หมวดหมู่ | The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 1 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 24 ม.ค. 2567 |
ชิงโจว มณฑลหูเป่ย
มุมมองสายตา นาตาลี
กันยายน ค.ศ.2020
ฉันลงไปนอนแอ้งแม้ง หมดแรงแผ่สองสลึงข้างจักรยานคู่ใจ มองแสงแดดรอดจากรูเพดานของศาลาหลังคากระเบื้องสองชั้น บนเกาะเล็ก ๆ กลางบึงน้ำใหญ่ ภูเขาสูงเสียดฟ้าโอบล้อมรอบด้านในระยะไกล สีสวยสดใสของเทือกเขาละมุนตาในฤดูใบไม้ร่วง
ฝูงนกกระเรียนบินลัดท้องฟ้าใสที่อุดมไปด้วยก้อนเมฆ น้ำในทะเลสาบนิ่งสงบ สะท้อนท้องฟ้าเป็นภาพเดียวกัน ไกลสายตาออกไปลิบตา เรือลำน้อยกำลังหาปลาเป็นจุดเงาดำเดียวดาย
ฉันลุกมานั่งริมน้ำข้างสะพานที่มาจากริมถนน ราวสะพานปูนแกะสลักรูปเด็กหัวจุกวิ่งว่าวและวิถีชนบทของจีน เอาผ้าเช็ดหน้าอัดเม็ดมาแช่น้ำเช็ดหน้าเช็ดตัว นั่งชันเข่ารอขบวนนักแข่งจักรยานไปเรื่อย ๆ มองดูนกน้ำดำผุดดำว่ายหาปลา ครั้งนี้ตัดสินใจไปตั้งหลักที่ฉงชิ่งก่อน ต้องติดต่อคน ให้มาช่วยเหลือจะปล่อยให้ Anti- Tame26 ไปอยู่ในมือคนชั่วไม่ได้ ฉันพอจะรู้ว่า มีคนอยู่เบื้องหลังการค้นคว้าวัคซีนตัวนี้ แต่ไม่รู้ชัดว่าเป็นใคร?
ขอให้ฉันได้อยู่ในที่ปลอดภัยก่อน เรื่องหาคนเบื้องหลังไม่ใช่เรื่องยาก ของแบบนี้มีประโยชน์กับคนประเภทเดียวคือ พวกปีศาจที่นั่งบนเก้าอี้อำนาจ”
“?????” เอ๊ะ!ทางขวานั่น!..สายตาสะดุดกับรถยนต์ที่แล่นมาด้วยความเร็วสูง สีเหมือนรถยนต์ของพวกที่ตามยิงเมื่อวานเลย
“?????” ในใจเริ่มสับสน…มันรู้ว่าฉันมาที่นี่เหรอ? เป็นไปไม่ได้หรอกน่า! ไม่มีทาง! ฉันไม่ได้วางแผนหนีด้วยซ้ำไป
โน่น!...กลุ่มจักรยานมาจากทางขวาแล้ว ปั่นเป็นแถวยาว กำลังขึ้นเนินสูงผ่านศาลาไปทางซ้าย ฉันขยับตัวลุกไปดึงจักรยานขึ้นมาคร่อมเตรียมเดินทาง
“หือ!” แต่ก็ต้องหยุดไว้…
“พวกนั้นจอดรถทำไมวะ?” ฉันรำพึงกับตัวเอง มีเหตุการณ์ผิดปรกติ นักปั่นไม่ผ่านเลยไป แต่กลับยืนออกันเป็นกลุ่มก่อนขึ้นเนิน ฉันนั่งลงสังเกตเหตุการณ์อยู่ที่เดิม กลุ่มจักรยานจอดประมาณ 20 นาทีก็เคลื่อนขบวนไป รถยนต์ทั้งสองคันของพวกนั้นก็แล่นฉิวกลับไปทางเดิม คิดว่าไอ้พวกนั้นคงมีปัญหาอะไรบางอย่าง กับนักปั่นก็เป็นได้ และคงเคลียร์ปัญหากันลงตัวแล้ว จึงกลับไป
ฉันรีบคว้าจักรยานปั่นตามไปทันที ใช้เวลาไม่นานก็เกาะกลุ่มได้ ค่อย ๆ ปั่นแซงขึ้นมาทีละคัน ๆ มองหาแม่สาวสวยผมบ็อบ แม่ค้าขายเสื้อในตลาดเมื่อวาน อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจที่มีคนคุ้นหน้า แม้จะไม่คุ้นเคยกันก็ตาม
นั่นไง!...เจอตัวแล้ว อีกสามคันข้างหน้า จากมุมนี้จักรยานของแม่สาวขายาวกำลังเข้าโค้ง เวลาเธอยกตัวขึ้นปั่น หัวใจฉันละลายไปเลย...ก้นกลมอย่างกับลูกโบว์ลิ่ง เรียวขากลมกลึง โยกขยับซ้ายขวาอย่างเซ็กซี่ ฉันแอบขี่ตามหลังมาโดยไม่ได้ทักทาย ไม่กี่อึดใจต่อมาก็ถึงจุดพักแรกเมื่อครบ 100 กิโลเมตรจากจุดเริ่มต้น ค่อย ๆ เข็นรถเดินตามหลังเธอไป...
“เก่งจังเลยนะคะ! ไฮ!!” ฉันเข็นจักรยานตามหลังเข้าไปจอดข้างกัน ยกมือโบกใกล้ ๆ หน้า
“หือ!” เธอหันมาตามเสียง คิ้วขมวดสีหน้าแปลกใจในครั้งแรก แล้วยิ้มตาใสดีใจหลังได้สบตากันอีกครั้ง
ฉันร้องทักก่อน...
“หนีห่าวไปไป๋!” ฉันสร้างสัมพันธ์ด้วยการเรียกชื่อ การจำชื่อได้จะเป็นความประทับใจแรก ของการเริ่มสร้างสัมพันธ์ที่ดี
“ว้าว! จำชื่อฉันได้ด้วย มา! เอาเป้มาค่ะ! ฉันช่วยถือ เอ๋!..เดี๋ยวช้าก่อน เสื้อชุดนี้ของร้านฉันนี่ จำได้!” เธอเอามือแนบอกปลื้มปลิ่ม ดูสดใสร่าเริง ท่าทางน่ารักคล่องแคล่วเพลินตา ยื่นมือมาดึงสายเป้สะพายที่ไหล่
“ฮื้อ!” ฉันตกใจเบี่ยงตัวหลบ...
“ไม่เป็นไรค่ะ! รบกวนคุณแล้ว” อย่าตีสนิทเร็วนักสิ ฉันรับไม่ทัน
“เมื่อเช้า! ฉันมองหาที่สี่แยกก็ไม่เห็น มาตอนไหนคะเนี่ย?” เธอขยับมาใกล้เดินเคียงข้าง พากันไปที่โต๊ะบริการน้ำดื่ม
เจ้าหน้าที่ใบหน้ายิ้มแย้มพูดกระตุ้น...
“อย่ายอมแพ้! พยายามต่อไป! คุณทำได้!” เจ้าหน้าที่สาวคอยส่งกำลังใจให้กับทีมนักกีฬาพร้อมยื่นน้ำขวดมาให้
“รบกวนคุณแล้วค่ะ!” ไป่ไป๋รับน้ำแล้วส่งต่อมาให้
รอบ ๆ ลานกว้าง รกเรื้อไปด้วยป้ายธงปักรอบบริเวณ เต็นท์กันแดดตั้งเรียงรายสำหรับนักแข่งพักผ่อน ผู้ร่วมแข่งขันก็เยอะหนาตา ท่าทางของนักแข่งยังดูสบาย ๆ กระจายนั่งพักกันตามมุมของตัวเอง ส่งเสียงคุยกันดังสนั่นตามสไตล์คนจีน
“นั่งคุยใต้ต้นไม้ตรงโน้นกันเถอะค่ะ” ฉันชี้ชวนให้ไปทางซ้ายเพื่อนั่งม้าหินใต้ต้นยางนาใหญ่ มองเห็นแม่น้ำสายเล็ก ๆ ในหุบด้านหลังสบายตา ภูเขาสูงสลับซับซ้อนจนเห็นหุบผาลึก
ก่อนจะนั่งลง เธอเอื้อมมือมาจับไหล่สองข้างแล้วหมุนตัวฉัน จ้องหน้าสายตาประสานยิ้มหวานเป็นมิตร…
“หนีห่าว!...ไปไป๋ค่ะ! อายุ 20 ปี ยังโสด เป็นคนอู่ฮั่นแต่กำเนิด เรียนจบการแสดง ยังไม่มีงานทำ แนะนำตัวอีกครั้ง ฝากตัวด้วยนะคะ!” แนะนำตัวเสร็จเธอก็ยกมือสองข้างประกบหากัน แล้วงอนิ้วทั้งสี่ลงทำเป็นพุ่มรูปหัวใจยื่นมาให้ น่ารักน่าเอ็นดูมากเสน่ห์เหลือล้นดึงดูดให้สนใจ บุคลิกท่าทางโดดเด่น จะยืนเดินหรือนั่งดูสวยสง่า เหมือนถูกฝึกมาอย่างดี
“ถึงตาคุณแล้ว คุณชื่ออะไรคะ อายุเท่าไหร่แล้ว?” เธอยิ้มเก๋ไก๋ผายมือมา ฉันรีบลุกยืนโค้งศีรษะเล็กน้อย...
“อันยองฮาเซโยนาตาลีพัคอิบนิดะ! เกิดเกาหลีใต้ โตที่อเมริกาอายุ 24 ยินดีที่ได้รู้จัก ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ รบกวนคุณแล้ว!” ฉันตอบล้อเลียนท่าทางของเธอ แล้วจบด้วยมินิฮาร์ท
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เธอปรบมือหัวเราะชอบใจ ท่าทางกระฉับกระเฉงกระตุ้นให้ฉันเริ่มรู้สึกสนุก เธอเป็นคนสวยมีเสน่ห์มาก
“ดีใจจังเป็นคนเกาหลีด้วย อย่างงี้หนูต้องเรียกว่า พัคอนนี่แล้วล่ะ! คุณอายุมากกว่าหนูตั้ง 4 ปี” เธอเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองทันที
ฉันรู้สึกดีถึงดีมาก กับกริยาท่าทางเป็นมิตรของเธอ คำว่าอนนี่ เป็นภาษาเกาหลีหมายถึงพี่สาว ใช้สำหรับน้องสาวเรียกพี่สาว ส่วนน้องสาวเรียกพี่ชายว่าโอ้ปป้า น้องชายเรียกพี่สาวว่านูน่า น้องชายเรียกพี่ชายว่าฮย๊อง อาจจะดูวุ่นวายสักหน่อย แต่ก็เป็นภาษาที่สวยงามเข้าใจง่าย
“รู้จักภาษาเกาหลีด้วยเก่งจัง เรียนมาเหรอ พูดได้มั้ย?” ฉันชวนคุยสร้างความสนิทสนม
“สบายมาก หนูพูดได้ 3 ภาษาค่ะ หนูชอบเกาหลี หนูอยากเป็นไอดอลอยากมีโอกาสได้เดบิวท์” เธอตอบด้วยแววตาเป็นประกายอย่างคนมีฝัน
การพูดได้หลายภาษาไม่ใช่เรื่องยาก คนที่สมองถอดรหัสภาษาได้เก่ง ก็จะพูดได้หลายภาษา เสียงแต่ละภาษาที่สมองได้รับ จะถูกจดจำไว้แล้วแปลงความหมาย ทาลามัสในสมองจะเป็นตัวเรียงลำดับข้อมูลส่งไปให้สมองส่วนต่าง ๆ ทำหน้าที่ของตัวเอง ฝึกบ่อย ๆ ก็พูดได้ทุกคน
“แล้วทำไมต้องเกาหลีใต้ล่ะคะ?” ฉันถามย้ำความตั้งใจอีกครั้ง
“คนมันจะเก่ง มันต้องเก่งนอกบ้านสิ พญาอินทรีย์ต้องหากินไกลรัง อย่าหาว่าหนูโม้เลยนะ มีคนมาติดต่อหนูเข้าวงการตั้งแต่อายุ14แล้ว ติดต่อมาตลอด เปลี่ยนหน้ามาเรื่อย แต่หนูไม่เอาเป็นเรื่องเป็นราว
“ทำไมล่ะคะ?”
“ศิลปินของจีน หรือประเทศอื่นในแถบเอเชียถึงจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่จะถูกจำกัดวงแคบในประเทศของตัวเอง ศิลปินเก่ง ๆ หลายคนของจีนเกิดผิดประเทศ บางคนเก่งกว่า Michael Jackson อีก พอมีชื่อเสียงมากก็โดนพรรคคอมมิวนิสต์สั่งเก็บ มันอ้างว่า เป็นภัยความมั่นคง” สาวน้อยหน้าง้ำขัดใจ /โอ้โห.. นี่ความคิดเธอไปไกลอย่างนี้เชียวเหรอ นอกจากสวยแล้วยังฉลาดอีก เด็กคนนี้ ใช้ได้สวยอย่างมีคุณภาพ/
ดอกยางนาหล่นปลิวจากยอดไม้สูง หมุนเป็นเกลียววงกลมเหมือนคอปเตอร์ไม้ไผ่ของโดราเอม่อนไปตามสายลม เด็กรุ่นใหม่สนใจในเรื่องเสรีภาพมากขึ้น สีหน้าของเธอแสดงความอึดอัด ขัดใจ เสยผมที่ยุ่งเพราะลมตี คำพูดที่ออกมาแสดงให้เห็นว่า เธอเป็นผู้ใหญ่ที่คิดเป็นแล้ว แต่จะคิดถูกหรือเปล่าไม่รู้?
“รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน สร้างประเทศให้เป็นคุกขนาดใหญ่ จำกัดเสรีภาพในการคิด พูด เขียน แม้กระทั่งการสื่อสารยังปิดให้ใช้แต่ในประเทศ รัฐบาลคอยสอดส่องประชาชน ถึงแม้จะไม่ได้ตีตรวนที่เท้า แต่ได้ตีตราที่ความคิดและการกระทำ ความเจริญของเศรษฐกิจเป็นคนละเรื่องกับเสรีภาพของประชาชน” น้ำเสียงเธอแผ่วลง เมื่อต้องพูดถึงประเทศของตนเอง
“ไม่พอใจประเทศของตัวเองเหรอคะ?” ฉันอมยิ้มกับท่าทางเฮี้ยวของเธอ
“เปล่าค่ะ! หนูชอบประเทศนี้ แต่หนูไม่ชอบพรรคคอมมิวนิสต์ หนูว่ามันโหดเกินไป กล้าดียังไง! ถึงปิดหูปิดตากันแบบนี้?” ยายนี่ค่อนข้างหัวรุนแรง แววตาขุ่นขัดใจ
“คุณไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เหรอ? คนจีนเป็นคอมมิวนิสต์กันทั้งประเทศไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่จริงเลย! พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีสมาชิกแค่ 90 ล้านคนเอง คนจีนมีตั้ง1,400 ล้านคนนะคะ พวกมันยึดอำนาจรัฐแล้วใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจัดการคนเห็นต่าง ไม่ได้ต่างจากเกาหลีเหนือเลย หนูชื่นชอบ ฝ่าหลุนกง ถ้าหนูเกิดทัน หนูก็จะไปประท้วงที่เทียนอันเหมิน หนูไม่กลัวพวกมันหรอก Tank man ไม่มีวันตาย” สาวน้อยนั่งปากจู๋ กำหมัดแน่น ถ้ามีผ้าขาวมัดหัวอีกสักหน่อย นี่!...พวกก่อม็อบชัด ๆ
ประเทศในแถบเอเชียส่วนใหญ่เป็นพวกอำนาจนิยม เสรีภาพจึงเป็นเพียงคำกล่าวกรอกหูที่สวยหรู แต่จับต้องไม่ได้ /แต่ไอ้ ฝ่าหลุนกงของเธอมันคืออะไรวะ? มี Tank man ด้วย ฉันไม่รู้จัก เก็บเอาไว้หาคำตอบวันหลังก็แล้วกัน/
ถ้าถามเรื่องนี้ต่อ เธอคงเล่นงิ้วให้ดูแน่...
“มีไอดอลในใจมั่งรึป่าวคะ? ชอบใครเป็นพิเศษบ้าง?” ฉันชวนคุยโดยที่ตัวเองก็รู้จักศิลปินเกาหลีไม่กี่คน ก็ฉันโตอเมริกานี่นา อีกอย่างเวลาว่างก็อ่านหนังสือไม่ได้มีเวลาคิดเรื่องพวกนี้ งานวิจัยอีกมากมายที่ต้องศึกษา จะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจคนอื่น
“ถ้าผู้ชายก็ชอบเฮนรี่ คนนี้เก่งจริง เขาก็ไม่ใช่คนเกาหลี หนูชอบคนอย่างนี้ค่ะ คนที่ท้าทายและทุ่มเทกับฝันของตัวเอง” เธอทำหน้าทะเล้นเอานิ้วสองข้างมาจิ้มกัน สายตาเยิ้มเคลิ้มฝันยิ้มกว้างฟันขาว ผมสั้นสะบัดตามแรงลม
“ถ้าเป็นผู้หญิงนี่ ชอบอยู่คนหนึ่งค่ะ หนูนับถือความมุ่งมั่น ความตั้งใจไปออดิชั่นไม่ผ่านเกือบ 20 ครั้ง ก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ ลองคิดดูสิคะ...ถ้าจิตใจไม่แน่วแน่ ไม่ผ่านแค่ครั้งสองครั้งก็ไม่เอาแล้ว ทิ้งแล้ว อนนี่ทายสิ...ใคร?” แววตาของไป่ไป๋เต็มเปี่ยมศรัทธา ยิ้มหน้าบานเหมือนดอกไม้แรกแย้ม สวยจริง ๆ เลย
“มีคนอย่างนี้ด้วยเหรอ มุ่งมั่นจัง ใจเด็ดจริง ๆ ใครเหรอ?” ฉันแอบทึ่งไปกับเธอเหมือนกัน
“IU” เธอยิ้มหน้าบานด้วยความภูมิใจ /ฉันก็ไม่รู้จักอยู่ดี/
“หนูเลือกที่จะรักคนแบบนี้ คำว่าไอดอลสำหรับหนู พวกเขาคือบุคคลตัวอย่างที่สมควรทำตาม เขาสร้างแรงบันดาลใจให้เรา พวกเขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเรียนหนังสือในระบบ ไม่ได้ทำให้ใครไปถึงฝั่งฝัน ความรู้แค่เลี้ยงตัวเองได้ก็เก่งแล้ว มีหลายคนทิ้งการเรียนแล้วไปทุ่มเทกับฝันของตัวเอง สมัยนี้อยากเรียนอะไรเมื่อไหร่ก็ได้” เธอพูดอย่างไม่ยี่หระกับระบบการศึกษา
ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของเธอ การมีใครสักคนเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตเป็นสิ่งที่ถูกต้อง อย่างน้อยเธอก็ยังมีโอกาสได้เลือกที่จะรัก แต่ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องพวกนี้ ได้แต่ทนฟังพยักหน้าไปเรื่อยๆ // จะหลอกใช้คนนี่ มันยากเหมือนกันนะ //
“แล้วถ้าไม่สำเร็จล่ะคะ?” ฉันเริ่มชอบเด็กคนนี้ ชีวิตของฉันไม่เคยมีฝัน มีแต่โดนสั่งให้ทำตามเป้าหมาย ไม่มีโอกาสเลือกด้วยซ้ำไป
ตั้งแต่จำความได้ ทุกอย่างถูกเตรียมไว้ให้หมด แทบไม่ต้องลงมือทำอะไรด้วยตนเองเลย เงินรายได้ที่มีก็มากมายพอที่จะเลี้ยงตัวเองอย่างราชินีไปยันแก่ งานวิจัยงานเดียวของฉันกินกันสิบปีก็ไม่หมด เลยทำให้ไม่ต้องดิ้นรน ไม่มีฝันเหมือนคนอื่น ชีวิตฉันนอกจากเฝ้าส่องกล้องจุลทรรศน์ดูจุลินทรีย์ขนาดเล็กมันผสมพันธ์กันแล้ว อย่างอื่นก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง สงสัยฝันฉันมีแค่นี้
“หนูเล็งเป้าหมายไปที่ดวงอาทิตย์ ถ้ายิงผิดก็อาจจะติดดาวพุธ หนูเชื่ออย่างนั้นและพร้อมที่จะรับผลของมันด้วยค่ะ” ไป่ไป๋หัวเราะสะใจกับความคิดของตน
“อ้าว...ยังงี้ก็ชอบโอปป้าเกาหลีด้วยนะสิ” ฉันอยากรู้ทัศนคติด้านผู้ชายของเธอ /ยกน้ำขวดขึ้นดื่มดับกระหาย/
“ไม่เลยค่ะ! ผู้ชายเกาหลีหน้าเหมือนกับจิ้งจก จืด!”
“พรวด!” ฉันสำลักน้ำในปากด้วยความขำ
เธอขยับตัวเบา ๆ....
“หนูไม่มีสเปคหรอกค่ะ! ใครก็ได้ขอแค่จิตใจดี อบอุ่น ไม่หยุมหยิม มีหลังให้พิงในยามหนูเหนื่อยก็พอ หนูขอแค่นี้ค่ะ หนูดูแลตัวเองได้ เป็นผู้ชายก็ได้ เป็นผู้หญิงก็ดีค่ะ” ไปไป๋ส่งสายตาเป็นประกายเจ้าชู้ตอบได้ดีโดนใจมาก ถึงจะอายุน้อยกว่า แต่โลกของเธอก็สวยงามมีสีสันมากกว่าอีก มีความฝัน มีความหวัง ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย รอบตัวมีแต่คนแก่ ได้พบและคุยกับผู้ใหญ่มาตั้งแต่เล็ก การพูดคุยกันก็เป็นงานเป็นการ เหมือนกับว่าโลกของฉัน เป็นคนละใบกับเธอเลย
“พัคอนนี่! ยังไม่บอกเลยว่า ทำงานอะไรคะ?” เจ้าไป่ไป๋หันมาถามก่อนยกน้ำขึ้นดื่ม
ฉันไม่ค่อยอยากบอกใครเรื่องนี้ เหงื่อของเราเริ่มแห้งแล้วลมพัดโชยเย็นตลอด เสียงหัวเราะจากกลุ่มข้าง ๆ ดังสลับกันไปมา
“ฉันทำงานที่ Isaiah Biotech ที่ตึก The 3 Temple ตรงสี่แยกจิน หลง ตึกที่มีงูยักษ์เลวีอาซานพันรอบนั่นแหละ เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ทำงานที่นี่มา 2 ปีกว่าแล้ว”
นกเอี้ยงป่าส่งเสียงเซ็งแซ่จากต้นหางนกยูงใหญ่ริมถนน รถยนต์วิ่งสวนกันไปมา
“โอ้โห! ท่านรองฯ ยังเด็กอยู่เลย เขาลือกันว่า นักวิจัยมีแต่คนฉลาดจริงหรือเปล่าคะ?”
เราคุยกันไปสายตาก็มองไปที่ผู้คน บางคู่ก็ล้อเล่นกัน บางคู่ก็นอนหนุนตักกัน นั่งพักกันในอาคารบ้าง ใต้ต้นไม้บ้าง กระจายเกลื่อนตา
“ฉันว่า คนอย่างพวกฉันมีกรรม คิดแบบคนอื่นเขาก็ไม่เป็น งานที่ทำ ไม่ได้พัฒนาทักษะการเอาตัวรอดหรือการใช้ชีวิตเลย บางคนดูสติจะล้น ๆ บ๊อง ๆ ต๊อง ๆ ไปด้วยซ้ำ ฉันทำอะไรไม่ค่อยเป็นหรอก หุงข้าวยังไม่สุกเลย คิดง่าย ๆ ก็แล้วกัน เวลาว่างของฉันคือการอ่านหนังสือ เก่งแต่ตำรา” ฉันบอกตามจริง ภาพภายนอกอาจจะทำให้ดูฉลาด เพราะบรรยากาศมันเอื้อ
ฉันแค่มีประสบการณ์ด้านวิจัยมากกว่าคนทั่วไปแค่นั้น ยังต้องเรียนรู้อย่างอื่นอีกมาก สังคมส่วนตัวก็แคบทำให้เห็นแก่ตัวด้วย ฉันไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้เลย เปลี่ยนเรื่องดีกว่า…
“ฉันจะไปฉงชิ่งด้วย เมื่อวานเธอชวนไว้นี่นา เออ...ตรงเนินที่จอดจักรยานกันเมื่อเช้า มีเรื่องอะไรกันเหรอคะ?” ฉันสนใจเรื่องนี้มากที่สุด แต่แกล้งเฉไฉถามแบบไม่ตั้งใจ หันหน้ามองไปที่อื่น แต่ในใจกระเหี้ยนกระหือรือมาก อยากรู้เรื่องไอ้โล้น
“ดีใจจัง ได้ไปด้วยกัน” เธอขยับเข้ามาใกล้ยิ้มแฉ่งเอื้อมมือมาจับไหล่สองข้าง แล้วจ้องหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้...
“เอ๋!เห็นด้วยเหรอคะ? อื้อ!...จริงสิ!” เธอหรี่ตากลมโตคู่นั้นลง แล้วแสยะยิ้มมุมปากแบบคนเจ้าเล่ห์ พยักหน้าช้า ๆ ลางสังหรณ์เริ่มไม่ดีแล้ว เหมือนจะเกิดเรื่องร้าย...
“บอกมาเลยว่า ไปมีเรื่องอะไรกับพวกมัน หนูมั่นใจว่า พวกมันกำลังตามหาใครสักคน และคน ๆ นั้นน่าจะเป็นคนนี้! อนนี่!น่าสงสัยที่สุด!” เธอยิงตรงมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“เอ่อ!” ฉันเงอะงะหลบสายตา การเก็บอาการเล็กน้อยแค่นี้ยังทำไม่เป็นเลย สิ่งที่ฉันทำได้แย่ที่สุดคือการโกหก แต่ฉันก็มักจะชอบโกหกบ่อย ๆ รีบบอกไปก่อน เธอจะได้หยุดสงสัย
“ไม่มีอะไรนี่คะ! ไม่มี้! ฉันจะไปรู้จักไอ้โล้นนั่นได้ยังไง?” ฉันโบกมือปฏิเสธ พิรุธล่วงเป็นกอง
เธอมองด้วยหางตา ยิ้มอย่างย่ามใจ...
“แน่ะ!...รู้ด้วยนะว่ามันหัวโล้น บอกมาเลย! ถ้าอนนี่ไม่บอก หนูก็ไม่บอกเหมือนกัน” ไปไป๋เล่นเกมต่อรองซะแล้ว เธอสะบัดหน้าหนีผมปลิว โอย…จากที่คิดจะหลอกใช้เธอ โดนต้อนซะแล้ว หัวจะปวด
“จริงจริงน้า! ไม่ได้โกหกเลย” ฉันพยายามแก้ตัว เอื้อมมือไปลูบแขนเธอเบา ๆ
“มาดูนี่ก่อนสิคะ!” ไปไป๋เรียกแล้วควักโทรศัพท์จากสายคาดเอว กดนั่นนี่แล้วส่งมาให้ดู
“อะไรเหรอ? ใครเหรอ? พวกเมื่อเช้าเหรอ?” ฉันเห็นคลิปของเธอแค่หางตาก็จำพวกนั้นได้ แต่แกล้งทำหน้าใสซื่อเหมือนไม่รู้จักคนในคลิป ฉันไม่หลงกลเธอหรอก ส่งโทรศัพท์คืนรีบเปลี่ยนเรื่องคุย...
“ไป่ไป๋คะ! 100 กิโลเมตรใช้เวลาปั่นกี่ชั่วโมงคะเนี่ยะ แล้วมีเพื่อนมาด้วยรึป่าว?” ฉันเฉไฉไปเรื่องอื่น ต้องรีบกลบเกลื่อน ต้องไม่ให้เธอรู้เรื่อง
“ถ้ามาเรื่อย ๆ ก็ 5 ชั่วโมง ถ้าซัดกันจริง ๆ ก็ 3 ชั่วโมงสบาย ๆ ทริปนี้หนูมาคนเดียว พวกนี้เคยเห็นหน้ากันทั้งนั้น” เธอตอบพร้อมโบ้ยปากไปที่กลุ่มคน
“แฟนไม่มาเหรอ?” ฉันนึกอะไรได้ก็รีบสาดไปก่อน เบี่ยงเบนความสนใจให้มากที่สุด
“หนูก็อยากมีแฟนเหมือนกันนะ แต่คนเป็นแฟนกันก็ต้องมีอะไรกัน หนูยังไม่อยากมีเซ็กซ์กับผู้ชายตอนนี้ รอสักอายุ 25 ค่อยคิดใหม่ หนูยังสับสนตัวเองอยู่ อยากลองแต่ก็กลัว” เธอคิดอะไรแปลก ๆ คิดอย่างนี้ใครจะมาเป็นแฟนเธอ ผู้ชายมันก็จ้องเรื่องนี้กันทั้งนั้น
“ทำไมล่ะ?”
“ที่บ้านหนูไม่มีผู้ชาย หนูกลัวท้อง แต่หนูก็อยากมีคนรัก อนนี่! เรามาลองคบกันมั้ยคะ?” อ้าวซวย! ไม่น่าถามเลยกู
เธอยืนปิดตัวเขินน่ารัก นมเบอร์ใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย กำลังจีบฉันเหรอ? ฉันก็ไม่เคยเหมือนกัน ถึงฉงชิ่งฉันก็เผ่นแล้วมั่วไปก่อน
“ได้เหรอ ไม่เป็นไรเหรอ?” ฉันเองก็ทำตัวไม่ถูก ตั้งแต่เจอหน้ากัน
เธอรุกมาตลอด ลูบขาจนเคลิ้ม เดี๋ยวจับ เดี๋ยวกอด ขนลุกไปหมด.
“ได้สิ! หม่าม้าบอกว่า ผู้หญิงด้วยกันไม่มีลูก ดีจะตายไป” เธอยื่นหน้ามาใกล้
“ตึกตึก! ตึกตึก!” หัวใจเต้นรัว คิดในใจ...ตายแล้วยายนี่ เป็นอะไรมากรึป่าว? เพ้อเจ้ออะไรเป็นตุเป็นตะเชียว แต่ฉันเองก็เก้อเหมือนกัน ความรู้สึกวูบวาบใจเต้นแรงนี่มันหมายความว่ายังไงกันนะ? รู้สึกแปลก ๆ หนีก่อนดีกว่า...
“ฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19กันรึยัง? เห็นทางการจีนประกาศให้มารับวัคซีนที่ศาลาว่าการไปรอบหนึ่งแล้วนี่” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่อง ถอยออกมาก่อนเดี๋ยวเข้าเนื้อ แอบคิดในใจ ดีจัง!...ตอนนี้เธอน่าจะลืมเรื่องไอ้โล้นไปแล้ว
“ยังไม่ได้ฉีดเลยค่ะ รอรอบหน้า ให้คนแก่ฉีดกันก่อน ส่วนเด็ก ๆ ไว้ฉีดทีหลัง หนูรอได้ค่ะ อยากให้โควิด -19 มันหมดไปสักที ชาวบ้านกลัวกันมาก ไม่เป็นอันทำงาน ดูเมืองเราสิ เงียบเป็นป่าช้าเลย” เธอชี้ไปที่ฝั่งตรงข้ามที่เรานั่งพักแล้วพูดต่อ
“อนนี่เห็นถนนนั่นไหมคะ?” ฉันมองตามมือเรียวเล็กของเธอ รอบ ๆ ตัวเรามีแต่ภูเขาสูงเสียดฟ้ายิ่งใหญ่ตระการตา ขุนเขาสลับซับซ้อนท้องฟ้าใสไร้เมฆบัง
เธอชี้ไปที่ยอดเขาไกล ๆ ลูกหนึ่งทางทิศเหนือ...
“ยอดเขาบู๊ตึ๊ง เคยดูหนังจีนกำลังภายในมั่งรึป่าวคะ ที่นี่แหละ บู๊ตึ๊งที่เขาล่ำลือ ข้างบนเป็นวัดค่ะ ขี่รถไปสักพักจะเจอทางขึ้น วันหลังจะพาไปเที่ยวนะคะ” เธอกลับมายิ้มสดใสเหมือนเดิมแล้วอธิบายอย่างกับเป็นไกด์นำเที่ยว
ฉันว่าบุคลิกของเธอเหมาะกับไอดอลที่เธอฝัน อยู่ใกล้แล้วมีความสุข สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วอนนี่ ฉีดวัคซีนหรือยังคะ? คงฉีดแล้วล่ะ! อยู่ในวงการนี่เนอะ?” เธอถามเองตอบเองเสร็จศัพท์ เสื้อแขนยาวรัดรูปสีขาวถูกรูดซิปหลุดจากกัน หน้าอกเบอร์ใหญ่ดันเสื้อยืดตัวใน ออกมาท้าทายสายตา เด็กคนนี้ไม่เล็ก
“ฉีดแล้วค่ะ!” ฉันคิดค้นของฉันเองนี่ แวบคิด...นึกถึงเหตุการณ์ที่มันจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าแล้วสยองในใจ น่าขนลุก โลกใบนี้กำลังจะเปลี่ยนไป เชื้อร้ายกำลังเข้าสู่ร่างกายมนุษย์อย่างไม่รู้ตัว รีบสลัดหัวไล่ความคิดนี้ออกไปแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“ดูแลตัวเองยังไงคะ หุ่นเป๊ะมาก มาใกล้ ๆ หน่อยสิ” ฉันอดที่จะชมรูปร่างของเธอไม่ได้ มันโค้งเว้าสมส่วนสะดุดตา
“วูบ!” สายลมพัดกรรโชกฝุ่นคลุ้ง จนเราสองคนต้องเอามือปิดหน้า เธอลุกยืนหันหน้าเข้าหา แล้วหมุนตัวเองไปรอบๆ
“ชอบใช่ป่ะล่ะ?” ความสดใสเฟรนลี่ ทำให้คนข้าง ๆ พลอยมีความสุขไปด้วย แม่สาวเอวบาง สะโพกผาย ก้นกลมมนรัดตึงในกางเกงฟิตเปรี๊ยะ อะไรที่สมควรนูนก็นูน ที่สมควรเว้าก็เว้าเข้ารูปได้สัดส่วนสวยงาม ยามเดินเยื้องย่างอย่างแม่กวางสาว
“ทำยังไงนะ ฉันจะรูปร่างดีอย่างนี้บ้างนะ?” ฉันเอามือลูบไปที่เอวคอดกิ่ว กลิ่นหอมจากเหงื่อสาวสวยชื่นใจ เลื่อนมือลงมาที่สะโพกโค้งเข้ารูป อดใจไม่ได้เลยลูบลงมาที่ขาอ่อน ภายในชุดรัดรูปที่เน้นสัดส่วนโค้งเว้า ทั้งตัวของเธอชวนหลงใหล เป็นผู้หญิงด้วยกันยังต้องแอบกลืนน้ำลาย
“อนนี่! ดูนี่ก่อน” จู่ ๆ เธอก็ดึงชายเสื้อยืดม้วนขึ้นไปถึงใต้หน้าอกตูม โชว์กล้ามท้องอ่อน ๆ ขาวเนียน
“ว้าว! เพอร์เฟค” ฉันใจสั่นสะดุดตากับเครื่องประดับสร้อยร้อยไว้กับสะดือที่มีขนอุยสีน้ำตาลเส้นเล็ก ช่างเซ็กซี่ดีจัง เงยหน้าขึ้นมองหน้าอกตู้มน่าขยำ…
“แล้วอันนี้ล่ะใส่ฟองน้ำมาหรอ ตั้งจัง?” ฉันยังไม่ได้คิดหรือรู้สึกเป็นอย่างอื่น แต่มือเจ้ากรรมคว้าหมับไปที่หน้าอกของเธอซะแล้ว หน้าอกตึงเด้งหนึบมือดีจังเลย
เธอทำท่าเหนียมอายโยกหลบ
“ของแท้จ้า! คัพดี! บึ้มมากค่ะ...อ่ะ! อยากจับรึป่าว ให้จับ!” เธอพูดพร้อมก้มตัวส่ายเต้าลงมา เซ็กซี่เป็นบ้าเลย
“ไม่จับจ้า! พอแล้วจ้า” ฉันรีบเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อเธอลงมา
“เฮ่อ!” เด็กบ้าตกใจหมดเลย ใจสั่นรัวรู้สึกแปลก ๆ ความสุขใจมันเปี่ยมล้นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ไม่เสียดายหรอ? ถ้าได้จับ...ถือว่าเป็นคนแรกเลยนะ” เธอยังทำหน้าทะเล้นส่ายหน้าอก ตู้มดีจังเลยของฉันแค่คัพซีเอง เรื่องนี้ฉันแพ้ขาดลอย บุคลิกท่าทางดูแล้วเพลินตาน่ารัก ตัดสินใจไปกับเธอนี่แหละถูกต้องที่สุดแล้ว เรื่องไอ้โล้นเธอก็ไม่เอามาถามอีกและคิดว่าพวกมันคงไม่มาอีกแล้ว
"หนูไปเอาข้าวมาให้นะคะ” ไปไป๋วิ่งไปที่หน่วยข้าว
ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมากที่เธอดูแลเอาใจใส่ นั่งคิดโน่นนี่เพลิน ๆ ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว
“อนนี่!” เสียงแหลมดังจี้ดเข้าหู ไปไป๋วิ่งมาเขย่าตัวด้วยหน้าตาตื่นกลัว มือที่สั่นระริกของเธอชี้กลับไปถนนที่เราขี่จักยานผ่านมา
“อนนี่! หนีเร็ว! หนีเร็ว! หนูเห็นรถสีแดงคันเมื่อเช้า มันมาตรงโค้งนั่นแล้ว เร็ว ๆ หนีเร็ว ๆ ตายแล้ว ๆ ทำไงดี ๆ” เธอแสดงอาการตื่นกลัวตัวสั่นตาเบิกกว้างจ้องไปที่ถนน มือหนึ่งปิดปาก อีกมือยังคงชี้ ขาทั้งสองของเธอซอยอยู่กับที่อย่างร้อนรน
“ฮ๋า!” ความกลัววิ่งเข้ามาจับหัวใจ ถ้าถูกจับกลับไปจะเป็นอย่างไร? ฉันกลัวจนมือไม้สั่นไปหมด ลนลาน ล่อกแล่ก ลังเล ตื่นตระหนก อกสั่นขวัญหาย สมองตื้อขึ้นมาทันที
“จักรยาน จักรยาน!” ในใจคิดได้แต่จักรยานอย่างเดียว ไม่มีเวลาแล้ว ไม่มีเวลาแล้ว ลุกขึ้นได้ก็รีบวิ่งไปที่จักรยาน ไหน? ไหน? ไหน? จักรยานอยู่ไหน? โน่น! อยู่โน่น!
โบ๊ะบ๊ะไปหมด ถามเองตอบเอง วิ่งได้ไม่กี่ก้าวก็สะดุดขาตัวเองล้มไม่เป็นท่า ตะเกียกตะกายล้อฟรี ฝุ่นคลุ้งคลานสี่ขาพยายามจะลุกวิ่งต่อไปที่จักรยานซึ่งจอดห่างไปไม่กี่ก้าว….แค่นี้เอง
“อ๋าย!” ขนหัวลุกซู่ ความกลัวจับใจ คาถาป้องกันตัวก็ออกจากปากโดยไม่ต้องคิดถึงมัน...
“โครงสร้างและส่วนประกอบของเซลล์สัตว์ 1.เยื่อหุ้มเซลล์ มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆประกอบด้วยโปรตีนและไขมัน ทำหน้าที่ควบคุมเซลล์ให้คงรูปอยู่ได้และทำหน้าที่ควบคุมการผ่านเข้าออกของสารบางอย่าง เช่น น้ำ อากาศ และสารละลายต่าง ๆ” ฉันคลานจนถึงจักรยาน ปากก็ท่องบ่นไปด้วย
แต่...เอ๊ะ! ทำไมมันแปลก ๆ
“ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! จับโจรได้แล้ว” เสียงไปไป๋ดังไล่ตามหลังมา
ฉันหันกลับไปมอง...เธอยืนปรบมือดีใจ กระโดดโลดเต้น ทำหน้าทะเล้นล้อ คนอื่นพลอยหันมามองที่เห็นฉันหกล้มฝุ่นคลุ้ง นี่ฉันเสียท่าเธอหรือนี่? โอย..อายจังเลย เหลี่ยมจัดจริงนะยายเด็กคนนี้
“กลัวเหรอคะ! หน้าซีดเชียว ไหนดูหน้าหน่อยสิ! บ่นอะไรพึมพำคนเดียว” เธอก้าวเช้ามาเอื้อมมือเชยคาง ฉันนั่งจมอยู่กับฝุ่นบนพื้น แค้นใจนักมาหลอกกันซะสนิทเลย
“คราวหลังอย่าเล่นอย่างนี้อีกนะ ตกใจหมดเลย” ฉันปรับสีหน้า พูดเรียบ ๆ ไม่ได้ตำหนิแค่เตือน อยากจะโกรธแต่ก็โกรธไม่ลงเพราะฉันโกหกไม่เนียนให้เธอจับได้เอง
“บอกกันดี ๆ ก็ไม่ต้องใช้วิธีนี้ คิดไม่ซื่อก่อนทำไมล่ะ?” โดนเธอตำหนิอีกต่างหาก แขนขาเจ็บไปหมด ซวยจริงๆ
“พัคอนนี่ เราเปิดใจคุยความจริงกันได้หรือยางคะ?”เธอลากเสียงยาน พูดไปพยักหน้าเยิบ ๆ ไปด้วย ยื่นมือมาดึงให้ลุกขึ้นแล้วช่วยปัดเศษฝุ่นใบไม้ที่ติดตามตัวออก
“ก็มันไม่มีอะไรนี่คะ” ฉันยังโกหกไม่เลิกทั้งที่โกหกไม่เก่ง เธอนั่งยิ้มมองแล้วส่ายหน้าเม้มปาก...
“อยากลองของสินะ” เธอยิ้มมุมปากอีกแล้ว พูดงี้หมายความว่าไง? ฉันใจไม่ดีนะ เธอจะเล่นงานอะไรฉันอีก หันมองซ้ายขวาไม่เห็นมีอะไรน่าสงสัย แต่ใจระแวง
“เรื่องบางเรื่องไม่เหมาะกับคนบางคน” ฉันบอกไปเผื่อเธอจะได้หยุดคิด ทำอะไรแผลง ๆ แกล้งฉันอีก
“อนนี่! ถ้าเห็นหนูเป็นน้องสาว ก็บอกมาเถอะ หนูสัญญาจะไม่บอกใคร หากมีอะไรเกิดขึ้น หนูจะได้ช่วยอะไรบ้าง” เธอพูดน้ำเสียงอบอุ่นจูงมือฉันกลับมานั่งลงที่เดิมสองมือน้อย ๆ กุมมือ
ฉันนั่งนิ่งชั่งใจอยู่พักหนึ่ง...
“ฉันก็อยากบอกนะ แต่ขอวงเล็บเรื่องนี้ไว้ก่อนนะ” ฉันบ่ายเบี่ยงคิดหาทางเลี่ยงออกจากการสนทนานี้ เธอเป็นคนน่ารักนะ แต่ถ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย ชีวิตที่เหลือจะมีความสุขกว่า
“ลำบากใจเหรอคะ? ไม่บอกก็ไม่บอก”เธอน่ารักมาก ไม่เซ้าซี้ด้วย ค่อยสบายใจขึ้นหน่อยที่ไม่ต้องเล่า ถ้าพูดรู้เรื่องอย่างนี้ค่อยน่าคบหน่อย
เธอปล่อยมือจากฉัน แล้วยืนขึ้นบิดตัวไปมาแก้เมื่อย ก่อนจะหันหน้าไปทางเต๊นท์ของนักแข่งที่นั่งพักกันอยู่...
“ทุกโค้นนนน! ฉันมีเรื่องจะบอก ผู้หญิงคนนี้...” จู่ ๆ เธอก็ป้องปากตะโกนเสียงดัง แล้วโบกมือทำท่าจะวิ่งไปเข้ากลุ่ม
ฉันลนลานไขว่คว้าดึงแขนเธอ….
“ไอ๊กู่...ใจเย็นนะน้อง ใจเย็น ๆ อย่าดื้อ!” ฉันดึงให้เธอนั่งลงที่เดิม เธอนั่งแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะ ท่าทางเหมือนฮองเฮาที่ฉันต้องยอมศิโรราบ
“จะบอกได้หรือยังคะ?” เธอยิ้มยักคิ้ว ท่าทางเหนือกว่า
“บอกแล้ว! ยอมบอกก็ได้” ฉันหมดหนทางต่อรองกับยายนี่ คิดในใจว่า บอกเธอคงไม่เป็นไรหรอก เรื่องนี้ไกลเกินไปกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าใจ
แต่เด็กฉลาดอย่างไป่ไป๋ น่าจะเข้าใจได้ง่าย วันนี้เธอสอนฉันทางอ้อม ฉันอาจจะฉลาดในที่หนึ่ง แต่ฉันก็โง่มากในอีกที่หนึ่ง
ในระหว่างที่เล่าเรื่องราว ตั้งแต่หนีออกมาจากตึกและเรื่องวัคซีนที่หลอกคนทั้งโลก สีหน้าของเธอเปลี่ยนหลายรูปแบบทั้งตกใจ ทั้งเครียดและกังวล สงสัย สับสน คิ้วเธอขมวดตลอดเวลาที่นั่งฟังจนฉันเล่าจบลง
เธอหน้ามุ่ยปากจู๋.. .
“เรื่องน่ากลัวขนาดนี้ น่าจะพยายามห้ามหนู ไม่ให้ฉีดวัคซีนหน่อยก็ไม่ได้ ใจคอกะจะปล่อยให้ตายไปแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?” เธอหน้าตูม สะบัดหน้างอนปากจู๋ หันหลังให้
ฉันอมยิ้มถูกใจ การแสดงออกเล็กน้อยอย่างนี้ อย่างน้อยก็ทำให้ฉันชอบเธอมากขึ้น เธอเชื่อใจฉัน...
“ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน?” ฉันกลัวว่าเธอจะโกรธ แต่กลับตรงกันข้ามเธอหันมายิ้มกว้าง
“ตอนนี้เราเป็นหุ้นส่วนกันแล้วนะ ถ้าทิ้งหนูเมื่อไหร่ หนูจะบอกทุกคน” เธอยิ้มแก้มปริ ดวงตาสดใส ฉันได้แต่พยักหน้ารับ
“อนนี่ไม่กลัวผีเหรอ นอนคนเดียว?” ดูท่าเธอจะสนใจเรื่องผีนะนี่
“ผีไม่มีจริงหรอกค่ะ ถ้าเชื่อเรื่องผีหรือกลัวผี เป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้นะคะ ศาสนาฉันก็ยังไม่มีเลย” ฉันหันไปยิ้มให้
“ไม่มีศาสนาแล้วอยู่ได้อย่างไรคะ ไม่แปลกเหรอ?” เธอคงสงสัยคิ้วขมวด
“แล้วเธอนับถือศาสนาอะไรล่ะ?” ฉันสวนคำถามกลับไปให้เธอตอบบ้าง โดนต้อนมาก ๆ ขี้เกียจตอบ
“เอ่อ!...ถ้าเอาจริง ๆ ก็หลายอันอยู่เหมือนกัน ลัทธิเต๋า ลัทธิหรูและศาสนาพุทธมหายานค่ะ หนูแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นอันไหน แต่มัน กลมกลืนกับวิถีของพวกเราค่ะ” เธอตอบเสียงใส
“เรียกว่าไหว้ดะไปหมด อย่าได้เห็นเป็นรูปปั้นก็ละกันฉันจะไหว้แบบนั้นหรือเปล่า?” ฉันยิ้มถาม ไม่ได้ลบหลู่ ความศรัทธาเป็นสิ่งที่ดี.
“ใช่!..แบบนั้นแหละค่ะ ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” สาวน้อยหัวเราะร่วน
“เลือกเองเหรอหรือโรงเรียนบังคับคะ?” ฉันสงสัยเรื่องนี้มานาน
ศาสนาของทุกคนที่นับถือกันอยู่ จะมีใครสักกี่คนที่ได้มีโอกาสศึกษา เปรียบเทียบก่อนตัดสินใจนับถือบ้างหรือเปล่า? ส่วนใหญ่อาจจะโดนบังคับหรือทำตามกันมา
“ไม่ได้เลือกสักอย่าง ทำตามผู้ใหญ่ค่ะ” เธอไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร ก็เหมือนกับผู้ศรัทธารายอื่น ๆ
“แล้วทำไม อนนี่ไม่นับถือศาสนาล่ะคะ?” เธอยิงคำถามที่ฉันไม่ค่อยอยากตอบเท่าไหร่?
“มันเป็นความเชื่อ ใครเชื่อแบบไหนก็นับถือแบบนั้น ฉันมองว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล โตแล้วจะนับถืออะไรก็ได้” ฉันไม่ค่อยชอบพูดเรื่องนี้เพราะมีประสบการณ์ไม่ดี มีคนมาถามว่าฉันนับถือศาสนาอะไร? พอบอกว่าไม่มี ก็ต่อว่ากล่าวหาต่าง ๆ นานา แล้วยังจะบังคับให้เข้าศาสนาอีก ฉันไม่เข้าใจ คนไม่มีศาสนาไม่ใช่คนหรือไร?
“อย่างนี้ก็ได้เหรอ? ไม่มีศาสนาก็ได้เหรอ?”เธอยังคงไม่เข้าใจ
ฉันเองเป็นนักวิทยาศาสตร์ เชื่อในหลักเหตุผลมากกว่า เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ จับต้องได้ อาจจะมีเหงาบ้าง ที่ไม่ได้เข้าไปอยู่ร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มศาสนา แต่โลกใบนี้มีอย่างอื่นที่น่าสนใจอีกเยอะ…
“พอแล้ว! อย่าพูดเรื่องนี้มากเลย เธอเองก็เกิดไม่ทัน คุยเรื่องอื่นดีกว่าเนอะ” ฉันตัดจบ ไม่คุยเรื่องที่จะทำให้เป็นปัญหา
“แล้วมีแผนยังไงต่อ หนูตามไปด้วยได้ป่ะ! อย่างน้อยสองหัวก็ดีกว่าหัวเดียวนะคะ” ฉันว่าเธอพูดถูก เด็กอัจฉริยะอย่างฉัน ยังโดนการแสดงของเธอ ตุ๋นซะเปื่อยมาแล้ว
“ไม่มีแผนค่ะ! พอถึงฉงชิ่ง เราก็แยกทางกัน ตอนนี้ไม่ต้องคิดอะไร เธอมาแข่งจักรยานไม่ใช่เหรอ? เอาชนะให้ได้ก่อน ตั้ง 10,000 หยวนเชียวนะ” ฉันคิดว่า จากนี้ไปคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วล่ะ พวกนั้นคงไม่ตามมาอีกแล้ว ถึงฉงชิ่งก็หาเครื่องบินออกไปจากจีนได้ เราก็ไม่ต้องเจอกันแล้ว
“ได้เวลาเดินทางแล้ว!” เสียงตะโกนเรียกรวมตัวกันอีกครั้ง
ทีมจักรยานจะต้องขี่ไปถึงจุดพักค้างคืนอีก120 กิโลเมตรน่าจะใช้เวลาอีก 5-6 ชั่วโมง ฉันสะพายเป้เดินโอบเอวกันไปเอาจักรยานขี่ร่วมกลุ่มตามกันไป ฉันไม่น่าเลือกวิธีนี้เลยเจ็บตูด
……………………..............................................................................................…………………
หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |