The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 1 ตอนที่ 5

The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 1 ตอนที่ 5
หมวดหมู่ The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 1
ราคา 0.00 บาท
สถานะสินค้า Pre-Order
อัพเดทล่าสุด 24 ม.ค. 2567
ขออภัย สินค้าหมด
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay


เหอเฝย มณฑลอานฮุย
  ประเทศจีน

มุมมองสายตา  แทน

กันยายน2020

 เสียงเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบกระหึ่มคำรามจากรถหัวลากขนาดใหญ่ Volvo 12เกียร์เดินหน้า 500แรงม้า วิ่งไล่ตามแสงไฟสว่างจ้าหน้ารถของตัวเองที่เลี้ยวโค้งหนีไปตามถนนวกไปเวียนมา ราวกับโกรธแค้นกันอย่างไม่ลดละมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกของประเทศจีนในยามหัวค่ำ
             “บรื้น!  บรึ่น! ฟี้ด!  ฟี้ด!” เสียงเครื่องยนต์ผสมผสานกับเสียงลมเบรคดังไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สองข้างทางไร้แสงไฟและผู้คนเดินสัญจร  เงาทะมึนของภูเขาราวกับปีศาจ ยังห่างไกลตัวเมืองนัก นาน ๆ ครั้งที่จะมีรถยนต์แล่นสวนมาสักคัน  เสียงเพลง Home @ Michel Bubble จากวิทยุภายในรถยนต์สะท้อนแทงใจ เนื้อเพลงบรรยายเรื่องคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน  แต่ผม...ไม่คิดอยากจะกลับไป ที่นั่น...มันมีแต่รอยยับในหัวใจ                   การเข้าร่วมเรียกร้องประชาธิปไตยที่บ้านเกิด ความเห็นต่างกลับนำพาความแตกแยกเข้าสู่ครอบครัว ด้วยความเชื่อที่ต่างกันทำให้ความสัมพันธ์บาง ๆ ระหว่างผมกับพ่อต้องจบลง ผมโดนเชิญออกจากบ้านและมีหมายจับติดตัว  ในเมื่ออยู่ไม่ได้ก็ไม่ง้อ หนีมาขับรถกับพี่ตุ๋ยสบายใจกว่า ผมคิดว่าการได้เดินทางเป็นการเรียนรู้ภาคปฎิบัติและเป็นกำไรของชีวิต จะมีมนุษย์สักกี่คนที่ได้เดินทางรอบโลก ชีวิตคนเราเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว ไปเที่ยวดีกว่าดูคลิป     
          “เจ็ทโด้! เหนื่อยรึยัง เปลี่ยนกันขับมั้ย?” พอเอ่ยถึงก็ตื่นพอดี พี่ตุ๋ยร้องถามจากเบาะหลัง      
           พี่ชายที่ผมฝากชีวิตไว้ใบหน้าเหลี่ยมขาวเนียน จมูกโด่งคิ้วเข้ม ผิวสีแทน ผมยาวสลวยถึงกลางหลัง อายุ 35ปี สูงราว1.80เมตร บึกบึน กำยำ ชอบแต่งตัวสไตล์คาวบอย
          “อึ้บ!” เขาปีนข้ามเบาะหลังมานั่งข้างผม พี่ตุ๋ยจัดว่าเป็นคนหน้าตาดี ใจดีและใจถึงมาก ข้อเสียของพี่ตุ๋ยมีอย่างเดียวคือปากเสีย
          “ไม่เป็นไรครับพี่? ผมสบายมาก ลงภูเขานี่...ก็ถึงทางราบแล้ว พี่นอนต่อก็ได้ผมหันยิ้มให้พี่แล้วชี้นิ้วไปเบาะยาวด้านหลังให้เขานอนต่อ     
          “หายง่วงแล้ว” เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วชวนผมคุยต่อ             
          “แกมาขับรถกับพี่ 6 เดือนแล้วใช่ป่ะ?  วันนี้ขอสัมภาษณ์หน่อยนะ  ตอนเด็ก ๆ แกใช้ชีวิตยังไง? เล่าให้ฟังบ้างสิ!” พี่ตุ๋ยเริ่มตั้งคำถามเรียบ ๆ  ผมครุ่นคิดคำนวณในใจ มือยังคงสาวพวงมาลัย               
          “9 เดือนแล้วครับพี่! อยากรู้เรื่องอะไรครับ? มันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ชีวิตผมมีแต่เดินทางกับเดินทางผมตอบยิ้ม ๆ พี่ตุ๋ยนั่งผงกหัวตามจังหวะเสียงเพลง   
           ผมพูดภาษาถิ่นไม่ถนัดเลยต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับพี่ตุ๋ย เขาเก่งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสมาก ส่วนใหญ่เราจะคุยกันภาษาอังกฤษ                  
           “เอื้องเล่าเรื่องของแกให้พี่ฟังนิดหน่อย เธอบอกให้มาถามกันเอาเอง พี่ตุ๋ยเอามือลูบหัวตัวเอง พูดเหมือนจะฟ้องหัวเราะแหะๆ
           “อ่ะ!..ผมจะเล่าให้พี่ฟัง คืออย่างนี้นะพี่ ตอนผมอายุ10ขวบหลังจากแม่เสียไป พ่อก็ถูกส่งไปอยู่กับญาติที่อังกฤษผมไม่อยากคิดถึงชีวิตช่วงนี้เลย ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์กันแบบใดก็ตาม ถ้าต้องไปอยู่บ้านของคนอื่น มันก็คือผู้อาศัยดี ๆ นี่เอง             
           “โห!..เจ็ทโด้ ไปอยู่คนเดียวเหรอ? ชีวิตแกก็ไม่ต่างจากลูกกำพร้าหรอกนะเขาเริ่มซักไซ้ ขยับนั่งขัดสมาธิบนเบาะ เอาหลังพิงประตู หันหน้ามามองด้วยความสนใจ         
           ผมคิดในใจ...ใช่!...พี่ตุ๋ยพูดถูก ผมโหยหาความรักจากแม่มาก ผมมีรากขมขื่นในใจเกี่ยวกับแม่มากมาย             
          “อยู่กับญาติได้ไม่นาน ผมก็ออกไปอาศัยอยู่กับ Host family เรียนจบกฎหมายจาก Manchester Metropolitan University งานอดิเรกก็แข่งรถดริฟต์ ตกปลา ผมกลับมาจากอังกฤษก็ลงทะเบียนเรียนกฎหมายไว้ สอบครั้งนี้ก็จบ ป.โทแล้ว แต่ไม่ทันได้สอบ หนีมาอยู่กับพี่นี่แหละผมเพิ่งกลับมาอยู่ในประเทศได้ไม่นาน ก็ระเห็จหนีคดีมานอกประเทศอีกครั้ง                        
           “เจ็ทโด้!..หนีใคร? หนีทำไม? ไม่เห็นเอื้องบอกเรื่องนี้เลย ยกพวกตีกันเหรอ?” เขาท่าทาฉงนแล้วหัวเราะหึหึ                  
           คำว่าเจ็ทโด้ของพี่ตุ๋ยไม่ใช่คำหยาบคาย  เป็นเพียงคำติดปากแทนอาการต่าง ๆ เช่นตื่นเต้น ดีใจก็ เจ็ทททโด้ววว!” เสียงยาว
           ถ้าเสียใจ ผิดหวังก็ เจ็ทโด้! เสียงสั้นประมาณนี้ มันฟังเป็นธรรมชาติมาก ถ้าเขาเป็นคนพูด มันคือสัญลักษณ์ทางการค้าของเขาเลยก็ว่าได้             
           “ผมโดนคดีตัวเลข นึกถึงวันที่ผ่านมาแล้วมันก็เจ็บใจ มันแค้น มันอึดอัดใจเหลือเกิน ปล่อยให้นักสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องมาพเนจร
           “เล่นหวยเหรอ? เล่นหวยต้องหนีไกลขนาดนี้เลยเหรอวะ?” พี่ตุ๋ยเกาหัวสงสัย             
           “อือ..พอดี ซื้อถูกเลขเต็ม ๆ เจ้ามือไม่ยอมจ่าย แม่ง! ให้ลูกสมุนไล่จับเลยต้องหนี ผมหันไปยิ้มให้พี่ตุ๋ย            
           เจ็ทโด้! ซื้อถูกแล้วหนีทำไม? เลขอะไรวะ? วันหลังบอกพี่มั่งนะพี่ตุ๋ยหน้าตาตื่นสนใจ ขยับตัวมาทางผม               
           “112              
          “เจ็ทโด้!...เลขล็อค พี่ตุ๋ยร้องเสียงดัง ขยับลงนั่งเรียบร้อยเข้าที่เข้าทาง เงียบกันไปพักใหญ่
           เขาหันมา...     
           “แล้วพ่อว่ายังไงกับเรื่องนี้?   
            “เขาไม่สนผมอยู่แล้ว กลัวจะกระทบธุรกิจของเขา สั่งห้ามผมเข้าบ้านหลังจากทางการประกาศจับตัว ผมเลยมาหาน้าเอื้อง คงไม่กลับเข้าไปอีกแล้ว ผมไม่มีอะไรต้องผูกพันกับกับผู้ให้กำเนิดอีกแล้ว วิกฤติของชีวิตมันสามารถวัดความลึกของจิตใจคนได้ คนที่เป็นผู้ใหญ่ของครอบครัว เอาใจไปฝักไฝ่คนอื่นมากกว่าคนในสายเลือด ก็เท่ากับทำลายสถาบันครอบครัวของตัวเอง     
            “แน่ใจเหรอ? ยังไงเขาก็เป็นพ่อนะเขาขมวดคิ้ว        
            “เขาตัดผมทิ้งก่อน ผมต้องใช้ชีวิตเดียวดายในต่างแดน ไม่เคยมีใครมาเยี่ยมมาหา สายตาของแม่ใหม่ก็รังเกียจผมมาก ผมโดนลอยแพตั้งแต่เด็ก ลืมเรื่องนี้ไปเถอะครับ ผมจะไม่พูดถึงมันอีก ผมมีแต่ความน้อยใจในเรื่องของพ่อ ไม่มีความรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นลูกของเขาเลย เปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า...                
           “พี่ตุ๋ยคิดว่าการปกครองแบบไหนดีกว่ากันระหว่างเสรีประชาธิปไตยกับเผด็จการทุกรูปแบบผมตั้งประเด็นคุยเรื่องการเมือง             
            “คุยกันในฐานะที่ไม่มีใครได้ใครเสียนะ พี่ตุ๋ยบอกเข้าทางพอดีมีเพื่อนคุยเรื่องการเมืองแล้ว มันเข้าสายเลือดมันร้อนวิชาเหลือเกินอยากโชว์ภูมิ                   
           “ได้เลยพี่...จัดมาผมยิ้มรับข้อเสนออย่างเต็มใจ                    
          “ทั้งสองระบอบความหมายของคำว่าชาติ แปลไม่เหมือนกัน แบบเสรีประชาธิปไตย ชาติหมายถึงถิ่นที่อาศัยและพวกเราทุกคน ไม่แบ่งแยกศาสนา สีผิว ฐานะ เผ่าพันธุ์รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่เผด็จการคำว่าชาติหมายถึงของกู แผ่นดินนี้เป็นของกูคนเดียว พวกมึงคือผู้อาศัยพี่ตุ๋ยพูดสีหน้าเรียบเฉย ผมเข้าใจชัดเจนทันที คุยกับเขาก็น่าจะสนุกดี...
         
แล้วยังไงต่อผมอยากรู้มุมมองความคิดของเขา         
           “ระบอบแรก...ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น ระบอบที่สองมีชนชั้นศักดินา สังเกตที่อินเดีย มีหลายวรรณะพี่ตุ๋ยยกตัวอย่างมาเห็นภาพ อินเดียมีหลายวรรณะที่กดทับกันมากมาย
           ชนชั้นสูงมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรมากกว่าจึงได้เปรียบกว่า สบายกว่า และเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์ทุกอย่างครอบชนชั้นล่างเอาไว้ เกิดความเหลื่อมล้ำกดทับ // พี่ตุ๋ยล้ำมาก //
           “อินเดีย ปกครองระบอบกษัตริย์ไม่ใช่เหรอพี่? เราคุยเรื่องเผด็จการกันนะ ผมแกล้งถามแย้งทั้งที่ผมรู้อยู่เต็มอกว่า เผด็จการเบอร์ 1คือระบอบกษัตริย์            
           “ระบอบกษัตริย์มันเป็นเผด็จการซ่อนรูปชนิดหนึ่ง เป็นการปกครองแบบเทวดาปกครองมนุษย์ เป็นนักการเมืองชนิดหนึ่งที่ไม่ต้องเลือกตั้ง พวกนี้สืบทอดทางสายโลหิตพี่ตุ๋ยเสยผมแล้วดึงจมูก สายตาชื่นชมเป็นประกาย...
           “ระบอบประชาธิปไตย เงินภาษีเอาไปพัฒนาประเทศได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ ยกตัวอย่างทางเท้าคนพิการที่ญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส ต้องมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่ากับคนปรกติ ต้องได้รับความสะดวกสบายเท่ากัน เขาวัดประเทศที่เจริญแล้วจากศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บ้านเราก็กำลังจะสร้างนะ บ้านเราก็เป็นประชาธิปไตย
           เขาพูดเหมือนนักวิชาการที่มีความรู้เรื่องการปกครอง ท่าทางน่าเชื่อถือ แต่บทสรุปมันทะแม่ง ๆ                    
          “อีกระบอบล่ะครับนาน ๆ จะได้คุยเรื่องการเมืองกับลูกพี่ รู้สึกดีจัง ผมไม่ค่อยพูดเรื่องการเมืองกับใคร พอพูดแล้วมันหยุดไม่ได้ เขาหาว่าผมบ้ากันทุกคน                
          “ส่วนอีกระบอบจะเสียค่าหัวคิว ไล่ระดับจากยอดสุดของพีรามิดที่เป็นคนส่วนน้อย แต่จะได้เงินงบประมาณมากกว่าคนส่วนมากที่อยู่ใต้ฐาน ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ ถ้าเอาไปจ่ายค่าเทอมให้นักเรียนก็ได้หลายล้านคนทีเดียว พวกนี้จะเป็นประเทศกำลังพัฒนาไปตลอดกาลเขาเสยผมแล้วหันมองไปนอกกระจก
           ผมรู้สึกปลื้มใจที่เพื่อนร่วมทางที่เคารพรัก มีความคิดทันสมัย           
          “พี่ว่า..อย่างไหนดีกว่ากัน? อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะคิดยังไง? มุมมองทางการเมืองก็สามารถบอกลักษณะนิสัยของคนได้        
          “จะเอาตอบแบบรับผิดชอบหรือตอบส่งเดชดี ตอบทั้งสองเลยก็แล้วกัน ฮ่าฮ่าฮ่า!” พูดเอง เออเอง หัวเราะเอง แววตาฉ่ำ
          “ก็ต้องระบอบแรกสิ ดีกว่าเพราะทุกคนมีส่วนร่วมในเงินภาษี เป็นไงดู...หล่อมั้ย?เขายักคิ้วยิ้ม //หล่อมากครับพี่//                
           “ถ้าตอบแบบไม่รับผิดชอบสังคม ก็ช่างแม่งเหอะ! ระบอบไหนกูก็ต้องเสียภาษีให้พวกมันแดกอยู่แล้ว ขอแค่ตัวกูรอดก็พอแล้ว ฮ่า!ฮ่า!” เขาหัวเราะร่วน
           “ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!”ผมพลอยหัวเราะกับแกไปด้วย รู้สึกศรัทธาในความคิดก้าวหน้า             
          “พี่ว่า...บ้านเราอีกนานไหม กว่าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว?ผมรีบถามต่อ
           พี่ตุ๋ยก็มีภูมิความรู้เหมือนกันนี่นา ปรกติผมไม่ค่อยกล้าคุยเรื่องการเมืองกับใคร กลัวมีปัญหากัน                  
           “จะเป็นประเทศพัฒนาแล้วไปทำไม? คนก็เห็นแก่ตัวมากขึ้น วุ่นวายมากขึ้น รู้หรือเปล่า? โหลดหนังดูฟรีก็ไม่ได้ ลิขสิทธิ์แม่งเยอะไปหมด ระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ อีก มันบังคับมึงเป็นหุ่นยนต์เลย พี่ไม่เอาหรอกว่ะ
           อ้าว!..พี่ตุ๋ยตลกซะแล้ว ทำเหมือนเข้าใจเรื่องสิทธิ์ ที่แท้แล้วเป็นคนยังไงกันแน่วะนี่ ทีแรกพูดซะผมแทบกราบเท้าด้วยความศรัทธา...ไปจำใครพูดมาวะ?             
           “แล้วไม่ดีเหรอพี่? ทุกคนอยู่บนพื้นฐานการเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน เหมือนลูกระนาดกั้นถนน รถเล็กรถใหญ่ต้องชะลอเหมือนกันหมด ผมต้องถามให้หายสงสัย  
           ศิลปินคิดสร้างสรรค์ผลงานกันแทบเป็นแทบตายกว่าจะผลิตออกมาได้ เสียทั้งเวลา ความคิดและทุนทรัพย์ เจอไอ้มนุษย์ก็อปปี้ขายลดราคาของแท้ขายไม่ได้เลย อีกหน่อยใครจะคิดสิ่งดี ๆ ออกมา
           “เสรีภาพมากไป เรียกร้องมากไป บ่อนเสรี สุราเสรี จะมอมเมาเยาวชนไปถึงไหนกัน มีเจ้าเดียวก็ดีอยู่แล้ว หวยบนดินอีก มีแต่อบายมุข แหมลูกพี่...พูดอย่างกับเป็นโฆษกรัฐบาล แกส่ายหน้าระอาใจ...  
           “แล้วแก...จะกลับไปเรียนต่ออีกมั้ย?”             
          ด้านนอกรถ...สองข้างทางก็ยังคงมืดสนิทเหมือนชีวิตของผม โอกาสกลับบ้านริบหรี่ รถบรรทุกของเราวิ่งช้าไต่ทางลาดชันของภูเขาลูกสุดท้าย ก่อนจะลงทางราบ หลังจากไต่ภูเขาอยู่นาน        
           เรียนครับ...แต่จะไปเรียนที่อื่น”
          “ทำไม?”
           “กฎหมายส้นตีนพรรค์นี้จะเรียนไปทำไม? ไม่มีที่ไหนหรอกใช้การกล่าวหาคนอื่นไปฟ้องศาล แล้วให้ผู้ถูกกล่าวหาไปหาหลักฐานมาพิสูจน์ตัวเอง ใครมันจะพิสูจน์ได้ในเมื่อมันไม่ได้ผิด ไอ้คนที่กล่าวหาก็กล่าวหาไปเรื่อย”
          “แรงนะมึง”
          “พี่ไม่สงสัยเหรอ ทำไมผมไม่พูดเรื่องกฎหมายมาตราโน้นนี้มาหักล้างกับพี่เลย?”
           “ทำไม?”
           “เห็น ๆ กันอยู่ว่ากฎหมายมันรับใช้ใคร ที่ใดก็ตามถ้ามีคนอยู่เหนือกฎหมาย มันก็ไม่ใช่กฎหมาย มันคือเครื่องมือกำจัดผู้เห็นต่าง ถ้ากฎหมายไม่เป็นกลาง ความยุติธรรมไม่ต้องพูดถึง พี่รู้จัก Lady Justice มั้ย?” ผมหันไปถาม                       
           “ไม่รู้ มันคืออะไร?” เขาหันมามองหน้าแล้วหันกลับไป
           “รูปปั้นผู้หญิงมีผ้าปิดตา มือหนึ่งถือตาชั่ง มือหนึ่งถือดาบผูกผ้าปิดตาไว้ อยู่ที่หน้าศาล”
           “ศาลบ้านใคร? เป็นเจ้าที่เหรอ? ”
          “หน้าศาลสถิตยุติธรรม เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้กับผู้ถือกฎหมายว่าห้ามเลือกปฏิบัติ ตาชั่งสองข้างคือน้ำหนักของพยานหลักฐานและหลักการพิจารณาอย่างรอบคอบ สุดท้ายดาบในมือคืออำนาจในการตัดสิน ผมพูดเห็นภาพรึเปล่าพี่ผมพยายามอธิบายให้เขาฟัง            
           “แล้วยังไง?” เขาฟังเหมือนไม่ค่อยใส่ใจ             
           “ก็แล้วไงล่ะ! พี่ดูบ้านเราสิ สุดเลยอ่ะ! โคตรฝืนความรู้สึกเลย ผมดูข่าวแล้วอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ไปดวงจันทร์ โคตรเกลียดพวกแม่งเลย  แก่จะตายห่าอยู่แล้ว ยังเสือกช่วยกันดันทุรังตะแบงข้าง  ๆ คู ๆ คนรุ่นต่อไปจะอยู่กันยังไง? ถ้าผู้ใหญ่ล้มกฏเกณฑ์เพื่อขอแค่ชนะ ยิ่งวางบรรทัดฐานไว้แบบนี้ ต่อไปจะยิ่งยุ่ง
           ผมเห็นเหตุการณ์อย่างนี้บ่อย ๆ จนหมดศรัทธากับระบบธรรมยุติ และสัญญากับตัวเองว่า จะไม่โตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่แบบนั้นแน่            
           “แล้วแกเคยคิดมั้ยว่า ที่ประท้วงกันทุกวันนี้ สุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร?” เขาเอามือเสยผมที่ตกมาปิดหน้า                
           “สำหรับผม แค่ต้องการประชาธิปไตย ต้องการอนาคตที่ดีกว่า ใครจะเป็นผู้นำก็ได้ แต่ขอให้มาจากการเลือกของคนหมู่มาก อยู่ภายใต้กติกาสากล ฝันของผมมีแค่นี้ผมตอบไปโดยสายตามองถนนที มองหน้าเขาทีสลับไปมา
            คิดเรื่องนี้ทีไรก็ฉุน รัฐขนควบคุมฝูงชนมาเป็นกองร้อย อาวุธครบมือ เพื่อน ๆ โดนยิงตาย บางคนตาบอด อีกหลายคนต้องติดคุก คนยิงลอยนวล
            “เจ็ทโด้! บ้านเราก็มีเลือกตั้ง มีประชาธิปไตยอยู่แล้ว จะเรียกร้องอะไรอีก?” เขาสวนทันควัน สีหน้าไม่พอใจ ตกลงที่พี่แกพูดมาทั้งหมด...ไปจำใครมาจริง ๆ แหละ             
           “ถ้าพี่บอกบ้านเรามีประชาธิปไตย เกาหลีเหนือก็มีประชาธิปไตยเหมือนกันผมเข้าใจกับความแตกต่างทางความคิด ส่วนมากมันเริ่มมาจากรู้ไม่จริงกันทั้งนั้น ชอบคิดและเถียงแทนคนอื่น             
           “มันไม่เหมือนกัน อย่าเอาเกาหลีเหนือมาเปรียบเทียบกับประเทศเราสิ เกาหลีเหนือมันเป็นเผด็จการเขาขึ้นเสียง ขยับตัวหันหลังพิงประตู เผชิญหน้ากับผม             
           “ขอเหตุผลหน่อย เกาหลีเหนือเป็นเผด็จการตรงไหนไม่ทราบ? การเลือกตั้งเขาก็มี พรรคแรงงานแห่งชาติก็มี ท่านผู้นำไปไหนมาไหนก็มีคนคอยต้อนรับ อบอุ่นชื่นมื่นผมแหย่ให้พูดต่อ
           เขาได้แสดงให้เห็นว่า เกิดก่อนก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง...               
           “เจ็ทโด้!...มีพรรคแรงงานพรรคเดียวนี่นะ พี่เคยได้ยินว่าวันเลือกตั้ง ต้องตื่นแต่เช้าไปเข้าคิวรับบัตร ในบัตรเลือกตั้งจะมีชื่อเดียว ไม่มีช่องงดออกเสียงหรือ Vote No ต้องกาบัตรต่อหน้าเจ้าหน้าที่ มีคูหาให้เข้าไปกาเหมือนสากลนะ แต่ถ้าใครเข้าไปกาในคูหา จะโดนเจ้าหน้าที่รัฐเพ่งเล็ง ตำรวจลับจะติดตามแล้วหลังจากนั้นก็จะประกาศว่าเป็นคนวิกลจริตจิตฟั่นเฟือน เผด็จการชัด ๆ เขาเบะปาก      
           “แต่ก็ยังได้เลือกผู้นำนะพี่ ผมแหย่    
            “ได้แค่กากบาทต่างหาก...เลือกตั้งเมื่อไหร่? ก็ได้แต่ตระกูลคิม เจ็ทโด้!มันเผด็จการทหาร เหมือนบ้านเราตรงไหน?” เขาเสียงเริ่มดังเอามือดึงจมูกแววตาจริงจัง ไม่เห็นด้วย
           ผมเห็นท่าไม่ดีต้องยอมแกหน่อย...                  
           “ใช่พี่! ไม่เหมือนกับบ้านเราสักหน่อย ไม่เหมือนเลยสักนิด ผมขอโทษ หึหึผมขำ แต่เขาไม่หัวเราะด้วย หันมามองค้อนเป็นผู้หญิงไปเลย ชวนคุยต่อดีกว่า...
          “พี่รู้มั้ยชื่อเต็ม ๆ ของประเทศเกาหลีเหนือคืออะไร? ผมให้พี่ทายระหว่าง สาธารณรัฐเกาหลี กับ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีผมหาเรื่องมาเล่น จะได้ไม่ง่วง         
           “เจ็ทโด้ง่าย ๆ ชื่อก็บอกอยู่แล้ว สาธารณรัฐเกาหลีพี่ตุ๋ยยืดอกฟันธงด้วยความมั่นใจ
ผมยิ้มมอง...               
            “จริง ๆ แล้วมันชื่อ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ชื่อโคตรสูงส่ง เห็นมั้ย...มีคำว่าประชาธิปไตยด้วย? แต่อยู่ดีกินอร่อยแค่กลุ่มเดียว ถ้าลองสังเกตดี ๆ จะเห็นว่า ชื่อของประเทศที่มีคำว่า ประชาธิปไตยไปเกี่ยวข้อง ส่วนใหญ่ประเทศนั้นเป็นเผด็จการซ่อนรูปทั้งนั้นผมพูดแล้วก็คิดถึง Kala Democracy ประเทศที่มีทรัพยากรพร้อมทุกอย่าง ดีกว่าหลายชาติในโลกใบนี้ แต่รัฐพยายามจะบีบปากประชาชนให้เหมือนกับเกาหลีเหนือ ผ่านระบอบรัฐราชการ                         
          “แล้วจะกลับไปประท้วงต่ออีกมั้ยเนี่ย? อยากรู้เหมือนกันว่าคนรุ่นใหม่คิดอะไร?” เขาถามกลับไปเรื่องเก่าอีก
ผมอุตส่าห์หนีมาคุยเรื่องต่างประเทศแล้วนะ ไม่อยากกลับไปเกี่ยวข้องอีก             
           “ไม่กลับไปแล้วพี่ ประเทศที่เจริญแล้ว เขาก็แสดงออกวิธีนี้ แค่มีประชาชนพร้อมใจกันออกมาแสดงพลังคัดค้าน รัฐต้องหยุดแล้ว เพราะ ส.ส.เหล่านั้นมาจากการเลือกของประชาชน ผู้ที่รับผิดชอบต้องลาออกแล้วเปลี่ยนคนใหม่มาทำแทน ผมตอบไปเรียบ ๆ ยังคงเชื่อว่า มันจะเกิดขึ้นได้         
           “แกเชื่อ ส.ส.เหรอ?”    
           “ผมไม่เชื่อ ส.ส.พอ ๆ กับไม่เชื่อเจ้าหน้าที่รัฐ อย่ามองว่า ส.ส.เลวอย่างเดียว ถ้าไอ้พนักงานประจำพวกนั้นไม่เปิดช่องให้ จะกี่หมื่นกี่พัน ส.ส.ก็คอรัปชั่นไม่ได้ มันสมรู้ร่วมคิดกัน”          
           “แกมันพวกหาเรื่อง อะไรก็ไม่ถูกใจไปหมด” เขาชักเคือง
            “ถ้าเจ้าหน้าที่หยัดยืน ไม่ก้มหัวให้กับนักเลือกตั้ง ประเทศก็ไม่พังขนาดนี้ แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้เข้มข้น ส.ส.เลว ๆ ก็เลิกเล่นการเมืองไปเอง พวกมันฉลาดให้มันไปหาโกงอย่างอื่น” ใครจะกะล่อนไปกว่าพวกนี้ 
            เลือกเข้าไปเพื่อเป็นปากเป็นเสียงให้ แต่พวกมันกลับไปรับใช้คนอื่นที่ไม่ได้เลือกมันมา ประชาชนกำลังจะโดนฆ่า พวกมันหายหัวกันไปหมดและที่เจ็บปวดมากคือ มันเสือกอยู่เบื้องหลังการล้อมปราบ” ผมอึดอัดใจ คิดย้อนกลับไป เห็นแต่ความมืด
             “อ้าว! ก็มันเป็นพี่น้องกัน มันเคยเรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก นี่แหละ Kala Democracy ให้มันรู้มั่งว่า ใครใหญ่ ” พี่ตุ๋ยหัวเราะร่วน            
             ตราบใดที่ข้อเรียกร้องยังไม่ถูกตอบสนอง การประท้วงเรียกร้องก็ยังมีต่อไป มันเป็นเพียงกระบอกเสียงเดียว ที่จะส่งต่อไปให้ประชาชนตระหนักถึงสิทธิ์อันพึงได้ของตนเองและลูกหลานในอนาคต          
            “ดูอย่างมาตรการโควิดสิ ผิดพลาดตั้งหลายครั้ง ผมไม่เห็นมีใครลาออกสักคน ผมขยับจะพูดแล้วก็หยุดไม่พูดดีกว่า ได้แต่คิดในใจ บ้านเราคนรับผิดไม่มีหรอก มีแต่คนรับชอบ ขนาดพวกมันทำผิด มันยังเลี่ยงวลีให้มันเป็นฝ่ายถูกได้เลย โฆษณาปราบโกงทุกวัน ให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา พอมีคนไปแจ้งข่าว กลับกลายเป็นคนชังชาติ โดนจับเสียเอง
            “สี่ตีนยังรู้พลาด อย่าเอามาเป็นประเด็นเขาเข้าข้างกันเห็นๆ
            “พี่ดูอย่างกติกาเลือกตั้งของมันสิ ขี้โกงเห็น ๆ ไอ้บรรดาพรรคการเมืองก็รู้ทั้งรู้ว่าเขาโกง ก็ยังไปลงเลือกตั้งแข่งกับเขา เท่ากับเห็นชอบกับกติกานั้น ช่วยมันฟอกตัว โธ่!...จะแลนด์สไลด์มันก็พวกเดียวกันทั้งหมดนั่นแหละ แค่เล่นปาหี่ตบตาประชาชนไปวัน ๆ คราวก่อนพรรคที่ชนะเลือกตั้งยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เลย สุดท้ายเลือกได้เพียงฝ่ายค้าน แก้ไขอะไรไม่ได้เลย” ยิ่งพูดยิ่งขึ้น มันจะบ้ากันไปถึงไหน วิ่งแข่ง
300 เมตร ฝ่ายหนึ่งไปรอที่ 250 เมตร สุดท้ายก็เหมือนเดิม
           "คุณลุงวางแผนมาดีแล้ว มันต้องกำจัดพวกคนโกงให้หมดไป เขามาปราคอรัปชั่น” หมั่นไส้พี่ตุ๋ยจังเลย เข้าข้างไปหมด            
           “อ๋อ!กำจัดโกง ด้วยการโกงกว่าเหรอครับพี่” ผมสวนทันควัน
           “แกกล่าวหา แกอคติ” เขาสะบัดหน้าเมิน
             
           “ซือหม่าเซียนเคยกล่าวไว้ว่า การเมืองที่ดีคือ การทำตามความปรารถนาของประชาชน นำทางให้ประชาชนไปสู่ผลประโยชน์ และให้ความรู้ประชาชนเรื่องคุณธรรม ส่วนการเมืองที่เลวคือ การข่มขู่คุกคามประชาชนและที่เลวร้ายที่สุดคือ การต่อสู้และทำร้ายประชาชนของตนเองผมบอกความรู้สึกลึก ๆ ในใจ ขี้เกียจจะเถียงด้วยแล้ว               
           “ถึงว่าสิ จีนถึงเป็นคอมมิวนิสต์ ซือหม่าเซียนช่วยได้มะพี่ตุ๋ยกวนตีนซะงั้น             
           “ถ้าเสียงของคนรุ่นใหม่ ไม่มีความหมาย ผมถามพี่หน่อย...ต่อไปใครจะเลี้ยงดู คนแก่กำลังมากขึ้นไปทุกวัน ทำไมไม่ปล่อยให้พวกคนรุ่นใหม่เข้าไปทำงานให้? พวกเขาจะมีลูกหลานไว้ทำไม มีแล้วไม่ใช้งาน?กลับไปใช้คนแก่ที่หลง ๆ ลืม ๆ เขาก็ทำให้เฉพาะลูกหลานของเขาสิ
ผมเห็นว่ายุคสมัยมันเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน เพราะฉะนั้นวิธีคิดของคนแก่ต้องเปลี่ยนด้วย            
           “แกยังไม่ยอมรับอีกเหรอว่า วิธีนี้...มันใช้กับบ้านเราไม่ได้ ม็อบมือเปล่าจะเอาอะไรไปเรียกร้อง แล้วจะเรียกร้องทำไมรัฐบาลก็ทำงานดีอยู่แล้ว? คุณลุงขยันขันแข็ง พี่ตุ๋ยยังพูดในท่าเดิมเอามือเสยผม             
            “การแสดงออกอย่างสงบของม็อบ เพื่อให้ผู้มีอำนาจแก้ปัญหาหรือพี่จะให้ยิงกัน เกิดสงครามกลางเมืองไปเลยผมเชื่อมั่นว่า ไม่ใช้กำลังก็เรียกร้องได้               
             “พี่ถามหน่อยนะ ถ้าผู้นำคนนี้ออกไปจะให้ใครมาแทน คนดี ๆ หายากจะตาย ประเทศของเราโชคดีแค่ไหนแล้ว ได้นายพลทหารใหญ่มาเป็นนายก เขาเสียสละขนาดนี้แล้ว ยังไม่สำนึกบุญคุณเขาเสียงดังมั่นใจเต็มที่ คงศรัทธาเต็มหัวใจ แสดงว่า...ท่านผู้นำก็ไม่เลวซะทีเดียว ยังมีคนรัก มีกองเชียร์ มีFC แต่ทำไมผมหมั่นไส้จังเลย...
            “ตอนนี้ประชาชนอยู่ดีมีสุข เงินทองมีใช้คล่องมือ ผู้นำของพี่บริหารเก่ง ว่างั้น?” ผมกำลังสงสัยตัวเองว่า ผมไม่เข้าใจหรือเขาไม่เข้าใจกันแน่             
            “มีแต่พวกต่อต้านนั่นแหละที่ไม่มีความสุข ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ไปก้าวก่ายการบริหารงาน เรียนยังไม่ทันจบ คิดจะต่อต้านนายพล เชอะ! เขาออกรบ ตั้งแต่มึงยังไม่เกิด อีโด่!น้ำเสียงของเขาเหมือนจะตำหนิ            
             “ผู้นำของพี่ ตาขาวขี้โวยวาย พูดไม่เพราะเลย ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่กล้าตอบคำถามสื่อ เขากล้าดีเบตกับเด็กมัธยมเรื่องประชาธิปไตยมั้ยล่ะ อีโด่?ผมไม่ได้ก้าวร้าว แค่บอกในสิ่งที่เห็นและได้ยิน            
             “แกต้องเข้าใจสิว่า ท่านเหนื่อย ท่านต้องดูแลครม.ทุกวัน แล้วดูนักข่าวถามสิ กวนโมโหชัด ๆ ถามแต่ที่ตอบไม่ได้ ไอ้ที่เตรียมมาตอบเสือกไม่ถาม พอตอบไม่ได้ก็หาว่าโง่ มันแกล้งกันชัด ๆ นายพลนะมึง จบสูงนะมึงเขาสีหน้าไม่ดีแล้ว เป็นแฟนคลับรัฐบาลนี่เอง...พี่ตุ๋ยเป็นติ่งของลุงฉุน             
            “ผู้นำของพี่พูดภาษาสากลไม่ได้อ่ะ สื่อสารกับโลกไม่ได้ อยู่ในบ้านก็โชว์พราว โว้กว้ากโวยวายไปต่างประเทศหงอเป็นไก่ป่วยเชียว ยิ้มแหยก้มหัวต่ำสุดเลย กลัวคนทัก อึกอักไม่รู้จะตอบยังไง? ผมแหย่องครักษ์พิทักษ์ลุงฉุน            
             “ท่านรักชาติ เขาบอกหน้าตาเฉย 
              "เอ๊า! รักชาติแค่เนี้ยก็บริหารได้แล้วเหรอ?" กูจะบ้าตาย คิดอย่างงี้ก็ได้เหรอ? เป็นติ่งนี่...มันหน้ามืดตามัวอย่างงี้นี่เอง          
             “ผมก็รักชาติในแบบของผม ชาติตามความหมายของผมคือประชาชน ผมมีอุดมการณ์ของผม คนเราชอบไม่เหมือนกันได้ ไม่เป็นไร       
             “เจ็ทโด้! อุดมการณ์เยอะ.. เชอะ! ประท้วงให้ชนะก่อนก็แล้วกัน  จะตั้งหน้าตั้งตารอดู...อย่างไม่ตั้งใจเขาเยาะเย้ย 
              ผมโกรธจี๊ดขึ้นหัว...                 
             “อย่าดูถูกคนรุ่นใหม่นะพี่ พวกเราก็มีคติประจำใจ ผมสวนอย่างเร็ว คนเรามันมีเป้าหมายไม่เหมือนกัน อย่าประมาทน้ำใจกันให้มาก                    เหรอ! คติว่างายล่ะ?” เขาลากเสียงกวนตีน ยิ้มมุมปาก สายตาบ่งบอกไม่เชื่อในอุดมการณ์ของผมแม้แต่น้อย              
            “ถ้าไม่คิดจะวิ่งให้ถึงเส้นชัย จะเสียเวลาผูกเชือกรองเท้าทำไม?” ผมยืดอกข่ม เป็นไงล่ะ...อึ้งล่ะสิ                 
            “เจ็ทโด้!! ไม่คิดจะชักว่าว จะดูหนังเอ็กซ์ทำไม?” เขาสวนกลับมา ///  นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย.. นิ่งไปเลย อึ้งสิมึง ///               
              “เจ็ทโด้ววววว!  ผมตะโกนลั่น  /นึกในใจ...กวนตีนอีกแล้วพี่กู ฝากไว้ก่อนเถอะติ่งลุง รักกันเหลือเกิน รักกันเข้าไปนะกับลุงฉุน รักปานจะแหกตูดดม/

                     ............................................................................................……………………………

จำนวนผู้มาเยือน

หน้าที่เข้าชม12,859 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด10,975 ครั้ง
ร้านค้าอัพเดท6 ก.ย. 2568

สมาชิก

พูดคุย-สอบถาม