยเซคยองอ่อนลงทันทีและยอมตามใจ

อ้าว! ตกลงไม่มีความมั่นใจอะไรเลยใช่มั้ย?ฉันยิ่งไม่มั่นใจตัวเองหนักเข้าไปอีก

หนูมั่นใจว่าเสาต้นนั้นมันหักแน่ แต่หนูไม่รู้ว่ากำลังจะไปไหนขอให้ไปไกลจากจุดนี้ก่อน อนนี่โกรธหนูเหรอคะ?เสียงของเด็กแผ่วลง

ไม่ได้โกรธค่ะ! แต่ไม่อยากเสี่ยงฉันลังเลแต่ไม่มีทางเลือก

แอ่ด! แอ่ด! เสาลั่นใจหลอน

ฉันต้องตัดสินใจจะเชื่อเด็กตาบอดหรือจะเชื่อใจตนเอง

ถ้าอนนี่ไม่แน่ใจก็นั่งตรงนี้เถอะค่ะ หนูจะอยู่เป็นเพื่อนน้ำเสียงของน้องมีแต่ความเอื้ออาทรจนสะท้อนใจ ถ้าฉันอวดเก่งตัดสินใจผิดก็เท่ากับพาเธอตายไปด้วย ฉันกำลังจะฆ่าเพื่อนคนเดียวที่ไว้ใจฉันมากที่สุดหรือเปล่า?

“.................”

ด้วยความกลัวทำให้ปากไวไปหน่อยไม่ได้คิดให้ถ้วนถี่ เธอเป็นคนพาหนีมาถึงจุดนี้ได้แสดงว่าเธอต้องมีของดีแน่ คิดถึงคำพูดของแทนที่เคยบอกไว้ตอนที่เขาสอนให้ดริฟต์รถยนต์...ถ้าต้องนั่งรถยนต์กับคนขับที่ไม่รู้จักและเราเองก็ไม่รู้เส้นทาง วิธีเดียวที่จะมีความสุขตลอดการเดินทางคือต้องเชื่อใจคนขับเท่านั้น

เซคยองคะ! ไปต่อค่ะ ไปตามเสียงในใจของเธอเลยฉันตัดสินใจเชื่อใจและไปต่อ คืนอำนาจการตัดสินใจไปให้น้อง

“ปั้ลลี่!...” เธอรีบจูงมือและก้าวเดินเร็วกว่าที่ผ่านมา กางแขนไม่โดนอะไรความรู้สึกอึดอัดคับแคบหายไป พยายามกะพริบตาปรับสภาพก็ยังจับภาพไม่ได้

ว้าย!

เกิดอะไรขึ้น?ฉันยิ่งหลอนอยู่ด้วยผวาคว้ามั่ว

อนนี่หยุดก่อน! ค่อย ๆ ก้าวขานะคะ

ฉันทำตามคำแนะนำโดยไม่ลังเล ค่อย ๆ ก้าวเท้าบรรจงเหยียบลงพื้นอย่างแผ่วเบา เอื้อมมือคว้าสะเปะสะปะไปโดนไม้เท้ารีบคว้าเอาไว้

อนนี่เหยียบแล้วมาหาหนูนะคะเสียงจากปลายไม้อีกด้าน ฉันก้าวฉับ ๆ ก่อนจะเหยียบไปบนก้อนกลมแล้วเท้าลื่นพลิก

ว้าย! ฉันเซเสียหลักเธอดึงแขนเข้าไปหา

หัว! หัวคนใช่มั้ย?ฉันรู้สึกว่าเหยียบลงบนใบหน้าของคน

ไม่ใช่คนค่ะ...ศพ! รีบไปกันเถอะ

ห่ะ! ขนหัวลุกซู่รีบคลำเดินตาม

“ขอโทษนะคะ หนูไม่ได้ตั้งใจ”

ตั้งแต่เด็กจนโต...ฉันไม่เคยเห็นที่ใดมืดมิดได้ราวกับอยู่ใต้มหาสมุทรที่แสงอาทิตย์สาดลงมาไม่ถึง ขนาดอยู่ในป่าโบราณที่ลึกไร้แสงไฟยังมองได้ไกลจากแสงดาว

ก๊อง! ก๊อง! ระวังหัวนะคะเหล็กแหลมเยอะมากเธอพาเดินคลำต่อมาได้ราว 20 ก้าว ฉันสัมผัสได้กับทางตัน

อนนี่นั่งลงก่อนค่ะเธอดึงมือให้นั่งลงแล้วจับมือไปคลำ

มีช่องนี่นา ฉันโล่งอกมีรูให้คลานไปต่อ

แก๊กแก๊ก! ตรงนี้มีโพลงค่ะ อนนี่มุดออกไปก่อน มันแคบนะคะระวังหัวด้วย

แอ่ด! แอ่ด! เสียงเสากระตุ้นให้ตัดสินใจ

เธอมุดไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันตามหลังเอง

ช่วงสุดท้ายแล้วอนนี่ต้องนำหน้าค่ะ ถ้าผิดพลาดหนูยังตามหาอนนี่ได้ อย่าสติแตกนะคะ แก๊กแก๊ก!

หือ?พูดยังงี้หมายความว่ายังไง?

เธอดันก้นเร่ง...

อนนี่อย่าช้าสิคะเวลาเหลือน้อยแล้วเด็กสาวในยามนี้ไม่ต่างจากพี่เลี้ยงเด็กเนอสเซอรี่ทั้งคอยปลอบโยนและนำทาง

ฉันค่อย ๆ ดันตัวเองมุดไปในโพลงที่มืดมิดและขรุขระไปด้วยเศษหิน การพลิกเอียงตัวเป็นไปอย่างยากลำบาก แผ่นปูนกดทับคับแคบและอึดอัดมากกว่าเดิม

ฮึบ!ฮึบ! ฉันกัดฟันคลานศอกเลื้อยซิกแซกต่อไปอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง แต่ยังมีความหวังที่เธอบอกว่า...นี่เป็นช่วงสุดท้ายแล้ว

ความเชื่อใจทำให้ความกลัวในใจคลายตัวลง สติก็เริ่มกลับมาสายตาเริ่มคุ้นชินจากสีดำสนิทเริ่มมองเห็นอุปสรรคลาง ๆ เป็นสีเทาซ้อนเงาดำในระยะใกล้

เซคยอง! พื้นเปียกและเหม็นคาวเลือดมาก ระวังด้วยนะคะ!” ฉันเลื้อยไปตามซอกแคบที่ไม่รู้ว่าปลายทางจะไปโผล่ที่ไหน

หนูตามอยู่ค่ะ รีบด้วยค่ะ!” น้ำเสียงที่ตามหลังกังวลใจ ซอกเล็กรัดรูปบังคับให้มุ่งไปข้างหน้าได้อย่างเดียวสร้างความอึดอัดใจเป็นอย่างมาก

แอ่ด! แอ่ด! เสียงอึกทึกด้านบนกดอัด เสาปูนบิดตัวดังเลื่อนลั่นอาคารสั่นไหวบีบหัวใจให้ลนลานอีกครั้ง

อนนี่ไม่ต้องกลัวนะคะ อีกนิดเดียวก็ออกไปได้แล้ว

เมื่อความหวังอยู่ใกล้ใจก็ชื้น ความเหนื่อยล้าคลายตัวความกลัวถดถอยใจลอยไปคอยที่เส้นชัย ฉันรีบกระดื๊บไปข้างหน้าเต็มกำลังมือคว้าขาดันลื่นไถลไปกับน้ำนองพื้น...

หือ! มือฉันคว้าไปโดนเหมือนบางอย่างที่คุ้นมือ...

เซคยอง! มีคนขวางอีกแล้วฉันเลื้อยถอยกรูดไม่กล้าพูดว่า ศพ

เธอจับขาไว้

คิดไว้แล้วเชียวว่าต้องเป็นอย่างนี้! ไปต่อค่ะจะไม่ทันแล้วเธอตีขารัว ๆ ให้ไปต่อ

ฉันกัดฟันเลื้อยลุยต่อหัวใจฝ่อห่อเหี่ยว พอมือแตะโดนแขนเย็นเฉียบก็ชะงักอีกครั้ง รวบรวมสติขออนุญาต...

ขอโทษนะคะ ฉันต้องผ่านทางนี้ขอข้ามนะคะฉันคลำไปตามแขนแล้วลูบลงไปที่ปลายเท้าก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้

ขอข้ามนะคะ...ฉันไม่กล้าเอามือไปลูบใบหน้าของเธอ แต่รู้ได้ว่าเป็นศพผู้หญิงสวมชุดคนไข้

ฮึบ!ฮึบ!ฮึบ! คนขี้กลัวจะมีจินตนาการสูงส่ง คิดไปแต่ทางร้ายในใจแว่บไปว่า ถ้าเธอเกิดกอดขึ้นมาล่ะ? อึ๋ย!...ขนลุกซู่รีบลื่นไถลลงจากตัวเธอ

เอ๋!... ฉันหลุดจากโพลงลุกขึ้นยืนช้า ๆ สัมผัสได้ถึงความปลอดโปร่งรู้สึกเหมือนอยู่ลานโล่งในโถงห้อง

ทันใดนั้น...

แอ่ด! แอ่ด! อาคารสะเทือนรุนแรงโอนเอน

ฉันทิ้งตัวลงมองหาน้องในโพลง...เซคยองยื่นมือมา!

อนนี่คะกระโปรงหนูโดนเหล็กเกี่ยวเอาไม่ออก

ฮ้า!...” โอยใจจะขาดอัดอั้นอึดอัดไปหมด อุปสรรคมักมาในเวลาสำคัญอย่างนี้ ฉันต้องรีบตัดสินใจ...

ทำยังไง? ทำยังไง? ถอดทิ้งไป ฉันมุดกลับไปควานหา

“ครืน!... อาคารเขย่าตัวรุนแรงอีกครั้ง...

โครม! เสียงก้อนอิฐถล่มลงมาจากด้านที่ผ่านมา

อนนี่!...” มือเกี่ยวติดกันแค่ปลายมือ

ฉันรีบเลื้อยถอยหลังสุดแรงลากเธอออกจากซอกหลืบ ต้องขอบคุณกองเลือดที่ช่วยชะโลมให้พื้นลื่น

โครม! อาคารทรุดสั่นสะเทือน

แก๊กแก๊ก! เร็วเลยค่ะ! อนนี่ตรงนี้เป็นโถงเตี้ยเดินตรงไป 20 ก้าวจะเจอผนังระวังกองอิฐ

ฉันเดินฝ่าความมืดมาได้สัก 10 ก้าวก็เจ็บเอวแปล๊บ

โอ๊ย!

อนนี่เป็นอะไรคะ? เสียงนี้คอยห่วงใยตลอดเส้นทาง

เหล็กมันเกี่ยวเสื้อค่ะ!ฉันรู้สึกเจ็บเหมือนโดนบาด

อนนี่ยื่นมือไปข้างหน้าไว้นะคะ

ฉันเดินคลำมาจนเจอกำแพงอิฐที่หักพัง เอามือคลำหาทางออกไม่เจอ ย่อเข่าคลำก็ไม่มีโพลง

ตรงนี้มันเป็นกองอิฐนี่คะ ทางนี้ตันแล้ว

คลึกคลึก!คลึกคลึก! อาคารไหวตัวยวบยาบ

ฉันสันนิษฐานว่ามันเป็นผลต่อเนื่องจากการเคลื่อนไหวด้านบน ความตายไล่ล่ามาจากทีมช่วยเหลือ

แก๊กแก๊ก! ขวาค่ะ! ตะปีนขึ้นไปเลย เดินชิดผนังไว้นะคะ ระวังเท้าด้วยหินมันจะพลิก ปั้ลลี่!

ใจลุ้นเต้นรัวแต่ความกลัวไม่ขึ้นสุด ตะปีนขึ้นกองอิฐอย่างทุลักทุเลและมืดบอดจนมาถึงพื้นเรียบเล็ก ๆ เป็นซอกกำแพงสูง แสงสลัวจากแดดสาดส่องทะลุทะลวงลงมาเป็นเส้นเห็นเป็นเงาราง เสียงเครื่องยนต์ดังแว่วความหวังสว่างไสว

เธอเดินตามขึ้นมาหยุดพักหายใจ...

แก๊กแก๊ก! ไปทางซ้ายเร็ว ๆ ค่ะ!เธอคว้าข้อมมือเคาะไม้รัวถี่ ในตอนนี้ฉันมองเห็นเคลื่อนตัวได้เร็ว หลบหลีกได้คล่องแคล่ว

“ไม่ต้องรีบร้อนแล้วค่ะ!” ฉันยิ้มมองน้องสาวตาบอดด้วยหัวใจขอบคุณอย่างสุดซึ้ง

เธอยังคงมุ่งมั่นเคาะแล้วเงี่ยหูฟังแล้วเคาะตลอดเวลาเพื่อหาทางพาคนตาดีหนีจากความตาย ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผลไม่ได้ทำให้ความมุ่งมั่นลดลง ฉันหวนคิดถึงคำพูดของเจ็ทโด้ที่คอยปลอบใจพวกเรา ความเชื่อใจใครสักคนจะทำให้ความกลัวในใจทุเลาลง เป็นอย่างนี้นี่เอง

“เซคยองจ๊ะ! อนนี่มองเห็นแล้ว” ฉันดึงเธอมากอดอย่างแสนรัก

“อนนี่นำทางต่อนะคะ ไปทางไหนต่อคะ?” เธอคืนอำนาจตัดสินใจให้ทันทีไม่มีอิดเอื้อน ซึ่งต่างจากฉันที่เคยไม่เชื่อใจเธอ ยิ่งทำให้รู้สึกผิด

...........................................................................

แสงอาทิตย์ลอดรูอิฐลงมาเหมือนดาบเลเซอร์เพิ่มความสว่างในพื้นที่จำกัดเศษอิฐและฝุ่นผงฟุ้งกระจายในช่องแคบ สถานที่ไม่คุ้นเคย คนที่ไม่รู้จัก ความมืดมิด ทั้งสามสิ่งสร้างความกลัวและหวาดระแวง ความมืดมิดนั้นเป็นความกลัวที่ยากจะคาดเดาและผลักดันจินตนาการด้านลบมาหลอกหลอน เป็นปัญหาของคนดวงตาปรกติแต่มันไม่สามารถสร้างความกลัวให้กับคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความมืดมา 13 ปีได้

“อนนี่จะไม่ลืมเรื่องนี้ไปตลอดชีวิตและจะจำไว้ว่าครั้งหนึ่งเซคยองได้ช่วยชีวิตไว้” ฉันนั่งพิงผนังกอดน้องไว้ หยุดพักให้หายเหนื่อยใจสอดส่ายสายตาไปด้านบน

อนนี่กลัวเหรอคะ?เด็กสาวบีบมือเบา ๆ ฉันอยากจะบอกว่าโคตรกลัวแต่ไม่มีประโยชน์...

เซคยองอยู่ด้วย อนนี่ไม่กลัวหรอกฉันโกหกเสียงสั่น

จริงเหรอคะ? ฮิฮิ!ใบหน้าน้อย ๆ ซบลงมาบนหน้าอก

จริงสิคะ! เซคยองปล่อยพลังมาให้อนนี่ด้วยนี่คะฉันยังคงเก็บอาการแม้มือจะยังคงสั่นอยู่ก็ตาม

แล้วทำไมหัวใจของอนนี่เต้นแรงจังเลย หน้าอกสั่นมากเสียงดังจนหูหนูอื้อเลยค่ะเด็กน้อยหัวเราะเสียงใสกอดแน่น จับโกหกได้อีก

ฉันคลายความกังวลลงมากเมื่อดวงตามองเห็นภาพ แสงสว่างทำให้ความกลัวตายทุเลาลงแต่สมองกลับคิดไปถึงเรื่องที่ใหญ่กว่า การรอดตายครั้งนี้ทำให้ชักจะลังเลเสียแล้วว่า มันคือโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ เสียงเครื่องยนต์ด้านบนทำให้คิดถึงสงครามและการออกรบของทุกคน

ในตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้แต่หัวใจกลับเริ่มเดือด ต้องทำบางอย่างเพื่อหันเหความคิด ขยับตัวลุกนั่งขอถามข้อข้องใจกับน้องหน่อย

หนูไม่กลัวเลยเหรอคะ? ฉันยังคงมือสั่นลูบหัวไหล่ของน้อง

นิดนึงค่ะ! หนูแค่ตกใจเสียงดังเมื่อดวงตามองไม่เห็นความสยอง ความกลัวก็ไม่เกิด

แล้วรู้ได้ยังไงคะว่าตรงนี้ปลอดภัย?

ท่ามกลางความมืดมิดประสาทสัมผัสของคนปรกติเหลือน้อยลง แต่สำหรับคนตาบอดแล้วพระเจ้าได้ชดเชยเพื่อใช้แทนดวงตาที่มองไม่เห็น

หนูมีไม้เท้าวิเศษค่ะเซคยองชูไม้เท้าวิเศษอย่างภูมิใจ

อธิบายให้ฟังหน่อยสิคะฉันไม่เข้าใจการสื่อสารระหว่างไม้เท้ากับเธอ

แก๊กแก๊ก! ก๊อกก๊อก! เธอเอาไม้เท้าเคาะไปที่พื้นแล้วเปลี่ยนจุดเคาะไปอีก 2-3 ทีก่อนจะยิ้มหวาน

ตอนนี้เราอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ และไม่มีสิ่งแตกร้าว มีโต๊ะเล็ก ๆ ล้มอยู่ทางขวา มีกองกระดาษและเศษกระจกแตกที่พื้นทางซ้าย นอกนั้นเป็นก้อนอิฐทับลงมา

ชัดขนาดนั้นเลยเหรอคะ?

ถ้าได้เดินเคาะไปเรื่อย ๆ หนูจะอธิบายภาพได้ทั้งหมด หนูยังเคยพาอะป้ามุดถ้ำไปจับปลาเลยค่ะถึงดวงตาจะมืดบอดแต่ดวงใจไม่มืดมน เธอมีแต่ความมั่นใจในตัวเอง

ฉันขอโทษนะที่ดูแลไม่ดี ทำให้ตกอยู่ในอันตราย

หนูได้ยินเสียงเครื่องยนต์ข้างบนมาทางนี้ด้วยค่ะ” เธอเอียงคอฟังเสียง

จะออกได้แล้วใช่มั้ย?

ค่ะ! หนูรู้สึกว่าได้เราใกล้ทางออกแล้ว

งั้น! เรามาคุยกันไปเรื่อย ๆ ดีกว่าเนอะ ถ้าโชคดีคงมีคนมาช่วยเราได้” ฉันขยับนั่งพิงใจผ่อนคลายลง

หนูเชื่อว่ายุนซอโอปป้าต้องมาช่วยแน่ ๆ เขาชอบเอาขนมมาให้หนูกิน ถ้าเขาว่างก็จะมานั่งคุยเป็นเพื่อนทุกวันเซคยองยิ้มเคาะไม้เท้าเล่นอย่างสบายใจ

โนยุนซอเป็นคนขยัน เดี๋ยวเขาต้องหาเราเจอก่อนใครแน่ เนอะ?ช่วงเวลาที่เลวร้ายไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการสร้างพลังบวก แต่ส่วนลึกแล้วเศร้าใจ

ตอนนี้เยริมอนนี่อยู่ที่ไหนนะ ปลอดภัยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เยริมอนนี่ร้องเพลงเก่ง หนูชอบ!” น้องยังคงสดใสไม่ทุกข์ร้อน

อืม! เยริมเก่งทุกอย่างเลยค่ะ ทำงานก็เก่ง ร้องเพลงก็เก่ง

หนูอยากร้องเพลงเก่งเหมือนอนนี่ เมื่อก่อนอะป้าพาหนูไปนอนเปลริมคลองฟังเพลง K- Pop จากฝั่งใต้ทุกวันเลย

มันผิดกฎหมายไม่ใช่เหรอคะ?

บ้านของหนูอยู่ติดชายแดน ฝั่งใต้เปิดเพลงให้ฟังทุกวัน

อ๋า! ฟังเพลงผ่านลำโพงโฆษณาค่านิยมนี่เอง หึหึหึ!” ฉันเคยได้ยินจูยอนเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ฝั่งใต้เปิดเพลงสนุกสนานแต่ฝั่งเหนือเปิดเสียงกรีดร้องสยองขวัญจนชาวบ้านลือว่ามีปีศาจไม่กล้าออกจากบ้าน

อนนี่มีนักร้องที่ชอบมั้ยคะ?

มีค่ะ! พวกเขาเป็นศิลปินฝั่งใต้ แต่ตอนนี้กลายเป็นพวกเลื่อนลอยไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้

ทุกคนกลายเป็นพวกเลื่อนลอยหมดเลยเหรอคะ?

ใช่ค่ะ! เป็นทั้งโลกเลย

“สงครามเกิดแล้วใช่มั้ยคะ?” เป็นคำถามที่ไม่อยากตอบเลย

ฉันกังวลกับสิ่งนี้มากที่สุด ไม่อยากนึกภาพตอนที่พี่น้องต้องนั่งรถทหารออกไปรบ ไม่อยากให้แทนไป ไม่อยากให้มีสงคราม แต่ฉันก็แสดงความอ่อนแอในตอนนี้ไม่ได้...

“ไม่ต้องกังวลใจหรอกค่ะ เดี๋ยวนินจาเซมก็จัดการได้” ปากดีปลอบใจคนอื่นแต่ตัวเองอยากจะกรี๊ด

“อะป้าบอกว่านินจาเซมตัวสูงมากจริงมั้ยคะ? หนูไม่เคยได้ทำความเคารพเลย”

“ใช่ค่ะ! หล่อมากด้วย” แค่ได้พูดถึงเขาก็เหมือนเราได้อยู่ใกล้กัน ฉันอยู่ไม่ได้แน่ถ้าเขาเป็นอะไรไปให้ฉันตายในนี้ยังดีกว่า

หนูเคยหวังว่า สักวันจะได้จับใบหน้าของสหายผู้นำเมื่อเช้าท่านให้หนูจับด้วย อุ๊ย!...เธอยิ้มฝันหวานอยู่ดี ๆ ก็กระเด้งขยับตัวนั่งตรง

อะไร! มีอะไร?ฉันกระเด้งลุกลนลานแหงนมองหา ความกลัวที่หุบหายกลับฟูฟ่องเบ่งบาน

หนูได้ยินเสียงค่ะ อนนี่เงียบ ๆ นะคะ

เสียงอะไร เสียงอะไร...ตึกจะถล่มอีกเหรอ?ฉันหลอนสุดขีดขนตั้งชัน

ชู่ว์...เงียบ ๆ ค่ะ

“………………”

“ก๊อก! ก๊อกก๊อก! ก๊อกก๊อกก๊อก! ก๊อกก๊อก! ก๊อก!

อนนี่ได้ยินมั้ยคะ?เธอเอียงหูฟัง

“ได้ยินค่ะ!” ฉันลุกขึ้นแหงนมองด้านบนแว่วเสียงแป็ปน้ำเคาะหิน

“เงียบ ๆ นะคะ เสียงมันเบาไปหน่อย”

“ก๊อก! ก๊อกก๊อก! ก๊อกก๊อกก๊อก! ก๊อกก๊อก! ก๊อก!

พอเสียงดังขึ้นมาอีกนิด เซคยองยิ้มเต็มหน้าโผเข้ามากอด...

“อนนี่! อะป้ามาช่วยแล้ว อะป้าส่งภาษามอร์สมาให้”

ฉันแหกปากทันทีจะรออะไร...ช่วยด้วย!ช่วยด้วย!

ช่วยด้วย!

เมื่อรอดตายปาฎหาริย์เช่นนี้ สิ่งแรกที่นึกถึงก็ไม่พ้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใจ เซคยองนั่นแหละเป็นตัวแทนที่โดนส่งมาช่วยให้รอดในคราวนี้ คิดแบบนี้ถูกหรือผิดไม่รู้ แต่รู้ว่าสบายใจที่ได้คิดแบบนี้

......................................................

จำนวนผู้มาเยือน

หน้าที่เข้าชม12,906 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด11,022 ครั้ง
ร้านค้าอัพเดท23 ต.ค. 2568

สมาชิก

พูดคุย-สอบถาม