เช้าวันที่ 2
6โมงเช้าเสียงโทรศัพท์ปลุกร้องเตือน แทนเป็นคนรับ เพราะโทรศัพท์อยู่ข้างเตียงใหญ่ มันรับเสร็จก็นอนต่อ เราก็ลุกอาบน้ำก่อน พออาบน้ำเสร็จออกมา เจอมันเฟคอีกแล้ว มันเอากล้องมาถ่ายรูปตัวมันเองหน้ากระจกมั่ง บนที่นอนมั่ง จนต้องบอกว่า
“ เดี๋ยวไม่ได้กินข้าวหรอกมึง เฟคอยู่ได้ “มันถึงไปอาบน้ำได้
ที่ห้องอาหารมื้อนี้เป็น Breakfast เขมร ไม่มีอะไรให้กินเลยเบคอนไม่มี ไข่คนก็ไม่มี เซ็งมากแต่เราก็ได้สร้างสิ่งใหม่สำหรับตัวเองคือ “กินสลัดผัก” เป็นเรื่องแปลกสำหรับผมแล้วนะนี่ เพราะในชีวิตไม่เคยเหลียวมองมันซักครั้งเดียว กินเสร็จก็เดินไปหยิบมะม่วงมากินพออิ่มๆท้องเพราะถ้ากินมากเดี๋ยวปวดอึ๊จะลำบาก รออีกไม่นานก็ได้กินข้าวเที่ยงแล้วรอกินมื้อหน้าเลยก็ได้ เพราะปรกติไม่ได้กินข้าวเช้าๆอยู่แล้ว สูบบุหรี่มวนเดียวก็อยู่ได้ถึงเที่ยงแล้ว
วันนี้โปรแกรมตอนเช้าเราจะไปที่นครธม “ธม”ภาษาเขมรแปลว่าใหญ่ นครธมแปลว่าเมืองใหญ่ ไม่มีปราสาทนครธม แต่มีหลายๆปราสาทอยู่ที่นครธม เราเข้าประจำที่ ทักทายกับเฮียสี่ที่นั่งข้างๆตามมารยาท ทุกคนนั่งที่เดิม ห้ามเปลี่ยนที่เพื่อความเรียบร้อยในการเดินทางและจะได้จำได้ถ้าใครหายไปและจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันเพื่อแย่งที่นั่ง รถวิ่งออกจากเมืองมาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงประตูนครธม” รถจอดให้เราลงตรงประตูทางเข้านครธม เพื่อให้เราได้เดินข้ามสะพานที่มีรูปสลัก ของเทพกับอสูรกำลังลากพญานาค สะพานนี้ยาวประมาณ 200 – 300 เมตร รูปสลักหินตัวใหญ่กว่าตัวคนดูแล้วต้องจินตนาการย้อนกลับไปตอนที่มันยังสมบูรณ์อยู่ เพราะตอนนี้เกือบทุกตัวโดนประหารชีวิตหมดแล้ว หัวหายไปไหนก็ไม่รู้ เราเดินข้ามสะพานมาเข้าประตูซึ่งเป็นประตูขนาดใหญ่ บนยอดสร้างเหมือนพระปรางค์แกะสลักรูปหน้าคนไว้อย่างสวยงาม
พอผ่านประตูมาก็ขึ้นรถต่อไปอีกประมาณ 500 เมตร ก็มาถึงตัวปราสาท “บายน” เป็นปราสาทขนาดใหญ่จำรายละเอียดไม่ได้แน่ชัดว่ามี 52 หรือ 54 ยอด แต่ละยอดมีรูปหน้าคน 4 ด้าน ที่น่าทึ่งคือใหญ่มาก เขาสร้างได้อย่างไร ใช้เวลาแค่ไหน ใช้คนเท่าไหร่ หินแต่ละก้อนใหญ่มาก เอาขึ้นไปเรียงข้างบนกันได้อย่างไร เรียงเสร็จแล้วถึงแกะสลักเป็นรูปร่างหน้าตาคน และยังมีรายละเอียดเล็กๆอีกมากมายจนต้องยอมรับในฝีมือและความอดทนของช่างจริงๆ ตอนนั้นมองเห็นรถเครนที่ใช้ก่อสร้างตึกยกหินเพื่อซ่อมแซม ขนาดสมัยนี้มีเครื่องมือทันสมัยกว่าเยอะดูแล้วยังลำบากเลย นอกจากตัวยอดปราสาทแล้ว ตามเสาต่างๆก็จะสลักรูปนางอัปสรไว้เป็นแบบเรียบๆไม่ได้นูนสูงขึ้นมา ตามฝาผนังก็แกะสลลักเป็นเรื่องราวของวิถีชีวิตของคนเขมรในสมัยก่อน ไกด์เล่าให้ฟังเป็นเรื่องเป็นราว แต่เราก็ไม่สนใจฟังเท่าไรนัก มัวแต่ไปจ้องมองรายละเอียดเสียมากกว่า
เป็นเรื่องปรกติของการเที่ยวชมปราสาทคือเดินขึ้น เดินลง เดินรอบ เดินๆๆๆๆๆๆแล้วก็เดิน ที่นี่สวยมากเรื่องของการแกะสลัก สวยจริงๆเดินมาเจอรูปหน้าคนรูปหนึ่งตรงนี้มีคนมายืนถ่ายรูปกันเยอะมา รอคิวเป็นแถว ลืมบอกไป....คนเป็นหนอนเลยเยอะมาก แต่ถ้าคิดอีกที ถ้ามีคนมาน้อยๆ จะกล้าเดินหรือเปล่า จะกล้าแตกแถวไม๊ มันคงวังเวง น่ากลัวไม่น้อย รูปที่ถ่ายออกมาจึงมีใครก็ไม่รู้เต็มไปหมด เขามาอยู่ในกล้องเรา เราก็ไปอยู่ในกล้องเขา รูปหน้าคนที่แกะสลักนี้เหมือนกับกำลังยิ้ม เขายิ้มจริงๆ ยิ้มน้อยๆ เขาเรียกว่า “ยิ้มแบบ บายน” คนที่ไปถ่ายรูปตรงนี้ก็พยายามทำปากให้เหมือน รูปแกะสลัก ตรงนี้ตลกมากเพราะทุกชาติทุกภาษาพยายามทำหน้าเหมือนกันหมด แต่เรา2คนไม่ทำ เราถ่ายรูปมาเฉยๆ สาเหตุที่ไม่ทำไม่ใช่เพราะอายหรอก มันรอคิวนาน กลัวถึงไปรถช้าเดี๋ยวพี่ใหญ่จะค้อนเอาอีก เพราะเรามักจะไม่เดินตามไกด์ คือทีแรกก็เดินตามไป ฟังบรรยายไปเรื่อยๆ ไอ้มันก็พยายามพูดไทย เราก็พยายามฟัง เวียนหัวว่ะ เวียนหัวจริงๆ กูเหนื่อยอย่างเดียวก็พอแล้วยังต้องมาเวียนหัวกับภาษาไทยมึงอีก เดินไปดูเอาเองดีกว่า แต่ก่อนไปเขมรผมก็หาข้อมูลไปบ้างแล้วจึงพอรู้เรื่องราวบ้าง เราจึงมักออกนอกเส้นทางและได้มาสังเกตว่า น้องโอเล่มักจะเดินตามเรามาเพื่อต้อนเรากลับเข้ากลุ่ม ตอนนี้เลยมีโอกาสได้คุยกันบ่อยขึ้นเหมือนเรามาเที่ยวกัน 3 คน ดูแทนจะมีความสุขที่มีสาวๆมาเดินคุยด้วย โอเล่เป็นคนคุยเก่ง ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ชอบแซวเจ้าแทน ก็เลยสนิทกันไวขึ้น ผมให้เจ้าหล่อนช่วยถ่ายรูปให้ด้วยเพราะผมเอากล้องของแทนมาถ่าย แทนไม่ยอมถ่ายรูป เดินไปหัวเราะกันไปทั้งทางจนบางครั้งต้องเตือนน้องให้กลับไปดูลูกทัวร์คนอื่นบ้างเพราะเหมือนหล่อนก็จะลืมตัวเหมือนกัน แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่า เธอเป็นขี้ปากเรากะไอ้เจ้าแทนอย่างสนุกปาก เราได้วางแผนชั่วกันไว้แล้ว Oralฟรีไง”
หน้าที่เข้าชม | 12,863 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 10,979 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 9 ก.ย. 2568 |