หมวดหมู่ | The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 1 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 24 ม.ค. 2567 |
เหอเฝย มณฑลอานฮุย ประเทศจีน
มุมมองสายตา แทน
กันยายน ค.ศ.2020
“เคยเห็นข่าวนี้หรือเปล่า?” พี่ตุ๋ยยื่นโทรศัพท์มาให้ผมดู ในคลิปเป็นเรื่องเกี่ยวกับต้นเหตุของโควิด-19 หลุดมาจากห้องทดลองในจีน กล่าวหาว่ากองทัพจีนเป็นคนสร้าง
“อ๋อเคยเห็นแล้ว ผมเคยดูคลิปนี้แล้ว ผมเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง พี่คิดว่าเรื่องจริงมั้ย?” ผมให้ความเชื่อถือข่าวจากตะวันตกมากกว่า
“ไม่จริงหรอก โควิดมันเกิดจากค้างคาว ถ้ากองทัพจีนสร้างนี่มันคือ อาวุธชีวภาพเชียวนา” พี่ตุ๋ยไม่เห็นด้วยกับข่าว แล้วพูดต่อ...
“เพื่อนพี่มันส่งมาให้ มันเป็นนักข่าว” พี่ตุ๋ยบอกที่มาของคลิป
เราสองคนยังอยู่บนรถบรรทุก หลังจากลงจากภูเขาสูงสู่ถนนราบเรียบแล่นตรงผ่านเลี่ยงเมืองลู่อัน
“ถ้าหลุดจากจีนก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ จีนพยายามรุกทุกประเทศอยู่แล้ว มันต้องการครองโลก คอมมิวนิสต์จีนไม่เคยหยุดคุกคามมนุษย์โลก มันเอาเปรียบทางการค้ากับทุกประเทศ ไม่มีใครได้เปรียบจีน ถ้าใครเคยไปเที่ยวประเทศในแถบแอฟริกาจะเข้าใจ เขาอพยพคนไปสร้างไชน่าทาวน์ คนจีนกับคนดำเดินเบียดกันกลางถนน มองไปตกใจนึกว่าม้าลายเข้าเมือง” ผมบอกขำๆ ผมเคยเห็นกับตาตัวเองที่ไนจีเรีย
“คุยเรื่องอื่นดีกว่า เมื่อก่อนแกเคยมาเยี่ยมคุณตากำนันที่บ้านนอกมั่งรึป่าว?” พี่ตุ๋ยเอามือเสยผมยาวดำถึงกลางหลัง
“หลังจากที่น้าเอื้องส่งตัวผมให้กับพ่อตั้งแต่เด็ก ผมก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย พอมีปัญหาผมก็คิดถึงน้าเอื้อง ก็ตอนมาเจอพี่ตุ๋ยเมาเละอยู่ที่วัดนั่นแหละเป็นครั้งที่ผมกลับมา” ผมยักคิ้วล้อพี่ตุ๋ย แล้วหัวเราะ หึ หึ !
นึกถึงตอนที่เจอพี่ตุ๋ยครั้งแรกแล้วอดขำไม่ได้ เขาเมาเละเทะ อาละวาดพังงานวัด ร้านค้ากระเจิง วงดนตรีกระจาย ถูกจับขังกรงประจานที่ทางวัดเตรียมไว้ขังคนเมา ที่พักคนเก่ง ป้ายสี่เหลี่ยมเล็กติดที่หน้ากรงขังสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูงยาวประมาณ 2 เมตร
น้าเอื้องต้องเป็นคนมาพากลับบ้าน ท่านเป็นน้องสาวคนเล็กของแม่ เป็นหมออนามัย อายุรุ่นเดียวกับพี่ตุ๋ยและเป็นที่หมายปองของเขา แต่วันนั้นพี่ตุ๋ยใจพัง เพราะเข้าใจผิดคิดว่า ผมเป็นแฟนใหม่ของน้าเอื้อง
“มึงลบเรื่องนั้นไปจากหัวเดี๋ยวนี้เลยนะ ลืมได้ก็ลืมไปเลย เจ็ทโด้!ไม่ต้องพูดเรื่องนี้ก็ได้” พี่ตุ๋ย ชี้หน้าโวยวาย อายหน้าแดงเอามือดึงจมูก
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ยังไงน้าเอื้องก็ชอบพี่ เชื่อผมเหอะ” ผมเติมเชื้อความรักให้ใจพี่ตุ๋ย
ถ้าพูดเรื่องน้าเอื้อง พี่ตุ๋ยจะเชื่องเป็นลูกแมวเลยล่ะ เรื่องบูชาความรักไม่มีใครเกินผู้ชายคนนี้ เขายิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ บีบมือตัวเอง พูดเสียงอ่อย...
“จริงอ้ะป่าว แน่ใจนะ?” เขายิ้มกริ่ม ผมรีบตอบสวนทันที
“ผมอยู่ทีมพี่นะ จะหลอกพี่ทำไม?” ผมปล่อยมือจากพวงมาลัย กำหมัดทุบอกแล้วยื่นกำปั้นออกไปให้พี่ตุ๋ยยื่นกำปั้นมาชนกับผม
“เจ็ทททโด้ววว! ให้มันได้หยั่งงี้สิวะ ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! ไอ้น้องชาย แกอยากกินอะไรเดี๋ยวพี่หามาให้? แกเคยกินตัวอ้นหรือเปล่าที่จีนมีเยอะเลย? เดี๋ยวแวะซื้อกลับไปผัดพริกกินที่บ้าน” เขาหัวเราะชอบใจ
พี่ตุ๋ยยิ้มหวานฉ่ำตาเชื่อมเหมือนคนเมากัญชา สายตาที่เต็มไปด้วยประกายวาวเวลาได้ยินเรื่องของคนรัก ผมสบายใจเวลาที่เห็นภาพนี้ น้าเอื้องโชคดีที่พี่ตุ๋ยให้เกียรติ
ผมจับจุดอ่อนของพี่ตุ๋ยได้สักพักแล้ว ถ้าเอาน้าเอื้องมาเป็นตัวประกัน เขาจะยอมทำให้ทุกอย่างเลย พี่ตุ๋ยรักน้าเอื้องมากเลยเผื่อความรักมาให้ผมด้วย
“แล้วเมื่อก่อน เจอกันกับเอื้องยังไงล่ะ แกไม่ได้อยู่บ้านนี่นา พี่เองก็อยู่ฝรั่งเศษไม่รู้เรื่องของแกเลย” เขาดึงจมูกตัวเอง เขาจะติดนิสัยอีกอย่างคือชอบดึงจมูกตัวเอง
“เมื่อก่อน เวลาผมกลับมา จะบอกให้น้าเอื้องมาหาที่บ้าน และให้น้ามาอยู่ด้วยจนกว่าผมจะกลับต่างประเทศ” ผมเล่าย้อนอดีต พี่ตุ๋ยนั่งยิ้มแป้นตั้งใจฟัง
“แล้วแทนจะไปฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 หรือเปล่าล่ะ?” พี่ตุ๋ยขยับท่าทางเอาจริง
“คิดว่าถ้ากลับบ้านก็จะไปฉีดหรือขอเขาฉีดที่หลวงพระบางก็ได้ เอาจากข้างหลังรถของนี่แหละ” ผมตอบแบบไม่ลังเล
“พี่ว่าแทนอย่าไปฉีดเลย มันอันตราย ลุงของพี่ไปฉีดแล้ว พอกลับถึงบ้าน ตาแกมองอะไรฝ้าฟางไปหมด มันเบลอ ๆ มองอะไรก็ไม่ชัด ทั้ง ๆที่ก่อนไปฉีดก็ไม่เป็นนะ แกเป็นคนแข็งแรง” พี่ตุ๋ยเล่าด้วยสีหน้าราบเรียบแววตาเศร้า น้ำเสียงจริงจังจน ผมรับรู้ความรู้สึกนั้นได้
“ยังไงพี่ยังไง แล้วยังไงต่อ?” ผมคะยั้นคะยอ ในใจอยากจะรู้มาก เคยได้ยินมาว่าฉีดวัคซีนแล้วมีผลข้างเคียง
“เฮ้อ!” เขาถอนหายใจแรง ขยับเอาขาลงจากนั่งขัดสมาธิเป็นนั่งห้อยขา คอตกผมตกลงมาปิดหน้าที่เศร้าแล้วเล่าต่อ
“พวกลูก ๆ ไปติดต่อที่ศูนย์รับวัคซีนที่โรงพยาบาล เล่าอาการให้เจ้าหน้าที่ฟัง เจ้าหน้าที่พวกนั้นก็ปฏิเสธทันที ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ เจ็ทโด้ไม่มีใครรับผิดชอบ ถามมากก็ขู่จะฟ้องกลับ แกก็รู้สันดานเจ้าหน้าที่บ้านเรา”เขานิ่งไปสายตาปวดร้าว
“บางครั้งนะแทน คนจนอย่างพวกเรา ก็ไม่รู้จะรับมือกับเจ้าหน้าที่เลว ๆ ได้อย่างไร มันทั้งโขกทั้งสับ พวกเราอ้อนวอนร้องไห้ให้ตาย พวกมันก็ไม่เคยเหลียวแล สุดท้าย...” น้ำเสียงเศร้ากัดใจ
“แล้วยังไงครับ” ผมอึดอัดมาก
“พวกเราก็แพ้กลับบ้าน พูดแล้วก็ขึ้นว่ะ!” พี่ตุ๋ยเม้มปากกัดกรามจนแก้มขึ้นเป็นสัน โกรธแทนคุณลุงของตัว สายตาของเขาดุน่ากลัวมาก ช่างเหมือนแววตาเพชฌฆาตเสียจริง
“แล้วยังไงพี่? แล้วยังไง? ผมก็ไม่ค่อยชอบเหมือนกัน มันคงภูมิใจกันมาก” ผมมองพี่ตุ๋ยด้วยความทึ่ง ในสายตาของผมตอนนี้พี่ตุ๋ยสุดยอดมาก เจ้าหน้าที่รัฐชั่วมากมันสมควรได้รับการตอบแทนอย่างสาสม
“...........” หลังจากเขาเงียบไปอึดใจ
“เจ็ทโด้...สุดท้าย หมอใหญ่แม่งโทรมาเองเลย” สายตาพี่ตุ๋ยเต็มไปด้วยความโกรธ ใบหน้าเครียด เสียงเปลี่ยนไป
แสงไฟจากรถยนต์ที่แล่นสวนมา ทำให้เห็นน้ำตาคลอเบ้า ผมเห็นน้ำตาของความเห็นใจ โอ้ว...พี่ตุ๋ยของผมเท่มาก เพราะบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย เจ้าหน้าที่รัฐมันเลยทำตัวเป็นเจ้านาย
“เหรอพี่? แล้วยังไง? ลุงเป็นอะไรรึป่าว? หมอว่ายังไง?” ผมละล่ำละลัก ใจแห้งละลายเสียใจไปกับเขาด้วย
“หมอบอกว่า เกิดความผิดพลาดหลงลืม ให้ลุงกลับไปที่ศูนย์ ” พี่ตุ๋ยก้มหน้าพูดเสียงสั่น น้ำตาที่เอ่อกำลังจะหยดแล้ว พี่ตุ๋ยปาดน้ำตา
โอ๊ย...ใจผมจะขาด สงสารจับใจ น้ำตาซึม ดวงตาที่ช้ำแดงคู่นั้นดูเหนื่อยล้า ผมเข้าใจหัวอกที่เจ็บช้ำจากการโดนเจ้าหน้าที่รัฐวางอำนาจ เอื้อมมือไปลูบแขนปลอบใจพี่ชาย เขาถอนหายใจยาว แล้วเอามือป้องปากขยับมาข้างหูของผม...
“เจ็ทโด้ลุงลืมแว่นตา หมอให้มาเอากลับไปด้วย”
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!”พี่ตุ๋ยปล่อยกร้ากปรบมือหัวเราะชอบใจ แล้วเสนอหน้ามาถามผม...
“มุกนี้ใช้ได้มะพี่จำเค้ามา”
“..................” แม่งเอ้ย!กวนตีนได้ใจจริง ๆ
“เจ็ทโด้วววว!” ผมโดนดอกที่สอง ฝากไว้ก่อนเถอะ
บรรดาขบวนรถบรรทุกคอนวอยวิ่งต่อแถวกันยาว พวกเราจากเมืองเหอเฝย ผ่านจีหนาน หนานจิง หังโจว ซูโจว ทางภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของจีนมารวมตัวกันที่จุดนัดพบวานซู มณฑลอานฮุย เพื่อแยกเป็นกลุ่ม ๆ
กลุ่มที่มีจุดหมายปลายทางเดียวกันขับไปด้วยกัน ถนนพาดยาวผ่านจีนทั้งประเทศหลายพันกิโลเมตรจากทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตก ไม่มีใครบอกได้ว่าจะมีอันตรายอะไรรออยู่ข้างหน้า การขับรถผ่านกลุ่มชาติพันธ์ต่าง ๆ ที่ต้องการทั้งอาวุธและอาหารก็เป็นความเสี่ยง พวกนี้อาจเข้าปล้นขบวนตอนใดก็ได้ ถนนบางช่วงขาดเพราะธรรมชาติ ดินถล่ม น้ำท่วม หรือแม้แต่อุบัติเหตุเล็กน้อย เช่นยางแตก ล้วนแล้วแต่เกิดอันตรายได้ทั้งสิ้น ประเทศจีนก็เหมือนประเทศเผด็จการอื่น ๆ สร้างภาพความเจริญเฉพาะในเมืองใหญ่อวดชาวโลก นอกเมืองก็ลำบากเหมือนกันหมด รถบรรทุกคันที่ไปไกลสุดจะเหลือเพื่อนร่วมทางไม่กี่คัน ระหว่างทางเพื่อน ๆ ในขบวนจะค่อย ๆ แยกไปตามจุดหมายของตัวเอง
“แกรก!” เสียงวิทยุสื่อสารเตือน…
“ทุกคน…เราจะพักรถกันที่เฉินปินเป่ากันก่อนนะ” เสียงพี่ซอนหนุ่มไทยใหญ่วัย 30 ปี ทำหน้าเป็นผู้ขับรถนำขบวน หลังจากที่ลงจากภูเขามาสู่ทางเรียบ
“Yes!.” ทุกคนรับทราบพร้อมกัน
เฉินปินเป่า จิ่วเตี้ยน เป็นสถานที่พักรถของนักเดินทางทุกประเภท แผ่นป้ายขนาดใหญ่ติดไฟสว่างไสว ตั้งตระหง่านโดดเด่นริมถนนบายพาสนอกเมืองมองเห็นแต่ไกล ลานจอดรถกว้างขวางขนาดใหญ่ แน่นขนัดไปด้วยขบวนรถบรรทุกสารพัดยี่ห้อคันค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาจอด มีทั้งรถยุโรปและเอเชีย เครื่องยนต์ระดับ 250HP ขึ้นไป
รถบรรทุกใหญ่จอดเรียงกันเป็นระเบียบ ถ้าไม่มีตู้คอนเทนเนอร์พ่วงมาด้วย ก็เหมือนกับกลุ่มรถยนต์ในภาพยนตร์เรื่องทรานฟอร์เมอร์เปี๊ยบเลย ทุกคนต่างทยอยเดินเข้ามาในบาร์ บางคนแวะเข้าห้องน้ำ บางคนยืนโทรศัพท์ คนที่ร่วมขบวนกันมาไม่ได้รู้จักกันทุกคน ต่างคนต่างมาเจอกันในจุดนัดพบครั้งแรกที่เหอเฝย มณฑลอานฮุย คนเหล่านี้มาจากหลายประเทศในแถบเอเชีย มีทั้งฟิลิปปินส์ เวียตนาม ไทย ลาว อินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน ญี่ปุ่น เกาหลี จีน และKala Democracy
พี่ตุ๋ยเดินกอดคอผมเข้าไปในบาร์ ไฟสลัวดวงไฟเล็กเขียว เหลือง แดง วิบวับ คล้ายร้านยาดองแถวตลาดนัด มีประมาณ10 โต๊ะ นักร้องสาวผมยาวร่างเล็กกำลังครวญเพลง ช้าๆเศร้าๆเข้ากันดีกับกลิ่นและควันบุหรี่ โขมงโฉงเฉง แข่งกับเสียงพวกเราที่ดังขรม สาวจีน ผิวขาวรูปร่างอ้อนแอ้น 14-15 คน เดินดุ๊กดิ๊กดุ๊กดิ๊กน่ารักกระจายกันเข้ามาทักทายพูดคุย หยอกล้อกันด้วยความสนิทสนมสนุกสนาน สาว ๆ เหล่านี้มาจากชนเผ่าชาติพันธ์ต่าง ๆ สวยในแบบที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์พวกเธอมา งดงามใบหน้า งดงามใจสวยใสไม่ไร้เดียงสา ในวัยสาวก็ออกจากบ้านมาทำงาน ถึงเวลาแต่งงานก็กลับบ้าน แต่งงานกับหนุ่มที่ผู้ใหญ่หาไว้ให้ ชีวิตเรียบง่าย ไม่เร่งร้อน พวกเธอไม่มีความกดดันโดยเวลา การที่ได้เจอพวกเราก็เหมือนได้เจอเพื่อน แลกเปลี่ยนในสิ่งที่ต้องการ แล้วก็จากกันเพื่อเจอกันใหม่ วนไปแบบนี้
พี่ซอนผู้ขับนำขบวน เป็นเพื่อนซี้กับพี่ตุ๋ยมีประวัติร่วมกันมาโชกโชนสมัยยังเป็นทหารรับจ้างฝรั่งเศส นั่งดูดน้ำอัดลมที่โต๊ะข้างประตูทางเข้ากับลูอิสฝรั่งผมทองตัวสูงนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ด้วยกัน ผมเจอลูอิสครั้งแรกเมื่อเช้าก่อนเดินทางมานี่ ลูอิสอายุ40กว่า ๆ หุ่นบึกบึนดวงตาคมสีฟ้าดูลึกลับซับซ้อน ใบหน้ากร้านโลกเคร่งขรึม เขาฉุดมือให้นั่งที่โต๊ะเดียวกัน ผมนั่งลงพร้อมดึงมือพี่ตุ๋ยให้นั่งเก้าอี้ถัดไป ทุกคนรู้จักกันอยู่แล้วจึงไม่ได้ทักทายอะไรกันมาก แค่พยักหน้าให้กันก็พอ
สาวน้อยรูปร่างอ้อนแอ้นเดินยิ้มหวานมาหาพี่ซอนด้วยความคุ้นเคย พี่ซอนเป็นคนรูปหล่อไปอีกแบบ ใบหน้าเหลี่ยมเกลี้ยงเกลาจมูกโด่งกรามใหญ่เหมือนกับคนแข็งแรงทั่วไป เส้นผมหยักศกเรียบร้อย รูปร่างเล็กกว่าพี่ตุ๋ยนิดหน่อย ท่าทางคล่องตัวไม่กลัวคน เขาคว้าเอวสาวน้อยจนปลิวมาลงบนตัก สาวน้อยเองก็มีจริตดีดดิ้นพอน่ารัก ดูแล้วเหมือนนางเอกนั่งตักพระเอกในภาพยนตร์ พวกเราทุกคนหัวเราะกับความทะลึ่งของเขา ลูอิสตบมือหัวเราะเสียงดังถูกใจ
“เดี่ยวผมขอเช็คสินค้าก่อนนะ” พี่ซอนพูดจบพวกเราก็อ้าปากค้าง พี่แกไม่พูดพล่ามทำเพลงก้มประกบปากกับหญิงสาวทันที มือก็แหวกเลื้อยแทรกชุดกี่เผ้าที่สาวน้อยสวมใส่ไม่มีกระดุมคอยเหนี่ยวรั้งเหมือนตั้งใจ มือซ้ายสอดไปพลิกเสื้อของสาวน้อยหลุดจากไหล่ขวาตกลงมากองที่เอว หน้าอกเปลือยท้าทายสายตาทุกคน นมตูมกลมกลึงเนียนยอดอกสีเข้มกว่าเล็กน้อยพุ่งชูชันลอยเด่น พอเต้านมหลุดจากเสื้อเหมือนมันประกาศอิสรภาพชี้มาที่หน้าพี่ตุ๋ยที่นั่งข้างๆ จ่อกันในระยะเผาขน พี่ตุ๋ยหันควับมาหาผม
“เจ็ทโด้แทน โด๊ะก่อนป่ะ?” พี่ตุ๋ยหันมาป้องมือกระซิบ สายตาจ้องมองจุกนมสีชมพูอ่อนที่ชี้หน้าท้าทายเขาอยู่
พี่ซอนบีบมือเบา ๆ ทำให้นิ้วจมลงต่อสู้กับความเต่งตึง ปลายจุกดิ้นไปมาระหว่างร่องนิ้วเหมือนเล่นซ่อนแอบผลุบไปผลุบมา หญิงสาวกระตุกเล็กน้อยตามจังหวะรัญจวน เธอปัดมือพี่ซอนแล้วดึงเสื้อที่ตกลงไปขึ้นมาคล้องไหล่ กอดอกบิดตัวปิดป้องหันไปทุบไหล่พี่ซอนแก้เก้อ 2-3 ครั้ง แล้วทั้งสองก็จูงมือเดินคลอเคลียหัวเราะกันออกไป พี่ตุ๋ยหมุนมองอย่างร้อนรน...
“เจ็ทโด้..ตกลงเอาไง? อย่าคิดนาน!” พี่ตุ๋ยเร่งยิกยิก สายตามองจ้องไปที่สาวๆที่ยังเหลือเดินในบาร์
“ผมกลัวโควิด!” ผมโยกโย้ พี่ตุ๋ยสะบัดหน้า กระโดดผล๋อยไปแล้ว ไม่ได้รอคำตอบผมด้วยซ้ำ เดินฝ่าควันที่คลุ้งกระจายของบุหรี่สารพัดยี่ห้อเข้าไปโอบไหล่สาวที่หมายตา แล้วเดินออกไปอีกคู่
ผมไม่เที่ยวผู้หญิง เคยมีแฟนที่รักมากสมัยอยู่อังกฤษแต่ผมก็ถูกทิ้ง ชีวิตหลังอกหักไม่สนุกมันเต็มไปด้วยความขมขื่น ภาพแห่งความทรงจำคอยทิ่มแทงใจจนไม่สามารถทนอยู่ในสถานที่เดิมได้อีกต่อไป ผมกลับบ้านมาพร้อมความพ่ายแพ้ ผมเคยคิดเลยเถิดไปถึงการแต่งงาน มันจึงทำให้ผมทุ่มสุดตัว เทหมดหน้าตักไม่เคยเผื่อใจสำหรับผิดหวัง มันจึงทำให้เจ็บปวดมาก แต่ตอนนี้ผมลืมเรื่องราวเหล่านั้นไปแล้ว พอมีเวลาได้คิดทบทวนการเลิกกันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เรื่องรักรักเลิกเลิกเป็นเรื่องปรกติของวัยรุ่นสมัยใหม่ มันเป็นสิ่งที่ควรกระทำ การได้คบกันศึกษาเรียนรู้กันใกล้ชิด เป็นโอกาสที่จะได้เห็นในมุมอื่นๆที่ต่างคนต่างซ่อนไว้ ดีกว่าหลับหูหลับตาแต่งงานกันก่อนแล้วเลิก นั่นน่าอายกว่าเยอะ ผมหันไปสังเกตุลูอิส ดูเหมือนเขาจะมีความในใจ หันมองรอบกายบ่อยๆ
“ลูอิส! ไม่สนใจสาว ๆ เหรอ?” ผมชวนคุย ในขณะที่เขาชะเง้อมองหาสาวๆในร้าน
“ผมรออยู่ครับ นัดไว้แล้ว” ลูอิสท่าทางกระวนกระวายใจ ชะเง้อเพ่งมองฝ่าความสลัวหาใครสักคน เขาง่วนอยู่กับโทรศัพท์ตลอดเวลา
“งั้นผมไม่กวนนะ ขอนั่งฟังเพลงละกัน” ผมหมุนเก้าอี้เข้าหาเวที ดูนักร้องสาวคนเดิมร้องเพลงอาลีซานเสียงใส
สักพักลูอิสก็ลุกขึ้นยืนเมื่อหญิงสาวร่างระหงตัวสูงเพรียวปรากฏตัว สาวหมวยตาชั้นเดียวส่งยิ้มดวงตาสระอิ เดินตัวตรงมาหาลูอิส เธอสวมหมวกไหมพรมถักคลุมเส้นผมยาวตรง ท่าทางทะมัดทะแมง รูปร่างเซ็กซี่ที่ซ่อนในเสื้อยืดแขนยาวรัดรูปสีเหลืองอ่อนไม่สามารถหลบซ่อนจากสายตาของผม เอวเว้าเข้ารูป ก้นงอนงามในกางเกงยีนส์ขาลีบสีดำ ทั้งคู่คว้ามือกันดูลุกลี้ลุกลนออกไปเหมือนรีบร้อน สรุปทุกคนได้คู่กันหมด ทั้งโต๊ะตอนนี้เหลือผมนั่งอยู่คนเดียว
“ไฮ! แทน” เสียงทุ้มทักจากด้านหลัง
อาลี ราม เพื่อนชาวอินเดียกวักมือเรียกให้ไปนั่งข้าง ๆ พร้อมกับเอามือตีไปที่เก้าอี้ แกเป็นคนตัวสูงอ้วนลงพุง ผิวดำเงา ถ้าคนไม่รู้จักกันจะบอกว่าแกน่ากลัว เป็นคนขยันมีลูกสาว 2 คน คุยเก่ง ชอบแสดงอะไรแปลก ๆ ให้เพื่อนดู โดยเฉพาะเล่นกล เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วมีแต่เสียงหัวเราะ เพราะแกเป็นคนขี้เล่น อารมณ์ดี
แกคงถูกชะตากับผมเป็นพิเศษ อาลี รามชอบบ้านของเราและเคยมาขายผ้าตอนเป็นวัยรุ่นอายุ14-15ปี เคยขับมอเตอร์ไซด์เวสป้าตกท่อมาแล้ว สุดท้ายโดนจับได้เพราะหนีเข้าเมืองถูกส่งกลับ แกจะหาโอกาสคุยกับผมเสมอ ๆ ถามนู่น นี่ นั่น โน่น แต่มักไม่ค่อยได้คำตอบ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเองก็ไม่ค่อยรู้จักประเทศของตัวเองสักเท่าไหร่
“แทน! ดีใจนะที่ได้เจอกันอีก เที่ยวนี้ขนอะไร มาจากไหน เอาไปไหน?”อาลีโยกคอใส่มาเป็นชุด
“วัคซีน Sinoivax สามล้านโดสจากซ่างไห่ไป หลวงพระบาง” ผมตอบไปเรียบ ๆ พร้อมกับยิ้มให้ทุกคนที่อยู่ในโต๊ะ โค้งศีรษะให้เล็กน้อย
เขาลุกขึ้นยืนเอามือเอื้อมโอบเอวของผมแล้วดึงมาใกล้ ผมเอียงตามแรงดึง จนได้กลิ่นตัวสุดอมตะนิรันกาลที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ไม่กล้าสูดลมหายใจแรงกลัวช็อค แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการรังเกียจเพื่อน มันเป็นกลิ่นประจำชาติว่ากันไม่ได้//กลิ่นมันฉิวมาก ขมคอไปหมด
“รู้จักกันทุกคนหรือยัง? มานี่! ผมแนะนำให้ ทุกคน! นี่ชื่อแทนมาจาก Kala Democracy รู้จักกันไว้นะ” อาลี รามโยกคอแนะนำให้กับเพื่อนร่วมโต๊ะอีก 2 คน
พลันสายตาของผมก็เจอคนคุ้นเคย...
“เฮ้!.คนนี้ผมรู้จักชื่อ ยูซุป ข่าน ผมจำได้” ผมร้องทักเขาก่อน ยูซุป ข่าน วัย 32 ปี เป็นคนทางเหนือของอัฟกานิสถาน สวมผ้าโพกหัวลายหมากรุกขาวดำ คิ้วเข้มขอบตาลึกคล้ำ ดวงตาสีเขียวใส หนวดเคราจัดเต็ม มีรอยแผลเป็นบนแก้มลากลงมาที่คอ ดูรูปร่างสูงสมชายชาตรี ในอดีตเขาเคยร่วมงานกับกลุ่มตาลีบันในอัฟกานิสถาน เป็นคนที่เงียบขรึม ค่อนข้างจะจริงจังกับทุกอย่าง เขาลุกจากโต๊ะมาจับมือด้วยสายตาเป็นประกายดีใจเช่นกัน
“ดีใจนะที่ได้เจอกันอีก...แทน” คำสั้น ๆ นี้แต่เปี่ยมความหมาย การได้เจอกันอีกเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานความโชคดีมาให้
“เช่นกันนะ ข่าน” พร้อมกับส่งสายตาไปให้เพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ติดกับเขา ชายหนุ่มตัวเล็กรีบลุกขึ้นยืนอย่างเร็ว พร้อมกับยกมือไหว้ ผมสะดุดไปนิดก่อนรับไหว้…
“สบายดีครับ!” เขายิ้มทักทายอย่างสุภาพ
“ยินดีที่รู้จักนะ ผมชื่อแทน คุณมาจากไหน?” ผมขมวดคิ้วถาม เพื่อนใหม่ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
“คนลาวครับ มาจากบอลิคำไซ ชื่อสีสะหมอน ฝากตัวด้วยครับ” อ๋อ...น้องลาวของเรานี่เอง
ผมพยักหน้ายิ้มให้ แล้วหันไปที่ยูซุป…
“ยูซุป ข่าน งวดนี้ไปไหนครับ?” ผมเปิดฉากชวนคุย
“ขนวัคซีน Sinoifarm 4 ล้านโดสไปเมืองดูชานเบ ทาจิกิสถาน ผมน่าจะไปไกลสุดแล้วในขบวนนี้ เสร็จแล้วว่าจะพักสักหน่อย ไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว” ยูซุป ข่าน ตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ พูดจบก็นั่งตัวตรงปิดปากนิ่งเงียบ
พวกเราต่างชาติต่างภาษาวัฒนธรรม ต่างความเชื่อ เมื่อต้องอยู่ในที่ ๆ เป็นกลางทุกคนจะช่วยเหลือกัน จุดเชื่อมต่อให้เราเห็นโลกกว้างเดินทางไกลคือภาษา สมัยนี้ถ้าอยากสื่อสารกับโลกอย่างน้อยต้องพูดให้ได้สามภาษาขั้นต่ำ ภาษาถิ่น ภาษาอังกฤษ และภาษาที่เราชอบ เรียนภาษาอย่างเดียวไม่ต้องเรียนอย่างอื่นก็เลี้ยงตัวได้สบาย
อาลีรามเอ่ย...
“ตอนนี้ที่กรุงพาราณาสีบ้านผม กำลังจัดงานต้อนรับวัคซีนป้องกันโควิด ผมกลับไป ได้เป็นฮีโร่” อาลียิ้มหน้าบานฟันเหลืองอ๋อย ยืดอกกล่าวด้วยความภูมิใจ ทั่วทั้งโลกตกอยู่ในภาวะตื่นกลัว เสียงเพลงจีนหวานแว่วที่ขับกล่อมบนเวทีโดยนักร้องสาวที่สวมชุดชนเผ่า ทำให้บรรยากาศชวนหลงใหล เหมือนตัวเองหลุดย้อนยุคเข้าไปในห้วงแห่งธรรมชาติที่บริสุทธิ์สดใส ผมหันมองออกไปที่ถนนที่เราขับรถกันมา แสงไฟทางส่องสว่างไสว วัยรุ่นจีนหนุ่มสาวนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์ หลอกล้อเย้าแหย่หัวเราะกันคิกคักอย่างสุขใจ มองดูแล้วได้กลิ่นอายของความบริสุทธิ์
เสียงบทเพลงบนเวทีจบแล้ว เพื่อน ๆ หน้าตาแจ่มใสยิ้มกรุ้มกริ่มค่อย ๆ ทยอยกลับกันมาทีละคน พี่ตุ๋ยเดินยิ้มหน้าบานมาแต่ไกลเข้ามากอดคอกันเดินผ่านรถของพี่ซอน เราโบกมือให้ลูอิสที่ขึ้นไปนั่งอยู่บนรถบรรทุกแล้ว กลุ่มรถยนต์เตรียมเดินทางกันต่อ เสียงวิทยุสื่อสารดัง...
“เราจะพักอีกครั้ง เมื่อฟ้าสางที่ เฉาโป มณฑลหูเป่ย แล้วค่อยว่ากันใหม่อีกครั้ง ไปกันเถอะพวกเรา เดินทางต่อ” พี่ซอนในฐานะผู้นำขบวนบอกกับทุกคนแล้วออกนำหน้า ขบวนรถเคลื่อนตามกันออกไป
................................................................................................................................
หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |