หมวดหมู่ | The last man stand วิบัติ 2026 เล่มที่ 2 |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 24 ม.ค. 2567 |
ป่าโบราณ ฉวีจิ่ง มณฑลยูนนาน
มุมมองสายตา นาตาลี
ตุลาคม ค.ศ.2020
ฉันรู้สึกถึงความเย็นจากสายลมที่ปะทะกับร่างกายและใบหน้า แต่ยังคงลืมตาไม่ขึ้น รู้สึกร้าวระบมไปทั้งลำตัวและแขนขา ร่างกายไร้เรี่ยวแรงขยับเขยื้อนไม่ได้ นอนคิดทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ใช่แล้ว!...รถยนต์ของเราตกเหวนี่นา หรือว่าฉันตายไปแล้ว ฉันตายไม่ได้ ฉันต้องออกจากจีน พยายามลืมตาแต่ขยับไม่ได้เลย เปลือกตาที่เบาบาง ยังคงหนักมากสำหรับหรับฉันในตอนนี้
“อนนี่! พัคอนนี่!” เสียงแผ่วเบาลอยมาตามสายลม กระตุ้นโสตประสาทให้กลับมาทำงานอีกครั้ง เสียงนี้ช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน
“อนนี่! อนนี่!” เสียงนี้...ไป่ไป่นี่นา มีเธอคนเดียวที่เรียกฉันแบบนี้
“ไป่ไป๋! ฉันอยู่นี่! ฉันอยู่นี่!” ความรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ฉันตะโกนสุดเสียง แต่รู้สึกเหมือนเสียงที่ตะโกนออกไปก้องอยู่ในหู มองเห็นเงาลางของใครบางคนยืนอยู่ทางปลายเท้า ท่ามกลางแสงสว่างจ้าจากปากอุโมงค์ถ้ำ
“ไป่ไป๋! ฉันอยู่นี่” ฉันตะโกนด้วยความดีใจ พยายามพยุงตัวลุกขึ้นโบกมือให้ เธอเดินมาหาใกล้ถึงแล้ว แสงสว่างจ้าแทงตาทำให้เห็นใบหน้าไม่ชัด
“ฉันอยู่นี่ไป่ไป๋!” ฉันพยายามเอื้อมมือไปไขว่คว้าจับขา เมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้
เธอค่อย ๆ ก้มหน้าลงมาหา ยิ่งก้มลงมาใกล้ ยิ่งเห็นหน้าชัดมาก
“หือ!” ฉันผงะถอย กลิ่นเหม็นเน่าหึ่ง ใบหน้าที่เคยขาวนวลมีแต่สะเก็ดแผล เละไปด้วยน้ำหนองเขียวเหลืองผสมกับเลือดกลายเป็นสีม่วงคล้ำ ช้ำเลือดช้ำหนองชวนอาเจียน น่าขยะแขยง
“แอะ!” กลิ่นเหม็นเน่าโชยเข้าจมูกจนขมคอ เส้นผมที่เคยดกดำหนาเงางาม กลับร่วงเป็นกระจุก ๆ เห็นหนังหัวขาวแหว่ง หนอนขาวตัวอ้วนไต่ยึ่บยั่บ
ดวงตากลมโตดำสดใส กลับกลายเป็นสีขาวขุ่น เส้นเลือดแดงฝอยชอนไชไปทั่วดวงตาขาว ลูกตาดำเล็กแค่เม็ดถั่วเขียว ปากชมพูฉีกอ้ายาวถึงหู ลิ้นแหลมยาวห้อย
ฉันส่ายหน้าหลบน้ำลายไหลยืดหยดลงมา…
“โอ๊ะ!”
เธอเอื้อมมือมากดที่ไหล่ จนล้มลงไปนอนหงายท่าเดิม ฉันกัดฟันดิ้นสู้สุดชีวิต ไป่ไป๋ตายไปแล้ว เธอกลายเป็นผีดิบไปแล้ว ใบหน้าเละเหมือนกับ Soullessเลย
“อย่า!..ไป่ไป๋! อย่า! นี่ฉันเองนะ!” ฉันพยายามแกะมือที่กดลงมาที่ไหล่สองข้างให้หลุด แผ่นหลังเจ็บระบมจากคมเม็ดกรวดทราย แต่มือนั้น...แข็งราวกับคีมเหล็ก กดจนดิ้นไม่หลุด
เธอก้มหน้าลงมาใกล้ แลบลิ้นที่ห้อยยาวมาเลียไล้บนใบหน้า น้ำเหลืองค่อย ๆ หยดลงมาบนมุมปากของฉัน ลิ้นที่ยาวเลื้อยไปมาบนแก้มซ้ายขาว มันพยายามชอนไชเข้ารูจมูก เลื้อยมาเปลือกตาจนเปียกแฉะ กลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งแสบจมูกจนใจจะขาด ดิ้นส่ายหน้าหลบหลีกสุดชีวิต
แต่เจ้ากรรม..
“ไม่เอานะ!” ลิ้นเรียวยาวเกี่ยวติดที่ริมฝีปากล่างของฉันจนได้ เธอพยายามดุนลิ้นเน่าเข้าปาก ฉันเม้มปากแน่น สะบัดหน้าหนี ใช้สองมือดันไปที่หน้าอกกลมคู่ใหญ่ของเธอสุดแรง รวบรวมพลังผลักให้ตัวเธอออกไป
“โผ๊ละ!” มือผลุบหายเข้าไปในหน้าอกใหญ่คู่นั้น น้ำเลือดผสมน้ำเหลืองพุ่งทะลักใส่ใบหน้า น้ำหนองไหลยืดย้อยเข้าปากจนขมลิ้น กลิ่นเหม็นเน่าฉุนขมคอ
“อย่า! ไม่เอา ถุย! ถุย! ถุย!” ฉันทั้งร้อง ผลัก ถีบและดิ้นในเวลาเดียวกัน เพื่อจะให้ตัวเองได้รับอิสรภาพ
“อี๋!..ฉันกลัวแล้ว! ไป่ไป๋! ฉันกลัวแล้ว!” ฉันจิกผมของเธอเพื่อดึงหน้าให้ลิ้นของเธอออกจากปาก ยกสองเท้าถีบอย่างแรง แต่ซากร่างของเธอเซถอยหลังไปนิดเดียว
“ถุย! ถุย! ถุย! ถุย!” ฉันขยะแขยงน้ำเหลืองน้ำหนองที่กระเด็นเข้าในปาก แหงนมองดวงตาขาวคู่นั้น ไร้ซึ่งความปราณี นิ่งแข็งค้างจ้องเขม็ง
“โครงสร้างและส่วนประกอบของเซลล์สัตว์ 1. เยื่อหุ้มเซลล์ มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆประกอบด้วยโปรตีนและไขมัน ทำหน้าที่ควบคุมเซลล์ให้คงรูปอยู่ได้และทำหน้าที่ควบคุมการผ่านเข้าออกของสารบางอย่าง” เพื่อนรักฉันมาแล้ว ฉันท่องคาถาอีกแล้ว ฉุกเฉินทีไรมาทุกที พยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากผีร้าย
“คลุกคลัก!” เธอพยายามโถมตัว ทิ้งน้ำหนักลงมาจนล้มหงายหลังนอนหงายกับพื้นอีกครั้ง ใบหน้าของเธออยู่ที่หน้าอกของฉันพอดี ดวงตาขาวเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยน่ากลัวอยู่ตรงหน้า ระยะประชิด
ขนหัวลุกชูชัน ใจจะขาด เธอเอามือข้างซ้ายดันตัวเองขึ้นพร้อมยกมือขวาขึ้นสูงเตรียมจะล้วงลงที่ท้องของฉัน
“ไม่นะ! อย่า! ขม! กินไม่ได้ ไม่อร่อยหรอก!” ฉันร้องสุดชีวิต มีโอกาสสุดท้ายแค่ครั้งเดียวเท่านั้นก่อนที่จะหมดแรง รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีผลักไปที่ตัวมัน
“ไม่นะ! อย่านะ!” ฉันปัดมือไปมา ขาทั้งสองข้างทั้งถีบทั้งยัน
“อนนี่!” เสียงใสก้องกังวาน เสียงนี้มาอีกแล้ว แต่คราวนี้ชัดขึ้น มันใกล้มากอยู่ที่ข้างหูนี้เอง
ในจังหวะที่ฉันไปสนใจเสียงนั้น เจ้าผีร้ายพุ่งเข้ามารวบเอว
“ โอ๊ะ!”
ฉันรู้สึกเหมือนโดนอะไรบางอย่างรัดมาที่ลำตัวจากด้านขวา พยายามดิ้นขัดขืนด้วยความกลัวสุดขีด…
“ปล่อยนะ! ปล่อยเดี๋ยวนี้!”
“อนนี่! หนูเอง ไป่ไป๋ไงล่ะ!”เสียงอ่อนโยนดังก้องอยู่ข้างหู พยายามตั้งสติลืมตาอีกครั้ง
“โครงสร้างและส่วนประกอบของเซลล์สัตว์ 1.เยื่อหุ้มเซลล์ มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆประกอบด้วยโปรตีนและไขมัน ทำหน้าที่ควบคุมเซลล์ให้คงรูปอยู่ได้และทำหน้าที่ควบคุมการผ่านเข้าออกของสารบางอย่าง” แสงจ้าทำให้ฉันไม่สามารถลืมตาได้ทันที สองมือคลำสะเปะสะปะเหมือนคนตาบอด โดนลำตัว คว้าไปโดนแขนของใครบางคนที่กอดฉันอยู่
“ไป่ไป๋เหรอ? ไป่ไป๋ใช่มั้ย?” สติสัมปชัญญะกลับมาแล้ว หันหน้าไปทางเสียงที่ได้ยิน อยากลืมตาเห็นใบหน้าเธอไว ๆ น้ำตาปริ่มด้วยความปลาบปลื้มดีใจ หัวใจยังสั่นเต้นแรงจากฝันร้ายไม่หายเลย /แต่ก็ดีใจ ฉันไม่ตาย ฉันไม่ตายแล้ว/
ฉันกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อให้คุ้นกับแสงจ้า จนเห็นใบหน้าของเธอชัดเจน นางฟ้าของฉัน แม่สาวขายเสื้อคนสวย...
“ไป่ไป๋!!” ฉันโผเข้าสวมกอดแล้วร้องให้โฮ
“ฮือ!ฮือ!ฮือ!” ความดีใจพรั่งพรูออกมาเป็นสายน้ำตา ยิ้มหัวเราะกับความโชคดี น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มไหลนอง ดึงตัวเธอมากอดแน่น
“ฮือ!ฮือ!ฮือ! อนนี่ตื่นแล้ว! อนนี่! อนนี่ตื่นแล้ว” เธอโผลงมากอดสะอื้นร้องลั่น
“ฮือ!ฮือ!ฮือ! ไม่ร้องนะ ไม่ร้องนะ โอ๋ ๆ ๆ ๆ ดีใจจังเลย ฟื้นแล้ว” เธอร้องลูบหลังปลอบใจเบา ๆ
ฉันรู้สึกอบอุ่นดีจัง ดีใจเอาจมูกซบลงไปที่หน้าอกสองสามครั้งแล้วแนบใบหน้าลงบนอก กอดเอวกลมของเธอไว้ เอวนิดเดียวสะโพกงอนมาก
“เรายังไม่ตายใช่มั้ย เรารอดแล้วใช่มั้ย?” ฉันคิดเรียงลำดับไล่เหตุการณ์ว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ไหนเงยหน้าให้ดูหน่อยสิ” ไป่ไป๋ยิ้มตาหวาน...
“ขวัญกลับมานะ” เอามือประคองใบหน้าของฉัน แล้วก้มลงมาจูบที่หน้าผาก ความรู้สึกมันแปร๊บ ๆ ลงในใจ มันตกใจ มันอายสับสน ไม่ทันตั้งตัวแต่รวม ๆ แล้วคือดี
“ขออยู่แบบนี้อีกนิดนะคะ” ฉันเอาหน้าซุกอกอุ่นของเธอไว้แบบนั้น
“อยู่นาน ๆ เลยก็ได้ค่ะ หนูรอได้ หนูรอมาหลายวันแล้ว” เสียงใสเธอบอกเบา ๆ อบอุ่นดีจังไม่อยากปล่อยเลย
เธอเอาสองมือกดหัวฉันแนบอกแน่นเข้าไปอีก กลิ่นตัวหอมอ่อนของสาวสวยลอยเข้าจมูกชื่นใจ อบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนคะ?” ฉันนั่งอยู่บนกองใบไม้แห้งที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความตั้งใจ หันซ้ายหันขวาแหงนหน้าขึ้นสำรวจจุดที่ฉันนอน เป็นโพลงถ้ำตัน ๆ เล็ก ๆ ลึกสักสองเมตร
ท้องฟ้าหน้าถ้ำเปิดโล่ง ไม่ไกลจากที่นอน ต้นไม้ป่าแผ่กิ่งก้านสาขารับแสงแดดอ่อน ๆ อยู่สองต้น พวงดอกเหลืองห้อยระย้าแกว่งตามสายลมโชย ถัดออกไปนอกถ้ำเป็นลานหินขรุขระ ก้อนใหญ่ตั้งเกะกะอยู่สองสามก้อนไม่กว้างนัก แสงอาทิตย์ส่องมาทางด้านซ้ายมือแสดงว่าตรงข้างหน้าเป็นทิศใต้ มองไกลออกไปต้นไม้เปลี่ยนสีเหลืองแดงตระการตา ต้นไม้ขึ้นอยู่ตามยอดภูเขาหินปูนแท่งกลมสีขาวขุ่น เหมือนตะปูยักษ์ปักลงพื้น กระจายสูงต่ำเกลื่อนตาทั่วบริเวณ ฉันค่อย ๆ ขยับแขนขา มือน้อย ๆ ค่อย ๆ บีบนวดตัวเองอย่างช้า ๆเพื่อจะสำรวจดูอาการบาดเจ็บ
“บนภูเขาอะไรก็ไม่รู้ค่ะ ตรงนี้เหวลึกมากเลย ” ไป่ไป๋ส่ายหน้าชี้มือไปที่ลานหน้าถ้ำ เธอขยับเข้ามาช่วยบีบ
“อนนี่เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าคะ?” มือน้อยลูบคลำมาตามลำตัวและบีบแขนขาให้ ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบ ไม่รู้สึกเจ็บตรงไหนเลย
“ฉันหลับไปนานไหม?” ฉันบิดตัวซ้ายขวาและขยับตัวลุกขึ้นยืน สลัดแข้งขา
เดินออกมานอกถ้ำที่ลานหินตะปุ่มตะป่ำ สุดลานหินเป็นเหวลึก ที่เราอยู่เป็นชะง่อนผา ด้านหลังเหนือถ้ำขึ้นไปเป็นหน้าผาสูงชันรอบบริเวณมีแต่ต้นไม้ใหญ่ปกคลุมหนาทึบ
“5วัน...หลับยาวเลย หนูกะว่าถ้าวันนี้ไม่ฟื้น หนูจะลงจากภูเขาแล้ว ทิ้งอนนี่ไว้บนนี้แหละ” เธอกลอกตาไปมา ยิ้มหน้าแป้นแล้วเดินตามออกมา
“แล้วอีกคนล่ะ! อยู่ไหน เป็นอะไรหรือเปล่า?” ฉันคิดขึ้นมาได้ว่ามีผู้ชายมาด้วยอีกคน ไอ้หนุ่มคนขับสิบล้อมาด้วยนี่นา
“โชคดีที่รถยนต์ของเราตกลงบนยอดไม้ ซับแรงกระแทกได้เยอะ รถอยู่ข้างบนเนินเขาโน่นแน่ะ หนูกับแทนทำเปลหามลงมาได้แค่เนี้ยะ เขามุ่งมั่นพาอนนี่หนีตำรวจจริง ๆ นะ หนูวิ่งแอบเฮลิคอปเตอร์ตั้งหลายครั้ง”
ไป่ไป๋เล่าเรื่องพร้อมชี้มือชี้ไม้ เหมือนกับว่าเราอยู่ไม่ไกลจากจุดที่รถยนต์ตกลงมา พอมองไปก็เห็นแต่ต้นไม้ทึบไปหมด มีเพียงจุดที่เรายืนอยู่เป็นที่ลานหินโล่งเล็ก ๆ ฉันคิดทบทวน...ใช่แล้ว! เขาขับรถลงเหวมานี่นา...
“อนนี่! นายแทนใจดีจังเลย เขาช่วยทำทุกอย่าง น่ารักมาก” เธอชื่นชมหน้าบานอย่างสนิทใจ
แต่สำหรับฉัน...ต้องคิดเยอะหน่อย มันมีบางอย่างคาใจ...
“เหรอ..ใจดีเหรอ?...ขับรถลงเหวนี่นะ ถ้าเขาคิดถึงความปลอดภัยสักนิด พวกเราคงไม่ต้องเสี่ยงขนาดนี้” ฉันฉุกคิดขึ้นมาแล้วร้อนรุ่มในใจ ยังไงฉันก็ไม่พอใจ ตัวฉันมีมูลค่ามหาศาล แต่เขาเอามาโยนทิ้งลงเหว...น่าขำสิ้นดี
“เขาไม่เป็นอะไรเลย แข็งแรงมาก” เธอยังลอยหน้าลอยตายิ้มสดใส ยายเด็กนี่ก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย เห็นเป็นเรื่องสนุกนักรึไง?
“เขาไปไหนแล้วล่ะ?” ฉันกวาดสายตาไปทั่ว ก้มมองขวดน้ำที่เหลือครึ่งขวดกับผ้าเช็ดหน้าอัดเม็ดสีขาวสองสามผืนที่ผ่านการแช่น้ำแล้ว ผนังถ้ำด้านในมีแบตเตอรี่รถยนต์ลูกเล็กวางอยู่ พร้อมหลอดไฟดวงเล็ก
“เห็นบอกว่าจะไปหาอาหารมาให้ หายไปตั้งแต่เช้าแล้ว อนนี่! หิวไหมคะ?” เธอเดินมาเคียงข้าง ฉันสังเกตตามเนื้อตัวไป่ไป๋มีรอยเขียวช้ำตามแขนขา แต่ไม่มีบาดแผล เธอคงจะเจ็บน่าดู สงสารเธอจังเลยพลอยมาเจ็บตัวไปด้วย
“มาใกล้ ๆ สิ” ฉันมองไปที่ขาเรียวสวยของเธอแล้วนั่งลงเอามือลูบไปที่ขาอ่อนขาวเนียนที่เขียวเป็นจ้ำและรอยขีดข่วนจากหนาม แล้วเพิ่มแรงกดลงไป
“เจ็บไหม?” ฉันเงยหน้าขึ้นไปมอง กลิ่นสาวหอมฉุยไป่ไป๋หน้าเหย
“อูย! ซี๊ด!..เจ็บค่ะ!” ฉันถือโอกาสลูบไล้ขายาวขาวสวยได้สัดส่วน พร้อมกับสำรวจบาดแผลไปด้วย เธอทำท่าจักกะจี๋แล้วยื่นมือมาดึงให้ยืนขึ้น
“แล้วไปเอาไฟที่ไหนมาคะ?” ฉันชี้ไปที่กองไฟ ใต้ต้นไม้หน้าถ้ำ ข้าง ๆ ที่นอน
“เขาไปถอดแบตฯ ของรถยนต์มาค่ะ อนนี่คงจะหิว กินน้ำก่อนนะ หนูพึ่งกินกล้วยหมดไป รอแทนกลับมาก่อน” สิ้นเสียงของเธอ ราวป่าก็สั่นไหว...
“แกรก! แกรก! แกรก!” เสียงกิ่งไม้หักดังจากทางตะวันตก
นายแทนเดินโผล่มาจากหลังก้อนหินใหญ่ เสื้อคอกลมสีขาวเลอะโคลนและกางเกงยีนสีซีดมอมแมม รองเท้าผ้าใบเลอะดูไม่จืด เขาหายใจหอบแรงในมือทั้งสองข้างหิ้วของมา เราเดินไปรับ
“ได้อะไรมาบ้างคะ?” ไป่ไป๋ยิ้มดีใจและตะโกนถามคนที่เดินมาตัวสูงโย่ง
“ฟื้นแล้วเหรอครับคุณผู้หญิง? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า? หิวหรือยัง?” เขายิ้มด้วยแววตาที่อบอุ่น ส่งกระบอกน้ำไม้ไผ่ให้ฉัน
“ไปเอามาจากไหนคะ?” ไป่ไป๋ถามเขาพร้อมส่งเครือกล้วยมาให้ฉัน แล้วเอากระบอกน้ำไปถือ
ยายเด็กนี่เอาเปรียบเอาของหนักมาให้ฉัน แล้วเดินแถไปแหงนหน้าคุยกับเขา
“หายไปตั้งแต่เช้ากลับมาบ่ายได้แค่นี้เองเหรอ? หนีไปเที่ยวไหนมายอมรับมาซะดี ๆ ” ไป่ไป๋หยอกพร้อมหัวเราะเสียงใส พากันเดินกลับมาที่หน้าถ้ำ ฉันเพิ่งสังเกตด้านในสุดติดผนังถ้ำมีรังนกขนาดใหญ่
“ตรงโน้นรังนกอะไรคะ?” ฉันชี้มือไปที่รังนกด้านหน้าผนังพื้นถ้ำเลยต้นไม้ดอกเหลืองสะพรั่ง
“เหยี่ยวครับ! มันชอบมาทำรังในที่สูง ๆ แบบนี้แหละครับ”เขาตอบแล้วเอาไม้มากอง
ถึงว่าสิ! ตอนที่ฉันฝันถึงเหม็นเน่าเชียว นกเหยี่ยวเป็นสัตว์กินเนื้อซากสัตว์ที่ลูกนกกินเหลือและถ่ายมูลออกมาส่งกลิ่นเน่าเหม็นคลุ้งไปทั่วบริเวณ
“ทำไมคุณไม่เอาออกไปทิ้ง เหม็นจะตาย” ไป่ไป๋ทำหน้ายุ่งหันไปบ่นใส่เขา ช่องว่างของเขาสองคนลดลงสนิทสนมกัน ดูจากอาการงอนของเธอแล้ว...ในระหว่างที่ฉันหลับไป คงสนิทกันมากขึ้น หรือว่าบุ่มบุ๋มกันไปแล้ว?
“อย่าไปจับต้องสิ่งของธรรมชาติโดยไม่จำเป็นดีกว่าครับ เรามาอาศัยพื้นที่เขานะ ให้ความเคารพเขาด้วย” แทนพูดจาหนักแน่น แววตาจริงจังดูหล่อขึ้นมาทันที
ไป่ไป๋หันมามองแทนแล้วอมยิ้มพยักหน้าหงึก ๆ สายตาเจ้าเล่ห์มาก เดินแฉลบเข้าไปหา...
“ใจหล่อมากเลยนะคะ” เธอเอาหัวไหล่กระแทกไปที่แขนซ้ายของแทนแล้วยิ้มหวาน
เขายิ้มรับเก้อ ๆ อาย ๆ ฉันคิดในใจ ..นายกำลังจะโชคร้ายอย่าเพิ่งดีใจไป ให้ฉันกินอิ่มก่อน
ไป่ไป๋กระโดดเข้าไปหา...
“จริง ๆ แล้วที่ซ่อนไว้คือ?” เธอพรวดเข้ามาทำหน้าทะเล้น
เขาเงอะงะยังไม่ทันตั้งตัว…
“ขี้เกียจง่ะ!”แล้วหันไปทำหน้าล้อเล่นและหัวเราะชอบใจ ตีมือไฮไฟว์กัน สองคนนั้นเข้ากันได้ดี ไป่ไป๋คนเดิมกลับมาแล้วหัวเราะเสียงใสเชียว
“เดี๋ยวผมใส่ฟืนก่อน เผากล้วยกินไปก่อนก็แล้วกัน คุณผู้หญิงคงจะหิวแล้วล่ะ” เขาลุกเดินไปเอาท่อนไม้ใส่กองไฟที่มีแต่ควันกรุ่น ๆ หยิบไม้ยาวมานั่งลงข้างกองไฟ ดวงอาทิตย์คล้อยลงต่ำมาเรื่อย ๆ
“เก่งจัง! ไปหามาได้ยังไงคะ?” เธอถามเสียงใส ลากเครือกล้วยไปให้ แล้วนั่งลงข้างทางขวามือ มีความสุขกันจังเลยนะ…
“ฉันก็สงสัยหลายอย่างเหมือนกัน คุณตอบไป่ไป๋ก่อนก็แล้วกัน” ฉันมองพิจารณาใบหน้าของเขา ไอ้เด็กหนุ่มคนนี้กำลังชะตาขาด
เขาเป็นคนหน้าตาดีทีเดียว ใบหน้าสะอาดสะอ้าน ร่างกายสูงใหญ่ ผมรองทรงเข้ารูป กล้วยที่เอามาลูกใหญ่ประมาณข้อแขนยังเขียวอยู่เลย ของราคาถูกพวกนี้ ไม่สามารถชดเชยความผิดที่นายทำกับฉันไว้หรอก
เขาหันไปยิ้มกับไป่ไป๋…
“ผมมีรถยนต์ทั้งคันจะกลัวอะไร? อยากได้อะไรก็ไปถอดเอา”แทนโยนไม้ฟืนเข้ากองไฟอีก หลังจากมันไม่ติด
เขาก้มลงไปเป่าขี้เถ้าลอยฟุ้ง หน้าตามอมแมม ดูเขาอารมณ์ดียิ้มตลอดเวลา
“โชคดีรถคันนี้เป็นเครื่องยนต์ดีเซลไฟเลยไม่ลุกไหม้ ได้มีดแมคไกเวอร์มาอันหนึ่ง แบตเตอรี่ลูกหนึ่ง ใช้ได้ทั้งก่อไฟและแสงสว่าง” แทนก้มหน้าเป่าไปที่กองไฟอีกครั้ง ไฟแดงลุกวาบ ไป่ไป๋ยิ้มปรบมือ เข้าขากันดีจัง
“BMW 320d(G20) หนูได้นั่งแล้ว เหมือนเครื่องบินเลย วี้ว ๆ ๆ ๆ” ไป่ไป๋กางแขนร่อนหัวเราะชอบใจ
พอเธอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยความคะนอง ฉันกลับรู้สึกเดือดปุด ๆขึ้นมา มันน่าสนุกตรงไหน? ยายนี่เห็นเป็นเรื่องสนุกไปหมด ใช่สิ!พวกเธอมันไร้ราคานี่ จะมาเทียบกับฉันได้ยังไง?
แทนยิ้มสดใสหันมา..
“รถรุ่นนี้ขับเคลื่อนล้อหลัง ผมเคยเห็นเขารีวิวว่ามันใช้โครงสร้าง CLAR แข็งแรงทรงตัวดี ตอนที่รถพุ่งหลุดจากหน้าผา มันไม่พลิกคว่ำตกลงบนต้นก้ามปู สัก50เมตรเห็นจะได้ ถุงลมนิรภัยกับม่านนิรภัยช่วยได้เยอะ ถ้ามันพลิกนิดเดียวก็คงจะไม่รอด” แทนหัวเราะชอบใจหันไปตีมือกับเธออีก จมูกเป็นสัน คิ้วเข้ม ดวงตาดำนิ่งเป็นประกาย มีความสุข
แต่สำหรับฉันแล้ว นายใจร้ายมาก ฉันไม่ได้อยากรู้สเปครถยนต์ พวกเขายิ่งพูด ยิ่งหัวเราะกัน มันเหมือนเอาน้ำมัน มาราดกองไฟ
“แล้วนึกยังไง! ถึงขับรถลงเหว?” ฉันถามกระแทก ใจเริ่มขุ่น
จะให้ฉันทำใจยอมรับกับเรื่องรถยนต์ตกเหวง่าย ๆ ไม่ได้หรอก เขาทำมากเกินไปจะหาว่าฉันเห็นแก่ตัวก็ได้ ในใจของฉันโกรธมากจะพากันไปตายทั้งหมด
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร? ฉันก็จะโทษว่า เป็นความผิดของเขาคนเดียว อารมณ์โกรธเดือดปุดพร้อมราวี นายแทนหันมาตอบสีหน้าเบิกบานยิ้มแย้ม เขาไม่ได้มองสีหน้าของฉันเลยสินะ ไม่รู้ชะตาเลยสินะ!
“ช่วงนั้นผมคิดแต่ว่าต้องหนีให้ได้ ผมกลัวคุณจะถูกจับ คุณอาจจะได้รับอันตราย ผมไม่รู้ว่าใครเป็นใคร? พวกคุณมีศัตรูพวกไหนบ้าง ผมไม่รู้เลย?” เขามั่นหน้า พยายามอธิบายไม่มีท่าทางหรือแววตาสำนึกผิดเลย เขายังเห็นเป็นเรื่องสนุก
แสงอาทิตย์เริ่มหมดลง กองไฟลุกโชน สว่างขึ้นมาแทน
“อ๋อ!..กลัวฉันได้รับอันตราย แล้วขับรถลงเหวล่ะ? ฉันสลบไปตั้งหลายวัน” ฉันเสยผมกัดรมฝีปากเข้าไปแหงนมองหน้าเขา
ไป่ไป๋ยิ้มมุมปากแล้วพยักหน้าเบา ๆ ฉันไม่ถูกใจในคำตอบสักเท่าไหร่ ตอบง่ายไปหรือเปล่า? แก้ตัวไปเรื่อยล่ะสิ! คนไร้ความรับผิดชอบ
“มันสุดวิสัยจริง ๆ ครับ รถตำรวจมันดันแล้วรถของเราก็โดนยิงยางแตกด้วย ควบคุมรถไม่ได้” เขาพูดเสียงอ่อน ไม่รู้ล่ะนายเป็นคนบังคับรถยนต์ มันเป็นความผิดของนายคนเดียว
ไป่ไป๋เงยหน้าหันมอง...
“พวกคุณทำเรื่องใหญ่เอง ตั้งแต่ยิงกับพวกไอ้โล้นโน่นแล้ว ไป ๆ มา ๆ หนูพลอยเป็นคนร้ายไปด้วยเฉยเลย วันนี้ต้องพาดหัวข่าวใหญ่แน่ หม่าม้าเห็นคงเป็นลมไปเลย” ไป่ไป๋บ่นซ้ำเติมเข้ามา ในขณะที่เธอพยายามฉีกกล้วยออกจากเครือ
ฉันยิ้มพอใจ...ดีมากที่รู้จักเลือกข้างจะได้รอดตัว วันนี้ต้องมีคนซวยแน่ ๆ
เขายังคงเก็บนั่นนี่โดยไม่สนใจ ใบหน้าเลอะฝุ่นไปหมดแล้วแต่ฉันไม่สงสารหรอก ไม่เห็นใจด้วย ฉันเริ่มโกรธ บรรยากาศเริ่มอึดอัด เดินโฉบเข้าไปด้านหลังของเขา....
“ใช่ ๆ ไอ้พวกนักเลงหัวไม้ ที่มาทำดีด้วย ก็คงอยากจะปิดปากพวกเราน่ะแหละ” ฉันหันไปพยักพเยิดกับเธอ อย่างน้อยฉันก็มีเพื่อน
เขาขมวดคิ้วหน้าย่น...
“ผมนี่นะ! นักเลงหัวไม้!” ดูท่าทางตอนนี้ เขาคงสับสนมาก
“ชัดมาก! Full HD”
“ผมหนักกว่าพวกคุณอีก ทั้งปล้นรถ ทั้งทำร้ายร่างกาย ทั้งขับรถชนวินาศสันตะโร ไม่รู้ว่ามีคนตายด้วยรึป่าว ลองคิดสิกี่กระทง?” เขาหันมามองทำเสียงน้อยใจ ก้มหน้าตาละห้อยมองพื้น
แต่ฉันก็ว่ามันบ้าเกินไป คนดี ๆ ที่ไหนจะทำแบบนั้น ถ้าฉันเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ คิดอย่างไรก็โกรธ ไฟท่วมหัว ถ้าพิการไปล่ะ! ผัวก็ยังไม่มี จูบกับใครก็ยังไม่เคย ยิ่งคิดแล้วยิ่งแค้น
“นายเลือกเองนะ! แล้วก็ไม่ต้องคิดหรอกว่ากี่กระทง เดี๋ยวตำรวจก็รวบรวมคดีมาให้เอง” ฉันขู่เอาคืนบ้าง
แค้นใจมาก...ตั้งแต่ตอนที่ไปขออาศัยรถพวกเขาแล้ว ใจจืดใจดำขอขึ้นรถแค่นี้ทำเป็นท่ามาก บังคับให้ฉันเล่าเรื่อง แล้วยังขู่จะพาไปขายซ่องอีก มีแต่เรื่องให้แค้น…ไอ้ผมยาวนั่นอีกคน//
ทำไมฉันซวยตลอด มีแต่เหนื่อยกับเหนื่อยมาก ทั้งวิ่ง ทั้งขี่จักรยาน หนีขึ้นรถบรรทุกก็ยิงกันอย่างกับมีสงคราม แล้วไอ้บ้านี่!...ยังพาลงเหวอีก ชาติที่แล้วฉันหักอกฮ่องเต้หรือไงกัน?
ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาจะคิดดีหรือคิดร้าย แต่ฉันโกรธที่เอาชีวิตของฉันมาล้อเล่น ไป่ไป๋พลอยมาลำบากลำบน ดูสิ!...เธอใช้ทั้งมือทั้งเท้ายันเครือกล้วยออกแรงดึงหน้าตาเหยเก ร้อง อี้!อี้!อี้! หัวสั่นน่าเอ็นดู
“ผมคิดอย่างเดียวว่า จะต้องช่วยคุณหนีตำรวจให้ได้ เป้าหมายของผมมีเท่านี้ ผมต้องทำทุกวิถีทางให้สำเร็จ ต้องไม่ให้คุณถูกจับกุม” เขาเงยหน้าพูดจริงจังแววตามุ่งมั่น ลุกเดินไปเอากล้วยทั้งเครือจากไป่ไป๋โยนเข้ากองไฟ...ไม่มีสลดจริง ๆ เถียงทุกคำ
ฉันหมดความอดทน...
“ตำรวจจะจับฉันเรื่องอะไร? ฉันเป็นเหยื่อนะ!” ฉันลุกขึ้นยืนเสยผมเท้าสะเอว หันไปประจันหน้า
“ก็คุณไปขโมยของเค้ามา ไม่ใช่หรือไง?”เขาเถียง ฉันเลือดขึ้นหน้าเดินเข้าไปผลักอก...
“ย่าห์!” เขาเซแล้วนั่งลงข้างกองไฟ
“จะต้องให้บอกกี่ครั้งว่า มันเป็นของฉัน! ของฉัน! จำใส่หัวไว้ด้วย!” ฉันเขย่งเท้าจิ้มหัวเขา แล้วมองหาไม้ จะตีหัวให้แตกเลย แต่หาไม่เจอ หันไปโวยต่อ...
“คุณรับกรรมไปคนเดียวเลยนะ โง่ขนาดมองฉันเป็นหัวขโมยเลยเหรอ ฉันไม่ยุ่งด้วยหรอก จะติดคุกติดตะรางก็ช่าง จำใส่กะโหลกไว้เลยนะว่า เราไม่เคยรู้จักกัน! อย่าพาดพิงถึงฉัน!” ฉันโวยใส่หน้าเสียงดัง ไป่ไป๋หน้าเสียหันมองไปมาระหว่างเราสองคน
“อ้าว!..ยังไงกันคุณ? นี่ผมช่วยคุณนะ จะมาซ้ำเติมผมอีกทำไม?” เขาคิ้วขมวดหันมาถามในขณะที่ฉันเดินต่อไปทางขอบเหว ไฟพิโรธในใจฉันติดลุกโชนขึ้นมาแล้ว เหวนี่ก็ลึกน่าเสียวไส้เชียว
ฉันพยายามคิดทบทวนว่าเขาทำอย่างนั้นทำไม? เขามีเหตุผลอะไร? มีแรงจูงใจอะไรถึงต้องเดินตามมาส่งขึ้นรถไฟฟ้า อ๋อ!..
“คุณลักพาตัวฉัน ใช่สิ! ใช่แล้ว! คุณลักพาตัวฉัน ?” ฉันแหกปากตะโกนโวยวายเสียงสะท้อนไปทั้งขุนเขา
ฉันคิดข้อหาที่จะจับเขาได้แล้ว มือหนึ่งเท้าสะเอว มือหนึ่งชี้หน้า เขายังนั่งนิ่งอยู่กับไป่ไป๋ที่เดิม
เธอเงยหน้ามองมา...
“เฮ้!..อนนี่ยังไง? เกิดอะไรขึ้น คิดอย่างนี้ก็ได้เหรอ?” ไป่ไป๋ลุกเดินเข้ามาหา ฉันก้าวขาเดินหนีไปสุดริมขอบเหว…
“ถ้าตำรวจมา ฉันจะให้เขาจับคุณในข้อหาลักพาตัว คุณโดนหนักหน่อยนะ โดนหลายกระทงอาจติดคุกหัวโตหรือไม่ก็..ประหารชีวิตไปเลย” ฉันจริงจังมาก ไม่แยแสว่าเขาจะคิดยังไง? ไม่สนใจความรู้สึก ไม่แคร์แม้แต่น้อย
เขากัดกรามแน่น ค่อย ๆ เดินเข้ามา สายตาดุ ใบหน้าเครียด ฉันหันกลับมองข้างหลังเป็นเหวลึก เสียวสันหลังแวบ ไปต่อไม่ได้แล้ว
“แทนคะ! ใจเย็น ๆ นะ อนนี่!เข้าใจผิดน่ะ” ไป่ไป๋พรวดมาดึงแขนเขาไว้ แล้วหันบอกกับฉัน
“เฮ้!..อนนี่แรงไป! หนูเห็นเขาตั้งใจช่วยจริง ๆ นะคะ” ไป่ไป๋วิ่งมากอดเอว
นี่ก็อีกคน..ฉันก็พึ่งรู้จักเหมือนกัน เข้ามาตีสนิทด้วย ไม่รู้ว่าสองคนนี้รู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า? เป็นพวกเดียวกัน แล้วมาหลอกฉันสิท่า...
“เธอจะอยู่ข้างใคร?” ฉันแกะมือของเธอแล้วจ้องหน้าเอาจริง
“ห่ะ!” เธอยืนเอ๋อ
นายแทนเดินเข้ามาใกล้...
“ตลกละคุณ! เสียแรงเปล่าจริง ๆ หมาแมวให้ข้าวให้น้ำ มันยังไม่แว้งกัด” เขาก้าวมาประจันหน้า สีหน้าไม่พอใจ
“อย่าเล่นอย่างนี้สิ ใจไม่ดี!” ไป่ไป๋กอดเอวในขณะที่ฉันพยายามแกะมือเธอออก
ฉันชี้หน้านายแทน...
“ฉันไม่ใช่ต้นกล้วยนะ จะได้ตายแล้วแทงหน่อเกิดใหม่ ฉันมีชีวิตเดียวนะโว้ย หน้าอย่างนายจะรับผิดชอบอะไรได้ ไม่ได้ดูถูกหรอกนะ นายไม่มีปัญญาหรอก” ฉันแหวใส่เสียงดัง
เขาอึ้งกัดฟันกรอด...
“ได้เลย! ถ้าผมผิด ผมขอโทษ ต่อไปผมจะไม่ยุ่งกับคุณอีก” แทนถลึงตาโตโวยใส่ เอานิ้วชี้จิ้มหน้าฉัน ท่าทางโกรธจัดเดินวนงุ่นง่าน
ฉันเห็นท่าไม่ดีรีบขยับเดินห่างจากขอบเหว คิดในใจถ้าเขาทำร้าย ฉันจะทำยังไง? คอยดูเถอะ! ฉันจะแหกปากร้องให้ลั่นป่าเลย
ไป่ไป๋สีหน้ากังวล...
“ไม่มีใครคิดร้ายอย่างนั้นหรอกนะ เขาคิดจะช่วยเราจริง ๆ นะ หนูก็เกือบตายเหมือนกัน” เธอขยับมากอดด้านหลังใหม่ เอาหน้าซบลงที่ไหล่
“ตกลงจะอยู่ข้างไหน?” ฉันหันไปดุ เธอหน้าจ๋อย
ฉันยังไม่จบง่ายเดินเข้าไปหานายแทนแล้วแหงนหน้า...
“ถ้าฉันตายไป นายรับผิดชอบไหวมั้ย?”
“คุณเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน? จะให้รับผิดชอบอะไรก็บอกมาสิ จะได้จบ ๆ กันไป ไม่อยากพูดด้วยแล้วเหมือนกัน รำคาญว่ะ!”
ชิชะ..กล้ามากไปแล้ว ไป่ไป๋หันมองหน้าเราสองคนไปมา
“อนนี่!ใจเย็น ๆ นะ แทนคะ! อย่าโกรธเลยนะ” ยายนี่ตกลงยังไง? จะอยู่ข้างไหนก็รีบเลือกมาซะทีสิ
ฉันกับนายแทนหันไปมองหน้าเธอ...
“อย่ายุ่ง!” เราตวาดพร้อมกัน เธออึ้ง...ถอยไปสองก้าว
“น้ำหน้าอย่างนายไม่มีปัญญาหรอก แค่คนขับรถสิบล้อ เชอะ! กระจอก” ฉันตั้งใจหยันให้เขาเจ็บใจ เรามันคนละคลาสกัน แค่ขออาศัยรถอย่ามาตีเสมอ
เขากัดริมฝีปาก แววตาที่โกรธจัดสะท้อนเปลวไฟลุกโชน จ้องหน้าฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย ฉันแหงนคอตั้งประจันหน้า ไม่หลบสายตาเหมือนกัน ไม่กลัวหรอกหน้าอ่อน ๆ อย่างนี้ ถ้าฉันออกไปได้ นายติดคุกหัวโตแน่...ไอ้หน้าอ่อน
“ได้!..” เขาหันกลับไปมองกองไฟ แล้วเดินปรี่เข้าไป หยิบของแล้วบ่นเบา ๆ...
“ขอบคุณสักคำก็ไม่มี ไอ้นี่!..ผมหามา อย่าไปกินมันเลย คุณหาทางออกจากป่ากันเองก็แล้วกัน” เขาโยนกระบอกน้ำเข้ากองไฟ แล้วเดินดุ่ม ๆ ไปล้มตัวนอนข้างต้นไม้ใกล้รังนกเหม็น
ง้อซะที่ไหน?...ฉันก็ไม่สนเดินกระทืบเท้าตามไป เลยเข้าที่นอนในถ้ำ ไป่ไป๋เดินตามมามอบตัว ทิ้งตัวนอนกอดเงียบไม่พูดอะไร นอนคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา
ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายสักหน่อย พวกเขาเล่นใหญ่กันไปเอง แหม!...ปากดีบอกว่ามาช่วย จะมาพากันตายต่างหาก ฉันไม่เอาด้วยหรอก จบกันแค่นี้พอ.
…………………………………………………………..
เสียงเรไรยามดึกดังก้องไพร ฉันนอนพลิกไปมาด้วยความหิว ท้องร้องโครกครากและด้วยความปากดีของฉัน เขาดับไฟอดกินเลย ศักดิ์ศรีมันค้ำคอ เราไม่ลดตัวไปกินของศัตรูหรอก...นายอย่าหลับก็แล้วกัน
ดึกสงัด...ฉันค่อย ๆ คลานออกมาจากถ้ำ ผ่านตัวเขาที่นอนหลับเป็นตายใต้ต้นไม้ คนบ้าอะไรนอนละเมอเสียงดังเชียว กองไฟมอดเกือบดับ เอื้อมมือไปลากเครือกล้วยไหม้ดำกลางกองไฟออกมา โยนไม้เข้ากองฟืนนั่งเป่าฝุ่นฟุ้ง กว่าเปลวไฟจะลุกโชนเล่นเอาเหงื่อเต็มหน้า อากาศเริ่มเย็นลงทุกวัน ประเทศจีนกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว
“หือ!..อร่อยแฮะ!” ฉันพึมพำหลังจากยัดกล้วยเผาเนื้อขาวฟูเข้าปาก กองไฟเริ่มสว่างขึ้น
กินด้วยความหวาดระแวง ต้องคอยหันไปมองเขาตลอดกลัวจะตื่นขึ้นมาจ๊ะเอ๋กัน แต่มันหิวมากรีบก้มหน้าก้มตากินแล้วไปนอนดีกว่า กำลังเพลินก็ต้องสะดุ้งตกใจ..
“อนนี่ขอหนูกินด้วยนะ หิวจะตายแล้ว” ไป่ไป๋เสียงสั่นย่องเงียบตามมา ฉันจุ๊ปากส่งกล้วยให้เธอยัดเข้าปากคำโตเคี้ยวแก้มป่อง
“อร่อยเนอะ! หรือว่าเราหิว?” เธอเคี้ยวตุ้ย ๆ เต็มปาก ไป่ไป๋สวยตลอดเวลา แม้ไม่ได้เติมเสริมแต่ง ผิวพรรณผุดผ่อง ใบหน้าใสจากธรรมชาติยิ่งดูมีออร่า
“แล้วเราจะเอายังไงกันต่อล่ะ เราหาทางออกกัน 2 คนก็ได้ อย่าไปง้อมัน เนอะ!”เธอพูดได้ใจมาก ฉันดึงตัวเธอเข้ามากอด พวกเดียวกันต้องอย่างนี้สิ หอมแก้มไปหนึ่งดอก
“พรุ่งนี้เราตื่นแต่เช้า ๆ แล้วหนีไปก่อน ทางใครทางมัน ลาขาด” ฉันบอกอย่างมั่นใจ สองคนอย่างไรก็ดีกว่า ตัวคนเดียวแน่ ๆ
“แต่...อนนี่ว่าเขาแรงไปนะ” เธอหันไปมองเขา ฉันรู้สึกเคืองใจยายนี่นกสองหัวหรือไง?
“จะอยู่กับเขาก็ได้นะ ฉันไม่ว่าหรอก!” ฉันลุกเดินหาน้ำกินเห็นแต่กระบอกเปล่า สุดท้ายตัดใจกลับไปนอนที่เดิมหลังจากหาน้ำกินไม่ได้
“แจ๊บ!แจ๊บ!แจ๊บ!” คอฝืดเหนียวไปหมด ต้องแค่นเอาน้ำลายมากลืน ชีวิตทำไมตกต่ำขนาดนี้ ไม่น่าเจอไอ้พวกขับสิบล้อเลย
ปล่อยให้สาวน้อยกินต่อคนเดียว ข่มตานอนให้หลับคิดถึงแต่พรุ่งนี้ เสียงฝีเท้าเดินย่องเบา ๆ เข้ามา
“อนนี่! หนูจะอยู่กับอนนี่ หนูเลือกข้างอนนี่ ก็เราเป็นแฟนกันนี่นา”เธอเอนตัวลงมากอด
“หือ!” ฉันตกใจอย่ามามั่ว คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่
“เราเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ทราบ?” ฉันไม่เข้าใจ ฉันยังไม่ได้คิดอะไรเลย เธอทึกทักเอาเอง เอนตัวลงมานอนหนุนแขน...
“เมื่อกี๊! อนนี่หอมแก้มหนู”
“เอ๋า! ก็! ก็!” ฉันก็ไปไม่เป็น
“ไม่รู้ล่ะ! อนนี่ต้องรับผิดชอบ ความรักมันเกิดในใจหนูตั้งนานแล้ว หนูใจเต้นแรง ตัวสั่น อยากอยู่ใกล้ ๆ หนูจะดูแลอนนี่เอง” เธอเอียงใบหน้าซุกไซร้ที่พวงแก้ม รู้สึกแปลก ๆ
“เธอจะเอาอะไรมาดูแลฉัน” ปากก็ปฏิเสธ ขนเจ้ากรรมดันตั้งชันขึ้นมา ร่างกายของฉันก็ไวต่อความรู้สึกซะเหลือเกิน ผู้หญิงด้วยกันก็สร้างความรู้สึกได้ เธอซุกใบหน้าลงที่ซอกคอความซ่านเสียวก่อตัวขึ้นมา ต้องรีบผลักตัวเธอออกไป ก่อนที่จะหลวมตัว ใจเต้นรัว
“แหม! หอมหน่อยก็ไม่ได้” เธอยิ้มสายตาเจ้าชู้ น่ากลัวจัง แต่ต้องเดินทางร่วมกัน เออออห่อหมกไปก่อนก็แล้วกัน ยายนี่ฉลาดมากเลยนะ มามั่วเป็นแฟนในเวลาแบบนี้ซะด้วย ไม่มีทางเลือกเลย
“ได้สิ! แค่หอมจะเป็นอะไรไป แต่ตอนนี้ฉันยังโกรธ มานอนให้กอดใจเย็น ๆ ก่อน” ฉันอ้าแขนให้เธอหนุน ยอม ๆ ไปก่อน
“อนนี่คะ!” เธอคว้านมฉันเต็มมือ
“หือ!”
“ขอจับนมหน่อยนะคะ!” เสียงออดอ้อนเป็นเด็กน้อยเลย
ฉันจะทำยังไงดี? เด็กคนนี้ได้คืบเอาศอก คิดเองเออเอง ทึกทัก ขี้โกงด้วย แต่เธอก็เป็นตัวเลือกเดียวที่ฉันมี ถ้าเป็นเวลาปรกติอย่าได้หวัง
“แล้วที่จับนั่น! ไม่ใช่นมหรือไง? นอน ๆ” นมของตัวเองใหญ่กว่าของเค้าอีกทำไมไม่จับ ฉันก็เสียวเป็นนะโว้ย...
เพื่อเอาตัวรอดคงต้องรับข้อเสนอของยายเด็กนี่ไปก่อน อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจ เพื่อนยามนี้สำคัญกว่าอื่นใด เรื่องราวของฉันชักจะบานปลายใหญ่โต จากที่คิดจะหาทางหลบหนีเงียบ ๆ คนเดียวจะกลายเป็นปัญหาระดับชาติไปซะแล้ว
....................................................................................................................
หน้าที่เข้าชม | 12,859 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,975 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |