• ตอบกระทู้
  • ตั้งกระทู้ใหม่
QUOTE 

มองการท่องเที่ยวแบบมีความสุข หาความสุขได้จากการมองโลกอีกมุมสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวกับคนที่เราไม่รู้จัก ตอนที่ 27

เจ้าของร้าน

พอรถถึงวัด ทไม ชื่อไทยว่าวัดใหม่ ผมเดินลงแบบงงๆ ภาพที่ผมวาดหวังไว้ในสมอง มันเป็นวัดเก่าๆมีศาลาพังๆ มีหัวกะโหลกเรียงกันเป็นร้อยเป็นล้าน แต่ผมกำลังจะเดินเข้าวัดที่สร้างด้วยปูนเหมือนวัดบ้านเรา มีประตูเหมือนวัดบ้านเรา มีอาคารศาลาการเปรียญเป็นตึกเหมือนวัดบ้านเรา “นี่กูเข้ามาในวัดที่กรุงเทพรึป่าววะนี่” เดินงงๆตามไกด์เขมรไปหยุดที่บอร์ดแสดงรูปภาพเก่าๆมากๆ จนรูปเลือนรางแทบไม่เหลืออะไร มีอยู่ 2 บอร์ด เป็นรูปทหารเด็กๆ และทหารหญิง นักการเมือง เครื่องทรมานร่างกายนักโทษ ไกด์ก็อธิบายไป ผมหันไปเจอหัวกะโหลกอยู่ในตู้กระจก ทางวัดสร้างเหมือนเจดีย์เล็กๆมีกระจกล้อมรอบ 4 ด้าน เอาโครงกระดูกมาใส่ไว้ผมว่ามีประมาณ ไม่เกิน 100 หัว เซ็งเลย

หันไปบอกกับเจ้าแทนว่า อย่างงี้ไปวัดพระบาทน้ำพุ น่าดูกว่าเยอะ น่าสนใจกว่านี้อีก ไม่มีอะไรเลย อะไรวะพามาดูอะไร ต้องโวยๆ  โกรธมากเดินหาไกด์

“โอเล่ มีแค่นี้เหรอ”

“ค่ะพี่ ที่นี่ก็มีแค่นี้”

“พามาดูอะไรไม่มีอะไรให้ดูเลย”

“มันเป็นโปรแกรมของเขมรค่ะ หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน”คุยกับโอเล่คงไม่ได้เรื่องเพราะเป็นเด็ก ไปหาแนวร่วมดีกว่าอย่างงี้ต้องโวย ให้มาดูอะไรวะ ต้องหาพวกๆเดินตามหาแนวร่วม ในใจก็คิดว่าใครดีวะ เฮียสี่รึ   ใช่แล้วพี่ใหญ่ไปหาพี่ใหญ่ดีกว่า พี่ใหญ่นี่แหละช่วยเราได้ หัวอกเดียวกัน บริการไม่ดีต้องลงหน้าหนึ่ง ผมเดินหาพี่ใหญ่อยู่นานเพราะมีคนมาวัดนี้เยอะ แล้วก็เจอพี่ใหญ่ไว้ผมทรงกระด้งยืนยิ้มแฉ่ง เฟคท่าถ่ายรูป ทำหน้าแบ๋วอยู่ที่เจดีย์ใส่กระดูก ดูมีความสุขเหลือเกิ้น มือก็ดึงสามีดึงหลานมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก สลับคนโน้นทีคนนี้ที ถ่ายรูปอยู่นาน ไม่เสร็จซักที จนผมหายโกรธไม่เข้าไปคุยหาแนวร่วมกับแกแล้ว เห็นแกมีความสุขกับการได้ถ่ายรูปกับกองกระดูก แกคงไม่เป็นพวกผมเป็นแน่แท้ เที่ยวด้วยกันมาหลายวัน พึ่งเห็นพี่ใหญ่มีความสุขก็วันนี้แหละ สงสัยชอบกระดูก ผมหันไปบอกเจ้าแทนว่า

“พี่ใหญ่คนนี้แปลกคน ชอบอะไรที่คนอื่นเขาไม่ชอบกัน แม่งชอบหัวกะโหลก”ไปดีกว่าผมกลับไปยืนฟังไกด์พูดถึงเรื่องรูปภาพอีกครั้ง คราวนี้ตั้งใจฟังคือไกด์จะมี 4 คนเพราะเราไปกัน 4 คันรถคนละคันเวลาบรรยายต่างๆคนก็ต่างบรรยาย เราจะฟังใครก็ได้ผมไม่ฟังของผมหรอก ผมฟังของคนอื่น มันพูดชัดกว่า

ในช่วงสงครามกลางเมืองเขมรได้แตกออกเป็น 3 ฝ่าย ฝ่ายที่จะพูดถึงคือฝ่ายที่พ่ายแพ้ และประวัติศาสตร์ก็ถูกเขียนโดยผู้ชนะผู้แพ้เลยต้องเป็นผู้ร้ายไป เขมรแดงๆได้ปกครองกัมพูชาอยู่ 4 ปีในช่วงที่อำนาจเขมรทุกฝ่ายจะใช้กำลังทหารในการเอาชนะกัน ซึ่งเขมรแดงก็ใช้วิธีเดียวกัน เขมรแดงมีวิธีการแปลกดี โดยใช้เด็กๆอายุตั้งแต่ 14 ขึ้นไปเป็นทหารให้เป็นคนคอยควบคุมประชาชน มียศตำแหน่ง มีอาวุธ มีกองกำลัง  เขาให้เหตุผลว่าเขมรแดงใช้เด็กเพราะว่าเมื่อรับคำสั่งแล้วพวกนี้จะปฏิบัติได้ดีกว่าผู้ใหญ่เช่น

ให้ดูแลประชาชน อย่าให้ขัดคำสั่งเวลาทำงาน ถ้าใครขัดคำสั่งยิงทิ้งได้เลย  เด็กพวกนี้ที่เห็นในรูปยิงคนตายเป็นกอง มันไม่สนหรอกว่าเป็นใคร มันมีปืน มันเคร่งกับคำสั่ง”

“ล้างสมองง่าย โดยให้ตำแหน่งให้อาวุธ พวกนี้ออกรบโดยไม่กลัวตายเลย ก็วัยรุ่นกำลังห้าว มีปืน”

“ได้รับคำสั่งให้จับคนมีการศึกษามาสอบสวน ใครมีความรู้สูงเช่น หมอ วิศวกร ยิงทิ้งให้หมด เหตุผลคือปกครองยากเพราะความรู้สูง” ในช่วงสมัยนั้นถึงมีคนตายเป็นล้านๆคนที่นับได้กล่าวกันว่า 2 ล้านคนแต่อาจจะมากกว่านั้น ไกด์ที่อธิบายส่วนใหญ่ที่ผมเดินฟังจะมีชีวิตช่วงวัยเด็กในสมัยสงคราม อายุ 13-14 รุ่นเดียวกับทหารของเขมรแดง เพียงแต่อยู่คนละฝ่ายกันเลยไม่ได้เป็นทหาร แต่ก็ถูกฝึกให้ใช้อาวุธ เขาเล่าว่าอาวุธที่คนเขมรถนัดและชอบมากที่สุดคือปืนอาร์ก้าร์ ถ้าจำไม่ผิดเป็นของรัสเซีย M16 เขาบอกว่าไม่ชอบ เหตุผลคือปืนอาร์ก้าร์ยิงได้ทุกสภาวะในน้ำ บนบกฝนตกหรืออยู่ในโคลน ซึ่งปืน M16ไม่สามารถทำได้ พวกเขาได้เล่าถึงการเดินเท้าด้วยความยากลำบากออกนอกประเทศเพื่อไปสู่ประเทศที่3 โดยต้องผ่านทางไทยที่ จ.สระแก้วและ จ.สุรินทร์ พวกเขาผ่านการปกครองมาหลายแบบแล้ว ระบบเผด็จการทหาร ระบบกษัตริย์ ระบบคอมมิวนิสต์ ปัจจุบันเขาปกครองแบบประชาธิปไตยที่พวกเขาได้เลือกเอง เขาได้เล่าถึงการเท่าเทียมกันของระบอบคอมมิวนิสต์แบบตลกๆให้ฟังว่า

แสดงความคิดเห็นที่ 0-0 จากทั้งหมด 0 ความคิดเห็น

จำนวนผู้มาเยือน

หน้าที่เข้าชม12,861 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด10,977 ครั้ง
ร้านค้าอัพเดท7 ก.ย. 2568

สมาชิก

พูดคุย-สอบถาม