The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 11 ตอนที่ 1

The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 11 ตอนที่ 1
หมวดหมู่ the last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 11
ราคา 0.00 บาท
สถานะสินค้า Pre-Order
อัพเดทล่าสุด 2 ต.ค. 2568
ขออภัย สินค้าหมด
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay

ปักกิ่ง

พระราชวังกู้กง

มุมมองสายตา จาง แอนนา

บรรยากาศภายในพระราชวังต้องห้ามเงียบเหงาวิเวกวังเวง ความเก่าของตำหนักผสมความเก๋าของสถาปัตยกรรมย้อนยุคเขย่าใจ ในยามไร้ผู้คนช่างอ้างว้างน่าสะพรึงกลัว สายหมอกเหมือนลมหายใจของมังกรคู่แกะสลักเขี้ยวโง้งลิ้นยาวตาโปนยื่นออกมานอกชายคา ลำตัวอวบอ้วนพันรอบเสาประตูคู่หน้าให้ความรู้สึกข่มขวัญน่าเกรงขามมากกว่าสวยงาม

นาตาลีตัวสั่นงั่กเดินห่อตัวควันออกปาก...

“หงึ! หงึ! หงึ! หนาวจะตายแล้ว แอนนาหาที่หลบลมกันเถอะอยู่ข้างนอกไม่ไหวแล้ว” ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาวเย็น เธอมองตรงไปที่ตำหนักฉู่ซิ่วกง

ฉันส่ายหน้าเห็นค้านขอยืนฝ่ายตรงข้าม การเข้าไปด้านในมันเสี่ยงเกินไปเท่ากับเป็นการมอบตัว...

“จะเข้าไปในตำหนักเหรอ แน่ใจนะ?”

“อื้อ! ตรงไหนก็ได้ ที่นี่แม่ง!...โคตรอภิมหายิ่งใหญ่จริง ๆ หาสักที่ให้ฉันหลบลมหน่อยเถอะ” นาตาลีไม่มีความกลัวผีแม้แต่น้อย

แต่สำหรับฉันแล้ว...ผีคือสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง

“ไปที่สำนักงานดีกว่า” ฉันไม่มีทางยอมเข้าตำหนักฉู่ซิ่วกงแน่ลากเธอไปที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ เดินวนหาทางเข้า...ไม่มี

นาตาลีชี้ไปที่ตำหนักอีกครั้ง...

“เข้าไปในนั้นดีกว่า”

ฉันจังงังตาเหลือก...มันจะดีกว่าได้ยังไง ไม่ดีแน่ ๆ...

“อยู่ข้างนอกนี่แหละ ดีแล้ว!

“ข้างในน่าจะอุ่นกว่า ไปเถอะ!” เธอลากแขนฉันสะบัดขัดขืน

“อย่าไป! ฉันอยากจะทิ้งตัวดิ้นงอแงจังเลย

“ทำไม?” เธอจะมาขี้สงสัยอะไรตอนนี้นะ

“ข้างนอกวิวสวยกว่า” ฉันก้มหน้าซ่อนแววตา

“กลัวล่ะสิ! อยากอยู่หนาว ๆ ก็ตามใจ ฉันไปหาผ้าข้างในห่มดีกว่า” นาตาลีห่อตัวกอดอกก้าวขาจากมุมสวนเดินลิ่ว

“รอด้วย!” ฉันไม่ยอมอยู่คนเดียวแน่

ยิ่งเข้าใกล้ตำหนักยิ่งอยากจะห้าม แต่รู้ว่าห้ามไม่ได้ นาตาลีเดินเอามือไล่ผลักบานหน้าต่าง 3 - 4 บานก็เจอจุดพลาดของเจ้าหน้าที่             

“แอดดด!!เสียงไม้ฝืดกัดใจชวนสยอง

เธอยื่นหน้าเข้าไปมองด้านในแล้วหันมาชวน...

“ไม่เข้าแน่นะ!

“หึ! ฉันโยกตัวถอย...

“ก่อไฟไหมฉันก่อให้ อยู่ข้างนอกสบายตาดีกว่า?” ฉันปะเหลาะสุดเดช อยู่ข้างนอกยังมีมุมมองกว้าง ถ้ามีอะไรกึกกักยังได้วิ่ง

เธอจับขอบหน้าต่างเตรียมตะปีนเข้าด้านใน หันกลับมามองแล้วส่ายหน้าเดินกลับมาบ่นใส่...

“คุณก็กลัวไม่เข้าเรื่องผีไม่มีจริงหรอก ถ้ามีจริงก็ออกมาสิ...ฉันจะได้รู้สักทีว่าชีวิตหลังความตายมีจริง จะได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมด้วย ความกลัวไม่เคยเรียนรู้สิ่งใหม่”

นี่ถ้าเป็นคนอื่นฉันตบปากไปแล้ว เธอคว้าแขนของฉันลากกลับไปที่หน้าต่าง...อยากจะร้องไห้...

“อย่าท้าทายอย่าลบหลู่ เดี๋ยวปวดท้องนะเชื่อฉันเถอะ!

“เข้าไปเถอะ! หนาวกึก!กึก!กึก!” เธอตัวสั่นฟันกระทบผลักหลังฉันให้ขยับ แต่ฉันก้าวขาไม่ออกยึกยักไม่มั่นใจ

“เร็ว!” โดนดันหลังเร่งอีก

ฉันกลั้นใจยื่นหน้าเข้าไปในห้องขนแขนตั้งตรง หรี่ครึ่งตาลุ้นมองภายใน แสงสลัวไฟส่องสะท้อนลวดลายสีสันโบราณเพิ่มความเข้มขลัง อาคารน่าสะพรึงกลัวกับประวัติที่ยาวนานมันหมายถึงมีคนมากมายหลายรุ่น ทั้งเจ้าและทาสตายทับถมกันในพระราชวังแห่งนี้หลายชั่วอายุคน และที่สำคัญฉันเสือกรู้ประวัติที่นี่ดีซะด้วยสิ ความกลัวยิ่งทวีคูณ

“หลบไป! เธอผลักแล้วตะปีนเข้าไปยืนหมุนหน้าแท่นพระที่นั่ง...

“ถ้าสว่างน่าจะสวยนะเนี่ย วินเทจขนานแท้เลย” ไม่มีลังเลไม่มีเกรงใจเจ้าที่ ฉันรีบตะปีนตาม

พระที่นั่งไม้แกะสลักฝังมุกตั้งโดดเด่นเยื้องไปทางทิศใต้ ตำหนักสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างขนาด 5 ห้องลึก 2 ห้อง (1 ห้องเท่ากับ1ช่วงเสายาวประมาณ 4 เมตร) เสากลมแต่ละต้นทาสีแดงแกะสลักหงส์มังกรพันรัดรอบตั้งค้ำหลังคาสูงเหมือนปีศาจเล็บยาวเฝ้าทรัพย์

ด้านหลังพระที่นั่ง...เงาดำของพญามังกรแกะสลักตัวยาวเล่นคลื่นบนผนังทางด้านขวามาบรรจบกับนางหงส์เหินขนยาวที่ล้อลมจากผนังด้านซ้ายเหมือนมีชีวิต

“นอนที่นี่แหละ ไม่โดนลมไม่หนาวดี” เธอเดินชมสบาย ๆ ไม่มีอาการกลัวเกรงตรงกันข้ามกับฉันที่หมุนตัวเป็นลูกข่างเดินหรี่ตาเหมือนดูหนังผี

“มาอยู่ใกล้ ๆ หน่อยสิ!” ฉันดึงนาตาลีมากอดไม่ให้เดินมั่ว พากลับมาทิ้งตัวนั่งลงบนพรมหน้าพระที่นั่งทองคำ

นาตาลียิ้มซนนอนหงายมองปลื้มกับความอลังการในแสงสลัว ไม่รู้จะชอบอะไรนักหนา ฉันตัดสินใจนอนคว่ำหน้ามองพื้นแต่ก็ดึงเสื้อของเธอไว้กันเหนียว

“นี่!...คุณแอนนาที่ตั้งกว้างจะเบียดไปไหนยะ?” เธอขยับหนี

“เออน่า! คืนเดียวขอเบียดหน่อย” ฉันขยับตาม

“ฉันว่าฉันขี้โกหกแล้วนะ คุณเนียนกว่าเยอะเลย”

“ฉันโกหกเมื่อไหร่ ฉันไม่เคยโกหก! เธอจะมาไม้ไหนอีกวะ?

“คุณสอนลูกไม่ให้กลัวอะไร? น้องแทนเคยกลัวอะไรที่ไหนล่ะแต่คุณนี่...สารพัดจะกลัวเลย”

“ฉันกลัวแค่ 2 อย่างนี้แหละ! ฉันก็ลำบากนะที่ต้องแกล้งเก่งต่อหน้าลูก คิดว่าง่ายนักเหรอ?”

“เล่าประวัติตำหนักนี้ให้ฟังหน่อยสิ?”

“บ้า! อย่ารู้เลย” ฉันอยากจะมุดดิน

“อย่าปอดแหกสิ! เล่ามา”

“เล่าคร่าว ๆ พอนะ ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้” มาขยันอะไรตอนนี้วะ?

“นิดหน่อยก็ได้ ถ้าสนใจฉันจะไปหาอ่านเอาเอง”              

“ตำหนักฉู่ซิ่วกงของพระนางฉื่อสีไทเฮา พระพันปีหลวงผู้ยิ่งใหญ่เหนือหมู่ 6 พระตำหนักฝั่งตะวันตก”

“แค่เนี้ยะ!...คร่าวไปมั้ยเล่าอีก?”

“ไปอ่านเอาเถอะมันยาว”

“แล้วมีโอ่งน้ำไว้ทำไมมากมาย ทั้งที่ในสระก็มีน้ำแม่น้ำก็มีไม่จำเป็นต้องมีโอ่งมากมาย”

เรื่องนี้ไม่มีในตำราฉันเล่าให้ฟังก็ได้...            

“อ๋อ!...พระนางฉื่อสีชอบเสวยผลไม้จึงให้พวกขันทีเอาผลไม้มาเก็บไว้ส่วนหนึ่งก็ดอง โอ่งเก็บความสดของผลไม้ในสมัยโบราณ” พอได้พูดสมองก็คิดความกลัวก็ลดลงความรู้สึกก็ดีขึ้น

“ฉันง่วงแล้ว เหนื่อยเป็นบ้าเลย” นาตาลีทิ้งตัวลงนอน

ฉันรีบกอดทันที

“คุณยังจำคาถาขี่ม้าได้หรือเปล่าที่ฉันให้เธอท่องจีบแทนเมื่อก่อนน่ะ?”

“ใครจะลืมลง! งานนั้นคุณผิดคนเดียวเลย พูดแล้วก็คันคอ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ฉันหลุดหัวเราะลั่นลืมตัวต้องรีบปิดปากตัวเองหันไปกระซิบ...

“วันนี้เราได้มานอนกับเจ้าของวิชาตัวจริงแล้วนะ!

“ถ้ากลัวก็พอแล้ว ไม่ต้องเล่า” นาตาลีตัดบท

ฉันโล่งอกรีบเปลี่ยนเรื่องคุย...          

“ทำไมนกหวีดของฉันใช้ไม่ได้วะ หลงเข้าใจผิดมาตั้งนาน? ฉันชักลังเลนกหวีดของยอร์นเหมือนกันนะ” ฉันกังวลใจแบบนั้น

นาตาลีคว้านกหวีดบนคอมากำไว้อย่างมั่นใจ...

“ชัวร์!

“ชัวร์อะไร?”

“ไอ้ตำรวจนั่นมันไม่ใช่หวังฉวน ฉันเชื่อว่านกหวีดนี้ใช้ได้เฉพาะกับหวังฉวนเท่านั้น”

“ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นคะ?”

“ก็เพราะนกหวีดของคุณใช้ไม่ได้ หมายความว่ายอร์นต้องทำอะไรบางอย่างกับ Tame26 คุณอย่าลืมนะว่าคนของยอร์นเก่งกว่าเราเยอะแยะ” เธอวิเคราะห์แล้วก็พอฟังได้แต่ฉันยังไม่ปักใจเชื่อ

“มั่นใจเหรอดอกเตอร์? ถ้าไปเป่าใส่หน้ามันแล้วไม่ทำงาน...เยี่ยวแตกเลยนะ!

“ไม่รู้ล่ะ! ฉันตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะเป่าใส่หน้ามันเองอะไรจะเกิดก็เกิด ถ้าฉันทำได้คนเกาหลีก็รอดจากสงครามที่พวกคุณก่อไว้”

“อ้าว! พูดไปพูดมาฉันผิดซะงั้น

“คิดถึงแทนกับไป่ไป๋จังเลย ฉันเปิดวิทยุเรียกไปได้ไหม?” เธอหยิบวิทยุขึ้นมาเตรียมดื้ออีกแล้ว /ไม่ได้รู้เลยว่าตำรวจตามเจอก็เพราะสัญญาณวิทยุดาวเทียมนี่แหละ/

“พอคุณเปิดปุ๊บตำรวจก็มาปั๊บ”

“ฉันขนมาทั้งโทรศัพท์ดาวเทียมโทรศัพท์ส่วนตัววิทยุทหาร ใช้ไม่ได้สักอย่างเลยสินะ”

“ใช้ได้แต่ต้องรอตอนชุลมุน คุณก็รู้ว่ามันกำลังตามล่าเราอยู่”

เธอนอนหงายก่ายหน้าผากมองเพดาน...

“ตอนนี้ซอนจะเป็นยังไงบ้างนะ พอคิดถึงซอนแล้วก็อุ่นใจ ฉันเชื่อใจซอน”

แต่ฉันใจแป้วเวลาที่คิดถึงซอน..

.“สงครามคาดเดาอะไรไม่ได้เลย อย่าไปเดาเลยเราเองก็ต้องเอาตัวรอด”

แสงไฟจากภายนอกลอดช่องลมด้านบน สายตาเริ่มคุ้นเคยปรับสภาพกับความมืดมองภาพชัดขึ้น เสาไม้โบราณขนาดสองคนโอบเรียงด้านข้างเป็นแถวช่างเหมือนอสูรกายตัวอ้วนดำ รูปวาดนักรบบนผืนผ้าหน้าตาดุร้ายคล้ายปีศาจหนวดยาวก็จ้องมาตาไม่กะพริบ ฉันไม่อยากมองให้จินตนาการเฟื่องฟุ้งรีบก้มหน้าฝังรักแร้ของนาตาลี

“คุณคิดว่าผีมีจริงไหม?” เอ๋า! ยายบ้าฉันพยายามจะไม่คิด   

“ไม่เอาไม่พูด” ก่อหวอดได้ทุกเรื่องสิน่า

“งั้น! มนุษย์ต่างดาวมีจริงไหม?” เออ! ถามอย่างนี้ค่อยโล่งอกหน่อย

“ฉันเชื่อว่ามี เคยเห็นข่าวว่ามีฟอสซิลมนุษย์ต่างดาวที่เม็กซิโก นอนเถอะ!” ฉันมุดหน้า

“มนุษย์ต่างดาวมีหลักฐานแล้วคนก็ยังไม่เชื่อ แต่ผีกับพระเจ้ายังไม่มีหลักฐานว่ามีตัวตนจริงคนกลับเชื่อ” เธอจะมาวิเคราะห์อะไรตอนนี้ หุบปากดีที่สุด

“มีหรือไม่มีก็ขอให้อยู่คนละส่วนดีที่สุดแล้ว” ฉันมุดดินได้คงมุดไปแล้ว

“ไม่นอนดีกว่ามาคุยกันเถอะ! ถ้าพรุ่งนี้ฉันตายคุณจะไม่ได้คุยกับฉันแล้วนะ” นาตาลีพูดบ้าอะไรเนี่ย!

ฉันเด้งลุกนั่งทันที...

“อย่าพูดอย่างนี้สิตายเตยอะไรกัน ไม่เอาอย่าพูดอย่างนั้น?”

หายกลัวผีไปเลย...

“เคาะไม้ก่อน เร็ว ๆ” ฉันจับมือของเธอเคาะพื้นแก้เคล็ด...

“ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เธอไม่ขัดขืนแต่ก็มองด้วยสายตาสงสัย...

“ให้ฉันเคาะทำไม?”

“เคาะแคนเซิลถือว่าไม่ได้พูด อย่าพูดเป็นลางไม่ดีแบบนี้อีก”

“ก็..” เธอจะเถียงฉันรีบปิดปาก...

“อย่าพูด!

“งั้นมาคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวดีกว่า อย่านอนเลย” นาตาลีดึงฉันเข้าไปกอด...

“ฉันรักคุณนะแอนนา ฉันกับไป่ไป๋อดทนกับความเสียใจรอดมาได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะคุณนะ” คำพูดแค่นี้เติมพลังให้หัวใจของฉัน ยายนี่น่ารักก็ตรงนี้แหละ

“ฉันก็ต้องขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาสและเปลี่ยนชีวิตของฉัน แถมยังช่วยเลี้ยงน้องมาอย่างดี”          

“บางทีพอคิดย้อนกลับไปก็เจ็บปวด ถ้าย้อนเวลากลับไปได้คุณยังคิดจะขโมยวัคซีนของฉันไปทำTame 26 อีกมั้ย?”

“ทำ!

“คุณไม่สำนึกอะไรเลยเหรอ?”

“สำนึกสิ!

“สำนึกแล้วทำอีกทำไม?”

“ถ้าย้อนกลับไป ทั้งอายุความหวังความฝันและตัวตนของฉันก็จะกลับไปเป็นแบบเดิมและฉันก็จะทำตามความคิดเดิม เพราะตอนนั้นฉันคิดได้แค่นั้น”

“ถึงอย่างไรชะตากรรมของโลกก็ไม่เปลี่ยนใช่มั้ย?”

“ถึงแม้ไม่มี Tame 26 โลกก็ล่มสลายอยู่ดี โลกใบนี้มีคนจ้องจะกินรวบอยู่ตลอดเวลา สงครามเกิดขึ้นทุกภูมิภาคด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง คนรวยเลวจะได้ประโยชน์และมีอำนาจมากขึ้นจากความวุ่นวาย ในขณะที่มหันตภัยธรรมชาติก็กำลังรุมเร้า มนุษย์โลกไม่มีวันได้สงบสุขหรอกถ้ายังใช้วิธีคิดแบบเดิม”

“ถ้าอย่างนั้น...ที่จูยอนเคยพูดไว้ก็ถูกทั้งหมดน่ะสิ สิ่งที่แทนเรียกร้องก็เป็นสิ่งที่ถูกด้วยสิ” นาตาลีจับตามองทุกคน

“เอ่อ! ก็ไม่ถูกทั้งหมดหรอกมันเป็นเพียงปลายเหตุ ฉันมองว่าคนกับความโลภมันแยกจากกันไม่ได้ ถึงคนจะตายหมดทั้งโลกแต่เด็กที่เกิดใหม่ก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องมีตัวอย่าง ความโลภมันเป็นสัญชาติญาณดิบตอบสนองความต้องการพื้นฐาน แค่กับข้าวแตกต่างกันก็โลภได้แล้ว”

“คงจะจริงอย่างนั้น เพราะลิงไม่เคยโลภมากไปกว่าแค่ท้องอิ่ม”

“เราแก้ปัญหาความโลภไม่ได้หรอก นักศาสนา นักปรัชญาเมธีพยายามจะหาทางกำจัดก็ยังไม่สำเร็จและไม่มีวี่แวว สุดท้าย...พวกนักบวชผู้เผยแผ่ศาสนาก็หนีความโลภไม่พ้นกลายเป็นตัวอย่างชั้นเลวเหมือนพวกผู้ปกครอง เงินคือ King of god

“คุณไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีของจูยอนเลยเหรอ?”

“ฉันเห็นด้วยทุกประการแต่ถ้าให้ฉันแก้ปัญหา ฉันจะใช้วิธีดัดสันดานแทนการฆ่า ความตายมันง่ายเกินไปสำหรับคนที่ไม่มีความสำนึกรับผิดชอบ”

“ยายโหด! ฉันนึกว่าจะเป็นคนดี คุณกะจะเอาเข้าค่ายปรับทัศนคติทรมานให้ตายช้า ๆ เลยเหรอ?”

“ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ คุณถึงคิดยังงั้นได้?”

“ก็คุณบอกจะดัดสันดาน คุณรู้มั้ยว่าการเปลี่ยนนิสัยนี่แหละทรมานที่สุด ยากกว่าการเลิกยาเสพติดอีก”

“ก็ในเมื่อสรุปแล้วว่าโลกเสื่อมโทรมเพราะจิตใจของมนุษย์เสื่อมทรามก็ต้องพัฒนาจิตใจของมนุษย์ ไม่ใช่มุ่งแต่พัฒนาเทคโนโลยีที่ฟุ่มเฟือยและวัดระดับของคนที่ทรัพย์สิน บูชาคนรวย”

“ความคิดของคุณก็ยังรังเกียจทุนนิยมเป็นคอมมิวนิสต์อยู่ดี แล้วคุณมองจูยอนยังไงบอกฉันหน่อยสิ” ยายดอกเตอร์ขยับตูดมาหา

“จูยอนไม่ใช่คนโหดร้าย เธอเป็นคนจิตใจมั่นคงในการหาความสงบในใจของตนเอง ฉันเข้าใจหัวอกของจูยอนที่ตัดสินใจถล่มเกาหลีเหนือ เธอไม่ได้ทำเพราะความโลภ เธอไม่ได้มีความทะเยอทะยานทางการเมือง เธอสมควรเป็นแม่ของแผ่นดิน หลายชาติต้องการคนกล้าหาญแบบนี้” ฉันศรัทธาหัวใจของเธอ

“คุณบอกว่า ถ้าคุณแก้ปัญญานี้จะไม่ทำเหมือนกับจูยอน บอกหน่อยสิว่าต้องทำยังไง?”

“ไม่รู้สิเพราะฉันยังไม่ได้เป็นผู้นำ”

“ขี้โม้เหมือนกันนี่หว่า! อ่ะ! สมมุติว่าเราชนะ คุณจะทำยังไงต่อ?” เธอพลิกตัวนอนตะแคงมองมา

“ฉันไม่เคยคิดว่าเราจะชนะ ฉันเพียงแค่ตกใจที่คุณหนีมา”

“ฉันไม่ได้หนี! ฉันมาธุระจะให้บอกอีกกี่ครั้ง ฮึ!ยายนี่ไม่ยอมรับผิด หมั่นไส้จริง ๆ

“เออ! ฉันผิดก็ได้” ฉันไม่อยากทะเลาะด้วย

“งั้นตอบมาถ้าชนะคุณจะทำยังไง?”

“ให้สมมุติเหรอ?...ฉันไม่กล้าสมมุติเลย”

“คิดจะแพ้รึไงยะ!แหม! ฮึดฮัด อวดเก่งไม่มีใครเกิน

“เปล่า! แค่หัวกลวง” ตอนนั้นคิดว่าแค่มาตามหาเธอ ฉันคิดแค่นั้นจริง ๆ

“เออน่า! ลองสมมุติดู ฉันอยากฟัง”

“ถ้าฉันชนะมนุษย์ที่ยังมีโอกาสทั้งหมดจะรอดตาย ฉันจะทำวัคซีนช่วยเหลือคนทั้งโลกให้กลับคืนมา แต่วันนี้เดอะแก๊งก็จัดการคนจีนไปอีกเกือบ 200 ล้านคน โคตรสลดใจเลย!” เพราะเรื่องนี้ทำให้ฉันไม่อยากสมมุติเลย

มูลค่าของความสูญเสียจากความแค้นนั้นสูงมาก เมื่อมันระเบิดจากอกของผู้ที่ถูกกดดันก็ไม่ต่างจากปรมาณู แต่ฉันจะมุ่งมั่นช่วยเหลือผู้ที่ติดเชื้อเพื่อลบล้างความผิดในใจและจะไม่มีวันเปลี่ยนจุดยืน

“ซอนคิดบ้า ๆ ไปทำยังงั้นได้ยังไงก็ไม่รู้เนอะ?” เธอยังจะมีหน้ามาถามอีก เรื่องนี้เธอน่าจะต้องโดนตบกะโหลก

“เพราะคุณนั่นแหละ! ถ้าคุณไม่หนีมา แทนก็ไม่ต้องยึดอำนาจ ซอนก็ไม่ต้องประกาศสงคราม” ฉันอยากจะแหกอกเธอเหลือเกินวนไปวนมาก็ต้องมาลงกับเรื่องนี้อีก

เธอส่ายหน้าเบ้ปาก...

“คนอย่างแทนน่ะเหรอจะยึดอำนาจ ไม่มีทาง! แทนของฉันไม่เคยทะเยอทะยานไปมากกว่าช่วยคน”

“มันเกิดขึ้นแล้ว” ฉันยักไหล่

“ใครสั่ง! เธอเสียงสูงจ้องเขม็งเหมือนคนรู้ทันจนฉันต้องหลบสายตา

“ฉันเอง...” ยอมรับก็ได้วะ

“กะแล้วเชียว!..ทำไมต้องบังคับให้แทนทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบด้วย คุณจินตนาการเฟื่องเกินไปแล้ว คิดกันใหญ่โตไปเอง ฉันแค่มาทำธุระ ฉันผิดเหรอ! ผิดอะไร! ตรงไหน?” พอได้ทีเสียงสูงใส่เลยนะ

“คุณจะบอกว่า พวกฉันบ้าเหรอที่บุกจีนเพื่อช่วยคุณ?”

“ใช่! ฉันมาคนเดียวเป่านกหวีดใส่หน้ามันก็จบเกมแล้ว คุณจะสร้างความวุ่นวายขนาดนั้นทำไม? แค่ Soulless เกาหลีใต้ยังไม่มีปัญญาฉีดวัคซีนให้เลย ผัวคุณสั่งเดอะแก๊งร่อนโดรนเพิ่มขึ้นอีก 200 ล้านคน ลืมเรื่องช่วยเหลือไปได้เลย”

แหม!..พูดเก่ง เมื่อเช้าเธอก็เกือบโดนจับได้อยู่แล้วยังจะปากดี ฉันรู้สึกโกรธที่โดนขยำความหวังดีขว้างใส่หน้า...

“ทุกคนมองว่า ชีวิตของคุณเป็นเรื่องสำคัญ แต่คุณกลับเห็นว่าสิ่งที่พวกเราทุ่มเทเป็นความผิด ฉันต้องขอโทษด้วยมั้ย? ต้องคุกเข่ามั้ย?” ฉันไม่เข้าใจหรือเธอพูดผิด

“แต่การใช้กำลังทหารยุติปัญหานี้ไม่ได้คุณก็รู้อยู่เต็มอก เราเคยคุยกันแล้วนี่”

“เออ! เราเคยคุยกันแล้ว แต่มันก็แค่คุยกันเล่นเรื่อยเปื่อยและไม่เคยคิดว่าคุณจะทำมันจริง ๆ”

“ทุกคนก็รู้ว่าถ้าหวังฉวนตายปัญหาจะจบ ฉันผิดตรงไหนไม่ทราบที่มาทำภารกิจนี้เอง” เธอเถียงคอเป็นเอ็นเลย

“พูดไปพูดมา ฉันเป็นคนผิดใช่มั้ย?” ฉันสงสัยแค่นี้แหละ

“ใช่อีกนั่นแหละ! คุณเป็นคนเก่งที่สุดเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์และทหารไม่น่าโง่ขนาดนี้นี่ ขนาดของกองทัพก็เทียบไม่ได้ความชำนาญการรบก็ห่างกันไกล คนที่เก่งทางทหารของเราก็นอนอยู่โรงพยาบาล คุณจะเอาอะไรไปชนะสงคราม คุณคิดไม่ออกเหรอว่าทางชนะมีแค่ทางเดียวและฉันเป็นคนถือนกหวีดนี้มาตั้งแต่ต้น จูยอนมอบให้ฉันเพื่อทำสิ่งนี้ ถ้าลบความผิดในใจไม่ได้ก็ตายไปพร้อมกันเลย”

เธอสะบัดหน้าไม่เห็นความปรารถนาดีของฉันอยู่ในสายตาเลย คำพูดก็แดกดันจนจุกอกสิ่งที่ฉันทำไร้ค่าขนาดนั้นเลยหรือ?

ฉันอึ้ง...

“ฉันไม่ต้องช่วยคุณแล้วใช่มั้ย?” ปากดีขนาดนี้ปล่อยให้หมากัดซะดีมั้ย? ฉันน้อยใจนะ

“สมมุติค่ะ สมมุติ!

“อ้าว! เอ้อ! ฉันปรับสภาพจิตไม่ทัน เริ่มแยกไม่ออกแล้วอันไหนจริงอันไหนเท็จ

“เป็นอันว่าสงครามนี้เกิดขึ้นเพราะคุณ แล้วตอนนี้คุณสั่งการทหารเกาหลีได้ยังไง?” สุดท้ายเธอก็ยัดเยียดความผิดให้ฉันอยู่ดี

ฉันส่ายหน้า...

“ตอนนี้ไม่ได้แล้ว แต่ฉันแต่งตั้งผู้บัญชาการไว้แล้ว”

“ใคร?”

“นายพลพิเศษเต๊งเหน่ง”

“ฮองเฮาเหรอ?” เธอดวงตาประกายขยับเข้ามาใกล้อีก

“อือ! ฉันไม่อยากให้โรคกำเริบเลยใช้ให้เธอไปลุ้นกับทหาร หัวสมองจะได้ไม่ว่าง” ฉันเชื่อว่าไป่ไป๋จะใช้ไหวพริบแก้สถานการณ์เลวร้ายได้

ในบรรดาพี่น้องของเราทุกคนมีชะตาที่ความตายเดินตาม ไป่ไป๋เป็นคนเดียวที่สะอาดที่สุด เธอคือคนที่ถูกวางตัวเพื่อสืบทอดเรื่องราวของครอบครัวนี้ไว้ตั้งแต่ต้น ชะตากรรมของพวกเราหลังจากนี้เธอจะเป็นคนกำหนด

ยายดอกเตอร์ยิ้มกรุ้มกริ่ม...

“เธอหายตั้งนานแล้ว แทนรักษาให้ทุกวัน ลื่นปรื้ด!ลื่นปรื้ด! หน้าทะเล้นมากยายดอกเตอร์ ข้อดีของนาตาลีคือไม่มีความอิจฉาริษยาในใจแม้แต่น้อย

“อืม! เซ็กซ์รักษาโรคนี้ได้”

นาตาลีลุกนั่งกระฉับกระเฉง...

“เรามาดูโปรแกรมในแท็บเลตกันดีกว่า เราอาจจะต้องใช้มันอีก ขอดูหน่อยสิ”

“อ่ะ! ฉันผลักเป้สะพายหลังไปให้

เธอรื้อค้นหยิบแท็บเลตขึ้นมาเปิด...

“ฟริ๊ง!...” เสียงต้อนรับดังลั่น

เธอย่นจมูกโวยใส่...“ปิดเสียงไอ้นี่ก่อนได้มั้ยเกลียดมันจัง”

ฉันคว้าแว่นควบคุมโดรนมาสวมแล้วกดปุ่ม

“แบ่งหมวดหมู่เยอะแบบนี้ใช้งานยากไปหน่อยนะ น่าจะป้อนคำสั่งด้วยเสียงจะใช้ง่ายขึ้น”

ตัวหนังสือเต็มพรืดหน้าจอ...

“ฉันอ่านไม่ออกเลยมีแต่ภาษาเกาหลี” ฉันลายตาเวียนหัวต้องถอดออก

ทันใดนั้น..

“วาบ! แสงแวบเข้ามานาตาลีหยุดชะงัก...

“แสงไฟ!” เธอจ้องไปที่แสงไฟบนเพดานทางซ้าย

ฉันเด้งลุกนั่งรวบของ แสงไฟฉายสว่างวูบวาบมาจากด้านตำหนักคุนหนิงกง เธอลุกพรวดวิ่งไปแนบสายตาผ่านรูผนัง

“มันมา 5 คนแวะตำหนักนอก โอ้โห!..ไม่ใช่ 5 แล้วล่ะ เพียบเลย!

หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง ความกังวลเกาะกุมรุมเร้าเริ่มเครียดกับสถานการณ์ แสงไฟวับแวบกระจายทั่วตำหนักคุนหนิงกง กลุ่มตำรวจวิ่งออกไปทางหมู่ 6 ตำหนักฝั่งตะวันออกอีกหลายกระบอก ตำรวจสองนายหันไฟฉายมาทางนี้แล้วก้าวเดินมา

ฉันคว้าแขนของเธอวิ่ง...

“มันมาแล้ว”

พวกเราปีนออกหน้าต่างวิ่งฝ่าความมืดมาหยุดที่ประตูกำแพงแดง แสงไฟฉายกระจายไปทั่ว

“หงึ! หงึ! อากาศหนาวมากเลย” นาตาลีกอดอกเสียงสั่นอากาศเย็นจัดสายลมพัดโชย

“วาบ! ไฟฉายวับแวบมาทางนี้ ฉันดึงนาตาลีนั่งแอบต้นดอกแก้ว ตำรวจกำลังเดินมาทางนี้

“เราออกนอกวังไม่ได้แล้วใช่ไหม?”

“อื้อ!!” ฉันจับมือของเธอย่องถอยหลัง

“ถ้าถูกจับได้คุณยิงฉันทิ้งเลยนะ อย่าให้มันจับไปเป็นตัวประกัน ทุกคนจะตายไปด้วย”

หึ! เด็กน้อยเอ้ย....

“อือ! ฉันจะยิงที่หัวนะ”

“ยิงตอนเผลอนะ” แน่ะ! ยังมีต่อรองอีก

ทันใดนั้น...

“เฮ้ย! หยุดนะ” เสียงมาพร้อมกับแสงไฟวาบด้านหลัง

“นั่ง!” ฉันรีบก้มต่ำดึงแขน

แต่ช้าไป แสงไฟฉายสว่างพรึบส่องมาที่เราจากทุกทิศ

“วิ่ง!...

“เย่! งานถนัด นาตาลีพรวดอย่างเร็ว

“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!ประกายไฟแลบข้างกำแพง

“ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ตรึ่ด! ห่ากระสุนทักทายระดมเข้ามา

ลำแสงไฟฉายจากตำรวจกลุ่มใหญ่ตีวงล้อมเข้ามา พระราชวังที่เงียบสงบยามค่ำคืนกลับกลายเป็นสนามรบย่อม ๆ เดิมพันครั้งนี้มีมูลค่าสูงมาก ถ้าพวกเขาจับนาตาลีได้สงครามเกาหลีคงจะจบลงอย่างบอบช้ำแสนสาหัส

……………………………………………………….

จำนวนผู้มาเยือน

หน้าที่เข้าชม12,886 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด11,002 ครั้ง
ร้านค้าอัพเดท2 ต.ค. 2568

สมาชิก

พูดคุย-สอบถาม