หมวดหมู่ | The last man stand. วิบัติ 2026 เล่มที่ 10 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 20 ต.ค. 2568 |
ปักกิ่ง
8 กันยายน 2026
1 วันก่อนวันสิ้นโลก
ภายในห้องบัญชาการรบ บรรดาขุนศึกนายกองของจีนเข้าร่วมประชุมกันหน้าเครียดบรรยากาศอบอวลไปด้วยความกังวลใจ อาการกระสับกระส่ายในร่างกายที่ร้อนรนของทุกคนบ่งบอกว่ามีเรื่องเลวร้ายเกินควบคุม
“ผมประกาศภาวะฉุกเฉินสั่งห้ามเข้าพื้นที่ไปแล้วครับ แต่ไม่รู้ว่าจะหนีพวกโซเชียลได้มั้ย?” รัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงใบหน้าบอกบุญไม่รับ
หวังฉวนนั่งหัวโต๊ะสุขุมเยือกเย็นไม่แสดงอาการตื่นกลัว หันมองรัฐมนตรีกลาโหม...
“เพื่อสันติภาพและสันติสุขของโลก เกาหลีต้องเป็นส่วนหนึ่งของจีน”
“พวกมันไปกินตับพญายมมาหรือไงถึงกล้าโจมตีเรา?” นายพลทหารอากาศสีหน้าเครียด
“มันเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของชนชาติ พวกท่านหาทางเจาะได้หรือยัง? อย่าเสียเวลานานจะรบกวนงานใหญ่ของเรา” หวังฉวนเคาะนิ้วครุ่นคิด
“พวกมันยิง S -200 ต่อสู้อากาศยานในระยะ 300 กิโลเมตรนักบินของเราเข้าไม่ถึงเลย โดนมันสอยไปหลายลำแล้วครับ”
“มันนัดโจมตีเราตอนเที่ยงใช่มั้ย จะถึงเวลาแล้วนี่?”เขาบิดข้อมือมองนาฬิกา
“ใช่ครับ! ผมแปลกใจมากว่าทำไมประธานคิมไม่เจรจาเองแต่ให้เด็กผู้หญิงมาคุยด้วย กวนโมโหมากและมันต้องการคุยกับท่านโดยตรง” รัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงไม่สบอารมณ์ฉุนเฉียว
“อย่าไปสนใจ มันแค่เห่าพวกนี้ไม่มีปัญญาสู้กับพวกท่านหรอก... ภาพมาแล้ว!” หวังฉวนนิ่งเฉยแหงนหน้ามองจอภาพขนาดใหญ่บนผนัง
บนถนนในเมืองอันซานมณฑลเหลียวหนิง...กลุ่มรถติดลำโพงขนาดใหญ่นับพันคันและกองทัพมอเตอร์ไซด์สีเหลืองกระจายออกจากเมืองแยกย้ายกันรุกคืบลึกเข้ามา ชาวบ้านเสียสติวิ่งแหกปากวิ่งไล่ตามมาเป็นขบวน
นายทหารบกกระเด้งลุกยืนชี้บนจอพูดเสียงดัง...
“เมื่อเช้าที่ผู้หญิงคนนั้นส่งคลิปมาให้เป็นแค่เพียงริมแม่น้ำชายแดน นี่มันลามไปกว่าครึ่งมณฑลแล้ว มันคืออะไรกันแน่ มันไม่ได้ขู่แล้วนะครับ”
ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ภายนอก ความลับนี้...ผู้ที่รู้จะตายก่อน เรื่องนี้ไม่เคยแพร่กระจาย
หวังฉวนหรี่ตามองจอกัดฟันแน่น...
“แสบจริง ๆ!! ยิงต้านไว้ พวกมันไม่มีพิษสงหรอกให้มันขนอาวุธกันเข้ามา เราจะได้ไม่ต้องไปขนถึงบ้านมัน”
“ประธานคิมไปไหนครับ?” นายพลทหารอากาศร้องถาม
“ซีชานไม่ได้บอกพวกท่านหรอกเหรอว่าเกาหลีเปลี่ยนผู้นำจากเดิมเป็นผู้หญิงชื่อ จูยอน พวกมันคงแค่ตกใจที่ผู้นำคนใหม่ตาย ไม่มีอะไรหรอก ไม่น่าเป็นห่วง”
กลุ่มนายทหารขมวดคิ้วหันมองหน้ากัน...
“เราจะไม่เจรจากับพวกมันเหรอครับ เด็กผู้หญิงที่คุยกับผมอาจจะเป็นจูยอนก็ได้ เธอบอกว่าถ้าไม่ได้คุยกับท่านจะบุกเข้ามาแล้วเธอก็ทำจริง ๆ แสดงว่าเธอมีอำนาจนะครับ” นายทหารแย้ง
หวังฉวนสะบัดมือไส่...
“ไม่ต้องเจรจา! เดี๋ยวมันก็ตายกันหมดแล้ว เปลี่ยนภาพไปเมืองอื่นสิ!”
ภาพมุมสูงซูมลงไปที่กลางลานศาลาว่าการประชาชนเมืองเสิ่นหยางเมืองหลวงทางทิศตะวันออกของจีน อาคารสูงระฟ้าบ้านเรือนทันสมัยรวมถึงสถาปัตยกรรมโบราณกำลังโดนโจมตี
“มันเข้ามาได้เป็นพัน ๆ กิโลแล้วเหรอ เป็นไปได้ยังไง?” นายพลเรือขมวดคิ้วอึดอัดใจแหงนมองไม่วางตา
กลุ่มเด็กวัยรุ่นเสื้อเหลืองวางเป้ลงแล้วหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาประกอบ ทุกคนคล่องแคล่วว่องไว กลุ่มผู้บริหารประเทศจ้องมองคิ้วขมวด
“มันกำลังจะทำอะไร?” นายกรัฐมนตรีชี้หน้าตื่น
หวังฉวนเพ่งมองสายตานิ่ง
“หวือ!” ทันทีที่เด็กเสื้อเหลืองปล่อยโดรนขึ้นบิน กลุ่มทหารตำรวจที่ซ่อนตัวทิ้งปืนวิ่งไล่ตาม
“เฮ้ย!...” นายทหารระดับสูงกระเด้งโหยง ทั้งห้องเหมือนตกอยู่ในกองไฟร้อนรุ่มลนลาน
“เกิดอะไรขึ้น?”
ทั้งกลุ่มดวงตาถลนตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น รัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเต้นไม่เป็นสุขแหกปากลั่น...
“เปิดเสียงหน่อย”
“อย่า!” หวังฉวนยกมือปราม
“พวกมันจะทำอะไรกัน? นั่นมันเด็กวัยรุ่นทั้งนั้นเลย ไม่มีอาวุธด้วย นั่นมันโดรนไม่ใช่เหรอ?” กลุ่มนายทหารหันปรึกษากันเอง...
“หรือนี่จะเป็นกองทัพนิรนามที่เขาลือกัน โลกที่ร้างและเงียบเหงาเป็นเพราะไอ้พวกนี้ใช่มั้ย?”รัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงร้อนรน หวังฉวนดวงตาประกายวับยิ้มมุมปากพยักหน้าพอใจ
ในจังหวะนั้นเลขาอูขยับเข้ามากระซิบหวังฉวน...
“ท่านครับ ขอเชิญทางนี้นิดครับ!” เขาจูงมือหวังฉวนแยกมาที่โต๊ะ
“พวกมันใช้วิธีเดียวกับเรา แต่มันใช้โดรนตัวเล็กบินได้ไม่ไกลหรอก”
“มันบินได้กี่กิโล บินได้นานแค่ไหน?”
“มันบินได้ไม่เกิน 5 กิโลหรอกประมาณ 1 ชั่วโมงแบตก็หมด”
“โล่งอกไปที!..เฮ้อ!” หวังฉวนกระหยิ่มยิ้ม
เลขาอูหันกลับไปมองกลุ่มนายทหาร...
“ดูเหมือนนายทหารระดับสูงพวกนี้ไม่ระแคะระคายอะไรเลย”
“ไอ้พวกนี้ซีชานพึ่งจะคัดมาใหม่คงไม่รู้เรื่องจริง ๆ ไปประชุมกันต่อเถอะ” หวังฉวนหันหลังเดินกลับไปสั่ง...
“ขอดูภาพมุมสูงที่ต้าเหลียนหน่อยสิ”
คลื่นขาวกระทบหาดทรายตั้งแต่เมืองชายทะเลต้าเหลียนไปจนถึงเมืองแห่งขุนเขาฉางชุนเปลวไฟเผาลามกินพื้นที่ 2 มณฑลเป็นวงกว้าง เฮลิคอปเตอร์เกาหลีบินเหมือนฝูงยุงเข้าควบคุมพื้นที่
นายพลไห่ซื่อหนานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยืดอกยกมือ...
“มีใครพออธิบายได้บ้างว่ามันคืออะไร? ผมส่งไปหลายหน่วยแล้วเงียบหายไม่มีการตอบกลับมาเลย ยิ่งส่งไปก็ยิ่งเงียบ”
เปลวไฟลุกท่วมแผ่นดิน ชาวบ้านวิ่งตามรถโมบายล์เหมือนฝูงวิลเดอบีสต์ในทุ่งหญ้าสะวันนาแอฟริกาย้ายถิ่น คลื่นมนษย์ไหลถาโถมราวทซึนามิซัดฝั่ง
ผบ.ทหารอากาศพูดเสริม...
“เด็กพวกนี้คล่องตัวมาก ผมไม่เข้าใจว่าพวกมันทำอะไรกัน ทำไมคนถึงกลายเป็นผีดิบ ซูมลงไปดูใกล้ ๆ หน่อยสิ”
“ผมคิดว่าบนโดรนต้องมีอะไร ท่านลองสังเกตดูดี ๆ สิมีจอภาพเล็กห้อยอยู่ด้วย” นายพลเรือจับสังเกตได้
หวังฉวนเคาะโต๊ะ...
“ทุกท่านเรียกผู้ใต้บังคับบัญชากลับมาให้หมด สั่งการไปห้ามเข้าใกล้พวกมันเกิน 5 กิโลเมตร”
รัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงยกมือ...
“ท่านสั่งถอยไม่ได้นะ อธิปไตยของเราจะเสียไม่ได้ พวกเราต้องปกป้องชาวบ้านนะครับ” เขาสีหน้าเครียดที่ประชุมขยับพร้อมกัน...
“ใช่ครับท่าน! ท่านห้ามพวกเราไม่ให้เข้าใกล้เกิน 5 กิโลเมตรแล้วจะสู้กันยังไงไม่เข้าใจจริง ๆ แล้วจะทิ้งประชาชนกว่า 200 ล้านคนเหรอ?” กลุ่มผู้ประชุมประสานเสียงกดดัน
หวังฉวนมองจอภาพดวงตาแข็งกร้าวใบหน้านิ่งดวงตาฉาบความชั่วร้าย ไม่แสดงอารมณ์...
“พวกท่านเห็นทหารวิ่งตามรถโมบายล์แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ครับ”
“ซูมภาพลงไปใหม่สิ!”
บนถนนเมืองฝูเซิน ควันไฟดำปกคลุมอาคารที่ขนาบถนนทั้งสองฝั่งถนน บนถนนแออัดไปด้วยฝูงชนทุกสาขาอาชีพไร้สติเดินหลงทิศทาง
“กลุ่มทหารรับจ้างมันยึดเกาหลีเหนือเป็นฐานทัพจับนายพลห่าวอู๋ไว้เป็นตัวประกัน เมื่อวานซืนนายพลซีชานเข้าไปชิงตัวประกันแต่พลาดท่าพลีชีพเพื่อพวกเราไปแล้ว พวกมันฝันใหญ่โจมตีโลกต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว”
นายพลทหารอากาศออกความเห็น...
“ตั้งแต่ท่านประกาศโครงการ One Dream แล้วสั่งปิดประเทศ พวกผมก็ไม่ได้รับรู้ข่าวจากโลกภายนอกอีกเลย แต่ก็ได้ข่าวลือว่าโลกล่มสลายไปแล้วที่แท้เป็นฝีมือไอ้พวกนี้เองเหรอ?”
หวังฉวนอมยิ้มสมหวัง...
“การที่ไม่รู้ไม่ใช่ความผิดของพวกท่านหรอก ผมเห็นกองทหารทั้งโลกต้านทานมันไม่ได้จึงไม่อยากให้ทหารจีนเสียขวัญจำเป็นต้องปกปิดเรื่องไว้เป็นความลับ พวกมันพัฒนาอาวุธเสียงชีวภาพขึ้นมาได้และถล่มโลกไปหมดแล้ว”
“ต้องอยู่ห่างจากพวกมัน 5 กิโลเมตรเหรอครับ?”
“ใช่! ฝากทุกท่านไปช่วยกันคิดนะจะถล่มมันยังไง เราต้องหยุดการรุกคืบของมันไว้ รีบไปจัดการเถอะ!” หวังฉวนผายมือยิ้มหน้าเหี้ยม.
นายทหารแยกย้ายกันไป เขาเรียกนายตำรวจไว้...
“นายพลไห่! เรียกรวมพล ยิงอาวุธระยะไกลตรึงไว้ไม่ให้มันรุกคืบ”
นายพลตำรวจเงยหน้าแล้วถอนหายใจยาวก่อนจะเอ่ยเบาๆ...
“ประชาชนของเราจะโดนลูกหลงไปด้วยนะท่าน พวกเขายังอยู่ในพื้นที่”
“ฮึ!” หวังฉวนหันจ้องหน้า...
“สงครามต้องมีผู้เสียสละ 200 ล้านคนนั้นยังไงก็ตาย ปล่อยไว้ก็เป็นอาวุธชั้นดีให้พวกมันกำจัดไปพร้อมกันเลยทีเดียว เอาทหารกับตำรวจของเราออกจากพื้นที่ก็พอ”
นายตำรวจก้มหน้าหลบสายตา พูดอ้อมแอ้ม...
“ที่มณฑลจี้หลินยังป้องกันได้นะครับ” นายพลไห่ซื่อหนานท่าทางไม่สบายใจ
“เอาน่า! เดี๋ยวทหารคงจะไปถล่มที่นั่น เราต้องปกป้องปักกิ่งไว้” เขาหันหาเลขาอูที่เดินเข้ามา...
“นาตาลีหนีไปได้ครับ หมวดจางแอนนามาช่วยไว้ได้”
“ฮ้า!” หวังฉวนคิ้วขมวดใบหน้าเปลี่ยนสี
“ไห่ซื่อหนาน”
“ครับผม”
“คุณไม่ต้องสนใจสนามรบแล้วไปตามล่าผู้หญิงสองคนนี้ให้หน่อย พลิกแผ่นดินก็ต้องจับมาให้ได้” เขาหันไปพยักหน้าเลขาอูส่งรูปของนาตาลีและหมวดจางไปให้
“ครับผม”
พอนายตำรวจออกจากห้อง หวังฉวนหันไปสั่งเลาขาอู...
“เตรียมขีปนาวุธนิวเคลียร์ให้พร้อม ถ้าเอาไม่อยู่ก็ถล่มมันทิ้งไปเลย”
“ได้ครับ!” เลขาอูเดินไปกระซิบลูกน้องแล้วหันกลับมาพูดเชิงปรึกษา...
“เราเลื่อนงานประกาศชัยชนะออกไปอีกไม่ดีกว่าเหรอ?”
หวังฉวนหันขวับ!...
“ไม่ได้!!! ประชาชนรอวันนี้อย่าทำให้ชาวบ้านผิดหวัง เราเดินมาจนถึงจุดสิ้นสุดที่กำหนดไว้แล้ว อย่ากังวลเลย”
ความเหนือชั้นทางเกมการเมือง กองทหารที่ถูกฝึกมายาวนานกว่า 2 ล้านชีวิตรวมทั้งอาวุธทันสมัยกว่า มากพอจะบดขยี้เกาหลีให้เป็นจุลได้ภายในพริบตา อำนาจและเล่ห์เหลี่ยมในมือของคนแก่ มักจะใช้เหยื่อเป็นคนหนุ่มสาวเสมอ
...........................................................
ประเทศเกาหลีเหนือ...
“พั่บ!พั่บ!พั่บ!”
บนท้องฟ้าวุ่นวายเครื่องบินสารพัดบินโฉบเฉี่ยว รถทหารบนถนนทุกสายกำลังเคลื่อนไหว เด็กและคนชราหอบข้าวของพะลุงพะลังทยอยเข้าสู่ผืนป่า สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากสงครามคือความยากลำบากหวาดระแวงและความกลัว ยิ่งถ้าสนามรบใช้เวลานานความหิวโหยอดอยากจะตามมา
“ฟ้าว!!” เสียงคำรามของฝูงบินลาดตระเวนบินผ่านเด็ก ๆ หยุดเดินยกมือโบกยิ้มฟันหลอ
ริมถนนสายยาวก่อนข้ามสะพานรถไฟชินอุยจูเข้าสู่ตานตง รถโมบายล์ส่งสัญญานคลื่นวิทยุ รถขนทหารเสริมกำลังต่อเนื่องเข้าแผ่นดินจีน ชาวบ้านหยุดโบกมือให้กำลังใจ เด็กน้อยดวงตาแน่วแน่ใบหน้ามอมแมมยืดอกทำความเคารพรถทหารที่แล่นผ่านไป
“เนกาเจอิลจัลนากา!” น้องสาวเกาหลีกระโดดโห่ร้องให้กำลังใจเมื่อขบวนรถของทีมเดอะแก๊งแล่นมาถึง...
“เดอะแก๊ง! ปลอดภัยกลับมาเป็นแฟนกันนะ พวกเราจะรอ” เด็กสาววิ่งตามโบกมือยิ้มร่า...
“สหายต้องชนะ!...พวกเราฝากความหวังสุดท้ายไว้ด้วย สหายต้องกอดมันไว้อย่าปล่อยมือนะ” เสียงไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความหวัง
เด็กชายยืนโคลงเคลงยิ้มโบกมือจากรถบรรทุกทหารเมื่อเห็นบรรดาคุณแม่เกาหลีและสาว ๆ ยืนส่งให้กำลังใจ
“บ๊กซูสู้ให้เต็มที่!! แล้วกลับมากินหมี่เย็นที่บ้านนะลูก” บรรดาผู้ใหญ่ป้องปากยิ้มแห้ง
เด็กชายท้ายรถยนต์ตะโกนกลับมา...
“ซ่อนตัวให้ดี!...แล้วคิดถึงพวกเราด้วย ผมจะเอาชัยชนะมาฝาก” เสียงใสของเด็กชายใจเต็มร้อยจากท้ายรถ
เขาชูกำปั้นมั่นหน้า หัวใจที่กล้าแกร่งพองฟูในร่างกายของเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเต็มที่ เด็กวัยรุ่นหัวใจขบถเต็มร้อยกับสงคราม ด้วยความรักชาติทุกคนลืมความตายไปชั่วขณะ
“บรื้น!...” รถยนต์ทหารคันแล้วคันเล่าวิ่งผ่าน เหล่าอาสาสมัครเด็กวัยรุ่นคึกคะนองในชุดวอร์มเหลืองสดขลิบขาวสะพายเป้ดำไว้ด้านหลัง ผ้าขาวเขียนคำว่านักรบโชซอนคาดหัวทุกคนสายตากระเหี้ยนกระหาย
รถบรรทุกทหารโคลงเคลงไปตามถนน เบาะนั่งสองแถวผู้โดยสารโอนเอน ซนบ๊กซูหนุ่มน้อยร่างผอมเกร็งแข็งแรงท่าทางเชื่อมั่นในตัวเองทิ้งตัวนั่ง หันหน้าเข้าหาเพื่อนชายที่สีหน้ากังวลใบหน้าของเขามีพลาสเตอร์ปิดแผล...
“สหายกลัวหรือเปล่า?” เขาถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร
วัยรุ่นหุ่นบึ้กนั่งคอตก...
“กลัว! เรากลัวมากจริง ๆ เราไม่ได้ไปแข่งขันโดรนนะสหาย” แววตาแฝงความเศร้าบนใบหน้าซีดขาว
เจ้าซนลูบแขนปลอบใจเพื่อน...
“เซมบอกว่าไม่ได้บังคับให้ไป ถ้ากลัวไม่ต้องไปก็ได้ เราเข้าใจสหายนะ”
เด็กชายหัวเกรียนถอนหายใจหันมอง สายตาเศร้าอาลัย...
“ซนพันจังนีม! เรากลัวมากแต่เราจะสู้ เพื่อนสนิทของเราตายไปเพราะพวกมันโจมตีที่ DMZ ถ้าเราไม่ไปสู้เราคงมองหน้าออมม่าและน้องสาวของเพื่อนไม่ได้อีกตลอดชีวิต” เขาใบหน้าซีดเผือด สายตาเต็มไปด้วยความกังวล
ซนบ๊กซูตบไหล่เพื่อนด้วยท่าทางมั่นใจ...
“พวกเราจะไม่เป็นอะไรหรอก ซอนเซมก็ไปด้วย นินจาเซมก็ยังอยู่กับพวกเรา เขาช่วยพวกเราได้อยู่แล้วเขาถล่มค่ายทหารจีนด้วยทหารแค่ 10 นายเอง”
“พันจังนีมเชื่อว่า เขาจะพาพวกเราชนะกองทัพจีนได้ไช่มั้ย?”
ซนยืนโยกเยกดึงเพื่อนมากอดแล้วลูบหลังปลอบ...
“ได้สิ! สหายไม่ต้องกลัวนะ ในนามของหัวหน้าทีมเราจะดูแลสหายเอง ซอนเซมบอกไว้ว่า พวกเราเป็นดอกกุหลาบดิน ยิ่งโดนเหยียบย่ำยิ่งเบ่งบาน เราจะเบ่งบานเปล่งประกายในใจของกันและกันเสมอนะ สหาย!”
เยื่อใยไมตรีจากเพื่อนถึงเพื่อนที่กำลังเดินทางเข้าสู่สงครามจะเป็นภาพทรงจำตราตรึงไปตราบชั่วชีวิต การเดินทางที่ไม่มีใครตอบได้ว่าจะเจอกับอะไร? ไปแล้วจะได้กลับหรือเปล่า? ทุกอย่างคือปริศนาที่ไม่มีคำตอบ แต่ในยามที่จิตใจตกต่ำการให้กำลังช่วยพยุงให้ความหวังยังคงอยู่
“ฟ้าว!...” MIG -35 ลายเสือโคร่งพุ่งทะยานลงไปทางใต้สู่ทะเลตะวันตกเขตห้ามบินติดกับชายแดนทางทะเลของประเทศจีน
นักบินรบรุ่นแรกของกองทัพเกาหลีเหนือจ้องเขม็งลงพื้นล่าง ขบวนรถทหารเกาหลีกระจายออกจากค่ายนัมโพไม่ขาดระยะ รถยิงขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานจอดเรียงหน้ากระดานบนหน้าผาหันหน้าออกทะเลจาน เรดาร์หมุนคว้าง
“เสือน้อยแบ็คดูเรียกฐาน”
“ฐานรับทราบ”
“พวกเราพร้อมแล้วครับ กองเรือลาดตระเวนชายฝั่งเข้าประจำการชายทะเลแล้ว”
“รับทราบ!”เสียงจากฐาน
“ขออนุญาตพาฝูงบินโฉบไปเกาหลีใต้นะครับ” เจ้าเสือน้อยโฉบเครื่องบินรบเอียงวูบลงต่ำ
“อนุญาต!”
“ฟ้าว...ววว!!” ฝูงบินรบลดเพดานบินเรียดผิวน้ำผ่านฝั่งอินชอน คิมซองบกสั่งการ...
“กองบินที่1ลาดตระเวนให้ถึงเกาะชูเกาหลีใต้ เปลี่ยนเครื่องที่กวางจู”
“กองบินที่ 2 ลาดตะเวนชายฝั่งทะเลตะวันออกเปลี่ยนเครื่องที่อุลซานเตรียมโจมตีกองเรือจีน”
“กองบินที่ 3 ลาดตระเวนชายฝั่งทะเลตะวันตกเปลี่ยนเครื่องที่ซอซาน แยกย้าย!”
“ฮูย่าห์” กองบินรบโฉบแยกย้ายไปตามทิศทางที่ได้รับคำสั่ง
“สหายทุกท่าน! นักบินผิดพลาดได้แค่ครั้งเดียวซึ่งอาจจะหมายถึงชีวิตของตนเองและเพื่อนร่วมชาติ ทุกความหวังของแนวหน้าคือการได้เห็นทุกท่านบินอยู่เหนือหัวของพวกเขา จงให้ความอุ่นใจกับสหายและอย่าหลบตาเมื่อศัตรูจ้องหน้า อย่าปราณีแม้ศัตรูเป็นสตรี ถล่มให้มันแหลกลาญ ย้ำ!!แหลกลาญ” เสือน้อยโฉบเครื่องเข้าผืนแผ่นดินจีน
“นินจาเซมเรียกเสือน้อย”
“เย่คิมซองบก!”
“สหายสั่งให้นักบินที่เข้าจีนเปลี่ยนเครื่องเติมน้ำมันที่ค่ายฉางชุนได้เลย ที่นั่นซอนเซมไม่ได้ระเบิดคลังสรรพาวุธ กองทหารของเราเข้าไปยึดได้แล้ว เยวอนอยู่ที่นั่น”
“เย่! ”
“กองบินที่ 10-11-12-13 บินเข้าจีนไปเปลี่ยนให้เพื่อนกลับมาแล้วเข้าประจำการที่ค่ายฉางชุน”
ท้องฟ้าฝั่งประเทศจีนเต็มไปด้วยควันดำจากเปลวเพลิง ธรณีแดงฉานเลือดอาบแผ่นดิน เครื่องบินรบบินไล่ล่าไร้กติการุกมาก็รุกกลับ
.........................................................
ฉางชุน มณฑลจี้หลิน
แสงอาทิตย์ยามเย็นยิ้มสะใจมองดูความบรรลัยของมนุษย์โลก ธรรมชาติยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนผันเหมือนที่เคยเป็นทุกวันและทำตัวเป็นผู้เลี้ยงดูสรรพสิ่งและมวลมนุษย์มาช้านาน มันอาจจะคาดหวังว่าสักวันมนุษย์ผู้ประกาศว่าตนเป็นผู้ประเสริฐจะกลับไปดูแลมันเพื่อตอบแทนบุญคุณบ้าง แต่ดูเหมือนมนุษย์ไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย
Tamer 30 ของจีนวิ่งป่วนเมือง ทุกยอดตึกสูงฉายภาพจูยอนนั่งยิ้มหวานพูดเสียงใส...
“Messiah!!! ทุกคนไปเจอกันที่ปักกิ่งนะคะ”
“Messiah! Messiah! Messiah!”
ชาวบ้านผู้โชคร้ายต้องรับกรรมที่ตัวไม่ได้ก่อ พวกที่มีรถยนต์ก็ขับแซงรุดหน้าขึ้นไป พวกที่ไม่มีก็วิ่งตามไปด้วยหัวใจปรารถนา พวกเขามอบหัวใจให้จูยอนไปหมดแล้ว
“แว๊น! แว๊น!” เดอะแก๊งเลี้ยวเข้านิคมอุตสาหกรรมฉางชุนทะลุทะลวงต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งรุกคืบไปทีละนิดโดยไม่ต้องสนใจเบื้องหลัง
“Messiah! Messiah! Messiah!” Tamer 30 สวมเสื้อสีเดียวกันวิ่งตามมาเต็มถนนแปดเลน โดนโฉบมาทั้งโรงงานเลย
“วี๊ด...ดดด!!!” เสียงแหลมเล็กเพราะพริ้งดังขลุ่ยผิวดังกระจายไปทั่วเมืองทั้งคนและสรรพสัตว์แตกตื่น ทุกที่ที่รถมอเตอร์ไซด์แล่นผ่านกลุ่มชาวบ้านต้องวิ่งตาม ไม่มีการเตือนจากรัฐบาลไม่มีใครแจ้งข่าว ผู้ที่ประสบเหตุไม่มีโอกาสแม้แต่จับโทรศัพท์
ฉางชุนแปลว่า ฤดูใบไม้ผลิอันยาวนาน เมืองใหญ่ของมณฑลจี้หลินที่เคยเป็นเมืองหลวงของแมนจูกัวถึงจุดสิ้นสุด ไม่มีโอกาสเห็นฤดูใบไม้ผลิของปีถัดไป ฝูงมอเตอร์ไซด์แล่นลอดใต้ท้องมังกรยาวและป้ายผ้าอำลาผู้มาเยือน...ขอให้สุขภาพแข็งแรงแล้วกลับมาเยือนเราใหม่
โดรนลำน้อยบินเหนือทีมมอเตอร์ไซด์จากเมืองหลักสู่เมืองรอง ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งอำนาจของกองกำลังวัยรุ่นได้
“Messiah!!! ทุกคนไปเจอกันที่ปักกิ่งนะคะ” คำเชิญที่แสนจะธรรมดาแต่อานุภาพรุนแรงยากจะต้านทาน พาหนะทุกชนิดทะยานออกนอกเมืองตามรถยนต์ทหารเกาหลี
“Messiah! Messiah! Messiah!” วัคซีนลดค่าของความเป็นมนุษย์ลงไปเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีเพียงลมหายใจขาดสติและอันตราย
รถติดตั้งอุปกรณ์ขยายเสียงพร้อมวีดีโอแล่นทะยานตามถนนหลัก ทีมมอเตอร์ไซด์วิ่งป่วนเข้าเมืองบริวาร
“วี๊ด!...ดดด!!”
“Messiah!Messiah!Messiah!” เสียงฝูงมหาชนกระหึ่มเมือง
“วู้ว...วว!!” กลุ่มมอเตอร์ไซด์วัยรุ่นทะยานออกจากเมือง
.................................................................
ลานด้านหน้าพระราชวังแมนจูกัวของจักริพรรดิ์ปูยี คิมเยวอนยืนเด่นบนหลังคารถแห่ ยกมือให้สัญญาณดับเครื่องพูดผ่านลำโพง…
“เป้าหมายสำเร็จแล้ว สหายต้องไปขึ้นเครื่องบินที่ค่ายทหาร ทิ้งมอเตอร์ไซด์ไว้แล้วไปหาเอาใหม่ข้างหน้า”
“พวกเราจะได้เจอซอนเซมมั้ยครับ?”
“เจอมั้ย จะได้เจอมั้ย?” เสียงอื้ออึงทันที
“ใช่จ้ะ! ซอนเซมรอพวกสหายอยู่ที่ฉีเฟิ่ง” เธอส่งยิ้มให้เด็กทะโมนแล้วมองไปที่ทหาร....
“จ่าวอนซัง!”
“เย่! พัค!วอน!ซัง!”
“เครื่องบินลำเลียงพร้อมมั้ย?”
“50 ลำพร้อมแล้วครับ!”
“นำเดอะแก๊งไปขึ้นเครื่อง”
“เย่!”
“สหาย! ตามไป” เยวอนโบกมือกองทัพมอเตอร์ไซด์เคลื่อนตัว
“แว๊น! แว๊น!”
ความคึกคะนองสดใสมีชีวิตชีวา ความกล้าบ้าบิ่นเป็นสิ่งที่คู่กับวัยรุ่นมาทุกยุคสมัย ผู้ที่อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงต้องเรียนรู้กับความไม่แน่นอน เพื่อรับมือกับมันในวันข้างหน้า
เธอหันไปมองเด็กชายตาหยีกำลังโบกมือให้กำลังใจเพื่อน ๆ
“จูฮัน! เหนื่อยไหมยังไหวหรือเปล่า?”
“สบายมากครับ!” เด็กชายยืดอก
“เราไปค่ายทหารกันเมืองนี้จบแล้ว ปล่อยไว้สักพักทุกอย่างก็เงียบไปเอง”
“เราไม่ต้องไปฉีเฟิงเหรอครับ”
“เราจะตามไปทีหลัง สหายไปเอามอเตอร์ไซด์มา”
“ผมขับรถยนต์เป็นครับ แทจุนพันจังสอนแล้ว”
“อ๋อ!ใช่สิ! นายสอบได้ที่ 1 ของรุ่นที่ 18 นี่นา ไปหารถยนต์สวย ๆ มาให้นั่งหน่อยสิ” เยวอนอมยิ้มตบไหล่เด็กชายกระโดดลงไป
เสียงวิทยุดังขึ้น...“ซอนเซมเรียกคิมเยวอน”
“เย่!”
“รายงานสถานการณ์ด้วย”
“ภารกิจลุล่วงแล้ว เดอะแก๊งกำลังขึ้นเครื่องไปหาเซมแล้วค่ะ”
“เธอตามมาด้วยหรือเปล่า?”
“นินจาเซมสั่งให้ฉันเข้าไปลาดตระเวนที่ฐานยิงขีปนาวุธ ฉันยังไปไม่ถึงเลยค่ะ”
“จะมืดแล้วนะ! ฐานมันอยู่ทางเหนือของค่ายบนภูเขา ในนั้นมีทหารที่ทนเสียงนกหวีดได้ซ่อนตัวอยู่พาทหารไปด้วย ระวังตัวด้วยนะ”
“เย่!”
“บรื้น!...” รถยนต์หรูหราแล่นมาเทียบข้าง เยวอนขมวดคิ้วก่อนจะก้าวขึ้นนั่ง
“สหายไปเอารถของใครมา ดูรวยมากเลยนะ!”
จูฮันยืดอก...
“หงฉี รถยนต์ในตำนานของจีนครับ” เขากดคันเร่งพรวด เธอผวาหันโวย...
“เบา ๆ หน่อย อย่าขับหวาดเสียวเหมือนกับแทจุนนะ”
เสียงวิทยุดังขึ้น...“ฐานเรียกเยวอน”
“เย่!”
“สหายเจอฐานยิงปรมาณูหรือยัง?”
“กำลังจะไปค่ะ”
“ถึงแล้วรายงานด้วย”
“เย่!”
กองทัพมดรุกรานขึ้นบนลำตัวช้าง ถึงจะตัวใหญ่แค่ไหนก็รู้สึกคัน เพราะมันไต่ไปทั้งลำตัวแล้ว
...................................................................หน้าที่เข้าชม | 12,906 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 11,022 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 23 ต.ค. 2568 |