หมวดหมู่ | The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 1 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 24 ม.ค. 2567 |
ยี่ชาง มณฑลหูเป่ย
มุมมองสายตา ตุ๋ย เจ็ทโด้
กันยายน 2022
รถบรรทุกมุ่งสู่ทิศตะวันตกของประเทศจีน ผมนึกย้อนไปในอดีตกาล ที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงสมัยราชวงศ์ฉิน ตำนานเรื่องสามก๊กก็มีร่องรอยปรากฏให้เห็นมากมาย บ้านของขงเบ้งกุนซือใหญ่ก็อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก ร่องรอยอารยธรรมจีนโบราณปรากฏหลักฐานกระจายทั่วอาณาเขตเมืองอู่ฮั่นและมณฑลหูเป่ย กองคาราวานรถบรรทุก ผ่านเลยเมืองอู่ฮั่นที่เงียบเหงามาไกลพอสมควรแล้ว สภาพความเป็นอยู่ต่างจากแต่ก่อนลิบลับ ที่นี่เป็นเมืองขนาดใหญ่เรียกได้ว่า เป็นแสงเทียนกลางแผ่นดินจีนเลยก็ว่าได้ ผู้คนเดินพลุกพล่านทั้งนักท่องเที่ยวและเจ้าถิ่นทั้งวันคืน แต่...วันนี้ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว
เจ้าแทนกับผมสลับกันขับมาตลอดทาง ตอนนี้มันนอนหลับปุ๋ยสบายอยู่เบาะข้างหลังคนขับ ถ้าไม่มีเสียงกรนเจ้าแทนก็เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง มันน่าจะมีโรคประจำตัวหรือจิตใต้สำนึกบางอย่างทำงานบกพร่องแน่ ๆ เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ชอบนอนละเมอถึงแม่ หลายครั้งผมก็สงสารที่เห็นมันละเมออย่างนั้น ผมเข้าใจความรู้สึกนี้มากกว่าใคร แม่ของแทนเป็นคนสวยมาก ผมเคยเห็นในรูปที่บ้านเอื้อง ท่านเผื่อแผ่ความงามนั้นมาให้ลูกชายคนเดียวของท่าน เจ้าแทนรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา จมูกโด่งขนตางอน คิ้วเข้มหน้าตารับแขก เอื้องฝากให้มันมาอยู่กับผม มันชอบการเมืองวัน ๆ ฟังแต่การเมือง เจ้าแทนเป็นคนจิตใจดี สุภาพยิ้มเก่ง ไม่เคยเห็นทำตัวเจ้าชู้ ชอบช่วยเหลือคนอื่น เห็นใครทำอะไรก็เข้าไปช่วย จนเป็นที่รักของคนเฒ่าคนแก่ มันเป็นหลานชายคนเดียวของเอื้องคนรักของผม
ผมเรียนหนังสือกับเอื้องตั้งแต่ชั้นเด็กเล็ก ในโรงเรียนวัดที่ผมอาศัยอยู่ ทุกเช้าผมต้องเดินตามหลังพระไปบิณฑบาตหน้าบ้านกำนันสิงห์พ่อของเอื้องทุกเช้า เราเรียนห้องเดียวกันจนจบชั้นประถม 6 เรามักจะแลกเปลี่ยนความรู้และช่วยกันติวหนังสือเหมือนเพื่อนในวัยเด็กทั่วไป จนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่น ความเปลี่ยนแปลงในใจมันเกิดขึ้นมาทีละน้อยโดยไม่ทันรู้ตัว เราขึ้นชั้น ม.4 ของโรงเรียนประจำอำเภอ โรงเรียนมัธยมไกลจากบ้านประมาณ 7 กิโลเมตร หมู่บ้านของพวกเราอยู่ในชนบทที่เป็นป่าเขา เอื้องจะนั่งรถประจำหมู่บ้านไปโรงเรียน รถจะแล่นวันละ 2รอบ เช้า-เย็นเท่านั้น ส่วนผมนั้นยากจนโดยธรรมชาติอยู่แล้ว...ปั่นจักรยานไปเพราะไม่มีเงินขึ้นรถประจำทาง
ทุกเช้าหลังพระบิณฑบาตเสร็จก็ขี่จักรยานไปเรียนทุกวัน ตอนกลางวันเราจะล้อมวงกินข้าวที่ห้องเรียนด้วยกันกับเพื่อนอีกหลายคน เอื้องกำชับให้ผมเอากับข้าวที่บ้านเธอใส่บาตรตอนเช้ามากินด้วยกันที่โรงเรียน เราต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าวันไหนมีกิจกรรมที่โรงเรียน เอื้องจะพลาดรถเที่ยวเย็นต้องซ้อนจักรยานผมกลับบ้านทุกครั้ง พอซ้อนท้ายกันบ่อยครั้งมากขึ้น ความไว้ใจก็กลายเป็นความชอบ ความคิดจิตใจมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามวัย ใจต้นโดยไม่รู้สาเหตุ คิดถึงทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ จากไม่เคยคิดก็เริ่มคิด เริ่มรู้สึกเป็นห่วง สนใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อยมากขึ้น ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นเท่าไหร่ แต่มันมีความสุขใจเวลาคิดถึงภาพเอื้องในอิริยาบถต่าง ๆ
เราสนิทกันจนคนในหมู่บ้านเริ่มจะโจทย์ขาน มีคนเริ่มล้อว่าเราเป็นแฟนกัน มันยิ่งทำให้ผมใจพองโต อายแต่ก็ดีใจเปี่ยมล้น ช่วงวัยนั้นผมไม่เคยคิดถึงเรื่องความแตกต่างระหว่างฐานะและชาติกำเนิดเลย มันเป็นความรู้สึกที่ใสซื่อเป็นความรักแบบเด็กๆ เอื้องก็ไม่เคยปฏิเสธหรือตอบรับ เวลาที่มีคนมาล้อเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น และยังทำตัวปรกติ เคยทำยังไงก็ทำอย่างนั้น ผมยิ่งมั่นใจว่าเอื้องต้องชอบผมแน่ ๆ
จนกระทั่งที่วัดมีงานประเพณีลอยกระทงสวรรค์ พ่อกำนันก็มาเป็นประธานจัดงานตามปรกติ วันนั้นผมก็อยู่ช่วยงานที่วัด คอยรอแล้วแต่ใครจะเรียกใช้ให้ทำอะไร เอื้องกับพ่อกำนันกำลังช่วยกันประดับโคมขนาดใหญ่ งานราบรื่นเต็มไปด้วยสีสันแบบบ้านนอกขนานแท้ สนุกสนานรื่นเริงกันแบบบ้าน ๆ ทุกอย่างกำลังไปได้สวยก็ต้องสะดุดลง
“กระดาษแก้วครับ พ่อกำนัน” ผมเอาของไปให้พ่อกำนันที่ยืนคุมชาวบ้านกำลังช่วยกันประดับโคมลอย
“แหม! พ่อกำนัน ได้ลูกเขยมาช่วยงาน เบาแรงไปเยอะเลยนะ” เสียงชาวบ้านแซวพ่อกำนันแล้วหัวเราะกัน คิกคิก ผมรู้สึกปลื้มใจมากยิ้มไม่หุบเลย
“ใครวะ ลูกเขยกู?”พ่อกำนันถามเสียงดัง แล้วหันหน้าไปตามเสียง
“ไอ้ตุ๋ยไงล่ะ ขยันขันแข็งดีนะ ดูสิโตขึ้นมารูปหล่อใช้ได้เลยนะ” คราวนี้เป็นเสียงยายแต๋นดังจากฝั่งตรงข้าม พ่อกำนันหันกลับมามองด้วยสายตาที่โกรธ
“มึงอย่าเที่ยวพูดพล่อย ๆ แบบนี้นะอีแต๋น! กูไม่ชอบ! ลูกกูเสียหายหมด” พ่อกำนันชี้หน้าตวาดเสียงดัง
หัวใจของผมร่วงหล่นไปกองอยู่ที่พื้น ใจหายวาบหน้าชายืนตัวแข็ง หันมองไปทางเอื้องที่นั่งกับพื้น เธอสีหน้าเรียบเฉย หลายคนก้มหน้าประดับโคมกันเงียบกริบ อีกหลายคนก็ชะเง้อมองมาว่าเกิดอะไรขึ้น
“แหม! ใคร ๆ ก็รู้ทั้งนั้นแหละ สองคนนี้มันซ้อนท้ายจักรยานกันทุกวัน” ยายแต๋นไม่ลดละ ลอยหน้าลอยตาพูดกระตุ้นต่อมโกรธของพ่อกำนัน ท่านหันมาหาผม...
“เรื่องจริงหรือเปล่าไอ้ตุ๋ย มึงชอบลูกสาวกูเหรอ?”เหมือนไฟฟ้าจี้มาที่ใจ จี๊ดไปทั้งตัว
“เอ่อ!” ผมได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าบอกว่าจริงเพราะกลัวพ่อกำนันจะเล่นงาน และไม่กล้าบอกว่าไม่จริงเพราะเอื้องก็นั่งอยู่ตรงนั้น
“มึงยังอาศัยข้าววัดอยู่เลย จะทำอะไรหัดคิดซะบ้างนะ? อะไรควรอะไรไม่ควร” พ่อกำนันเอื้อมมือที่ใหญ่และหนามาจับที่ไหล่
“ห่ะ!” ผมสะดุ้งเฮือก
“เจียมตัวหน่อย อย่าให้ได้ยินอีกครั้งนะ” เสียงดุดังราวกับตั้งใจให้มันเข้ากลีบสมอง สั่งผมให้จำไปชั่วชีวิต
โลกที่สวยงามและความมั่นใจที่เคยมี สลายไปในพริบตา ผมขาอ่อนสมองตื้อ ทรุดลงไปคุกเข่านั่งก้มหน้ากับพื้น น้ำตามันไหลออกมาหยดลงพื้น ก้มกราบไปที่เท้าของพ่อกำนัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะของชาวบ้าน ลูกกำพร้าจะมีใครกล้าเข้าข้างหรือออกตัวช่วยพูด
ผมไม่รู้เลยว่า ผมออกจากตรงนั้นมาได้อย่างไร? มารู้สึกตัวอีกครั้งก็นั่งอยู่ต่อหน้าพระประธานในโบสถ์แล้ว ท่านเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวอย่างเดียวที่ผมมี ความหนาวในใจช่างรุนแรงกว่าหนาวกาย ความคิดสับสนวุ่นวายและความกลัวเข้าสิงในจิตวิญญาณ นั่งร้องไห้คนเดียวอย่างปวดร้าวที่สุด ความรู้สึกมันแน่นอึดอัดใจจะขาด น้อยใจเสียใจระคนกัน ผมอายเอื้องจับใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจมันเป็นเช่นนี้เองเหรอ? ผมรู้สึกได้ในตอนนั้นว่า การเป็นคนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกันมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ชนชั้นที่ถูกแบ่ง แม้ไม่แสดงเส้นให้เห็น แต่มันเริ่มสัมผัสได้ ผมได้รู้จักกับมันก็วันนั้นเอง ในสายตาผู้ใหญ่ ผมแค่เด็กวัดกำพร้าพ่อแม่ไร้ค่า ที่พวกเขาคอยใช้วิ่งซื้อของ ไหว้วานให้ช่วยทำงาน เมื่อเสร็จแล้วก็จบกัน ไม่ได้มีความผูกพันทางใจกันเลย ด้วยความเป็นเด็ก ผมจะดีใจทุกครั้งที่ถูกเรียกใช้ ผมยินดีทำงานที่พวกเขามอบให้อย่างเต็มใจ เพราะคิดว่าพวกเขารักและเแ็นดู...ผมคิดผิดมาตลอด พวกเขาเพียงแต่ไหว้วานในยามที่ลูก ๆ ของเขาไม่ทำให้เท่านั้นเอง
ตั้งแต่วันนั้นมา...ผมต้องคอยหลบหน้าเอื้อง เก็บตัวและพูดน้อยลงด้วยความเจียมตัว ความรู้สึกนี้มันกัดกร่อน ทำให้ผมหมดความมั่นใจในตัวเองไม่ใช่แค่เอื้องที่ผมไม่กล้าคุยด้วย เพื่อนในห้องเรียนเกือบทั้งหมด ผมก็ไม่กล้าจะคุย เพราะผมรู้สึกว่าผมด้อยกว่า ไม่คู่ควรไปคบกับเพื่อนที่มีพ่อแม่ ไม่อยากจะไปคุยกับใครอีกเพราะมันเกรงๆ
ความรู้สึกแบบนี้เมื่อก่อนไม่รู้จักก็สบายใจดี แต่พอได้รู้จักมันกลับสร้างความแปลกแยกให้ผมโดยอัตโนมัติ มีแต่เอื้องที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป เธอพยายามแวะหาเรื่องมาคุยด้วยตลอด เพียงแต่ผมพูดน้อยลง จะให้ผมทำอย่างไรได้ แค่เห็นหน้าเอื้อง น้ำตาก็จะไหลแล้ว
ผมอายและในขณะเดียวกันก็กลัวว่าเอื้องจะเสียหาย จนถึงวันสอบสุดท้ายของ ม.6 ผมเดินใจลอยไปเอาจักรยาน คิดถึงอนาคตของตัวเองที่มืดมน วันที่ชีวิตเดินมาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจเลือก ผมไม่ใช่เด็กเล็กอีกแล้ว เมื่อเรียนจบก็ต้องแยกย้ายไปตามทางเลือก เพียงแต่ชีวิตของผมไม่มีอะไรให้เลือก เรื่องเรียนต่อลืมไปได้เลย ผมไม่มีคนส่งเสีย คงต้องหางานรับจ้างข้าง ๆ วัดทำไปก่อน กำลังคิดเพลินๆต้องสะดุ้งเมื่อโดนสะกิด
“ตุ๋ย! ให้เอื้องซ้อนท้ายกลับบ้านด้วยคนนะ” เอื้องมายืนดักรอผมที่หน้าโรงเรียน เธอทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง ทำให้ผมมีกำลังใจกลับมาอีกครั้ง
“จะดีเหรอ เอื้องไม่กลัวเหรอ?” ผมยังประหม่า ถึงแม้จะดีใจแต่มันก็ใจหวิววาบลังเลอย่างบอกไม่ถูก เสียงกำราบของพ่อกำนันยังก้องหู
เอื้องในชุดนักเรียนไม่พูดพล่ามทำเพลง เอาหนังสือโยนใส่ตะกร้าหน้ารถ แล้วกระโดดขึ้นซ้อนท้ายแบบผู้หญิงเอาเท้าห้อยด้านซ้าย เอานิ้วมือสอดมาจับหูกางเกงผม
“ไปเลย! ออกรถได้”เอื้องตะโกนเสียงใส แล้วหันไปยกมือโบกลาโรงเรียน…
“ขอบคุณมากนะค้า!...” เธอป้องปากตะโกนเสียงดังไปที่อาคาร 1 ด้านหลังก่อนผมจะเลี้ยวออกขึ้นถนนใหญ่
ระยะทางจากโรงเรียนถึงบ้าน 7 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาปั่นกันเป็นชั่วโมง แสงแดดส่องหน้าตอนเย็นยังร้อนแรงจนเอื้องต้องหลบหลังผม มือยังดึงหูกางเกง วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการจะได้เรียนร่วมกันแล้ว ชีวิตเดินมาถึงทางแยกที่ไม่มีวันย้อนกลับ เมื่อจบการศึกษาต่างคนก็ต่างต้องไปตามทางที่ถูกลิขิตเอาไว้
“ตุ๋ยไปเรียนต่อที่ไหน?” เสียงเอื้องดังจากด้านหลัง
“คงไม่ได้เรียนต่อแล้วล่ะ จะไปหางานทำ” ผมใจหายเมื่อตอบคำถามนี้ โอกาสในการเรียนของผมหมดไปแล้ว เรียนจบมัธยมปลายและโตมากเกินกว่าจะอยู่วัดได้อีกต่อไป
“น่าเสียดาย...ตุ๋ยเรียนเก่งกว่าเอื้องอีกได้ที่ 1ตลอด” ประโยคนี้ของเอื้องทำให้ใจผมสลดลงไปอีก
“เอื้องอยากเรียนอะไรครับ?”
“เอื้องอยากเป็นหมอ” เอื้องยังไม่เปลี่ยนความคิด เธอฝันอยากเป็นหมอ ตั้งแต่เรียนชั้น ป.ขี้ไก่ด้วยกัน
“เอื้องทำได้อยู่แล้ว ให้ผมส่งเอื้องตรงไหนดี?” เพื่อความปลอดภัยของเอื้อง ผมต้องคิดมากขึ้นอย่างที่พ่อกำนันบอก
“ศาลาหน้าบ้านเลย ไม่เป็นไรหรอก นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย” เอื้องพูดเสียงเบา หัวใจผมโบยบินไปพร้อมกับความคิด
ใช่สินะ!…ผมเองก็ต้องเริ่มต้นใหม่เหมือนกัน...ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ มันจุกพูดไม่ออกเหมือนกัน ผมรู้สึกมืดมนมองไปทางไหนก็ไร้หนทาง ผมอยู่วัดมาตั้งแต่เด็ก เพื่อนเล่นก็เด็กวัดด้วยกัน หรูดูดีสุดคงเป็นลูกสัปเหร่อที่พี่สาวส่งของเล่นมาให้จากต่างประเทศ เพื่อนร่วมห้องเรียนไม่ต้องพูดถึง พวกมันคงทำนาทำสวนกันหมด อย่างไรเสียผมก็ต้องออกจากวัดเหมือนกัน แต่ผมไม่มีที่ให้ไป โลกกว้างใหญ่ใบนี้ไม่มีที่ให้ผมยืน ลูกกำพร้าไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดแล้วยังหลงทาง มืดมิดมืดมนหมดหนทางให้เดิน
รถจักรยานมาจอดที่ศาลารอโดยสารหน้าบ้านเอื้อง กำแพงปูนล้อม ด้านหน้าเป็นประตูอัลลอยด์เปิดกว้างไว้ เอื้องกระโดดลงมาหยิบหนังสือที่หน้ารถแล้วเดินเข้ามาใกล้
“ตุ๋ย!...เอื้องขอบใจนะ ที่เป็นเพื่อนที่ดีตลอดมา เอื้องรู้ว่าตุ๋ยคิดอะไร?” เอื้องมองหน้าแล้วยิ้มให้ มันเป็นยิ้มที่สวยที่สุดที่ผมเคยเห็น
“เอื้องรู้อะไร?” ผมใจสั่นจะจากกันอยู่แล้ว อย่าพูดอะไรทำร้ายจิตใจผมเลยนะ
“เอื้องเป็นเพื่อนเล่นกับตุ๋ยมาตั้งแต่เด็กเลยนะ ทำไมเอื้องจะไม่รู้ว่าตุ๋ยคิดอะไร ขอบใจนะตุ๋ย เอามือมานี่” เอื้องหันกลับไปมองในบ้านก่อนคว้ามือผม
“เอานิ้วก้อยมาเกี่ยวกัน”เอื้องจับมือผมยกขึ้น ผมกำมือเหลือไว้เพียงนิ้วก้อยนิ้วเดียวให้เธอเอานิ้วก้อยมาเกี่ยวไว้
“จำเอาไว้นะ อายุ 30 กลับมาเจอกันใหม่” ประโยคนี้ประโยคเดียว กำลังใจมาจากไหนก็ไม่รู้ ผมหายเศร้าเป็นปลิดทิ้ง ความน้อยเนื้อต่ำใจสลายไปสิ้น ขอบใจมากนะเอื้องที่ชุบชีวิตให้ผม
................................................................................................................................................................
การหมดสิทธิ์คิด....ถูกประทับลงบนตัวผม ทุกครอบครัวก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน พวกเขาต่างต้องดูแลลูกของตัวเอง ไม่มีใครเอื้อมมือมาพยุงเดิน ก้าวแรกที่ต้องออกไปเผชิญนอกวัด ยังหาไม่เจอว่าต้องไปที่ไหน? เมื่อคราวสิ้นหนทางแบบนี้คนที่ผมจะคิดถึงก่อนคนแรก ๆ คือพ่อกับแม่ แต่มันก็คิดได้แค่นั้น เหมือนเดินวนชนกำแพงที่ไม่มีทางออก รูปเล็ก ๆ ของพวกท่านยังคงอยู่ในกระเป๋าสตางค์เก่า ๆ ขาด ๆ มันถูกหยิบมาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนยับเยินหมดแล้ว
ยามหลับฝันเห็นกันทีไร พอตื่นขึ้นมาน้ำตานองหน้าเปียกหมอนไปหมด จิตใต้สำนึกจะวนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยมา จนเวลาได้ยื่นความชินชามาเยียวยาหัวใจที่บอบบาง มันเข้ามาแทนที่ความโหยหานานวันเข้าจึงคลายความคิดถึงไปได้บ้าง การตายจากกันแบบนี้ไม่ดีเลย ไปหาพวกเขาไม่ได้ไปเยี่ยมก็ไม่ได้แม้แค่อยากจะไปแอบมองก็ยังทำไม่ได้
พอเริ่มโตเป็นหนุ่มก็อายผู้คน ต้องหาทางออกจากวัด ญาติพี่น้องก็ไม่มีให้ยืนเริ่มต้น เพื่อน ๆ ก็มีน้อย ส่วนใหญ่จะจนเหมือนกัน โอกาสที่จะได้เรียนต่อช่างริบหรี่เหมือนแสงเทียนในอุโบสถ
วันหนึ่ง...โชคก็เข้าข้างผม มีโยมผู้หญิงแถววัดกลับมาเยี่ยมบ้าน พาสามีที่เป็นทหารฝรั่งเศสมาทำบุญที่วัด เธอเล่าเรื่องการเป็นทหารรับจ้างให้หลวงพ่อฟัง มันเหมือนเป็นแสงริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์สำหรับเส้นทางชีวิตของผม
“ตุ๋ย! เอ็งอยากไปเป็นทหารที่ฝรั่งเศสมั้ยล่ะ?” หลวงพ่อเรียกผมไปนั่งคุยในกุฎิของท่านหลังฉันเช้า
“หลวงพ่อคิดว่าไปดีหรือไม่ไปดีกว่ากันครับ?” ผมบีบน่องที่นุ่มนิ่มของพระสงฆ์สูงวัย และขอความเห็นจากผู้ใหญ่ด้วย แต่ในใจผมไปฝรั่งเศสแล้ว ผมตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า
“ข้าคิดว่าเอ็งไปดีกว่า อายุก็ได้ วุฒิการศึกษาก็ได้ เออ!...เขาต้องการแค่อ่านออก เขียนได้ในภาษาตัวเองแค่นั้น แล้วก็สอบสมรรถนะร่างกาย ดึงข้อ ว่ายน้ำ วิ่ง ดันพื้น เขามีให้เครื่องแบบฟรี ข้าวฟรี ที่พักฟรี สวัสดิการค่ารักษาพยาบาลทุกอย่างฟรี มีเงินเดือนต่างหาก เบี้ยเลี้ยงอีก มีพักร้อนให้ด้วยนะ โยมฝรั่งบอกว่า รายได้แต่ละเดือนเหยียบแสนเชียวนา” ผมเชื่อหลวงพ่อ ในขณะเดียวกันผมก็เห็นว่านี่เป็นทางออกจากวัดที่สวยงามที่สุด
ผมเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาครูที่โรงเรียนวัด ท่านก็ใจดีพาไปทำหนังสือเดินทางและรับรองทุกอย่างให้ สุดท้ายก็ได้เข้าประจำการฝึกที่เมืองน็องซ์ ฝรั่งเศส ผมชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ ขวัญใจของผมคือโรนัลโด้ นักข่าวกีฬาต่างประเทศตั้งฉายาว่า “เจ็ทโด้” และนั่นคือที่มา ลองพูดสิ.... เจ็ทททททโด้วววววว! ยาว ๆ เลย แม่งได้ฟิลลิ่งว่ะ
ผมได้เจอเจ้าซอนที่นั่น สถานที่ ๆ พลิกชีวิตของผม เราได้ทักษะ ความรู้เพิ่มมากมายได้เรียนทั้งภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศสและได้มีเพื่อนอีกหลายชาติ ได้ท่องไปในโลกกว้างได้เห็นสรรพชีวิตที่หลากหลาย สมัยก่อนพวกเราร่วมรบกันมาหลายสมรภูมิเป็นสไนเปอร์ทีม ผมลั่นไก ซอนชี้เป้า ซอนอยู่ตัวคนเดียวยังโสด พ่อเสียไปตั้งแต่ยังเด็ก แม่พึ่งเสียไปเมื่อปีกลาย ผมตัดสินใจปลดประจำการตอนอายุ 30 ปีก่อนที่ซอนจะปลดประจำการ แล้วหลังจากนั้นก็มาขับรถบรรทุกด้วยกัน
............................................................................................................................................
หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |